วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 09:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2012, 12:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งหนึ่งสมัยสมเด็จพระศาสดาพระนามว่า “ กัสสปะ ” ยังคงประกาศสัจธรรมอยู่ สมัยนั้นอายุมนุษย์หากนับเป็นจำนวนปีเหมือนยุคปัจจุบัน มนุษย์ยุคนั้นจะมีอายุยืนยาวถึง ๒ หมื่นปีทีเดียว ขณะที่สมเด็จพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพ พุทธศาสนาถือได้ว่ามีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ตลอดจนอินทร์พรหมยมยักษ์ พวกเขาต่างได้รับประโยชน์จากหลักธรรมคำสอนด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

สัตว์ตนไหนพอจักมีปัญญาหน่อย ก็สามารถเข้าถึงซึ่งมนุษย์สมบัติ ตนใดมีปัญญามากขึ้นไปอีก ก็ได้ครองสวรรค์สมบัติ หรือไม่ก็พรหมสมบัติ แลตนใดหากมีปัญญาแก่กล้าถึงที่สุด สามารถดับประหารเสียซึ่งกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นราบคาบ ก็สามารถครอบครองสิ่งอันเป็นเป้าหมายสูงสุดของศาสนา นั่นคือพระนิพพานสมบัติ
ตัดขาดชาติภพไปได้เลย ไม่ต้องกลับมาเกิดให้มันยุ่งยากอีก แต่ทั้งนี้สัตว์ตนใดจะได้ขั้นไหนก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของเจ้าตัวเองว่าจะมีมากมีน้อยเพียงใด ดังนั้นสรรพสัตว์ยุคนั้นจึงมีความต่างชุ่มชื่นในธรรมกันโดยถ้วนหน้า

ครานั้นยังมีบุรุษผู้หนึ่ง เขามีใจเลื่อมใสในหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระศาสดาเป็นอย่างยิ่ง วันหนึ่งมิทราบว่าเป็นด้วยบุญหรือกรรม อยู่ๆเขาก็เกิดรู้สึกเบื่อหน่ายเรื่องราวทางโลกขึ้นมา ปรารถนาจักออกไปจากกองทุกข์ในวัฏสงสาร จึงสละเพศฆราวาสเข้ามาบวชเป็นพุทธบุตรภายใต้ร่มเงาของพระศาสนา

หลังจากอุปสมบทแล้วภิกษุรูปนี้ก็ตั้งหน้าบำเพ็ญสมณธรรมอย่างยิ่งยวด หวังจักขจัดกิเลสที่มีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไปให้ได้ แต่ไม่ว่าท่านจะพยายามเท่าใดก็ไม่อาจพัฒนาจิตใจให้เจริญก้าวหน้าได้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่ท่านอยู่นั้นไม่เอื้อต่อการเจริญวิปัสสนากรรมฐานก็เป็นได้ ดังนั้นท่านจึงคิดจักหาสถานที่อันสงบเงียบตามป่า ตามเขา ปฏิบัติธรรมยังความเพียรให้ถึงที่สุด!

หลังจากตัดสินใจท่านได้จ้างเรือลำหนึ่งให้ล่องไปตามลำน้ำ เสาะหาสถานที่อันเป็น สัปปายะ เหมาะต่อการบำเพ็ญภาวนา ระหว่างที่เรือแล่นนั้นเนื่องจากไม่มีสิ่งใดทำ ท่านจึงเผลอยื่นมือออกไปราน้ำเล่นโดยมิได้มีความคิดใด แต่เนื่องจากท้องน้ำบริเวณนั้นมีต้นตะไคร่น้ำขึ้นอยู่หนาแน่น ขณะที่มือราน้ำจู่ๆท่านก็รู้สึกว่านิ้วไปโดนเข้ากับอะไรสักอย่าง ลักษณะลื่นๆนิ่มๆ ด้วยความตกใจจึงยกขึ้นมาดู

ทันใดก็เห็นใบตะไคร่น้ำใบหนึ่งขาดติดอยู่ที่นิ้ว พอเห็นดังนั้นท่านก็พลันได้สติ คิดอยู่ในใจว่าตนได้ต้องอาบัติข้อห้ามพรากของเขียวออกจากต้นเข้าแล้ว แต่เนื่องจากอยู่ระหว่างเดินทางไม่สะดวกต่อการปลงอาบัติ ดังนั้นท่านจึงคิดว่าขึ้นฝั่งเมื่อใดค่อยไปหาเพื่อนภิกษุแสดงอาบัติก็แล้วกัน

แต่ว่าเหตุการณ์มันหาได้เป็นดั่งคิดไม่ ขณะนั้นเรือน้อยได้แล่นผ่านถ้ำแห่งหนึ่งเข้าพอดี ตั้งอยู่บนเชิงเขา ห้อมล้อมด้วยขุนเขาแลราวป่า พอเห็นแวบแรกท่านก็รู้สึกชอบใจ จึงสั่งคนเรือให้หยุดเรือ หลังจากชำระค่าโดยสารได้ท่านก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม คว้าบาตรคว้าย่ามพรวดพราดลงจากเรือปีนขึ้นไปยังถ้ำที่เห็นทันที

เมื่อขึ้นไปถึงก็พบว่ามันเป็นถ้ำที่สะอาดมาก เหมาะจักใช้เป็นที่บำเพ็ญภาวนาจริงๆ หน้าถ้ำหันเข้าหาทิศทางลม เพดานถ้ำมีช่องโหว่ขึ้นไปเป็นปล่องให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาได้ ฉะนั้นจึงไม่มีกลิ่นอับกลิ่นชื้นเหมือนถ้ำทั่วไป หลังจากสำรวจจนทั่วท่านก็ยิ่งพออกพอใจเข้าไปใหญ่ ดังนั้นจึงตัดสินใจจะใช้ถ้ำนี้เป็นที่ปฏิบัติธรรม พอมาเจอสถานที่ถูกใจจิตใจก็พลันปลอดโปร่งโล่งสบาย จนลืมไปว่าตนได้ต้องอาบัติ และที่สำคัญยังไม่ได้ปลงอาบัติด้วยต่างหาก!

นับจากขึ้นฝั่งมาท่านก็ตั้งหน้าปฏิบัติธรรมแต่เพียงอย่างเดียว มิได้มีใจเฉลียวไปนึกถึงเรื่องใด วันคืนจะผ่านไปนานแค่ไหนท่านก็ไม่เคยสนใจจดจำ จนกาลเคลื่อนผ่านจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เป็นร้อยปี พันปี จนถึงสองหมื่นปี! ตลอดระยะเวลาอันยาวนานถึงสองหมื่นปีหากคิดอย่างเราๆท่านๆ ก็คงคิดว่าภิกษุรูปนี้คงต้องสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วแน่นอนโดยมิต้องสงสัย

แต่ทว่าในความเป็นจริงมันกลับมิได้เป็นเช่นนั้น ระยะเวลาสองหมื่นปีไม่ได้ทำให้ท่านสำเร็จมรรคผลแต่อย่างใด ท่านยังคงเป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดาเหมือนเราท่านทั้งหลาย ไม่มีปัญญาญาณหรือว่าความหยั่งรู้ใดที่จักไปขจัดกิเลสให้หมดสิ้นไปจากจิตใจได้ อาจเป็นเพราะบารมีสิบของท่านยังไม่แก่กล้าพอ หรือเป็นเพราะกรรมเก่าที่เคยสร้างไว้ตั้งแต่ครั้งไหนก็ไม่ทราบย้อนมาสนองให้ผล ดังนั้นท่านจึงไม่อาจบรรลุธรรมได้

พอถึงคราวจักละธาตุขันธ์เหตุการณ์ที่ล่วงอาบัติไว้จึงผุดขึ้นในมโนทวาร คอยเผาผลาญจิตใจท่านมิให้สงบ และก็ช่างบังเอิญเสียนี่กระไร ท่านได้ถึงกาลสิ้นใจในช่วงเวลานั้นพอดี! การตายในขณะที่จิตกำลังเศร้าหมองทุกท่านก็น่าจักทราบดี ภพใหม่ภูมิใหม่ที่จะไปเกิดนั้นมันจะเป็นสุคติไปได้อยางไร ฉะนั้นพอกายท่านแตกดับจิตท่านก็ไปอุบัติในท้องของเดรัจฉาน ตระกูลแห่งพญานาคทันที

พญานาคผู้มีอดีตชาติเป็นพระภิกษุตนนี้เมื่อเจริญวัยขึ้นมาก็รู้ว่าตนนั้นต่างจากเพื่อนพญานาคทั่วไป เขามีความสามารถที่จะระลึกชาติได้ รู้ว่าชาติที่ผ่านมานั้นตนเคยเกิดเป็นอะไรมาก่อน ดังนั้นกิริยาที่แสดงต่อเพื่อนพญานาคด้วยกันจึงไม่เหมือนพญานาคทั้งหลาย

เขาสามารถระงับความโกรธได้ดีกว่าที่พญานาคตนใดจักพึงกระทำได้ เขามีความสุขุมสำรวม สุภาพอ่อนน้อม เกินกว่าพญานาคตนใดจักพึงมี ยิ่งกว่านั้นหากพูดถึงเรื่องรูปร่างหน้าตา เขาก็เป็นพญานาคที่มีหน้าตาคมสันสง่างามเหนือพญานาคใดๆ(เพิ่งจะรู้ว่าพญานาคก็มีสวยมีหล่อเหมือนกัน) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเขาเคยบวชเป็นพระมาก่อนก็เป็นได้ จึงมีคุณสมบัติอันพิเศษเหล่านี้เหนือพญานาคทั้งมวล

แหละพอท้าวนาคราชผู้เป็นราชาแห่งนาคสิ้นชีพลง บรรดานาคทั้งหลายต่างก็เห็นพ้องต้องกัน ยกให้เขาขึ้นเป็นราชาองค์ใหม่ปกครองนาคพิภพต่อจากราชาองค์ก่อนทันที นอกจากนั้นยังตั้งชื่อให้เขาว่า “ พญาเอรกปัตตนาคราช ”

พญาเอรกปัตตนาคราชหลังขึ้นครองราชย์แทนที่ชีวิตจะมีความสุข เพราะเป็นถึงราชาแห่งนาคทั้งหลาย ที่ไหนได้เขากลับมิได้เป็นดังนั้น บ่อยครั้งที่นาคบริวารเห็นเขาเศร้าหมองไม่สดชื่นเหมือนที่ควรเป็น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเจ้าความสามารถพิเศษที่ระลึกชาติได้นั่นเองที่ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนี้! ทุกครั้งที่เขานึกถึงอดีตชาติขึ้นมาคราใด จิตใจก็มักจักโศกเศร้าอาลัยทุกครั้งไป

เพราะทั้งๆที่เคยเกิดเป็นถึงมนุษย์ มิหนำซ้ำยังได้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา แถมยังถือศีลปฏิบัติธรรมมานานถึงสองหมื่นปี แต่ไฉนเขาจึงมามีอัตภาพที่ช่างต่ำต้อยด้อยค่าถึงปานฉะนี้ ต้องมาถือกำเนิดเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งถือเป็นชาติภพที่ต่ำทรามห่างไกลจากมรรคผลนิพพานเป็นอย่างยิ่ง! ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ได้ เขามักจักถามตัวเองอยู่เนืองๆ จึงเป็นผลสืบเนื่องทำให้จิตใจต้องทุกข์ตรม มิเคยจะแช่มชื่นสุขสมเหมือนกับพญานาคตนอื่นเขา

เขาเฝ้าแต่รอว่าเมื่อใดจึงจะมีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ที่ในโลกนี้เสียที วันนั้นคงจักเป็นวันที่เขามีความสุขมากที่สุด เขาจะเข้าไปกราบพระองค์ เขาจะขอให้พระองค์ทรงแสดงธรรมให้เขาฟัง เขาจะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมใหม่ เพื่อขจัดความเศร้าในใจให้หมดสิ้น

แลความปรารถนาอื่นๆอีกมากที่เขาวาดฝันไว้ โดยหารู้ไม่ว่าการที่ตนถือกำเนิดเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น แม้จักพากเพียรกระทำความดีเพียงใด หรือจักตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมเพียงไหน มันก็ไม่อาจทำให้เขาเข้าถึงซึ่งมรรคผลนิพพานได้ในขณะที่ยังมีอัตภาพเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ดอก! จะได้อย่างมากก็สวรรค์สมบัติเท่านั้น แต่ว่าสิ่งเหล่านี้มันคือความหวังเดียวของเขาที่จะทำให้เขามีพลังต่อสู้ชีวิตต่อไปได้!

จนวันหนึ่งเขาได้ผุดความคิดว่า “โอ้หนอ! การที่อาตมามัวแต่รออยู่เพียงถ่ายเดียวคงมิเป็นการดีแท้ เพราะจักรู้อย่างไรเล่าว่าบัดนี้บนโลกมนุษย์มีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้แล้วหรือไม่? อย่ากระนั้นเลย ควรจักขึ้นไปดูด้วยตาตนเองจึงจักเป็นการดีที่สุด!”

เมื่อคิดดังนั้นเขาจึงชวนนางนาคมานวิกาผู้เป็นธิดาขึ้นมายังโลกมนุษย์โดยพลัน จากนั้นก็ไปลอยตัวแผ่พังพานแสดงกายให้เป็นที่ปรากฏต่อสายตาประชาชน ใกล้กับชายฝั่งของคงคามหานที มีนางนาคเทวีแปลงกายเป็นหญิงงามยืนร้องเพลงอยู่บนเศียรอีกทีหนึ่ง เกิดเป็นภาพที่แสนอัศจรรย์สะกดตรึงผู้คนให้มามุงดูกันจนเนืองแน่นล้นหลามไปทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำ เนื้อหาในเพลงที่นางนาคสาวขับขานนั้น เป็นคำถามปริศนาถามกับผู้คนรอบข้างว่า :

“ ผู้เป็นใหญ่เยี่ยงไรหนอ จึงได้ชื่อว่าพระราชา
พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงได้ชื่อว่ามีพระเศียรเต็มไปด้วยธุลี
พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงได้ชื่อว่ามีพระเศียรปราศจากธุลี
ผู้เป็นคนพาล มีพฤติการณ์เยี่ยงไรหนอ ”

สองพญานาคพ่อลูกเฝ้าถามปัญหาผู้คนอยู่อย่างนี้เรื่อยมาในทุกๆวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ จนกาลล่วงไปถึงหนึ่งพุทธันดรก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถตอบคำถามของนางได้ กระทั่งสมเด็จพระสมณโคดมบรมครูของเราท่านได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

วันหนึ่งก่อนอรุณรุ่งขณะที่พระองค์ทรงปฏิบัติพุทธกิจเหมือนเคย คือทรงเล็งพระญาณสอดส่องดูว่าเช้านี้จักมีสัตว์ตนใดบ้างเข้าข่ายบรรลุธรรม ทันใดนั้นพระองค์ก็ทรงเห็นภาพของบุรุษผู้หนึ่งนามว่า อุตร ปรากฏขึ้นทางมโนทวาร บุรุษผู้นี้หลังจากฟังธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้วเขาจะบรรลุโสดาปัตติผล จากนั้นจักเป็นคนไปไขปริศนาที่นางนาคเทวีถามผู้คนมาเป็นเวลาช้านานแต่ไม่มีผู้ใดตอบได้ ให้กับประชาชนทั้งหลายได้ทราบคำตอบกัน

ดังนั้นครั้นถึงปัจจุสมัยพระองค์จึงเสด็จไปประทับรออยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง อยู่ใกล้กับทางเดินก่อนจักลงสู่ฝั่งแม่น้ำ จากนั้นไม่นานก็ปรากฏกลุ่มคนจำนวนมากทั้งชายแลหญิงกำลังมุ่งมายังที่ซึ่งพระองค์ประทับ บุคคลเหล่านี้ต่างก็ปรารถนาจักไปดูความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ของพญานาคพ่อลูกที่กำลังทำการแสดงอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคานั่นเอง แหละในกลุ่มคนจำนวนนี้ก็มีอุตรมานพร่วมทางมากับเขาด้วยผู้หนึ่ง

ขณะขบวนกำลังจะผ่านโคนไม้ที่ประทับสมเด็จพระศาสดาได้ทรงเรียกให้อุตรหยุดอยู่ก่อน บุรุษหนุ่มซึ่งกำลังสนทนากับเพื่อนร่วมขบวนอย่างถูกคอ พอได้ยินพระดำรัสจึงหยุดหันไปมอง ทันใดเขาก็เห็นที่โคนไม้ต้นหนึ่งห่างจากทางเดินออกไปไม่มาก มีสมณรูปหนึ่งกำลังมองมาที่ตน ผิวพรรณจากที่เห็นนั้นช่างผ่องใสเป็นประกายเสียนี่กระไร กิริยาหรือก็ดูสงบสำรวม ชวนให้เกิดศรัทธาเสียยิ่งนัก พอเห็นดังนั้นเขาจึงปลีกตัวออกจากกลุ่มเดินเข้าไปหา คิดว่าจะอยู่สนทนากับท่านสักหน่อย คงไม่น่าจักเสียเวลาเท่าใด

แต่พอเข้าไปใกล้ได้เห็นองค์ท่านเต็มตาเท่านั้น เขาก็ถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก เนื่องจากสมณเบื้องหน้าที่แท้ก็คือสมเด็จพระโคดม ผู้ที่ผู้คนเลื่องลือว่าทรงเป็นศาสดาเอกของโลกนั่นเอง! ดังนั้นเขาจึงรีบคุกเข่าก้มลงกราบทันที

สมเด็จบรมครูเมื่อทรงเห็นกิริยาอันนอบน้อมที่เขาแสดง จึงตรัสกับเขาว่า “ ดูก่อนอุตร เธอจักไปยังที่ใดฤา? พอจักบอกให้เรารู้ได้มั้ย? ” บุรุษหนุ่มพอฟังพระองค์ตรัสเรียกชื่อตนถูก ก็ยิ่งรู้สึกอัศจรรย์ใจเข้าไปใหญ่ จึงละล่ำละลักกราบทูลว่า

“ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ข้าพระบาทมีความประสงค์จักไปชมความครึกครื้นของผู้คน แลปรารถนาจักได้ยลโฉมของนางนาคมานวิกา ที่ผู้คนเลื่องลือว่างามราวเทพนารี ณ ริมฝั่งคงคามหานทีพระพุทธเจ้าข้า ”

สมเด็จพระชินสีห์ ครั้นได้ทรงสดับถ้อยพาทีของบุรุษหนุ่ม ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นจึงทรงมีพระพุทธดำรัสตรัสกับเขาว่า “ ดูก่อนอุตร เมื่อเธอจักไปดูนางนาคมานวิการ้องเพลงถามปัญหาผู้คนก็ดีแล้ว อย่างนั้นเธอจงตั้งใจฟังกถาที่เราจักแสดงต่อไปนี้ให้ดี เพื่อเธอจักได้ไปตอบคำถามของนางได้ ”

อุตรหนุ่มพอฟังดังนั้นจึงรีบพริ้มตาลงทันใด สงบจิตสำรวมใจรอฟังพระธรรมเทศนาที่องค์จอมปราชญ์จักทรงแสดงโปรดทันที หลังจากที่สมเด็จพระชินสีห์ทรงแสดงธรรมจบเขาก็บรรลุโสดาปัตติผล กลายเป็นพระอริยบุคคล ณ ที่นั้นเอง จากนั้นได้อยู่สนทนาต่อกับจอมมุนีจนสมควรแก่เวลา แล้วจึงขอพระราชอนุญาตทูลลาพระองค์ไปตอบคำถามของนางนาคมานวิกาเป็นลำดับต่อไป

เมื่อไปถึงชายฝั่งปรากฏสองฟากแม่น้ำเวลานั้นได้มีผู้คนจำนวนมากมามุงดูการแสดงของพญานาคพ่อลูกคู่นี้กันจนเนืองแน่นล้นหลามไปหมด จนไม่มีแม้แต่ช่องว่างจะให้เขาเบียดตัวแทรกไปได้ เพื่อจะเข้าไปตอบคำถามของนางนาคสาว เขาจึงกล่าวคำขอทางด้วยเสียงอันดังขึ้นว่า

“ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านทั้งหลายจงเปิดทางให้กับข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าจักขออาสาเป็นตัวแทนพวกท่านเข้าไปตอบคำถามของนางนาคเทวีนี้เอง เพื่อให้นางรู้ว่าคำถามที่ไม่มีผู้ใดตอบได้จากอดีตจวบจนปัจจุบัน บัดนี้ได้มีผู้มีความสามารถแล้ว! ”

บรรดาผู้ที่ออกันอยู่เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์กล่าวคำพูดด้วยถ้อยคำอันขึงขังจริงจัง ก็ให้รู้สึกประหลาดใจกันไปตามๆกัน แต่อย่างไรพวกเขาก็ยอมเปิดช่องให้อุตรผ่านเข้าไปได้จนถึงชายฝั่งแม่น้ำ

เมื่อไปถึงชายฝั่งบุรุษหนุ่มได้แหงนหน้าขึ้นมองสบตากับนางนาคสาวเพื่อรอฟังคำถามจากนางอย่างมิได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด นางนาคเทวี ผู้มีโฉมโสภีราวเทพธิดา เมื่อเห็นบุรุษเบื้องหน้ามิได้เกรงต่อศักดานุภาพแลฤทธานุภาพแห่งตน ก็ให้นึกนิยมอยู่ในที จากนั้นจึงเอื้อนเอ่ยวจีเป็นบทเพลงร้องถามไป

นาคมานวิกา : “ ผู้เป็นใหญ่เยี่ยงไรหนอ จึงได้ชื่อว่าพระราชา? ”
อุตรมานพ : “ ผู้ที่ไม่ถูกอารมณ์ทั้งมวลอันมีรูปารมณ์เป็นต้นเข้าครอบงำทวารทั้ง ๖ จึงได้ชื่อว่าพระราชา ”
นาคมานวิกา : “ พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงชื่อว่ามีพระเศียรเต็มไปด้วยธุลี?
อุตรมานพ : “ พระราชาใดที่ยังมีความรักใคร่พอใจในอารมณ์ต่างๆ ย่อมได้ชื่อว่ามีพระเศียรเต็มไปด้วยธุลี ”
นาคมานวิกา : “ พระราชาเยี่ยงไรหนอ จึงชื่อว่ามีพระเศียรปราศจากธุลี? ”
อุตรมานพ : “ พระราชาใดที่ไม่มีความรักใคร่พอใจในอารมณ์ต่างๆ ย่อมได้ชื่อว่ามี
พระเศียรปราศจากธุลี ”
นาคมานวิกา : “ ผู้ที่ได้ชื่อว่าพาล มีพฤติการณ์เยี่ยงไรหนอ? ”
อุตรมานพ : “ ผู้ใดยังมีความกำหนัดพอใจในอารมณ์ต่างๆอยู่ ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าพาล ”

คำถามที่นางเฝ้าถามผู้คนมาเป็นเวลาช้านานแต่ไม่เคยมีใครตอบได้ บัดนี้ได้ถูกบุรุษเบื้องหน้าเฉลยคำตอบออกมาได้อย่างถูกต้องฉะฉาน จนเกิดเป็นเสียงโห่ร้องทุกครั้งที่เขาตอบคำถามนาง ยังผลทำให้นางนาคสาวรู้สึกเสียหน้าแลขัดใจ ดังนั้นพอสิ้นเสียงร้องผู้คนนางจึงกล่าวกับชายหนุ่มว่า

“ ดูก่อนบุรุษหนุ่ม คำตอบที่ท่านเฉลยนั้นแม้จักถูกทั้งหมดก็จริง แต่ก็เป็นเพียงแค่คำถามบทแรกเท่านั้น ทว่าจากอดีตจวบจนปัจจุบันก็ยังไม่เคยมีใครตอบได้เหมือนท่าน ในเมื่อท่านตอบคำถามบทแรกของเราได้ก็ดีแล้ว อย่างนั้นเราจักขอถามคำถามบทที่สองต่อท่านเลยในเพลานี้ก็แล้วกัน แลจักขอดูซิว่าท่านยังจักพอมีความสามารถตอบคำถามบทที่สองของเราได้หรือไม่!” ว่าแล้วนางนาคมานวิกา ก็เอื้อนเอ่ยวาจาเป็นบทเพลงปริศนาที่สองถามอุตรมานพทันที

นาคมานวิกา : “ อะไรหนอพาให้คนพาลลอยไปในวัฏสงสงสาร? บัณฑิตจักขจัดสิ่งนั้นได้ด้วยอะไร? ผู้ที่ชื่อว่าเกษมจากโยคะ มีได้ด้วยอาการเยี่ยงไร? ”
อุตรมานพ : “ สิ่งที่พาให้คนพาลลอยไปในวัฏสงสารก็คือห้วงน้ำทั้ง ๔ อันได้แก่กาม เป็นต้น บัณฑิตย่อมตัดห้วงน้ำนี้ได้ด้วยความเพียรโดยชอบ บุคคลที่ชื่อว่าเกษมจาก
โยคะ ก็เพราะจิตของเขาปราศจากซึ่งโยคะ ”

ทันทีที่สิ้นเสียงของบุรุษหนุ่ม ปรากฏมีเสียงฟาดหางโครมใหญ่ ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วคุ้งน้ำแถบนั้น ราวว่าแผ่นฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลายก็มิปาน ยังผลทำให้กระแสน้ำบริเวณนั้นเกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรง จนกลายเป็นคลื่นยักษ์ พัดกระแทกชายฝั่งทั้งสองฟากแม่น้ำให้พังทลายลงไปในพริบตา

บรรดาผู้ที่อยู่แถวหน้าเพราะอยากจักเห็นการแสดงให้ถนัดตา พอพื้นที่เหยียบอยู่ยุบตัวลง ต่างก็ร่วงหล่นลงไปในสายน้ำเชี่ยวทันที ส่วนพวกแถวหลังที่ไม่อาจแทรกขึ้นไปได้ พอเห็นแถวหน้าประสบชะตากรรมอย่างไม่คาดคิดแต่ละคนต่างก็ไม่มีความคิดที่จะอยู่ดูการแสดงต่อ กลับหลังหันได้ต่างก็โกยอ้าวแตกกระเจิงกันไปคนละทิศคนละทาง จนเกิดเป็นความสับสนอลหม่านไปทั่วทั้งสองฟากแม่น้ำ

สาเหตุที่เกิดคลื่นยักษ์ ก็เพราะพญาเอรกปัตนาคราชเมื่อฟังคำตอบของอุตรมานพแล้วเขาเกิดความพลุ่งพล่านใจ จนลืมตนเผลอสะบัดหางอันโตใหญ่ฟาดลงบนแม่น้ำ ยังผลทำให้กระแสน้ำปั่นป่วนจนเกิดเป็นคลื่นยักษ์นั่นเอง แต่พอเห็นผู้คนกระเสือกกระสนว่ายน้ำหนีตายท้าวเธอก็ได้สติ จึงแผ่พังพานโอบเอาคนเหล่านั้นขึ้นไปไว้บนบกทันที จากนั้นก็แปลงร่างเป็นมนุษย์เดินเข้าไปหาอุตรมานพ เพื่อจักถามเขาว่าทราบคำตอบเหล่านี้มาได้อย่างไร

บุรุษหนุ่มได้เล่าถึงที่มาของคำตอบให้ท้าวนาคราชทราบ พร้อมกันนั้นก็เสนอตัวเป็นผู้นำทางหากเขาปรารถนาจักไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาค ยังความปลาบปลื้มใจให้เกิดกับพญานาคพ่อลูกเป็นอย่างยิ่ง

บรรดาผู้คนเมื่อเห็นเหตุการณ์สงบลงก็คลายจากความหวาดหวั่น พอเห็นอุตรมานพแลพญานาคพ่อลูกออกเดินไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระศาสดา พวกตนซึ่งไม่มีกิจใดจักต้องทำจึงไม่รอช้า รีบตามบุคคลทั้งสามไปทันใดเช่นกัน

หลังที่จากเดินไปได้สักพักก็เห็นโคนไม้ที่ประทับปรากฏอยู่ไม่ไกล ท้าวนาคราชพอเห็นเขาก็หยุดเท้าลง พร้อมกันนั้นก็ค่อยๆย่อตัวก้มลงกราบ จากนั้นก็ลุกเดินแยกกลุ่มออกไปยังร่มไม้อีกร่ม ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่ประทับมากนัก ปล่อยให้อุตรนำขบวนผู้คนไปเข้าเฝ้าแต่เพียงลำพัง

ขณะที่ยืนอยู่ใต้เงาไม้สายตาของเขาก็เอาแต่จ้องพระพักตร์ของจอมมุนีแต่เพียงอย่างเดียว มิได้แลเหลียวหรือว่าเหลือบไปดูสิ่งใดทั้งสิ้น มองไปก็หลั่งน้ำตาไป จนเจิ่งนองไปทั้งใบหน้า สมเด็จพระชินสีห์เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นอากัปกิริยาของท้าวนาคราช พระองค์จึงทรงมีพระพุทธดำรัสตรัสกับเขาว่า “ ดูก่อนนาคราช ท่านมีความเศร้าใจในเรื่องใดฤา ไฉนจึงเอาแต่หลั่งน้ำตา? ”

พญาเอรกปัตตนาคราชพอฟังจึงกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ข้าพระบาทหวนนึกถึงอดีตชาติของตนขึ้นมาจึงร้องไห้พระพทุธเจ้าข้า เดิมทีข้าพระบาทเคยบวชเป็นภิกษุในศาสนาขององค์สมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้า ซึ่งก็ทรงพระคุณอันประเสริฐเยี่ยงเดียวกับพระองค์

แต่ครานั้นข้าพระบาทเผลอกระทำความผิดไปโดยไม่ตั้งใจ ไปเด็ดเอาใบตระไคร่น้ำขาดติดมือมาใบหนึ่ง แต่แทนที่ข้าพระบาทจักรีบปลงอาบัติเสีย ที่ไหนได้กลับปล่อยเสียจนตนเองหลงลืม มานึกได้อีกครั้งก็ตอนจักสิ้นใจ ซึ่งมิอาจแก้ไขอันใดได้ ดังนั้นพอสิ้นชีพลงกรรมจึงส่งผลให้ข้าพระบาทมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตระกูลแห่งพญานาค

ข้าพระบาทปรารถนาจักได้ฟังธรรมมาเป็นเวลาเนิ่นนานนักหนา แต่พุทธันดรที่ผ่านมาก็ยังมิเคยจักได้สดับตรับฟังพระสัทธรรมเลย เพิ่งจักมีครั้งนี้นี่แลที่ข้าพระบาทได้มีโอกาสทัศนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่ยังทรงมีพระสรีระร่างกายตัวตนจริงๆ ข้าพระบาทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระองค์จักทรงเมตตาสงสาร แสดงพระธรรมเทศนาโปรดสัตว์เดรัจฉานผู้อาภัพอับวาสนาเยี่ยงข้าพระบาทแลธิดานี้ด้วย พระพุทธเจ้าข้า! ”

สมเด็จพระชินสีห์ ครั้นได้ทรงสดับถ้อยพาทีที่แสดงถึงความน้อยเนื้อต่ำใจของท้าวนาคราชแล้ว พระองค์จึงทรงเมตตาสงสาร แสดงพระธรรมเทศนาโปรดเขาแลธิดา โดยเนื้อหาใจความที่แสดงครานั้นหากจักสรุปโดยย่อก็คือ :

การเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งเป็นไปโดยยาก
การมีชีวิตอยู่จนสิ้นอายุขัยของสัตว์ เป็นสิ่งเป็นไปโดยยาก
การได้สดับตรับฟังพระสัทธรรม เป็นสิ่งเป็นไปโดยยาก
การอุบัติของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งเป็นไปโดยยาก

ครั้นสมเด็จพระศาสดาทรงแสดงธรรมจบ บรรดาผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็พากันบรรลุคุณธรรมกันเป็นจำนวนมากในสายของวันนั้นเอง ฝ่ายพญาเอรกปัตตนาคราชทั้งๆที่ตนเป็นผู้ปรารถนาจักเห็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคยิ่งกว่าผู้ใด มิหนำซ้ำยังมีใจเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงสุด ทว่าเขาแลธิดากลับมิได้ประโยชน์ใดๆจากการเทศนาครั้งนั้นเลย

เนื่องจากตนนั้นมีกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งถือว่าเป็นชาติภพที่ต่ำทรามอาภัพอับวาสนา ไม่มีปัญญาจักไปเข้าใจในหลักธรรมคำสอนที่ลึกซึ้งได้ ดังนั้นจึงได้แต่หลั่งน้ำตาอำลาพระศาสดากลับไปใช้ชีวิตของตนยังบาดาลพิภพต่อไป ตามยถากรรม .

จากเรื่องที่นำมาเล่าคงเห็นแล้ว ทุคติภูมิอย่างภูมิเดรัจฉานถึงแม้สัตว์ตนนั้นจะมีฤทธิ์เดชเพียงใด หรือมีศักดานุภาพเพียงไหน แต่ก็หาได้มีปัญญาที่จักขจัดทุกข์ออกไปจากจิตใจของตนได้ตราบใดที่เขายังมีอัตภาพเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่! ฉะนั้นหากผู้ใดไม่ปรารถนาจักไปเกิดเป็นสัตว์ภูมินี้ ก็ขอจงหมั่นสร้างสมแต่คุณงาม หมั่นกระทำแต่ความดีให้มากเข้าไว้ ตายไปจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงๆ จะได้ไม่ต้องมาทนโศกาอาดูรเหมือนกับพญานาคราชตนนี้

ด้วยความปรารถนาดี

สืบ ธรรมไทย


แก้ไขล่าสุดโดย pinit เมื่อ 06 ก.ค. 2021, 11:24, แก้ไขแล้ว 23 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2012, 21:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2012, 17:02
โพสต์: 18


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2012, 01:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2012, 14:53
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


" สิ่งที่เป็นการยาก "
กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ
ความได้เป็นมนุษย์เป็นการยาก
กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ
ความเป็นอยู่ของสัตว์เป็นการยาก
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ
การฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นการยาก
กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท
ความเกิดขึ้นแห่งท่านผู้รู้เป็นการยาก
ทุลฺลภํ ทสฺสนํ โหติ สมฺพุทฺธานํ อภิณฺหโส
การเห็นพระพุทธเจ้าเนืองๆ เป็นการหาได้ยาก
(อนุโมทนาการ สาธุ สาธุ สาธุ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2012, 19:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 พ.ย. 2012, 18:09
โพสต์: 2


 ข้อมูลส่วนตัว


ได้สดับเรื่องราวแต่ต้นจนจบ เกิดข้อกังขาขึ้นมาบางประการ ใคร่กราบคารวะไต่ถามท่านผู้รู้
1.สัตว์เดรฉานไม่อาจบรรลุธรรมได้ แต่ในชาดกหลายๆเรื่องกลับมีเรื่องราวสัตว์เดรฉานที่ต่ำศักด์กว่าพญานาค จำพวกทวิบาทแลจัตุบาทกลับรู้ธรรมเป็นอย่างดี แลเข้าถึงอริยสัจจ์
2.พระบรมศาสดากัสปะกับพระพุทธเจ้าในยุคเรานี้ ต่างเวลากันมากหรือไม่
หวังในความกรุณาของท่านผู้รู้ท่านใดก็ได้ เพื่อเพิ่มพูนความรู้แก่ข้าพเจ้าด้วย.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร