วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2012, 17:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 มี.ค. 2012, 14:29
โพสต์: 102


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตจริงของครอบครัวหนึ่ง ซึ่งทำให้ได้ความคิดว่า บางครั้งคนทำความดีมีเจตนาเป็นบุญกุศล แต่ทำหรือเลือกวิธีผิด เลยได้รับผลตอบแทนที่ตรงกันข้าม หรือบางคนทำลงไปโดยเท่าไม่ถึงการณ์ ไม่เข้าใจว่าที่เขาทำนั้นเพื่อประสงค์ใด สักแต่ว่าทำตามคนอื่นเขาไป ไม่ใช้วิจารณญาณส่วนตัวไตร่ตรองให้รู้จริงด้วยเหตุผล

การกระทำดังกล่าว อาจมีผลตรงกันข้ามแม้เป็นการทำความดีก็ตาม ดังเช่นเรื่องต่อไปนี้ซึ่งเกิดขึ้นที่จังหวัดสระบุรี ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ป้าโฉมฉาย เป็นหญิงวัยชราคนหนึ่งอายุราว ๖๐ ปีแต่เพราะเป็นคนสนใจในการทำบุญรักษาศีล เจริญสมาธิมาโดยตลอดจึงทำให้ทั้งหน้าตาและผิวพรรณของแกไม่ชราเหมือนวัยเลย

วันหนึ่ง ป้าโฉมฉายพร้อมด้วยลูกสาวและลูกเขยจัดเตรียมของทำบุญ เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษามีการทำบุญตักบาตรวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา และขนของขึ้นตั้งบนรถซึ่งเป็นรถเก๋งวิ่งมุ่งหน้าสู่วัดเพื่อร่วมทำบุญ

ขณะที่พระกำลังฉันภัตตาหารอยู่ ลูกสาวทำลายความเงียบขึ้นเบาๆ

“แม่... เดี๋ยวเราเสร็จจากการทำบุญแล้ว เลยไปหาปล่อยนกปล่อยปลากันเถอะ” แม่พยักหน้าเห็นด้วย หลังจากที่พระฉันภัตตาหารเสร็จและให้พร ป้าโฉมฉาย ลูกสาว ลูกเขย กรวดน้ำรับพร พร้อมกับผู้ร่วมทำบุญทุกคน เสร็จแล้วจึงจัดแจงภาชนะปิ่นโตเตรียมตัวเดินทางไปให้ชีวิตเป็นทานต่อ

ขณะที่ผู้คนต่างทยอยเดินลงจากศาลาเพื่อเดินทางกลับบ้าน บังเอิญมีเด็กสองคนมานั่งอยู่บริเวณพื้นข้างบันไดทางลงจากศาลา ทั้งสามคนเดินมาถึงแทบพูดออกมาพร้อมกัน

“นี่ไง... เต่า เราซื้อไปปล่อยดีไหม” เด็กที่นั่งอยู่นำเต่ามาขายให้คนนำไปปล่อยอีกที ลูกสาวพูดต่อว่า “ดีนะแม่ พอเราพูดจะปล่อยนก ปล่อยปลา ก็มีให้เราปล่อยทันที ไม่ได้ปลา เต่าก็ได้เหมือนกัน เดี๋ยวไปดูนกหน้าวัดดีกว่าเผื่อมีขาย”

เมื่อได้ปล่อยนกไปคนละ ๗-๘ ตัวแล้ว ก็ออกเดินทางเพื่อนำเต่าไปปล่อยที่ที่มีน้ำเหมาะเป็นที่อาศัยของเต่า รถวิ่งประมาณ ๑๕ กิโลเมตรก็มาพบบึงลักษณะเป็นเขื่อนเพราะมีคูสูง พอรถจอดบนสันคูมองลงข้างล่างสูงชันหาที่เดินลงไปข้างล่างไม่พบ

“ปล่อยตรงไหนดีครับแม่” ลูกเขยเห็นท่าทางจะหาที่ปล่อยยาก แล้วเอ่ยขึ้นบ้างเป็นการหารือ เดินช่วยกันหาทางลงจากสันคู แต่ก็ไม่พบ

ป้าโฉมฉายจึงตัดสินใจ “เอายังงี้ เต่าเป็นสัตว์แข็งแรงอายุยืน อีกอย่างรอบตัวมีแต่เปลือกแข็ง ถ้า!...” ลูกสาวดักคอทันที “คุณแม่คงไม่หมายความว่า จะโยนเต่าลงไปเลยนะ”

แม่ยอมรับหน้าตาเฉย “ถูกต้องเลยลูก เพราะไม่มีทางลง อีกอย่างบึงแห่งนี้เหมาะแก่การอยู่อาศัยของเต่ามาก”

เต่าที่ซื้อมาจำนวน ๕ ตัว ถูกทั้งสามคนจับโยนลงน้ำเพื่อปล่อยให้ไปใช้ชีวิตในบึงแห่งนั้นอย่างอิสระไม่ต้องถูกจับมาขัง หรือทำอันตรายต่อไปอีก เมื่อปล่อยเต่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงพากันขึ้นรถออกวิ่งมุ่งหน้าหมาย
กลับบ้าน

พอรถวิ่งมาได้ไม่ถึงครึ่งทางช่วงนั้นเป็นทางโค้งสองโค้ง โค้งแรกผ่านไปไม่มีอะไร พอเข้าโค้งที่สองบังเอิญรถเกิดลื่นเสียการทรงตัวคล้ายเหยียบโดนน้ำมัน แต่ก็ไม่ใช่เพราะลูกเขยคนขับ มั่นใจว่ามองดูไม่เห็นมีอะไร รถสวนก็ไม่มี สิ่งกีดขวางก็ไม่มี

พอรถเสียหลักหมุนเคว้งและพลิกตัวเท่านั้น ทั้งสามคนก็รู้ทันทีว่า วันนี้แย่แล้วแม้ความเร็วที่วิ่งมาไม่มากนักแต่ดูจากการหมุนตัวของรถ ทำให้ทุกคนต้องหลับตาปล่อยตัวให้เป็นไปตามสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยจำยอมเพราะไม่มีทางจะแก้ไขหรือแข็งขืนได้เลย

รถพลิกไถลไป ๔-๕ ตลบพุ่งเข้าชนตอไม้ข้างทางรถจอดสนิท ทั้งสามคนลืมตาพร้อมๆ กันมองไปด้านหน้าถึงกับตกใจเป็นทวีคูณ ถ้ารถไม่ชนตอไม้ต้องพุ่งลงจากที่สูงลงสู่เบื้องล่างแถมยังมีน้ำลึกด้วย เมื่อลงจากรถสำรวจความเสียหาย ร่างกายทุกคนไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่นิดเดียว อาการเจ็บก็ไม่มี จะมีก็แต่ความหวาดผวาจากการได้พบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบฉุกเฉิน และรถต้องชำรุดเสียหายเท่านั้น

เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าบางครั้งการทำบุญก็ต้องใช้วิจารณญาณใช้หลักเหตุผล เลือกวิธีที่เห็นว่าเหมาะสม มิใช่สักแต่ว่าทำให้เสร็จเรียบร้อยก็พอ ไม่เช่นนั้นบุญที่ทำอาจไม่เกิดผลดีหรือกลายเป็นการทำบาปไปได้ เฉกเช่นเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของป้าโฉมฉาย.

เครดิต : หนังสือ "อำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งกรรม"
ส่งเสริมคุณธรรม พัฒนาชีวิต นึกถึงธรรมะ คิดถึงพุทธะดอทเน็ต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ต.ค. 2012, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง กรรมสนองกันอย่างไรนี่ โดยส่วนตัวไม่ขอด่วนสรุปว่า กรรมนี้เกิดขึ้นเพราะถูกกรรมนี้ๆสนอง กรรมเป็นสิ่งซับซ้อน และไม่ใช่วิสัยที่เราควรจะไปคาดเดา เราควรเอาเหตุการณ์เฉพาะหน้ามาพิจารณา แต่เราควรกลัวกรรมชั่วแม้จะเล็กน้อยก็ตาม

กรณีปล่อยสัตว์ได้บาปนั้น โดยส่วนตัวพิจารณาว่า
-สัตว์นั้นอยู่ในกระบวนการค้าใช่ไหม เช่น ร้านที่นำมาสัตว์เหล่านี้มาขายหน้าวัด หรือริมท่าน้ำวัด แบบนี้เราก็ขอแผ่เมตตาให้แล้วกัน เพราะไม่อยากร่วมขบวนการค้าสัตว์

และอีกเรื่องที่สำคัญมากในการปล่อยสัตว์ คนปล่อยต้องรู้ธรรมชาติของสัตว์

รู้ไหมคะว่า เต่าที่คนซื้อไปปล่อยลงแม่น้ำ โยนมันลงบึงนั้น เต่าไม่ได้อาศัยในน้ำทุกตัวนะคะ บางตัวเป็นเต่าบก บางตัวเป็นเต่าครึ่งบกครึ่งน้ำ (ต้องอยู่ในที่แบบแฉะๆ มีตลิ่งให้ขึ้นมาพักอาบแดดได้ และลงน้ำได้บ้างแต่ไม่ลึกมาก)

แต่คนส่วนใหญ่ คิดว่า เต่าอยู่ในน้ำ และปล่อยมันลงน้ำ ลองคิดดูว่า ชะตากรรรมพวกมันจะเป็นอย่างไร?

อย่างกรณีในเรื่องที่ ยกตัวอย่างมาในกระทู้ คือ โยนเต่า ไม่ได้ปล่อยมันลงน้ำดีๆใช่ไหมคะ ปลาไหล ปลาดุกที่นิยมปล่อยกัน บางทียืนสูงกว่าท่าน้ำตั้งเยอะ ก็เทมันลงไป มันก็กระแทกน้ำ และปลาไม่ได้ปรับอุณหภูมิเลยมันก็ช็อคๆไปได้เหมือนกัน


สิ่งสำคัญ คือ การรู้จักธรรมชาติของสัตว์ด้วย

ถ้าคิดปล่อยปลา เช่น ซื้อในตลาด ให้เขามัดในถุง ใส่น้ำไป อย่าน้ำเยอะเกิน มันจะสะบัดตัวแรงเดี๋ยวถุงขาดระหว่างทาง อิๆ พอไปจะปล่อย ก็เลือกทำเลดีๆ เอาพวกมันหย่อนลงน้ำทั้งถุงแบบนั้นให้เขาได้ปรับตัวกับอุณหภูมิน้ำใหม่สักนิดนึง ราวๆ ๑๕ - ๒๐ นาทีได้ล่ะก็ดีมากเลย จากนั้นค่อยเปิดปากถุงปล่อยพวกมันนะคะ จะช่วยให้มันมีโอกาสรอดสูงขึ้นมากเลย

:b48:



.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2012, 14:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 มี.ค. 2012, 14:29
โพสต์: 102


 ข้อมูลส่วนตัว


Hanako เขียน:
เรื่อง กรรมสนองกันอย่างไรนี่ โดยส่วนตัวไม่ขอด่วนสรุปว่า กรรมนี้เกิดขึ้นเพราะถูกกรรมนี้ๆสนอง กรรมเป็นสิ่งซับซ้อน และไม่ใช่วิสัยที่เราควรจะไปคาดเดา เราควรเอาเหตุการณ์เฉพาะหน้ามาพิจารณา แต่เราควรกลัวกรรมชั่วแม้จะเล็กน้อยก็ตาม

กรณีปล่อยสัตว์ได้บาปนั้น โดยส่วนตัวพิจารณาว่า
-สัตว์นั้นอยู่ในกระบวนการค้าใช่ไหม เช่น ร้านที่นำมาสัตว์เหล่านี้มาขายหน้าวัด หรือริมท่าน้ำวัด แบบนี้เราก็ขอแผ่เมตตาให้แล้วกัน เพราะไม่อยากร่วมขบวนการค้าสัตว์

และอีกเรื่องที่สำคัญมากในการปล่อยสัตว์ คนปล่อยต้องรู้ธรรมชาติของสัตว์

รู้ไหมคะว่า เต่าที่คนซื้อไปปล่อยลงแม่น้ำ โยนมันลงบึงนั้น เต่าไม่ได้อาศัยในน้ำทุกตัวนะคะ บางตัวเป็นเต่าบก บางตัวเป็นเต่าครึ่งบกครึ่งน้ำ (ต้องอยู่ในที่แบบแฉะๆ มีตลิ่งให้ขึ้นมาพักอาบแดดได้ และลงน้ำได้บ้างแต่ไม่ลึกมาก)

แต่คนส่วนใหญ่ คิดว่า เต่าอยู่ในน้ำ และปล่อยมันลงน้ำ ลองคิดดูว่า ชะตากรรรมพวกมันจะเป็นอย่างไร?

อย่างกรณีในเรื่องที่ ยกตัวอย่างมาในกระทู้ คือ โยนเต่า ไม่ได้ปล่อยมันลงน้ำดีๆใช่ไหมคะ ปลาไหล ปลาดุกที่นิยมปล่อยกัน บางทียืนสูงกว่าท่าน้ำตั้งเยอะ ก็เทมันลงไป มันก็กระแทกน้ำ และปลาไม่ได้ปรับอุณหภูมิเลยมันก็ช็อคๆไปได้เหมือนกัน


สิ่งสำคัญ คือ การรู้จักธรรมชาติของสัตว์ด้วย

ถ้าคิดปล่อยปลา เช่น ซื้อในตลาด ให้เขามัดในถุง ใส่น้ำไป อย่าน้ำเยอะเกิน มันจะสะบัดตัวแรงเดี๋ยวถุงขาดระหว่างทาง อิๆ พอไปจะปล่อย ก็เลือกทำเลดีๆ เอาพวกมันหย่อนลงน้ำทั้งถุงแบบนั้นให้เขาได้ปรับตัวกับอุณหภูมิน้ำใหม่สักนิดนึง ราวๆ ๑๕ - ๒๐ นาทีได้ล่ะก็ดีมากเลย จากนั้นค่อยเปิดปากถุงปล่อยพวกมันนะคะ จะช่วยให้มันมีโอกาสรอดสูงขึ้นมากเลย

:b48:




ใช่ค่ะ เคยได้ยินเหมือนกันว่า ปลานั้นบอบบางกว่าที่เราคิด..ต้องใส่ในอุณหภูมิน้ำที่เข้ากันกับปลาตัวนั้นๆ เพราะจะทำให้ปลาปรับสภาพไม่ทัน เรื่องเต่าด้วยเหมือนกันค่ะ ยังเคยเห็นมันดึ๊บๆ อยู่แถวๆ ริมคลอง
****ปล. เวลาทำบุญหรือทำทานอะไร..เราต้องคิดให้มากๆ ด้วยว่า ทำแล้วเค้าจะได้รับผลดีด้วยหรือไม่ หรือทำแล้วเค้าอาจจะทุกข์หนักกว่าเดิม*****
ขอบคุณมากค่ะที่แสดงความคิดเห็นให้ได้อ่าน เป็นประโยชน์กับเราและเพื่อนๆ ในเว็บมากเลยค่ะ :)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2012, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว



เราเองเคยปล่อยเต่าลงบึงค่ะ มารู้ทีหลังเหมือนกันว่า มันอาจเป็นเต่านาก็ได้ เราก็รู้สึกเลยว่า ต่อไปนี้ ต้องระมัดระวังมากๆจริงๆค่ะ การทำบุญให้ได้บุญนั้น ต้องบริสุทธิ์รอบทิศ คือ ทานก็บริสุทธิ์ เจตนา ใจ ก่อนทำ ขณะทำ หลังทำ ฯลฯ

ละเอียดละออตามที่พระพุทธองค์สอนไว้ เท่ากัีบเราช่วยกันสืบทอดพระศาสนาโดยแท้จริง แบบนี้ก็กองบุญใหญ่เชียวนะคะ ใช่ไหมคะ :b16:


.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2012, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำบุญย่อมได้บุญ ทำบุญได้บาป เป็นไปไม่ได้หรอกครับ
เพราะผิดหลักความจริง ผิดกฎแห่งกรรม

เหมือนปลูกมะม่วงย่อมได้มะม่วง จะได้มะนาว เป็นไปได้ยังไง
เรื่องที่เกิดน่าจะเรียกว่าประจวบเหมาะมากกว่า ..

เพราะถ้าไม่ทำบุญปล่อยนกปล่อยเต่า
เมื่อเกิดอุบัติเหตุอาจเสียชีวิตทั้งหมด นะครับ ..


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2012, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


บุญ ทาน ศีล ที่บริสุทธิ์นั้นย่อมต้องประกอบไปด้วยความรู้ สติ ปัญญา คือมีความรู้ในสิ่ที่ทำ
รู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใด ทำเพื่ออะไร มีความรอบคอบในสิ่งที่ได้ทำ คิดก่อนทำ คิดถึงผลที่
จะตามมาโดยเมื่อทำไปแล้วย่อมแน่ใจว่าตนเองทำถูกต้องตามครรลองทุกประการ คือทำโดย
ตั้งอยู่ในสตินี่ย่อมเรียกว่า บุญ ทาน ศีล ที่บริสุทธ์ตามเจตนารมณ์ หากเราจะทำสิ่งใด เมื่อทำ
ไปแล้ว ก่อนทำไม่คิดให้ดี ทำแล้วจึงมาคิดพะว้าพะวง นี่เรียกว่า บุญ ทาน ศีล ที่ไม่บริสุทธิ์
บุญ ทาน ศีล ที่มิชอบ ไม่ประกอบด้วยสัมมาทิฐฐิ ไม่ประกอบด้วยปัญญา เพราะมิได้รอบคอบ
ไม่มีความรู้ในสิ่งที่ตนเองทำ อยากทำก็ทำ ไม่มีข้อมูล คือทำโดยที่ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด ข้อผิด
พลาดจึงเกิดขึ้นเสมอ พอทำแล้วจึงมากังวล แบบนี้เรียกว่าทำบุญได้บาป คือทำแล้วไม่ได้บุญ
เพราะเป็นบุญที่ทำโดยเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นบุญที่ได้มาโดยไม่บริสุทธิ์

การจะเรียกว่ามีเจตนาบริสุทธิ์ คือ การกระทำโดยประกอบไปด้วย สัมมาทิฐฐิ คือ ประกอบ
ด้วยความตั้งใจจริง เข้าใจจริงในสิ่งที่ทำ กระจ่างในสิ่งที่ทำ มีความรู้ในสิ่งที่ทำ คือทำแล้ว
รู้ว่่าจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง คือทำด้วยสติ ด้วยปัญญา นี่จึงจะเรียกว่าทำแล้วได้บุญ เป็น
บุญ ทาน ศีล ทีได้มาด้วยความบริสุทธิ์

อย่ามาอ้างว่า ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด เพราะคำๆนี้คือแนวคิดของพวกเดรัจฉานวิชา คำพูดของผู้ที่
ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง เพราะจริงๆก็คือ ถึงแม้จะไม่รู้ แต่เมื่อผิดก็คือผิด แต่
ผิดแล้วไม่ใช่ว่าเราจะปรับปรุงตัวไม่ได้ เราสามารถใช้ความผิดเป็นครู เพื่อปรับปรุงในส่วนที่
เราบกพร่อง ในส่วนที่เราไม่รู้ นี่คือคนที่มีปัญญา คือทำผิดแล้วรู้ผิด ไม่ใช่ทำผิดแล้วมาอ้างว่า
คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด (นี่คือพวกที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับ แต่กลับผลักความผิด ให้ความไม่รู้เป็น
ผู้รับไป มันคือการปัดสวะให้พ้นตัวเพียงครั้งคราว เพื่อเอาตัวรอด)

พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงสอนเสมอว่า ก่อนทำสิ่งใดให้เราตั้งอยู่ในสติ ใช้ปัญญา จะคิด จะทำ
สิ่งใด ย่อมต้อง มีความรู้ ความแน่ใจ ความมั่นใจ ว่าทำแล้วจะมีผลอย่างไรตามมา เมื่อรู้แน่ชัด
แล้วจึงทำ อย่าทำโดยที่ไม่รู้ หากให้รู้จริงๆ ก็ให้ถามผู้ที่รู้ก่อน จนเมื่อแน่ใจแล้วแล้วจึงค่อยทำ
ความผิดพลาดก็จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดก็ส่วนน้อย ก็ดูตัวอย่างของพระพุทธเจ้าสิ่ เอาพระองค์
เป็นแบบอย่างที่ดี

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2015, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 05:25
โพสต์: 621


 ข้อมูลส่วนตัว


wink :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2017, 14:39 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร