วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 14:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:

คุณสมบัติ ๓ ประการของคนชมพูทวีป
คนชมพูทวีปมีคุณสมบัติ ๓ ประการสูงกว่า ประเสริฐกว่าคนอุตตรกุรุทวีปและเทวดาชั้นตาวติงสา
คุณสมบัติ ๓ ประการ ของคนชมพูทวีปนั้น คือ
๑. สูรภาว มีจิตใจกล้าแข็งในการบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา
๒. สติมนฺติ มีสติตั้งมั่นในคุณพระรัตนตรัย
๓. พฺรหฺมจริยวาส มีการประพฤติพรหมจรรย์คือ บวชได้

ดังมีสาธกบาลีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้ในพระบาลีนวกนิบาต อังคุตตรนิกายว่า

ตีหิ ภิกฺขเว ฐาเนหิ ชมฺพุทีปกา มนุสฺสา อุตฺตรกุรุเก มนุสฺเส อธิคณฺหนฺติ เทเว จ ติาวนึเส,
กตเมหิ ตีหิ ฐาเนหิ ? สูรา จ สติมนฺโต จ อิธ พฺรหฺมจริยวาโส จาติ
แปลความว่า
"ภิกษุทั้งหลาย คนชมพูทวีป เป็นผู้มีคุณสูงและประเสริฐกว่าคนอุตตรกุรุ และเทวดาชั้นตาวติงสาอยู่
๓ อย่าง คือ จิตใจกล้าแข็งในการกระทำความดี มีสติตั้งมั่นในพระรัตนตรัย และประพฤติพรหมจรรย์
คือ บวชได้"

:b8: :b8: :b8:


ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนานนี้ ความดีเราก็ทำมาหมดแล้ว ยกเว้นมรรค ผล นิพพาน และการเกิดในชั้น
สุทธาวาสเท่านั้นที่เรายังไม่เคยไปเกิดกัน
ส่วนความชั่วที่แสนจะชั่วเช่น ปัญจานันตริยกรรม มิจฉาทิฏฐิ
เราก็เคยทำ ก็เคยยึคถือผิดๆ มาแล้วในอดีตชาติอันยาวนาน ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราไม่เคยทำ เพราะ
การเกิดที่ยาวนานมากนี้เอง คำว่าไม่เคย จึงไม่มี กระดูกทั้งหมดที่เราเคยเกิดมานำป่นแล้วโปรยลงมา
บนโลกใบนี้ ไม่มีพื้นโลกส่วนใดเลยที่จะไม่มีผงกระดูกของเราที่โปรยลงมา

การเวียนว่ายตายเกิดของแต่ละบุคคลในสังสารวัฏฏ์อันยาวไกลนี้ การกระทำความดี ความชั่วในขณะที่
เวียนว่ายตายเกิดนั้น มีช่วงที่ทำความดีสูงสุดและทำชั่วได้อย่างต่ำสุด เปรียบเหมือนลูกดิ่งที่เด็กๆ เล่นกัน

ลูกดิ่งเมื่อโดนมือเราทิ้งเชือกลง มันก็จะดิ่งลงล่างสุด คือมนุษย์นั้นสามารถทำชั่วได้ต่ำสุด
และเมื่อเรากระดุกเชือกม้วนเก็บที่ตัวลูกดิ่ง มันก็จะลอยขึ้นสูงสุด คือมนุษย์นั้นสามารถทำดีได้สูงสุดด้วย
จนถึงขั้นบรรลุมรรค ผล นิพพาน แต่หากยังไม่เป็นพระอรหันต์ ในชาติต่อไปก็ยังคงเวียนว่ายตายเกิด
ต่อไปค่ะ
(ดิฉันอาจจะอธิบายการเล่นได้ไม่ชัดเจนนัก ท่านก็ช่วยนึกภาพตามด้วยช่วยๆ กันค่ะ)

รูปภาพ

ในมนุษย์ที่เป็นปุถุชนที่ว่าดีสูงสุดนั้น เกิดในสวรรค์ทุกชั้น รูปพรหม อรูปพรหม เราเคยเกิดมาแล้วทั้งนั้น
ฌาน อภิญญาก็เคยได้กันมาแล้ว ทำกันมาแล้วทุกคน หากยังไม่บรรลุเป็นพระโสดาบันก็ยังคงวนเวียน
อยู่ใน ๒๖ ภูมิ เว้นสุทธาวาสภูมิ ๕ (พระโสดาบันปิดอบายภูมิได้แล้วและจะเกิดในกามสุคติภูมิได้อีกไม่เกิน ๗ ชาติ)

อบายภูมิที่ต่ำสุดเราก็เคยไปอยู่มาแล้ว แต่ว่าถ้าจะถามว่า เราได้ไปอยู่ที่ไหนบ่อยสุด ก็ต้องตอบว่า
อบายภูมิ จึงมีคำพูดในหมู่นักอภิธรรมว่า นรกคือบ้านเก่า คือไปไหนๆ ไปเที่ยวมาทั่ว สุดท้ายก็
ต้องกลับบ้าน

ที่นำมาทำกระทู้คุยกันนี้ จุดประสงค์จะบอกว่า ยามใดที่เราเห็นบุคคลที่ชั่วช้าน่ารังเกียจ ก็ขอให้คิดเสียว่า
วันข้างหน้าหากเรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ไม่รีบทำกุศลเพื่อออกจากสังสารวัฏฏ์แล้วไซร้
บุคคลที่ชั่วช้าน่ารังเกียจที่เราเห็นอยู่นี้ ก็คือเราในอนาคตชาติใดชาติหนึ่งในภายหน้า หากยังต้องเวียนว่าย-
ตายเกิดอยู่ ความชั่วเหล่านี้ ก็ไม่พ้นไปจากเรา เราก็จะเป็นผู้กระทำบ้างอย่างแน่นอนในอนาคต

และบุคคลที่ชั่วช้าน่ารังเกียจนั้น เค้าก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นบุคคลที่ดีได้ในชาติใดชาติหนึ่งในภายหน้า
ได้เช่นกัน

การเวียนว่ายตายเกิดต่อไปในสังสารวัฏฏ์ ก็ผลัดเปลี่ยนกันไประหว่างความดีกับความชั่ว
ขึ้นๆ ลงๆ อยู่อย่างนี้ไม่สิ้นสุด

ตัวอย่างเช่น อย่างชาตินี้ที่เราเกิดมา เราเคยเห็นคนดีๆ บางคน ทำไมเค้าถึงได้รับความทุกข์
มากมายขนาดนั้น ในเมื่อเขาเป็นคนดี ทำทาน ศีล ภาวนา อยู่เสมอไม่เคยขาด แต่ทำไมเขาถึงได้มี
ชีวิตที่น่าสงสารทั้งปัญหาต่างๆ รุมเร้า ทั้งโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนแสนสาหัส เพราะอะไร ก็เพราะว่า
การเกิดมายาวนานนั้น เค้าเคยได้กระทำกรรมชั่วไว้อย่างแน่นอนในอดีตชาติที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าชาตินี้จะเป็นคนดี แต่อกุศลวิปากที่คอยตามส่งผลนั้นมากมาย ยามใดที่ได้โอกาสส่งผล
มันก็ไม่เคยละเว้นให้เสียโอกาส สรุปเพราะว่าเขาเคยสร้างเหตุที่ไม่ดีเอาไว้ เมื่อมีโอกาสให้วิปากส่งผล
เขาจึงได้รับความทุกข์ เวลาวิปากส่งผลต้องรับ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ค่ะ

หากยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ก็ไม่พ้นจากการสร้างกรรมได้เลย หากเราจะคาดเดาเอาแบบง่ายๆ
ว่าชาติภพต่อไปที่เราจะไปเกิดนั้น คือที่ใด เราคิดกันเล่นๆ ยังไม่เอาจุติจิตมาเกี่ยวด้วย คิดแค่อะไรมาก
น้อยกว่ากัน ระหว่างทำดีตามที่พระพุทธองค์สั่งสอน(ไม่ใช่การทำดีแบบชาวโลกทั่วๆ ไป)
กับการทำชั่ว เราทำดีหรือทำชั่วมากกว่ากัน หากได้คำตอบแล้ว ก็คาดเดาได้ว่าจะไปทุคติหรือสุคติ

ชนักกกรรม ที่ส่งผลนำเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้ เราได้ใช้หมดแล้วด้วยการเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้นะคะ
หากชนักกกรรมที่ส่งผลนำเกิดในชาติต่อไปจากนี้ ต้องสร้างเหตุในชาตินี้เป็นหลักค่ะ เพราะฉะนั้นชาติ
ต่อไปที่จะเกิดในภพภูมิใดนั้น ต้องทำในชาตินี้ค่ะ อย่าไปหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็
ต้องเกิดเป็นมนุษย์ต่อไป เป็นความเห็นผิดคิดว่าทุกอย่างเที่ยงต้องเป็นอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป ต้องไม่
ประมาทนะคะ เพราะภพชาติต่อไปของเรานั้นยังไม่มีความแน่นอน สิ่งที่ทำได้สิ่งเดียวคือ อะไรคือ
ความดีที่พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วนั้น เราต้องทำตามให้ถูกต้องที่สุดและเพียรให้ความดีนั้นเจริญยิ่ง
ขึ้นไปเรื่อยๆ ค่ะ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2013, 07:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:

พระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุในภพก่อนย่อมเป็นไปเพื่อห้ามอเหตุกทิฏฐิ(ความเห็นผิดว่าไม่มีเหตุ) และวิสมทิฏฐิ(ความเห็นผิดในสิ่งที่ไม่มีจริง)

การแสดงผลในอนาคตเพื่อห้ามอุเฉททิฏฐิ(ความเห็นผิดว่าขาดสูญ)

การแสดงเหตุและผลทั้ง ๒ อย่าง เพื่อห้ามสัสสตทิฏฐิ(ความเห็นผิดว่าเที่ยง)
(จากหนังสืออภิธัมมัตถสังคหะและปรมัตถทีปนี โครงการแปลคัมภีร์พุทธศาสน์ วัดท่ามะโอ)


:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

เชิญคลิ๊กเข้าไปอ่าน ใครลิขิตชีวิตเรา โดย อ.ปราณีต ก้องสมุทร

http://www.84000.org/tipitaka/book/bookpn04.html

รูปภาพ

นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังทรงแสดงถึงการที่สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ มากมาย มิได้เกิดเพียงชาติเดียวดังที่บางคนเข้าใจเลย ดังที่พระองค์ตรัสไว้ในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอกธัมมาทิบาลี ตอนหนึ่งว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่จุติ (คือตาย) จากมนุษย์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่ จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย (คือเปรต) มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ ไปเกิดในนรก เกิดใน กำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากเทพยดากลับมาเกิดในเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากเทพยดาไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากนรกกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากนรกไปเกิดในนรก เกิดใน กำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากกำเนิดเดรัจฉาน กลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากกำเนิดเดรัจ ฉานไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากกำเนิดเดรัจฉาน ไปเกิดในเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากกำเนิดเดรัจฉาน ไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปเกิดในเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปเกิดในนรก เกิด ในกำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
เปรียบเหมือนในชมพูทวีปนี้ มีส่วนที่น่ารื่นรมย์ มีป่าที่น่ารื่นรมย์ มีภูมิประเทศที่น่ารื่นรมย์ มีสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์เพียงเล็กน้อย มีที่ดอนที่ลุ่มเป็นลำน้ำ เป็นที่ตั้งแห่งตอและหนาม มีภูเขาระ เกะระกะเป็นส่วนมาก โดยแท้ฉะนั้น"
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุปมาเปรียบเทียบสัตว์ที่ไปเกิดในทุคติ คืออบายภูมิ เป็นสัตว์นรก เปรต สัตว์เดรัจฉานว่า มากมายเหมือนขนวัว คือนับไม่ได้ แต่สัตว์ที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดานั้น เท่าเขาวัว คือน้อยเหลือเกิน เพราะเขาวัวมีเพียง ๒ เขาเท่านั้น ท่านอยากจะอยู่ในพวกไหน? เชื่อว่า ทุกท่านคงอยากอยู่ในพวกเขาวัวด้วยกันทั้งนั้น แต่ความอยากอย่างเดียว ไม่สามารถช่วยให้สำเร็จผลได้ ท่านต้องประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ด้วย นั่นคือ ละความชั่ว ประพฤติดี คือละทุจริตกรรม ๑๐ ประการดังกล่าวแล้ว
ท่านที่เคยเรียกร้องขอความเป็นธรรม โดยต้องการให้ทุกคนเสมอภาคกัน มีความเป็นอยู่เท่า เทียมกัน โปรดได้พิจารณาดูเถิด ว่ามีทางจะเป็นไปได้อย่างไรหรือไม่ในเมื่อทุกคนมิได้ทำกรรมไว้เสมอ กัน ลูกฝาแฝดที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน อยู่ในครรภ์ของแม่ด้วยกัน เติบโตด้วยอาหารที่แม่กินเข้าไปอย่าง เดียวกัน ก็ยังไม่เหมือนกันทั้งหน้าตา รูปร่าง และจิตใจ แล้วเราจะหวังให้คนที่ต่างพ่อต่างแม่ ต่างกรรมกัน เหมือนกันเสมอกันได้อย่างไร
ผู้ที่จะเสมอภาคกันได้นั้น ได้แก่ผู้ที่ไม่ต้องเกิดมารับสุข รับทุกข์ในโลกอีก ผู้นั้นคือ พระอรหันต์ผู้ปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ พวกเดียวเท่านั้น
ชีวิตนี้สั้นนัก ความประมาทเพียงนิดเดียวอาจพาเราไปเกิดในที่ชั่วได้ และถ้าลงไปเกิดในที่ชั่วแล้ว โอกาสที่จะได้กลับมาเกิดในที่ดีนั้นแสนยาก เราจึงควรดำเนินชีวิตของเราให้ถูกต้อง คบหาสมาคมกับบัณฑิต ผู้รู้ทั้งหลาย หมั่นฟังธรรมของท่าน แล้วน้อมนำมาพินิจพิจารณา เมื่อพินิจพิจารณารู้ว่าอะไรถูกอะไรควรแล้ว ก็ประพฤติแต่สิ่งที่ถูกที่ควร ซึ่งก็ได้แก่สุจริตกรรม ๑๐ ประการ สูงกว่านั้นก็ได้แก่การเจริญสมถะและวิปัสสนา พาตนให้พ้นจากทุกข์ทั้งมวล
บุญและบาปเป็นของมีอยู่จริง และให้ผลได้จริง ขอย้ำว่าชีวิตของเรา ความสุขความทุกข์ ที่เราได้รับอยู่ในทุกวันนี้ เกิดจากการกระทำของเราเอง ไม่มีใครมาลิขิตให้เรา ผู้ที่ลิขิตชีวิตเรา ทั้งในอดีตที่ผ่านมา ในปัจจุบันที่กำลังเป็นไปอยู่ และในอนาคตที่จะตามมา คือ กรรม การกระทำ ของเราเองทั้งสิ้น

ใครลิขิตชีวิตเรา
ประณีต ก้องสมุทร
ขอขอบคุณ
คุณชลธิชา โพธิ์อามาตย์
[ ผู้คัดลอก และตรวจทาน ]
จัดทำเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2545

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2013, 18:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 14:07
โพสต์: 278


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาบุญค่ะคุณSOAMUSA :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2013, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:
ขอบคุณทุกๆ ท่านค่ะที่เข้ามาอ่าน :b8:

:b47: :b47: :b47: :b47: :b47:
ตราบใดที่ยังไม่เห็นมรรคครั้งแรก คือ โสดาปัตติมรรค ก็อย่าหวังว่าจะรอดพ้นภัย 4 ประการได้ง่ายๆ ค่ะ
คือ ยังต้องวนเวียนเกิดในอบายแน่นอนค่ะ หากยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีหลักประกัน
นะคะว่า ท่านจะไม่ไปอบายภูมิ ท่านจะสามารถพ้นไปได้ทุกชาติไป ก็ขอบอกว่าเป็นไปไม่ได้ล้านเปอร์เซ็นต์
หากยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ต่อไป ต้องได้ไปเที่ยวอบายภูมิแน่นอนค่ะ

ภัยทั้ง 4 นั้นคือ
1. นานาสัตถอุลโลกนภัย คือ ยังไม่พ้นจากการเคารพนับถือศาสดาต่างๆ
2. วินิปาตภัย คือ การไปเกิดในที่ไม่แน่นอน
3. อปายภัย คือ ยังไม่พ้นจากการไปเกิดในอบายภูมิ
4. ทุจริตภัย คือ ยังไม่พ้นจากการกระทำอันเป็นทุจริตต่างๆ

:b8: :b8: :b8:


รูปภาพ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2013, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:

ธาตุ 4 (สิ่งที่ทรงสภาวะของตนอยู่เอง คือมีอยู่โดยธรรมดา เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีอัตตา มิใช่สัตว์ มิใช่ชีวะ - elements) ได้แก่ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และ วาโยธาตุ คือ มหาภูต หรือ ภูตรูป 4 นั่นเอง. ดู มหาภูต 4 และ ธาตุกัมมัฏฐาน 4
(เวป 84000)

:b8: :b8: :b8:

รูปภาพ

ไปไม่กลับ..... หลับไม่ตื่น.... ฟื้นไม่มี..... หนีไม่พ้น....

มีใครบ้างที่ไปแล้วไม่กลับมา?
ที่แน่ๆ มีแต่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ซึ่งเป็นบุคคลประเภทเดียวที่ไปแล้วไม่กลับมาเกิดจริงๆ ในแง่ของการ
เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ เมื่อท่านดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ไม่กลับมาเกิดอีกเหมือนไฟสิ้นเชื้อไฟ

แต่ในแง่ของคนธรรมดาอย่างพวกเรานั้น ไปไม่กลับนั้นก็คือตายจากบุคคลคนหนึ่ง แล้วจะกลับมาเกิดเป็น
บุคคลคนเดิมอีกไม่ได้ รูปนามที่ดับพร้อมกันตอนที่ตายไปแล้วนั้น ไม่สามารถกลับมาเกิดเป็นบุคคลคนเดิม
ได้อีกต่อไปได้ ไม่ว่าจะไปเกิดที่ไหน ก็เกิดด้วยเหตุปัจจัยใหม่ ไม่ใช่บุคคลคนเดิม คนๆ เดิมนั้นจบไปแล้ว
จึงไปไม่กลับจริงๆ สำหรับผู้ที่ตายจากไป

แต่จะไปไหนก็แล้วแต่กรรมที่กระทำไว้ส่งผลในขณะใกล้ตาย ทุกๆ คนจึงเป็นหนึ่งเดียว คือไม่มีใครเหมือน
แล้วก็ไม่เหมือนใคร แม้แต่ตัวเราอยากจะกลับมาเกิดเป็นตัวเราเช่นนี้อีกก็ทำไม่ได้ค่ะ สมมุติได้เกิดมาเป็น
มนุษย์ใหม่ชาติต่อไป ก็ไม่ใช่คนๆ เดียวกันกับชาตินี้ค่ะ เป็นคนใหม่เหตุปัจจัยใหม่ แต่อะไรที่คงเดิม
คือบุญและบาปที่สั่งสมไว้ ยังไม่หลุดหายไปไหน รอส่งผลอีกเพียบค่ะ อุปมาว่าสะสมใส่กระปุกบุญบาป
ไว้แค่ไหนก็รอส่งให้ใช้ค่ะ และก็หยอดกระปุกเพิ่มไปอีกค่ะในแต่ละชาติ เหมือนทั้งเก็บสะสม ทั้งเอาออกมาใช้ สนุกสนานค่ะ

หลับไม่ตื่น ทำไมไม่ตื่น?
จะตื่นได้อย่างไรเล่า เมื่อรูปร่างกายกับจิตมันดับพร้อมกัน จิตนั้นจุติแล้วก็ปฏิสนธิทันทีในลำดับต่อมาค่ะ
จะไปปฏิสนธิที่ไหนนั้นก็แล้วแต่กรรมอะไรส่งผล ส่วนร่างกายนั้น มีมหาภูตรูป๔ ได้แก่ ปถวีคือดิน อาโป
คือน้ำ เตโชคือไฟ วาโยคือลม ลมหายใจดับไม่เหลือแล้ว ถ้าไม่หายใจก็ขาดวาโยธาตุ ธาตุอื่นก็ดับตาม
ไป คือปถวีธาตุธาตุดินจะเปลี่ยนเร็วก่อนเลย ท้องจะพองเพราะได้เวลาเชื้อโรคที่เลี้ยงไว้ในร่างกายจะทำ
งานแล้ว ท้องจะพองเป็นต้น

ทีนี้เรามาดูว่า ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ธาตุทั้ง ๔ มันทำงานกันในสภาวะใด
ปถวีธาตุ ในขณะมีชีวิตอยู่นั้น มันจะอ่อน เนื้อหนังมังสาเรามันอ่อนนุ่มน่าจับ หรือแม้จะเหี่ยวไปบ้าง
ก็น่ากอดสำหรับคนที่รักกันนะคะ :b17: อันนี้ก็ต้องขอตบมือให้สำหรับคู่ที่รักกันจริง แต่พอตายแล้ว
ปถวีกลับทำหน้าที่ตรงกันข้ามค่ะ ที่เคยอ่อนนุ่ม ก็เปลี่ยนเป็นแข็ง ใครเคยกอดศพจะรู้ว่าแข็ง

รูปภาพ
อาโปธาตุ เมื่อตอนมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นน้ำในร่างกาย ที่เห็นอยู่เป็นเลือด น้ำปัสสาวะ น้ำอุจจาระเวลา
ท้องร่วงอย่างแรงถ่ายออกมามีแต่น้ำพุ่งนั้น น้ำเหล่านั้นที่เห็นไม่ใช่น้ำ แต่เป็นปถวี ธาตุน้ำมองด้วยตา
ไม่ได้แต่รู้ได้ด้วยใจ ที่เห็นเป็นของเหลวนั้นเพราะมันมีปถวีผสมอยู่น้อยมากๆ ค่ะ ทีนี้ของเหลวใน
ร่างกายที่มีอาโปทำให้ไหลแผ่ซ่านไปทั่วร่างเวลาตอนมีชีวิตอยู่นั้นมันจะไม่ไหลแล้วเมื่อตายไป
อาโปธาตุมันจะเกาะกุมกันทำหน้าที่ตรงกันข้ามกับตอนมีชีวิตอยู่ค่ะ

เตโชธาตุ ความร้อนที่เคยให้ความอบอุ่นร่างกาย เคยย่อยอาหาร เคยเป็นพลังในการยกส้นเท้าในการ
เริ่มจะเดินเป็นต้น ในตอนที่มีชีวิตอยู่ก็อบอุ่นดี กอดแล้วได้ไออุ่นแก้หนาวเหมือนในหนังไทย ที่พระเอก
นางเอก หนาวไม่มีผ้าห่มแล้วกอดกันแล้วอุ่นนั่นแหล่ะ พอตายไปตอนนี้มันไม่อุ่นแล้ว ร่างกายมันเย็น
จับไปตรงไหนก็เย็นหมด

วาโยธาตุ การเคลื่อนกายแต่ละครั้ง วาโยธาตุก็ขับเคลื่อนไหวพริ้วไปมา ตามแต่จิตจะสั่ง ยกแขนยกขา
ได้สบายมาก แต่พอตายลง ถ้าไม่รีบเปลี่ยนชุดสวยๆ ให้ศพไวๆ ล่ะก็เสร็จแน่ จะแต่งตัวยากแล้ว ยิ่งนาน
ไปยิ่งแต่งตัวให้ศพได้ยาก เพราะแขนขาเคร่งตึง ไม่พริ้วลดเลี้ยวหักงอได้ จากที่เคยพริ้วไหวตอนมีชีวิต
ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งตึง

ถามว่า คนมีชีวิต กับศพ ใครหนักกว่ากัน
เคยดูหนังไทยกันใช่มั้ยล่ะ พระเอกอุ้มนางเอกหมุ่นไปมารอบตัว หรือให้ขี่คอบ้าง อุ้มบ้าง
ทีนี้พอนางเอกตาย รดน้ำศพเสร็จจะบรรจุลงโรง ให้พระเอกมายกคนเดียวไม่ไหวแล้ว ต้องหาคนมา
ช่วยกันยก เป็นเพราะนางเอกเวลาตายแล้ว สภาวะเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นของหนักของไม่น่ารัก
จะเก็บให้มิดชิด เป็นของไม่สวยไม่งาม เก็บใส่โรงซะงั้น

สภาพเช่นนี้ ไม่มีฟื้นแล้วค่ะ
หนีไม่พ้นกันทุกคนนะคะ ไม่ว่าหนีไปไหน ก็ไม่พ้นความตายแน่นอน
ต้องตายจากทรัพย์สินเงินทอง คนที่ขี้เหนียวเรียกว่า อุจจาระไม่ให้สุนัขรับทานนั้น พอตายไปทรัพย์สิน
ก็เป็นของคนอื่น เก็บแทบตายสุดท้ายก็เก็บไว้ให้คนอื่นใช้ มีก็ใช้ๆ ไปบ้างก็ได้นะคะสำหรับคนขี้เหนียว
อย่าไปคิดว่าเราทำมาหากินอาบเหงื่อต่างน้ำ แหมใครก็ไม่รู้มานั่งขอเงินเราใช้ ญาติก็เลวไม่ทำมาหากิน
อย่าไปคิดอย่างนั้น นั่นแหล่ะกระปุกออมสินล่ะ ญาตินั่นแหล่ะตัวดีต้องสงเคราะห์ มีญาติให้ทำกุศลถือว่า
โชคดีนะ พระพุทธเจ้าให้สงเคราะห์ญาตินะ ถึงเค้าจะเลวติดการพนันงอมแงม แต่เรารู้จักให้เค้าบ้าง หรือ
เค้าขอมา ก็รีบให้ด้วยความเต็มใจเลยนะ การให้ของเรานั้นให้ด้วยเมตตาให้ด้วยสงเคราะห์ญาติ ให้ไป
ตามสมควรแก่เหตุผลในเวลานั้น ให้ไปเลยค่ะ นั่นแหล่ะอริยทรัพย์ของเราในภายหน้า

คนที่ฉลาดนั้นจะใช้ทรัพย์เพื่อประโยชน์ไม่แค่ชาตินี้ แต่เพื่อชาติหน้าด้วย และไม่ใช่ทำบุญแบบขาด
ปัญญานะคะ ไม่ซื้อสวรรค์กี่บาทว่ากันไปตามราคา ทรัพย์สินเครื่องประดับบนสวรรค์ซื้อไว้ด้วยการทำบุญ
กับวัด อย่างนี้เรียกว่าโดนหลอกค่ะ คนรวยแล้วควรแบ่งปันให้คนจน คนที่เค้าขาดแคลนบ้าง ไม่ใช่
นั่งเก็บเงินไว้ ก็ไม่ต่างจากนั่งเก็บกระดาษ เก็บตัวเลข ซึ่งหาค่าอะไรไม่ได้ ในกระเป๋าตังค์คุณมันก็แค่
กระดาษ ในบัญชีธนาคารก็แค่กระดาษที่มันมีตัวเลข เอาไปไม่ได้ แต่อริยทรัพย์คุณพกติดตัวไปชาติหน้า
ได้แน่นอนค่ะ ดิฉันเห็นคนรวยๆ บางคน ไม่ค่อยจะช่วยใครเลย ทั้งๆ ที่ช่วยแล้วตนเองไม่ได้เดือดร้อน
ไม่ได้ยากจนลง แต่ก็ไม่ช่วย เห็นความทุกข์ของผู้อื่นแล้วทนได้สบายมาก ความขี้เหนียวในการ
ทำบุญตัวนี้แหล่ะค่ะ เป็นลูกน้องของโทสะ สั่งสมไว้มากๆ ไม่ดีแน่ๆ ค่ะ มีสิทธิ์ไปนรกนะคะ

และไม่ว่าจะตายสักกี่ครั้ง กี่ครั้งก็ยังหนีไม่พ้นการเกิด
ยังมีเหตุอยู่ก็ต้องเกิด แล้วแต่เหตุปัจจัย (หมดเหตุแล้วก็ไม่ต้องเกิดอีก)

การตายกับการเกิดอย่างไหนน่ากลัวกว่ากัน การตายไม่น่ากลัวหรอกค่ะ แต่การไปเกิดใหม่ที่ใดนั้น
น่ากลัวเสียยิ่งกว่าการตายอีกค่ะ เพราะว่าหากยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ก็ยังไม่พ้นภัยทั้ง 4 ประการไปได้

ร่างกายเราก็เป็นเพียงธาตุทั้ง4 มาประชุมกัน เมื่อตายแล้วก็กลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติของแต่ละธาตุ
และแม้ร่างกายจะผ่านเมรุเผามาแล้ว เหลือกระดูกกองอยู่แค่พอใส่ลงหม้อก็จริง ถึงวันคืนจะผ่านไป
กระดูกมันจะแตกสลายเป็นผงอย่างไร ก็ยังไม่หายไปไหน ยังคงอยู่บนโลกใบนี้ พื้นแผ่นดินที่เราเดิน
เหยียบอยู่ทุกวันนี้นั้น รอยเท้าที่เราย่างไปบนผืนโลกนั้น พื้นดินที่เราเหยียบนั้นก็คือซากกระดูกที่ป่นตาย
ทับถมเกลื่อนกล่นอยู่นั้นเองทั้งของคนอื่นและของตัวเราในอดีตชาติที่ผ่านมา รอวันโลกแตกทำลาย
เมื่อนั้นซากของเราก็จะสลายไปพร้อมกับโลกที่ถูกทำลายค่ะ

:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

:b27: ขอบคุณทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ คุยกันแบบสบายๆ นะคะ แต่เรื่องจริงค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2013, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


หากจะเปรียบเทียบว่า วัฏฏสงสาร ๓๑ ภูมินั้นคือประเทศไทย
แล้วมนุสสภูมินี้ คือ จังหวัดอะไร?

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2013, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
หากจะเปรียบเทียบว่า วัฏฏสงสาร ๓๑ ภูมินั้นคือประเทศไทย
แล้วมนุสสภูมินี้ คือ จังหวัดอะไร?

ถามจริงหรือถามเล่น
คิดว่า กรุงเทพฯ แต่ก็คงตอบผิดแน่ๆ
รอเฉลยดีกว่า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2013, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
SOAMUSA เขียน:
หากจะเปรียบเทียบว่า วัฏฏสงสาร ๓๑ ภูมินั้นคือประเทศไทย
แล้วมนุสสภูมินี้ คือ จังหวัดอะไร?

ถามจริงหรือถามเล่น
คิดว่า กรุงเทพฯ แต่ก็คงตอบผิดแน่ๆ
รอเฉลยดีกว่า


รูปภาพ

ความเห็นส่วนตัวในการอุปมาเปรียบเทียบค่ะลุง ถามไปตามประสาคุยกันค่ะ
ลุงตอบได้ถูกต้องค่ะ ในความคิดเห็นของหนูก็ว่า กรุงเทพฯ เพราะไปได้ทั่วหมดแล้วสะดวกสบายด้วย
ไม่ว่าจะไปทิศใด ก็ไปได้สะดวกเพราะอยู่ตรงกลางของประเทศค่ะ และเพียบพร้อมไปด้วยความเจริญ

เหมือนโลกมนุษย์นี้ เป็นจุดกึ่งกลางของ ๓๑ ภูมิ จะขึ้นหรือลง ง่ายมากๆ ค่ะ
อย่างอรูปพรหม เวลาลงมานั้นจะไม่เลื่อนลงรูปพรหม จะลงมาเป็นเทวดาแบบติเหตุ
เลื่อนขึ้นก็สูงขึ้น ไม่เลื่อนก็ซ้ำภูมิเดิม ถ้าเลื่อนอยู่อย่างนี้ก็ไม่อยู่กึ่งกลาง เพราะเลื่อนขึ้นเลื่อนลงกันอยู่
ข้างบนนั้น เลื่อนกันอยู่ในสุคตินั่นแหล่ะ

จึงต้องเป็นโลกมนุษย์นี้แหละ อยู่ตรงกลาง สวรรค์ก็เลื่อนขึ้นจากตรงนี้
(เห็นมั้ยคะลุง จังหวัดนครสวรรค์อยู่เหนือขึ้นไปจากกรุงเทพฯ :b12: )
อบาย ๔ ก็เลื่อนลงจากตรงนี้ค่ะ
ถ้าไม่เลื่อนไปไหน ก็เกิดเป็นมนุษย์อุจจาระเหม็น ปากกัดเท้าถีบหาใส่ปากใส่ท้องกันไปค่ะ

ลุงขอรับ ถ้าว่างๆ ก็เรียนเชิญ อธิบายมนุสสภูมิด้วยค่ะว่า มีคุณค่ามหาศาลอย่างไร tongue

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2013, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงก็มีความคิดคล้ายๆกัน ใน ๓๑ ภูมินั้น
มนุษย์ที่เราอยู่นี้เป็นจุดสูญกลาง จะกระทำความดีก็ได้ขึ้นไปข้างบน
ถ้ากระทำไม่ดีก็จะลงข้างล่าง ถ้าทำดีมั่ง ไม่ดีมั่ง เสมอตัว
ก็น่าจะอยู่ที่เดิม(คิดเอาเอง)ประมาณนั้น และในมนุษย์ทั้ง ๔ ทวีป
ในชมภูทวีปเท่านั้น ที่สามารถทำให้ตัวเองไปได้ทุกภูมิทุกทิศ
ส่วนมนุษย์อีก ๓ ทวีป ไม่สามารถกำหนดได้ มีแต่ขึ้นชั้นสวรรค์อย่างเดียว
และก็ไม่สามารถไปในอบายภูมิ ๔ ได้ด้วย มนุษย์ในชมภูทวีปที่เราอาศัยอยู่นี้
เราสามารถจะเลือกเดินไปทางทิศไหนก็ได้ จริงไหม ?
และถ้าเราไปอยู่เหนือ ทางที่จะไปมันก็ต้องลงมาต่ำ
ถ้าเราอยู่ใต้ทางที่จะไปมันก็มีแต่ทางเหนือ ถ้าเราอยู่กรุงเทพฯ
เราก็จะไปได้หลายทิศเลือกเดินตามความต้องการได้
ฉะนั้นใครจะเลือกเดินไปในทางทิศไหนเจาะจงทิศใดก็จงเลือกเถิดฯ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2013, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

เฟรสบุ๊ควัดท่ามะโอ ( wattamaoh )

นักโทษแห่งวัฏฏะ


ทุกคนคิดว่าเราอยู่ดีมีสุข สามารถประกอบอาชีพการงาน หาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ญาติพี่น้อง ฯลฯ มีญาติมิตรบริวารแวดล้อม ทำให้เพลิดเพลินในชีวิต คิดว่าเราอยู่อย่างสุขสบาย เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง บุตรภรรยา ข้าทาสบริวาร

แต่ความจริงเราเป็นนักโทษแห่งวัฏฏะ ถูกขังอยู่ในคุกคือภพ มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นผู้คุมที่ทรมานเราอยู่ตลอดเวลา การแสวงหาทรัพย์สินเงินทองเป็นต้นจึงไม่ควรเป็นกิจที่สำคัญในชีวิต เพราะสิ่งเหล่านั้นมีความเกิด แก่ เ้จ็บ ตาย เป็นธรรมดา ถ้าเราที่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ยังไปแสวงหาสิ่งเหล่านั้นอยู่ ก็ไม่อาจไปพ้นจากความเกิดเป็นต้นได้ การแสวงหาทรัพย์สินเป็นต้นจึงไม่ใช่การแสวงหาอันประเสริฐ

พระพุทธองค์ตรัสสอนการแสวงหาอันประเสริฐว่าเป็นการแสวงหาอริยทรัพย์ คือ ทาน ศีล และภาวนา ซึ่งสามารถนำเราออกไปจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย

:b8: :b8: :b8:

รูปภาพ

ปัจจุบันนี้นั้นมนุษย์มีอายุขัยอยู่ที่ ๗๕ ปี สมมุติว่าเราอายุ ๒๐ ปี บังเอิญเราไปรู้มาว่าเราหมดบุญแล้ว
ต้องตายในไม่ช้านี้ เราสามารถอยู่ต่อไปอีกได้หรือไม่ ?
ได้ด้วยการทำกุศลอยู่เป็นประจำทุกวันไม่ให้ขาด ด้วยการปฏิบัติเป็นพุทธบูชา มีทาน ศีล ภาวนา
เป็นต้น ภาวนาในกรรมฐานทั้ง สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐานเป็นกุศลสูงสุดค่ะ
สามารถทำให้ชีวิตยืนยาวต่อไปได้เรื่อยๆ จนครบอายุขัยคือ ๗๕ ปี แต่จะไม่เกินกว่านี้ไปได้ค่ะ
คือ หมดอายุ ๗๕ ปีเท่านั้นค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2013, 07:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

วัดท่ามะโอ ( wattamaoh )
7 กันยายน
สิ่งที่ควรแสวงหา

คนทั่วไปมักแสวงหาสิ่ง ๒ สิ่งตั้งแต่เกิดจนถึงตาย คือ

๑. แสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ของมีค่า สิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิต

๒. แสวงหาความสุขจากการเสพสิ่งเหล่านั้น

การแสวงหาดังกล่าวไม่ใช่ของประเสริฐ เพราะเราเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่เสมอ การไปแสวงหาของมีค่านอกกายและความสุขชั่วขณะ จะทำให้ชีวิตของเราหมดสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ และตายโดยเปล่าประโยชน์เช่นกัน

เราได้รับโอกาสดีในปัจจุบัน ได้พบพระพุทธศาสนาที่สอนให้ละชั่ว ทำดี และทำใจให้หมดจด จึงควรอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เปรียบดั่งต้นไม้ใหญ่อันเป็นพึ่งพิงของฝูงนกคือชาวโลก แล้วบำเพ็ญประโยชน์ตน ประโยชน์แก่ชาวโลก ประโยชน์แก่พระศาสนา ประโยชน์แก่ประเทศชาติต่อไป เพื่อให้สมกับที่เป็นแขกชั่วคราวของโลกนี้

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:
โดย คณะสหายธรรม

เหตุใดโลกทุกวันนี้จึงรุ่มร้อน


ถาม เพราะเหตุใดโลกทุกวันนี้จึงรุ่มร้อน มีแต่จะแก่งแย่งชิงดีกัน รบราฆ่าฟันกันตลอดเวลา แม้ธรรมชาติก็พลอยเป็นใจ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือเวลาตกก็ตกเสียจนเกินพอดีจนน้ำท่วมเป็นต้น ผู้คนล้มตายกันทีละมากๆ ด้วยภัยนานาประการ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

ตอบ ในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เมื่อใดที่คนในโลกเป็นคนมีศีลธรรม โลกนี้ก็สงบร่มเย็นเป็นสุข แม้ธรรมชาติก็อำนวยแต่ประโยชน์สุขทุกอย่าง แต่เมื่อใดที่คนในโลกมีอกุศลหนาแน่น เมื่อนั้นโลกนี้ก็จะร้อนเป็นไฟด้วยอำนาจของอกุศล ทำให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันทั่วไป และเมื่อถึงกลียุค คนก็จะเห็นกันว่าเป็นสัตว์ ไม่คำนึงว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติมิตร จะจับอาวุธเข้าฆ่าฟันกัน

รูปภาพ


ดังที่ผู้ใหญ่ท่านเรียกว่าเป็นแดนมิคสัญญี ปัจจุบันนี้ก็เริ่มๆ จะใกล้ยุคนั้นเข้ามาแล้ว เพราะดูผู้คนโหดเหี้ยมผิดปกติ แม้แม่ก็ฆ่าลูกได้ง่ายๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องของกิเลสอกุศลไปได้ เพราะยิ่งกิเลสหนาแน่นเท่าไร ผู้คนก็ขาดศีลธรรมมากขึ้นเท่านั้น เมื่อผู้ใดไม่มีศีลธรรม สิ่งร้ายๆ ทั้งหลายก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แม้ธรรมชาติก็พลอยซ้ำเติมให้ทุกข์ยากลำบากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะอกุศลวิบากของคนเหล่านั้น จึงทำให้ได้รับแต่สิ่งที่ไม่เจริญใจ จะนับว่าเป็นกาลวิบัติก็เห็นจะไม่ผิด เพราะทุกอย่างแทบจะวิบัติไปหมดสิ้น

สรุปว่า ไม่ว่าคนหรือธรรมชาติที่ผิดปกติอยู่ทุกวันนี้ เพราะผู้คนในปัจจุบันส่วนใหญ่มีอกุศลหนาแน่นนั่นเอง


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:

อนิพฺพตฺเตน น ชาโต ปจฺจุปฺปนฺเนน ชีวติ
จิตฺตภงฺคา มโต โลโก ปญฺญตฺติ ปรมตฺถิยา.


แปลความว่า

เพราะจิตไม่เกิด สัตวโลกชื่อว่ายังไม่เกิด

เพราะจิตยังเกิดอยู่ปัจจุบัน สัตวโลกชื่อว่ามีชีวิตอยู่

เพราะจิตแตกดับ สัตวโลกชื่อว่าตาย (นี้) เป็น บัญญัติทางปรมัตถ์

:b8: :b8: :b8:


จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค หน้า ๑๐๔๕

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 20:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 16:30
โพสต์: 97

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss Kiss ต้องขอบคุณความทุกข์ครั้งนี้ ที่ได้ให้เรามาเจอลานแห่งนี้ Kiss Kiss

อ่านแล้วอยากจะทำแต่ความดี เป็นคนดี ขอบคุณมากค่ะจากใจ :b39: :b39: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 07:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


กล้วยหอม เขียน:
Kiss Kiss ต้องขอบคุณความทุกข์ครั้งนี้ ที่ได้ให้เรามาเจอลานแห่งนี้ Kiss Kiss

อ่านแล้วอยากจะทำแต่ความดี เป็นคนดี ขอบคุณมากค่ะจากใจ :b39: :b39: :b39:


:b8: ขออนุโมทนาในเจตนาที่มุ่งจะทำกุศลค่ะ ธรรมะพระพุทธองค์นั้นสูงสุดแล้วสำหรับเวไนยสัตว์
ต้องขอขอบพระคุณทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
และขอบพระคุณผู้จัดทำเวปนี้ด้วยค่ะที่ทำให้ดิฉันได้มีโอกาสทำกุศลทุกวันค่ะ :b20:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร