วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 04:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2010, 00:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


เชื่อกฎแห่งกรรม

ธรรมรักษา


กฎแห่งกรรม คือ กฎแห่งการกระทำ
หมายถึงการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา
หรือความตั้งใจ จงใจ ที่เราทำไว้เอง
ทั้งในอดีตและปัจจุบัน แล้วเราก็รับผลแห่งกรรมนั้น
เรียกว่า "กฎแห่งกรรม"



เรื่องของกรรม เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนมาก
ลำพังปุถุชนคนธรรมดา ไม่อาจที่จะรู้ให้ตลอดสายได้
อย่าว่าแต่กรรมในอดีต ที่ข้ามภพข้ามชาติหลายชาติเลย
แม้กรรมในปัจจุบันเราก็ยังรู้ได้ยาก
เช่น บางคนทำแต่ความดีมาตลอด แต่ก็ได้รับความทุกข์
หรือความเดือดร้อนต่าง ๆ เป็นต้น
บางคนทำแต่ความชั่ว แต่ก็ได้รับยกย่อง มีเกียรติ เป็นต้น


ในที่นี้ไม่มีความประสงค์จะเขียนเรื่องกรรม
เพราะมันยุ่งยากและเสียเวลามาก
แต่จากการที่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม มาเป็นเวลานาน
จนเกิดความมั่นใจว่า กฎแห่งกรรมนี้ยุติธรรมยิ่ง
อยากขอให้ท่านผู้อ่าน
เชื่อพระพุทธเจ้าเถิดว่า
"ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่วแน่"



การไม่เชื่อกรรม หรือกฎแห่งกรรม มีผลเสียมาก
ที่บางคนท้อใจไม่อยากทำดี
ก็เพราะไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมอย่างถูกต้อง
เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่อยากทำความดี
เมื่อไม่ทำความดี ชีวิตก็หมดความสุข


การเชื่อกฎแห่งกรรมเพียงประการเดียว
ทำให้คนเราตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ความดี
ชีวิตก็ย่อมจะประสบความสุข ทั้งในชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป



บางคนอาจจะสงสัยว่า ก็เราไม่เคยทำความชั่ว
และได้ทำแต่ความดีมาโดยตลอด
แต่ทำไมจึงได้รับความเดือดร้อนต่างๆ อยู่เป็นประจำ ?
อย่าได้สงสัยให้เสียกำลังใจในการทำความดีเลย
นั่นเป็นผลของความชั่ว ที่เราได้ทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่
จงยินดีรับและทำความดีเรื่อยไป
ในวันหนึ่งมันก็ย่อมหมด และกรรมดีก็ย่อมจะให้ผลเราบ้าง
คราวนี้เราก็ย่อมจะได้รับผลของความดี
คือความสุขอื้อซ่าไปเลยเชียวละ


ก็คิดดูหรือเอาอะไรตรองดูเถอะ !
ขนาดในชาตินี้เราไม่ทำชั่ว เรายังเดือดร้อนถึงเพียงนี้
แล้วถ้าเราขืนไปทำชั่วต่อเข้าอีก
นอกจากในชาตินี้เราจะเดือดร้อนแล้ว
ในชาติต่อไปเราก็ยิ่งจะเดือดร้อนใหญ่


อย่าสงสัยเลย กรรมกับการให้ผลของกรรม
ย่อมลงตัวกันเสมอ เช่น เราทำบุญ เราก็ย่อมสบายใจ
เราทำบาป เช่น ฆ่าเขา เราก็ย่อมจะทุกข์ใจ
กลัวผลกรรมจะตามสนองก็เห็นกันอยู่เจ๋ง ๆ แล้ว
ยังจะสงสัยอะไรกันอีกเล่า ? เราไหว้เขา เขาก็ไหว้เรา
เราด่าเขา เขาก็ด่าตอบ
ก็เห็นเหตุและผลกันอยู่ทนโท่แล้วนี่นา จะมัวชักช้าอยู่ไย ?


ที่คนส่วนมาก มักจะเข้าใจการให้ผลของกรรมผิด
ก็โดยการเอาการให้ผลกรรมฝ่ายรูปหรือวัตถุ
ไปรวมกับการให้ผลกรรมฝ่ายนามหรือจิตใจไปเสีย
คือเข้าใจเพี้ยนไปว่าคนทำบุญให้ทาน
จะต้องร่ำรวยทันตาเห็น
เพราะทางพระสอนว่า คนให้ทาน
เกิดชาติใดจะร่ำรวยมีเงินทองมากมาย
เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี เป็นต้น


แต่แล้วเหตุไฉนคนยิ่งทำบุญมาก ก็ยิ่งยากจนลง ?
และคนเข้าวัดส่วนมากก็ล้วนแต่เป็นคนจนเล่า ?
หรือว่าพระท่านจะหลอกให้คนทำบุญ
ท่านจะได้ร่ำรวย กินดีอยู่สบาย ?
ขอชี้แจงเรื่องผลของบุญ หรือผลของกรรมประเภทรูปและนามดังนี้


ผลบุญหรือกรรมประเภทรูป (วัตถุ) นี้
ค่อนข้างจะพิสูจน์ยาก
เพราะรู้สึกว่า ผลของกรรมหรือบุญฝ่ายนี้ค่อนข้างจะเดินทางช้า
ไม่ค่อยจะทันใจคนที่คิดมากเลย


แต่ก็ขอให้มั่นใจเถอะว่า
เรื่องของการให้ผลของกรรมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุญหรือบาปก็ตาม
ย่อมจะลงตัวกันเสมอ จะมีตัวแปรให้เสียคิวไปบ้าง
ก็ย่อมจะไม่พ้นวงจรของกรรมอีกเช่นกัน


ที่เราเห็นว่า คนรวยเข้าวัดทำบุญน้อย
ก็เกิดจากเหตุ ๒ ประการ คือ หาเวลาว่างยาก
กับประมาทมัวเมาในความมีทรัพย์
ตรงข้ามกับคนจน ซึ่งมีเวลาว่างมาก ( ลูกจึงมาก )
และมักจะเห็นโทษของความจน
จึงตั้งหน้าแต่ทำบุญ หวังว่าชาติหน้าจะได้ร่ำรวยกับเขาบ้าง


ส่วนผลบุญหรือกรรมประเภทนาม ( จิตใจ ) นี้
เราสามารถเห็นได้ทันทีทันใดทั้งที่นี่และเดี๋ยวนี้เลยว่า
คนทำบุญหรือทำความดี จิตใจย่อมจะสดชื่นและแจ่มใสในทันที
หรือแม้เพียงแต่คิดเท่านั้น บุญก็เกิดแล้ว


ยกเว้นแต่คนที่ "มือถือสาก ปากถือศีล"
หรือ "ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ"
หรือ "ทำบุญเอาหน้า ภาวนาตอแหล" เท่านั้นแหละ
ที่การกระทำมักจะสวนทางกับความคิดอยู่ตลอดเวลา



การเชื่อกฎแห่งกรรมอย่างถูกต้อง
จะช่วยตัดหรือปัดความผิดไปให้คนอื่นจนหมดสิ้น
ทำให้เรายอมรับความจริงอันเกิดขึ้นจากผลกรรมว่า
เป็นการกระทำของเราเอง เราทำไว้ด้วยตัวเราเอง
ความทุกข์อันเกิดจากความคั่งแค้น
ว่าคนอื่นมาทำให้เรานั้น ก็เป็นอันว่าหมดไป


เพราะว่าโดยแท้จริงแล้ว เราทำของเราเอาไว้เองทั้งนั้น
แล้วเราจะไปตีโพยตีพายเอากับใคร ?
ยิ่งเอะอะมะเทิ่งมากไป ก็จะยิ่งขายหน้าท่านผู้รู้เขาเปล่า ๆ
เสียภูมิของบัณฑิตหมด


"ก็เขามาทำให้ฉัน ฉันไม่ได้ทำอะไรให้เขานี่นา"

บางคนอาจจะยังปากแข็งไม่ยอมเชื่อ ใช่ ! นั่นแหละ ?
เราได้ไปทำกะเขาเอาไว้ก่อน ชาติก่อน ๆ โน้น !
ชาติไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าเราต้องไปทำเขาไว้ก่อนแน่
อย่าได้ไปโต้ตอบเขาเลย มันจะได้หายหรือเจ๊ากันไป
ขืนไปตอบโต้เขาก็จะทำให้ผลกรรมใหม่นี้
มันก็จะติดตามไปชาติหน้าอีกไม่รู้จักหมดกรรมหมดเวรกันสักที


ก็เหมือนเรื่องสมเด็จ (โต) ท่านตัดสินคำฟ้องที่ว่า
มีพระสองรูปไปบิณฑบาติทางเรือ องค์หนึ่งพายหัว
องค์หนึ่งพายท้าย แต่แล้วเหตุใดไม่ทราบ
องค์พายท้ายเกิดเอาพายไปไปตีหัวองค์พายหัวเรือเข้า
ท่านก็ไปฟ้องสมเด็จฯ สมเด็จฯ ท่านก็ตัดสินว่า


"ก็คุณไปตีเขาก่อนนี่ เขาจึงตีเอา"


พระรูปพายหัวเรือก็แย้งว่า


"กระผมไม่ได้ตีเขา เขาตีผมข้างเดียว"


สมเด็จฯ ท่านก็ยังยืนยันอย่างนั้น
จนต้องไปฟ้องพระผู้ใหญ่ที่ปกครองเหนือกว่า สมเด็จ (โต)
ท่านก็จึงได้เฉลยว่า


"ถ้าพระองค์นี้ไม่ไปตีเขาไว้ในชาติก่อนแล้ว
เหตุใดเขาจึงได้มาถูกตีในชาตินี้เล่า ?"

เรื่องนี้ก็ยุติกันไป เพราะสมเด็จฯ
ท่านเล่นยกไปให้กรรมเก่าในชาติก่อน มันก็เอวังกันเท่านั้นเอง

เอาเป็นว่า การที่เราได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน
ความยากจน ความไม่สบายกาย
ความไม่สบายใจทั้งหมดเหล่านั้น
ล้วนเป็นผลมาจากกรรมชั่วของเราในอดีตโน้นกำลังให้ผลอยู่
(อย่าถามว่าชาติไหนนะ ? ผู้เขียนก็ไม่รู้เหมือนกัน
เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าท่านน่ะ)


ส่วนว่าเราได้รับความสุข ความสบาย ความร่ำรวย....
นั่นก็เป็นผลของกรรมฝ่ายดี
ทั้งในอดีตและในปัจจุบันกำลังให้ผลอยู่
ผสมผสานกันจนแยกไม่ออก
แต่ก็เห็นได้ง่ายๆ ว่า แม้ว่าคนนั้นจะมีบุญมากปานใด ?
ก็จะส่งให้มาเกิดในตระกูลที่ร่ำรวยเท่านั้น
แต่ถ้าโง่และขี้เกียจในชาตินี้ มันก็ไม่พ้นความยากจนไปได้


เป็นอันว่า การเชื่อกฎแห่งกรรมนั้น มีแต่ผลดี
คือช่วยเป็นกำลังใจ ให้ทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป
และความดีนั้นย่อมมีผลเป็นความสุข
ผู้ทำความดีก็ย่อมจะมีความสุขในปัจจุบัน
และแม้สิ้นชีพไปแล้ว
ก็ย่อมจะไปเกิดในสุคติอย่างไม่ต้องสงสัยเลย



คัดลอกบางส่วนจาก...สู่ความสุข (ธรรมรักษา)

ภาพประกอบจาก...อินเตอร์เน็ต


:b48: :b8: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2010, 03:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รับผลกรรมเก่า>> ผัสสะ6>> เวทนา5>> ตัณหา3>> อุปาทาน4>> สร้างกรรมใหม่

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2010, 05:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 21:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว




Lotus238.jpg
Lotus238.jpg [ 3.12 KiB | เปิดดู 3048 ครั้ง ]
การ์ตูน..นิทานชาดก เรื่อง.. ขทิรังคารชาดก (เรื่องที่ 30)

ขทิรังคารชาดก : ชาดกว่าด้วย "ความเป็นผู้มีจิตใจมั่นคง"


มูลเหตุที่ตรัสชาดก


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ใน "พระวิหารเชตวัน" ทรงปรารภทานของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงตรัสพระธรรมเทศนาดังนี้

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้าง "เชตวันมหาวิหาร" ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังคงเอาใจใส่บำรุงพระภิกษุสงฆ์อย่างสม่ำเสมอ ทานทั้งหลายที่ท่านบริจาคนั้นมากมายจนมิอาจประมาณค่าได้


ณ ซุ้มประตูที่ ๔ ของเรือนท่าน มีเทวดามิจฉาทิฎฐิองค์หนึ่งเข้าไปอาศัยอยู่ ทุกครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพุทธสาวกเสด็จผ่านเข้าไปในเรือน เทวดาไม่พอใจเพราะต้องอุ้มลูกลงไปอยู่ที่พื้นดิน เนื่องจากมีคุณธรรมต่ำกว่า แต่เทวดาไม่กล้าจะไปบอกกับท่านเศรษฐีเอง คืนหนึ่งจึงได้แผ่รัศมีปรากฏกายให้บุตรชายของท่านเศรษฐีเห็นพร้อมกับกล่าวว่าให้เลิกทำทานเสียเถิด เพราะสมบัติอาจหมดไปได้ บุตรชายเศรษฐีโกรธที่เทวดาดูหมิ่นพระรัตนตรัยและไล่เทวดาให้ออกไป


ท่านเศรษฐียังคงเลื่อมใสในคุณของพระรัตนตรัยและให้ทานอยู่เป็นนิตย์ จนกระทั่งช่วงหนึ่งท่านถึงความยากจนลงโดยลำดับ เทวดาผู้มีมิจฉาทิฎฐิจึงเข้าไปในห้องเศรษฐี แล้วยุยงให้เลิกทำทาน แต่ถูกท่านเศรษฐีไล่ให้ออกจากบ้านของตน


เทวดาจึงได้คิดและสำนึกผิด ไปหาท้าวสักกเทวราชขอร้องให้ท่านพูดกับท่านเศรษฐีให้ แต่ท้าวสักกเทวราชตอบว่าไม่อาจทำได้ เพราะท่านได้กล่าวถ้อยคำอันไม่สมควร แต่แนะให้ไปตามทรัพย์สมบัติของท่านเศรษฐีที่สูญหายไปกลับคืนมายังคลังให้หมด เป็นการทำคุณไถ่โทษ ท่านอาจยกโทษให้


เทวดามิจฉาทิฏฐิรับเทวโองการแล้ว ไปตามสมบัติจนเรียบร้อยแล้วจึงไปขอให้ท่านยกโทษให้ ท่านเศรษฐีกล่าวว่า ต้องให้พระบรมศาสดาอดโทษให้ รุ่งขึ้นจึงพาเทวดานั้นไปยังเชตวันมหาวิหาร กราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ เมื่อพระพุทธองค์จึงตรัสว่า


“ดูก่อนคฤหบดี บุคคลผู้กระทำกรรมลามกในโลกนี้ เมื่อกรรมอันเป็นบาปนั้น ยังไม่ให้ผล บุคคลผู้นั้นยังได้รับความสุข ความเจริญอยู่ ต่อเมื่อใด กรรมอันเป็นบาปนั้นให้ผล ตนจึงได้รับผลแห่งบาปนั้น ” เมื่อจบพระคาถา เทวดานั้นได้บรรลุโสดาปัตติผล จากนั้นพระบรมศาสดาได้ตรัสยกย่องท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่าเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยและมีความเห็นอันบริสุทธิ์ แล้วจึงตรัสเรื่อง "ขทิรังคารชาดก"


เนื้อความของชาดก


ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี มีเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่ง ได้สร้างศาลาบำเพ็ญทานขึ้น ๖ แห่ง นอกจากนั้นยังได้รักษาศีลห้าและอุโบสถศีลตามกาลอยู่เสมอ ในครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งนั่งเข้านิโรธสมาบัติตลอด ๗ วัน จึงได้ออกบิณฑบาต เหาะผ่านมาเศรษฐีเห็นจึงรีบลุกขึ้นแสดงความเคารพ แล้วสั่งให้คนรับใช้ไปรับบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้ามา


พญามารเห็นการกระทำนั้น คิดต้องการขัดขวางการสร้างบุญบารมีครั้งนี้ให้ได้ จึงเนรมิตหลุมถ่านเพลิงลึกประมาณ ๘๐ ศอก มีถ่านไม้ตะเคียนลุกโชติช่วงราวกับเพลิงนรกคั่นอยู่ แต่ท่านเศรษฐีไม่สะดุ้งกลัวเลยแม้แต่น้อย นึกถึงคุณของพระรัตนตรัย แล้วกล่าวว่า


"..ข้าพเจ้าจะตกนรก มีเท้าขึ้นเบื้องบน มีศีรษะลงเบื้องล่างก็ตาม ข้าพเจ้าจักไม่ทำกรรมอันไม่ประเสริฐ ขอนิมนต์ท่านรับก้อนข้าวเถิด..."

(หมายความว่า ถึงอย่างไรไม่ยอมล้มเลิกการบำเพ็ญทานเด็ดขาด แม้ตนเองต้องตาย ขอถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา)


กล่าวจบเศรษฐีวิ่งไปบนหลุมถ่านเพลิงทันที ทันใดนั้นปรากฏดอกบัวใหญ่บานสะพรั่งดอกหนึ่ง ผุดขึ้นจากหลุมถ่านเพลิงรองรับเท้าทั้งสอง เศรษฐี เศรษฐีหนุ่มยืนอยู่บนดอกบัวนั้น พร้อมน้อมนำอาหารใส่ลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า พระองค์ทรงรับอาหารนั้นแล้วกระทำอนุโมทนา แล้วทรงเหาะกลับไปยังป่าหิมพาน ท่ามกลางความตื่นตะลึงของมหาชนที่ได้ประสบเหตุการณ์ในครั้งนั้น


พญามารเมื่อพ่ายแพ้แล้วหายตัวกลับไปยังที่อยู่ของตน เศรษฐีซึ่งยืนอยู่บนดอกบัว จึงกล่าวธรรมถึงการบำเพ็ญทาน และรักษาศีล แก่มหาชนที่ชุมนุมเหล่านั้น และต่างพากันสร้างบุญกุศลไปจนตลอดชีวิต


เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมชาดกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ในครั้งนั้น ได้ปรินิพพานแล้ว ส่วน "เศรษฐี" ชาวเมืองพาราณสี ได้เป็นเรา..ตถาคตนั้นแล.

ข้อคิดจากชาดก

๑ . มิจฉาทิฏฐิมีทั้งในเทวดาและมนุษย์ ดังนั้น สมาชิกในครอบครัวเดียวกันควรต่างเอาใจใส่ เป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกัน

๒ . การพักอาศัยอยู่กับผู้อื่นในฐานะใดก็ตาม อย่าได้นิ่งดูดาย ควรทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อเจ้าบ้าน แม้ช่วยได้เพียงเล็กน้อยก็ควรทำ

๔ .. ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

๕. ในการทำความดี ควรมีจิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว เพราะบุญเท่านั้นที่ติดตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติ


กราบอนุโมทนาบุญกับท่านผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ tongue tongue tongue

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron