วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องกฎแห่งกรรม จะศึกษาถึงเหตุและผลของชีวิต ซึ่งเมื่อศึกษาแล้วจะเข้าใจในหลักเหตุและผลว่าชีวิตของสัตว์บุคคลทั้งหลายไม่ใช่ใครดลบันดาลให้ประสบสุขหรือทุกข์ แต่เป็นไปตามกฎแห่งกรรม เป็นไปด้วยกรรม และการให้ผลของกรรมทั้งสิ้น ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะอุบัติขึ้น ชาวโลกก็ดิ้นรนแสวงหาทางที่จะพ้นทุกข์อยู่เหมือนกัน แต่การแสวงหาทางพ้นทุกข์ ต่างพากันปฏิบัติไปตามความเห็นของตน เจ้าลัทธิจึงเกิดขึ้นมากมาย บางลัทธิสอนว่า ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย เมื่อแตกดับไปแล้วก็สูญสิ้น ไม่มีการเกิดอีก ฉะนั้นจึงไม่ต้องไปสร้างกรรมดีให้เสียเวลา เพราะผลแห่งกรรมดีไม่มี ผลแห่งความชั่วไม่มี การบาเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ไม่มีประโยชน์ มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรก็ทาอย่างนั้น ไม่ต้องเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะเกิดมาแล้วชาติเดียวเท่านั้น ตายไปแล้วก็สูญ ไม่เกิดอีก นรก สวรรค์ไม่มี คนที่เชื่อในลัทธิเหล่านี้ก็หมดความเกรงกลัวบาป หมดความละอายต่อการกระทากรรมชั่วของตน บางลัทธิสอนว่า “ การกระทากรรมดีกรรมชั่ว ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศล สักแต่ว่าทาเท่านั้น” บางลัทธิสอนว่า “ คนเราเกิดมาดีหรือชั่วก็ตาม เป็นไปเองทั้งนั้น ไม่มีใครจัดแจงให้ จะดีก็ดีเอง จะชั่วก็ชั่วเอง ไม่ต้องมุ่งหน้าสร้างกรรมดีให้เสียเวลา” บางลัทธิสอนว่า “ คนเราจะดีหรือชั่วนั้น อยู่ที่อิทธิพลของดวงชะตา แล้วแต่ดวงดาวที่โคจรไปมาในจักรราศี ถ้าดวงดาวโคจรเข้าสู่ราศีที่ไม่ดีแล้ว ถึงจะทากรรมดี ก็ไม่สามารถประสบผลดีได้ ถ้าดวงดาวโคจรเข้าสู่ราศีที่ดีแล้ว ถ้าจะทากรรมชั่ว ก็ไม่เป็นไร ดวงช่วยไว้ได้ เป็นต้น” บางลัทธิสอนว่า “ ชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งมวล พระพรหมเป็นผู้สร้าง จะดีหรือไม่จึงขึ้นอยู่กับพระพรหมจะลิขิต ฉะนั้น เมื่อประสบความทุกข์ความเสื่อม ก็ต้องรับไปตามที่พรหมลิขิต ยอมรับด้วยความภักดีไม่คิดแก้ไขให้เป็นอื่นได้” พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่เกิดขึ้นท่ามกลางลัทธิเหล่านั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนให้ชาวโลกได้ทราบถึงกฎแห่งความเป็นจริงของชีวิตว่า ไม่มีผู้สร้าง แต่เป็นไปตามกฎแห่งกรรม

เรื่องกรรมเป็นเรื่องสาคัญ คนทั่วๆ ไปมักจะกล่าวถึงกันอยู่เสมอ แต่ก็เป็นการกล่าวโดยไม่เข้าใจเรื่องกรรม เมื่อจะกล่าวถึงก็พบว่าจะพูดเรื่องกรรมกันไปในความหมายคนละอย่าง กล่าวโดยไม่มีหลักในเรื่องกรรม บางคนพูดถึงเรื่องกรรมด้วยสาคัญว่า กรรมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาลได้ทุกอย่าง ทานองเดียวกับพระพรหมหรือพระเจ้าที่จะบันดาลได้ทุกอย่าง หรือพูดถึงกรรมในทานองโชคชะตา เคราะห์ ดวง หรือบางบุคคลกล่าวว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นมาเพื่อหลอกให้คนกลัวเท่านั้น กฎแห่งกรรมจึงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งยากแก่การเข้าใจ จึงเป็นธรรมดาที่คนในยุคที่เจริญก้าวหน้า ด้านวัตถุ จะคิดปฏิเสธกฎแห่งกรรมว่า “ทาดีก็ไม่เห็นว่าจะได้ดีที่ตรงไหน ทาชั่วก็ไม่เห็นว่าจะได้รับผลชั่วแต่อย่างไร” แล้วจะมุ่งทากรรมดีกันไปทาไม นี้เป็นเหตุหนึ่งในหลายๆ ประการ ที่ทาให้เห็นผิดไปว่า ทาดีไม่ได้ดี ทาชั่วไม่ได้ชั่ว ทั้งนี้ก็เพราะไม่เข้าใจในกฎแห่งกรรม ฉะนั้นการศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรม จึงมีความจาเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทาให้เกิดความสว่างในจิตใจ ความฉลาดในกฎแห่งกรรมนี้เองที่จะทาให้บุคคลละเว้นกรรมชั่ว หันมาประพฤติกรรมดี


ความรู้เบื้องต้นเรื่องของกรรม กรรมคืออะไร คาว่า “กรรม” แปลว่า การกระทา กรรมจึงเป็นคากลางๆ เพราะ กรรม หมายถึง การกระทาทั้งดีและชั่ว อะไรคือสิ่งที่เรียกว่ากรรม ? สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่ากรรมนั้น ตรัสหมายถึงเจตนา ฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่ากรรม มุ่งหมายถึงเจตนาที่กระทาดี เรียกว่า กุศลเจตนา เจตนาที่กระทาชั่ว เรียกว่า อกุศลเจตนา ซึ่งเมื่อสาเร็จเป็นกรรมแล้ว ก็เรียกว่า กุศลกรรม อกุศลกรรม

การกระทาต้องอาศัยเจตนาที่เกิดขึ้นภายในจิตเป็นเหตุ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “เจตะนาหัง ภิกขะเว กัมมัง วะทามิ เจตะยิตวา กัมมัง กะโรติ กาเยนะ วาจายะ มะนะสา” แปลว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนา คือ ตัวกรรม สัตว์ที่กระทากรรมด้วยกาย วาจา ใจก็ดี ย่อมมีการปรุงแต่ง คือคิดนึกก่อนแล้วจึงทา ดังนี้ คาว่าเจตนา ในทางธรรมะนั้นหมายถึง ธรรมชาติที่จงใจ ที่มุ่งมั่นจะกระทากิจต่างๆ ให้สาเร็จลง ซึ่งก็ต้องประกอบด้วยปัจจัยอื่นๆ ด้วย สิ่งที่กระทาสาเร็จแล้วนั้นเป็นกรรม ย่อมส่งผลในภายหลัง เป็นความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง แก่ผู้กระทา จึงเรียกว่า กรรม ในบางคราวลาพังเพียงเจตนาอย่างเดียวก็ไม่สามารถจะทาผลให้เกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยธรรมอื่นบางอย่างเกิดขึ้นประกอบร่วมกับเจตนา และธรรมบางอย่างเหล่านั้นออกหน้าเป็นประธานในการสร้างผลยิ่งกว่าเจตนา วาระเช่นนี้เองที่กล่าวได้ว่าธรรมบางอย่างที่ประกอบร่วมกันกับเจตนาก็ชื่อว่ากรรม เช่นการจะทาให้อริยผล เกิดขึ้น ต้องอาศัยองค์มรรค ๘ จึงจะสาเร็จได้ และองค์ ๘ ก็เป็นประธานในการทาพระอริยผลให้เกิดขึ้นยิ่งกว่าเจตนา ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงไม่ตรัสถึงเจตนา แต่ตรัสถึงพระอริยมรรคมีองค์ ๘ ว่าเป็นกรรม คือ เป็นกรรมที่ไม่ดาไม่ขาว ทาวิบากที่ไม่ดาไม่ขาว คือ ทาพระอริยผลมีโสดาปัตติผล เป็นต้น ให้เกิดขึ้น และถ้าจะกล่าวถึงโพชฌงค์ ๗ (องค์แห่งการตรัสรู้ ๗ อย่าง) มีสติสัมโพชฌงค์ เป็นต้น โพชฌงค์นี้เป็นเหตุแห่งพระอริยมรรคมีองค์ ๘ อีกทีหนึ่ง หรือ อภิชฌา คือ ความโลภที่เพ่งเล็งอยากได้ พยาบาท คือ ความโกรธที่มุ่งที่จะให้ผู้อื่นวิบัติ มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด ทั้ง ๓ ประการนี้ เกิดขึ้นได้เพราะมีสภาพธรรมของตนโดยเฉพาะๆ เป็นประธาน ไม่ใช่มีเจตนาอย่างเดียว และสาเร็จเป็นกรรมได้ก็เพราะมีสภาพธรรมของตนนั้นทาให้สาเร็จ และการที่จะไม่ให้สภาพธรรมฝ่ายชั่ว ๓ อย่างนี้เกิดขึ้น ก็ต้องมีธรรมฝ่ายดี หรือที่เรียกว่า ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันเกิดขึ้น จึงจะทาให้ธรรมฝ่ายชั่วนั้นหยุดลง ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันมีดังนี้ คือ อภิชฌา มีธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ คือ อนภิชฌา เป็นสภาวะที่ห้ามความโลภ พยาบาท ” ” ” อพยาบาท เป็นสภาวะที่ห้ามความโกรธ มิจฉาทิฏฐิ ” ” ” สัมมาทิฏฐิ เป็นสภาวะที่มีความเห็นชอบ สรุปว่า ในคราวใดที่การกระทาทั้งหลาย มีการให้ทาน หรือ การฆ่าสัตว์ เป็นต้น สาเร็จลง ถ้าการกระทานั้นๆ สาเร็จได้เพราะอาศัยเจตนาออกหน้า เป็นประธาน เป็นใหญ่ ก็กล่าวได้ว่ามีเจตนาเป็นผู้ทาให้สาเร็จ คือเป็นกรรม ถ้าการกระทานั้นๆ สาเร็จลงเพราะอาศัยธรรมอื่นบางอย่างที่ประกอบร่วมกับเจตนา ออกหน้า เป็นประธาน เป็นใหญ่ ก็กล่าวได้ว่ามีธรรมอื่นเหล่านั้นเป็นผู้ทาให้สาเร็จ คือ เป็นกรรม เช่น อภิชฌา มีความโลภที่เพ่งเล็งอยากได้ เป็นประธาน
กรรมมีกี่อย่าง
๑. กรรมมี ๒ อย่าง โดยชาติ คือ อกุศลกรรม และ กุศลกรรม หมายความว่า ถ้าเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนหรือผู้อื่นก็เป็นอกุศลกรรม ถ้างดเว้นจากการเบียดเบียนก็เป็นกุศลกรรม
กรรมมี ๒ อย่าง อีกนัยหนึ่ง โดยการส่งผล คือ อกุศลส่งผลเป็นทุกข์ เรียกว่า อกุศลกรรม กุศลส่งผลเป็นความสุข เรียกว่า กุศลกรรม
๒. กรรมมี ๓ อย่าง โดยเกี่ยวกับทวาร ๓ คือ กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร กล่าวคือ กรรมทั้ง ๒ อย่าง คือ กุศลกรรมและอกุศลกรรมดังกล่าวแล้วนั้น แต่ละอย่าง เมื่อจาแนกตามทวาร ๓ คือ กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร ก็ได้ ๓ อย่าง คือ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม โดยสรุปทวารคือ ช่องทางให้เกิดกรรม เรื่องกรรม ๓ มีกายกรรม เป็นต้นนี้ จะกล่าวโดยละเอียดในบทเรียนชุดที่ ๗.๒
๓. กรรมมี ๓ อย่าง อีกนัยหนึ่ง โดยเกี่ยวกับภูมิ ๓ ได้แก่ กามาวจรกรรม รูปาวจรกรรม อรูปาวจรกรรม ที่ว่าเกี่ยวกับภูมิ เพราะมีความหมายว่า เป็นที่เกิด คือ เป็นที่เกิดของสัตว์ มี ๓ คือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ฉะนั้น กรรมที่เป็นเหตุให้ท่องเที่ยว คือ เกิดในกามภูมิ ชื่อว่า กามาวจรกรรม กรรมที่เป็นเหตุให้ท่องเที่ยว คือ เกิดในรูปภูมิ ชื่อว่า รูปาวจรกรรม กรรมที่เป็นเหตุให้ท่องเที่ยว คือ เกิดในอรูปภูมิ ชื่อว่า อรูปาวจรกรรม
๔. กรรมมี ๔ อย่าง มีหลายนัย เช่น เกี่ยวกับกิจที่กระทา คือ ชนกกรรม เป็นต้น หรือ เกี่ยวกับลาดับแห่งการให้ผล คือ ครุกกรรม เป็นต้น ซึ่งจะกล่าวในกรรม ๑๖ ที่จะได้ศึกษาโดยละเอียดต่อไป
๕. กรรมมี ๕ อย่าง ได้แก่ อนันตริยกรรม ๕ อย่าง คือ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทาสังฆ-เภท ทาโลหิตุปบาท
๖. กรรมมี ๑๐ อย่าง ได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ มีปาณาติปาต เป็นต้น หรือ กุศลกรรมบถ ๑๐ มีการงดเว้นจากการฆ่า เป็นต้น หรือ บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ มีการให้ทาน เป็นต้น
๗. กรรมมี ๑๒ อย่าง กรรมมีทั้งหมด ๔ หมวด คือ
หมวดที่ ๑ กิจจจตุกกะ มี ๔ อย่าง คือ ชนกกรรม เป็นต้น หมวดที่ ๒ ปากทานปริยายจตุกกะ มี ๔ อย่าง คือ ครุกกรรม เป็นต้น หมวดที่ ๓ ปากกาลจตุกกะ มี ๔ อย่าง คือ ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม เป็นต้น หมวดที่ ๔ ปากัฏฐานจตุกกะ มี ๔ อย่าง คือ อกุศลกรรม เป็นต้น ใน ๓ หมวดแรกมีหมวดละ ๔ อย่าง รวมเป็น ๑๒ อย่าง เป็นกรรมที่แสดงโดยนัยแห่งพระสูตร (เฉพาะกรรมหมวดที่ ๔ มี ๔ อย่าง เท่านั้น ที่แสดงโดยนัยแห่งพระอภิธรรม)
๘. กรรมมี ๑๖ อย่าง เป็นการแสดงเรื่องกรรมทั้งหมด รวมทั้งโดยนัยแห่งพระสูตรและพระอภิธรรม
จะกล่าวโดยละเอียดเฉพาะเรื่องกรรม ๑๖ เพราะเป็นที่รวบรวมเรื่องกรรมไว้ทั้งหมดแล้ว

หมวดที่ ๑ หน้าที่ของกรรม (กิจจจตุกกะ) มี ๔ คือ ๑. ชนกกรรม กรรมที่ทาหน้าที่ให้วิบากเกิดขึ้น หรือทาให้ผลเกิดขึ้น ๒. อุปัตถัมภกกรรม กรรมที่ทาหน้าที่ช่วยอุดหนุนกรรมอื่นๆ ๓. อุปปีฬกกรรม กรรมที่ทาหน้าที่เข้าไปเบียดเบียนกรรมอื่นๆ ๔. อุปฆาตกกรรม กรรมที่ทาหน้าที่เข้าไปตัดรอนกรรมอื่นๆ หมวดที่ ๒ ลาดับการให้ผลของกรรม (ปากทานปริยายจตุกกะ) มี ๔ คือ
๑. ครุกกรรม กรรมอย่างหนัก ที่กรรมอื่นๆ ไม่สามารถจะห้ามได้
๒. อาสันนกรรม กรรมที่ทาไว้เมื่อใกล้จะตาย
๓. อาจิณณกรรม กรรมที่เคยทาไว้เสมอๆ
๔. กฏัตตากรรม กรรมที่ทาไว้พอประมาณ พอประมาณนี้หมายถึงไม่เท่าถึง
กรรมทั้ง ๓ ข้อ ที่กล่าวไว้ข้างต้น หรือกรรมในอดีตภพ หมวดที่ ๓ เวลาที่ให้ผล (ปากกาลจตุกกะ) มี ๔ คือ
๑. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม กรรมที่ให้ได้รับผลในปัจจุบันชาตินี้
๒. อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า (คือชาติที่ ๒ นับจากชาตินี้ไป)
๓. อปราปริยเวทนียกรรม กรรมที่จะให้ผลตั้งแต่ชาติที่ ๓ เป็นต้นไป จนกว่าจะนิพพาน
๔. อโหสิกรรม กรรมที่ไม่ให้ผล
หมวดที่ ๔ ว่าโดยฐานะที่ให้ผล (ปากัฏฐานจตุกกะ) มี ๔ คือ
๑. อกุศลกรรม ได้แก่ เจตนาที่อยู่ในอกุศลจิต ๑๒
๒. กามาวจรกุศลกรรม ได้แก่ เจตนาที่อยู่มหากุศลจิต ๘
๓. รูปาวจรกุศลกรรม ได้แก่ เจตนาที่อยู่ในรูปาวจรกุศลจิต ๕
๔. อรูปาวจรกุศลกรรม ได้แก่ เจตนาทิ่อยู่ในอรูปาวจรจิต ๔

กิจจจตุกกะ หมายถึง หน้าที่ของกรรม มี ๔ อย่าง คือ ๑. ชนกกรรม หมายถึง กรรมที่ทาหน้าที่ให้วิบากเกิดขึ้น หรือทาให้ผลเกิดขึ้น ๒. อุปัตถัมภกกรรม หมายถึง กรรมที่ทาหน้าที่ช่วยอุดหนุนกรรมอื่นๆ ๓. อุปปีฬกกรรม หมายถึง กรรมที่ทาหน้าที่เข้าไปเบียดเบียนกรรมอื่นๆ ๔. อุปฆาตกกรรม หมายถึง กรรมที่ทาหน้าที่เข้าไปตัดรอนกรรมอื่นๆ ๑. ชนกกรรม ชนกกรรม หมายถึง กรรมที่ทาให้วิบากเกิดขึ้น เป็นกรรมที่ทาให้วิปากทั้งนามและรูปเกิดขึ้นได้ องค์ธรรมได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ และโลกียกุศลกรรม ๑๗ คือ มหากุศลกรรม ๘ รูปาวจรกุศลกรรม ๕ อรูปาวจรกุศลกรรม ๔ กรรมที่ชื่อว่า ชนกกรรม เพราะมีความหมายว่า “ทาให้เกิด” คือ เจตนาที่เป็นกุศลหรืออกุศล ซึ่งทาให้วิบากและกัมมชรูปให้เกิดขึ้นในปฏิสนธิกาล คือ ในเวลาที่สัตว์เกิด และทาให้วิบากและกัมมชรูปให้เกิดขึ้นในปวัตติกาล คือ ในเวลาต่อมาหลังจากปฏิสนธิแล้ว คาว่า วิบาก แปลว่า ผล เปรียบเทียบว่า ข้าวสารที่หุงแล้วย่อมเป็นข้าวสวยให้คนได้รับประทาน ได้รับความอร่อย หรือไม่อร่อย จึงเรียกข้าวสวยนั้นว่า “ข้าวสุก” หรือ ผลมะม่วงเมื่อเริ่มแก่ก็เหมาะแก่การนามารับประทาน ได้รับความอร่อย หรือไม่อร่อย จึงเรียกมะม่วงแก่นั้นว่า “มะม่วงสุก” ฉันใด กรรมที่บุคคลทา คือก่อไว้แล้ว ย่อมมีผลที่บุคคลพึงได้รับเป็นความสุข หรือทุกข์ในภายหลัง จึงเรียกผลของกรรมนั้นว่า วิบาก คือเป็นผล หรือเป็นของสุกงอม เพราะเป็นเหมือนความสุกงอมของกรรมฉันนั้น คาว่า วิบาก นี้ เป็นชื่อผลของกรรมฝ่ายนามธรรม คาว่า กัมมชรูป เพราะเป็นรูปที่เกิดจากกรรม จึงได้ชื่อว่า กัมมชรูป เรื่องรูปได้ศึกษาแล้วในบทเรียนชุดที่ ๕ ว่า รูปเกิดจากสมุฏฐาน ๔ คือ กรรม จิต อุตุ อาหาร กัมมชรูป คือ รูปที่เกิดจากกรรม ได้แก่ ปสาทตา รวมตลอดถึง อวัยวะ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ เป็นต้น

๑. ชนกกรรมนาเกิดในสุคติภูมิ
๑.๑ มหากุศลกรรม ๘ ส่งผลนาไปเกิดในมนุษย์ภูมิและเทวภูมิ
มหากุศลกรรม ๘ จะส่งผลเป็นวิบากที่ดี เจตนาที่อยู่ในมหากุศลกรรมจะส่งผลทาหน้าที่ชนกกรรมนาไปเกิด ได้รูปร่างกายปรากฏอัตภาพของสัตว์ในสุคติภูมิ เป็นมนุษย์หรือเทวดา อันจะเป็นปัจจัย คือ เป็นที่รองรับความสุขได้มากกว่าความทุกข์ และการมีวิมาน มีรัศมี ของเทวดา ก็ด้วยอานาจของกรรมที่เกิดจากชนกกรรมนี้เอง
๑.๒ รูปาวจรกุศลกรรม ๕ นาไปเกิดในรูปภูมิ อรูปาวจรกุศลกรรม ๔ นาไปเกิดในอรูปภูมิ สาหรับรูปาวจรกุศลและอรูปาวจรกุศล คือผู้ที่ประกอบกรรมในภาวนากุศล เช่น ปัจจุบันชาตินี้เจริญสมาธิภาวนาจนได้ฌาน ตั้งแต่ปฐมฌานเป็นต้นไป เจตนาที่เกิดขึ้นในรูปาวจรกุศล ก็ส่งผลให้ไปเกิดในรูปภูมิ เป็นรูปพรหม ถ้าเจริญอรูปาวจรกุศล ก็จะส่งผลนาไปเกิดในอรูปภูมิ เป็นอรูปพรหม ๒. ชนกกรรมนาเกิดในอบายภูมิ ๒.๑ อกุศลกรรม ๑๒ ส่งผลนาไปเกิดในอบายภูมิ ๔ อกุศลกรรม ๑๒ เป็นกรรมชั่ว จึงส่งผลเป็นวิบากที่ชั่ว เจตนาที่อยู่ในอกุศลกรรมนั้น จะส่งผลทาหน้าที่ชนกกรรมนาไปเกิด ได้รูปร่างกายก็ปรากฏเป็นอัตภาพของสัตว์ในทุคติภูมิ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นที่รองรับความทุกข์ได้มากกว่าความสุข นรก
การทากรรมโดยมีเจตนาประกอบในโทสมูลจิต เช่น การอาฆาต พยาบาท เบียดเบียน ปองร้าย ความโกรธที่รุนแรงก็จะเป็นตัวชนกกรรมนาให้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก จะถูกเผาด้วยไฟ ถูกทรมานด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ไม่ตาย เพราะเหตุว่ากรรมยังไม่หมด เป็นทุกข์ทรมานจากการถูกทรมาน ก็ด้วยอานาจของกรรมที่ทาด้วยความโกรธ
เปรต และอสุรกายภูมิ
การทากรรมโดยมีเจตนาประกอบในโลภมูลจิต เจตนาในโลภมูลจิตจะทาหน้าที่ชนกกรรมนาไปเกิดในสองภูมินี้
เดรัจฉาน
การทากรรมโดยมีเจตนาประกอบในโมหมูลจิต เจตนาใน โมหมูลจิตจะทาหน้าที่ชนกกรรมนาไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

อนึ่ง การที่มนุษย์ เทวดา พรหม และ สัตว์ทั้งหลาย ได้รูปร่างกายที่แตกต่างกัน ทั้งรูปลักษณ์ ทรวดทรง สัณฐาน สูง ต่า ดา ขาว และด้านอาการ ๓๒ ตลอดจนด้านประสาท ความต่างกันของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็เรียกว่า กัมมชรูป เหมือนกัน ในสังสารวัฏอันยาวนานนี้ สัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับภพชาติไม่ถ้วน จึงทากรรมมาแล้วทุกอย่าง ในกรรมทั้งหลายนั้น ถ้ากรรมดีอย่างหนึ่งให้ผลทาหน้าที่ปฏิสนธิให้เกิดขึ้นในมนุษย์ กรรมดีอย่างนั้นและกรรมดีอย่างอื่นที่เหลือก็ยังตามให้ผลในปวัตติกาล โดยการให้ผลอันเป็นเหตุให้เกิดความสุข ตามสมควรแก่โอกาส ส่วนกรรมชั่วทั้งหลายก็มีแต่จะตามให้ผลในเวลาหลังจากปฏิสนธิแล้วอย่างเดียว โดยการให้ผลเป็นความทุกข์ ตามสมควรแก่โอกาสของตน กรรมเหล่านั้น ชื่อว่า ชนกกรรมทั้งสิ้น คือ ทาวิบากให้เกิด และในเวลาที่กรรมชั่วให้ผลนาไปเกิดในอบายภูมิก็มีนัยเดียวกันนี้ สรุป ชนกกรรม เป็นกรรมที่ทาวิบากพร้อมทั้งกัมมชรูปให้เกิดขึ้น ในปฏิสนธิกาล คือในเวลาที่เกิด และในปวัตติกาล คือ ในเวลาต่อมาหลังจากที่ปฏิสนธิแล้ว จบ ชนกกรรม ๒. อุปัตถัมภกกรรม อุปัตถัมภกกรรม หมายถึง กรรมที่ทาหน้าที่ช่วยอุดหนุนกรรมอื่นๆ เป็นกรรมที่อุปถัมภ์กรรมอื่นๆ คือ ช่วยอุปถัมภ์รูปนามขันธ์ ๕ ที่เกิดจากกรรมอื่นๆ ได้ องค์ธรรมได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ มหากุศลกรรม ๘ คาว่า อุปัตถัมภกกรรม เพราะเป็นกรรมที่มีความหมายว่า อุปถัมภ์ กล่าวคือ อุปถัมภ์วิบากอันเป็นผลของชนกกรรมนั่นเอง เฉพาะอุปัตถัมภกกรรมเอง ไม่สามารถที่จะทาให้วิบากเกิดได้โดยตรง ทาได้แต่เพียงอุปถัมภ์สุข หรือทุกข์นั้นให้เป็นไปได้นานๆ ในปวัตติกาล (สุขหรือทุกข์นี้เป็นวิบากที่ชนกกรรมทาให้เกิดขึ้น) เช่น ช่วยอุปถัมภ์ทาให้ธาตุทั้ง ๔ มีความสม่าเสมอกัน จึงทาให้เป็นคนมีโรคน้อย เป็นคนมีอนามัยดี เมื่อบุคคลนั้นมีโรคน้อย เป็นคนมีอนามัยดี ชนกกรรมที่เป็นกุศลที่ได้ทาไว้แล้วในอดีตก็มีโอกาสให้ผลได้โดยสะดวก ส่งผลให้ได้รับความสุข ให้เกิดได้บ่อยๆ ด้วยเหตุที่ทาหน้าที่อุปถัมภ์สนับสนุนให้ชนกกรรมฝ่ายกุศลมีโอกาสให้ผลได้โดยสะดวก จึงได้ชื่อ อุปัตถัมภกกรรม ส่วนฝ่ายอกุศลก็มีนัยเป็นไปในทานองตรงกันข้ามคือทาให้ได้รับทุกข์ ต่อไปจะได้ศึกษาเรื่องอุปัตถัมภกกรรมในนัยต่างๆ โดยละเอียด
ปฏิสนธิกาล คือ ขณะเกิด กล่าวคือ ในขณะที่มีวิญญาณมาเกิดในครรภ์มารดา ขณะนั้นเรียกว่า ปฏิสนธิกาล ปวัตติกาล คือ ขณะที่ดารงชีวิตอยู่ กล่าวคือ เวลาภายหลังจากปฏิสนธิกาลแล้ว ในช่วงที่สัตว์ยังดารงชีวิตอยู่

อุปัตถัมภกกรรม มี ๓ ประการ คือ
๑. อุดหนุนชนกกรรม ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล
๒. อุดหนุนชนกกรรม ที่กาลังมีโอกาสให้ผล ให้มีกาลังในการให้ผลบริบูรณ์ยิ่งขึ้น
๓. อุดหนุนรูปนาม ที่เกิดมาแล้วให้เจริญขึ้นและอยู่ได้
๑. อุดหนุนชนกกรรม ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล มี ๘ คือ ๑.๑ กุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ๑.๒ กุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ๑.๓ อกุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ๑.๔ อกุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ๑.๕ กุศล ที่เกิดขึ้นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ๑.๖ กุศล ที่เกิดขึ้นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ๑.๗ อกุศล ที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ๑.๘ อกุศล ที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ๑.๑ กุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล ตัวอย่างเช่น บุคคลทาทั้งกุศลและอกุศล เมื่อใกล้จะตายถ้ามีสติกาหนดรู้เท่าทันจิต ทาให้จิตผ่องใสไม่เศร้าหมอง ไม่ห่วงกังวลในทรัพย์สินเงินทอง หรือเรื่องใดๆ กุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตายจะช่วยอุดหนุนแก่กุศลกรรมที่ทาไว้แล้วในชาติก่อนๆ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้ได้มีโอกาสส่งผล นาไปเกิดในภพภูมิที่ดีต่อไป ๑.๒ กุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล ตัวอย่างเช่น บุคคลเมื่อใกล้จะตายถ้าเกิดความห่วงใยในบุตร ภรรยา สามี ทรัพย์สิน อาลัยอาวรณ์ในชีวิตตนเอง ไม่อยากตาย กลัวตาย เพราะความตายทาให้พลัดพรากจากสิ่งที่รัก สิ่งที่หวงแหน ใจเศร้าหมอง กระวนกระวาย สีหน้าเปลี่ยนไป เกิดความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ถ้าปล่อยให้ตายไปในลักษณะอย่างนี้ก็ไปสู่ทุคติภูมิ
จะแก้ไขอย่างไร ? ทั้งๆ ที่กุศลก็เคยทามาแล้ว แต่กุศลนั้นช่วยไม่ได้ เพราะว่าปัจจุบันมีแต่อกุศลเกิดขึ้น มีความยึดถือ ความห่วงใย ทาให้ใจเศร้าหมอง ผู้ปรนนิบัติ ถ้ารู้เท่าทันต่ออารมณ์ ก็ควรพูดให้ผู้ใกล้ตายนึกถึงบุญกุศลที่เคยทามา เช่น สร้างโบสถ์ ศาลา พระประธาน ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ใส่บาตร ฯลฯ ผู้ใกล้ตายเคยทาบุญอะไรก็ให้ผู้ปรนนิบัติพูดถึงเสมอๆ ให้ดูรูปถ่ายงานบุญที่เคยทา เพื่อให้ผู้ใกล้ตายนึกถึงบุญที่เคยทาไว้ อารมณ์ใหม่ที่ได้รับนี้ อาจจะทาให้คลายความทุกข์ และมีอารมณ์เป็นกุศลเกิดขึ้น เป็นทางหนึ่งที่จะช่วยทาให้ผู้ใกล้ตายมีกุศลเกิดขึ้น ทาให้กุศลชนกกรรมในปัจจุบันที่เคยทาไว้แล้ว และยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสส่งผลนาไปสู่สุคติภูมิได้ ๑.๓ อกุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล ตัวอย่างเช่น บางคนบริจาคทาน รักษาศีล แต่ว่าจิตไม่ถึงขั้นภาวนา แล้วก็ไม่รู้เรื่องชีวิต ไม่รู้เรื่องรูป-นาม เพราะว่าไม่ได้ศึกษาเรื่องรูปนาม พอใกล้ตายก็มีแต่ความกลัว กลัวความพลัดพราก จิตก็ผูกพันอยู่กับทรัพย์สมบัติที่ตัวเองไม่ได้ทาทาน ผูกพันอยู่กับลูกหลานบริวารต่างๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทาให้เกิดทุกข์ จิตใจเศร้าหมอง ถ้าคนที่ปรนนิบัติไม่รู้เรื่องธรรมะ ไม่มีการศึกษาธรรมะ ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร บางครั้งลูกหลาน มานั่งร้องไห้ ยิ่งทาให้ห่วงหนักขึ้นไปอีก จิตก็ยิ่งเศร้าหมอง เมื่อเป็นเช่นนี้ อกุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตายนี้เองจะเปิดโอกาสให้อกุศลกรรมทั้งหลายที่เคยทาไว้แล้วในอดีตภพ มีกาลังส่งผล เมื่อตายลงก็นาไปเกิดในอบายภูมิ ๑.๔ อกุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล
ตัวอย่างเช่น บางบุคคลเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก ขาดการอบรมสั่งสอนเรื่องบาปบุญ จึงทาอะไรตามประสาเด็ก เช่น ชอบรังแกสัตว์ ตีสัตว์ให้ตาย ตกปลา เห็นเป็นเรื่องสนุก เพราะว่าไม่รู้เรื่องบาปบุญ แต่ถ้าพ่อแม่เป็นคนมีศีลธรรมก็จะห้ามลูกให้กลัวบาป เด็กจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม แต่คาว่าบาปนี้ติดหูเด็ก เด็กก็ไม่กล้าทา ถ้าทาชั่วอย่างนี้เป็นบาป เด็กบางคนพ่อแม่ไม่ได้สั่งสอนเรื่องบาปบุญคุณโทษ แม้แต่คาว่า “บาป” ในสมัยนี้เราก็ไม่พูดถึงแล้ว บาปบุญ คุณโทษ เป็นอย่างไรไม่รู้เรื่อง จึงทาบาปด้วยความคะนองตามประสาเด็ก พอโตขึ้นตอนใกล้ตายจิตใจนึกถึงเมื่อตอนเด็กว่าเคยฆ่าสัตว์ เคยทาบาปอย่างนั้นๆ เมื่อตายในขณะที่ใจเศร้าหมองก็ส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะอกุศลที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้ตาย เป็นกาลังอุดหนุนเปิดโอกาสแก่อกุศลกรรมในปัจจุบันภพที่ยังไม่มีโอกาสส่งผล ให้มีโอกาสส่งผล

๑.๕ กุศลที่เกิดขึ้นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล ตัวอย่างเช่น บุคคลที่ทากุศลสม่าเสมอ กุศลก็อุปถัมภ์เปิดโอกาส ในกุศลชนกกรรมในอดีตให้มีโอกาสส่งวิบาก คือ ผลให้เกิดขึ้นได้ อาจทาให้บุคคลนั้นร่ารวยเป็นเศรษฐีในชาตินั้นได้รับความสุข ไม่มีโรคภัย อันตรายใดๆ มาเบียดเบียน ถึงแม้ในขณะนั้นสถานที่ที่อยู่อาศัยอาจจะเต็มได้ด้วยภัยต่างๆ แต่เขาก็ปลอดภัย เพราะกุศลที่ทาเสมอในชาตินี้ เป็นกาลังช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตให้ส่งผล ๑.๖ กุศลที่เกิดขึ้นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล ตัวอย่างข้อนี้ เป็นไปในทานองเดียวกันกับข้อที่ ๑.๕ คือ กุศลที่ทาเป็นปกติในชาตินี้ อุปถัมภ์ช่วยเปิดโอกาสให้กุศลชนกกรรมในชาตินี้ส่งผล ถ้าส่งผลอุปถัมภ์นามรูปที่เกิดมาแล้ว ก็สามารถทาให้ได้รับความสุขในการดารงชีวิต จากที่ลาบาก ก็อาจจะสบายขึ้น จากที่มีโรคภัยก็อาจทาให้หายจากโรคภัย ๑.๗ อกุศลที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล ตัวอย่างเช่น ในฝ่ายอกุศลกรรมที่ทาเป็นปกติ แต่กาลังของอกุศลกรรมนี้ไม่มีโอกาสส่งผลด้วยตัวเอง จึงอุปถัมภ์เปิดโอกาสในอกุศลชนกกรรมในอดีตภพได้มีโอกาสให้ผล ให้วิบากคือความทุกข์ ความเดือดร้อน เกิดขึ้นได้บ่อยๆ นานๆ เช่น คนที่ทาอาชีพฆ่าสัตว์ กรรมนี้ยังไม่ให้ผล แต่ก็เปิดโอกาสให้อกุศลชนกกรรมในอดีตส่งผล ทาให้เจ็บป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หาย ไม่มียา ไม่มีหมอจะรักษา ได้รับทุกข์ทรมาน ทรัพย์ที่ได้มาก็หมดไปกับการขจัดทุกข์ที่อกุศลชนกกรรมนั้นส่งผลมา ๑.๘. อกุศลที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล ตัวอย่างในข้อนี้ เป็นไปในทานองเดียวกับข้อที่ ๑.๗ คือ อกุศลที่ทาเป็นปกติในชาตินี้ อุปถัมภ์ช่วยเปิดโอกาสให้อกุศลชนกกรรมในชาตินี้ส่งผล คือ ทาให้ได้รับความทุกข์ สรุป อุปัตถัมถกกรรมที่ทาหน้าที่ช่วยอุดหนุนชนกกรรมที่ยังไม่มีโอกาสส่งผล ให้มีโอกาสส่งผล ซึ่งได้แก่กุศลและอกุศลที่เกิดขึ้นในมรณาสันนกาลก็ดี หรือกุศลและอกุศลที่ทาในภพนี้ก็ดี จะทาหน้าที่อุปถัมภ์แก่ชนกกรรมให้ทาหน้าที่ นาให้วิบากปรากฏขึ้น ๒. อุดหนุนชนกกรรม ที่กาลังมีโอกาสให้ผล ให้มีกาลังในการให้ผลบริบูรณ์ยิ่งขึ้น มี ๑๐ ข้อ ๒.๑ กุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ๒.๒ กุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ๒.๓ อกุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ๒.๔ อกุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ๒.๕ กุศล ที่เกิดขึ้นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตภพ

๒.๖ กุศล ที่เกิดขึ้นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ๒.๗ อกุศล ที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในอดีตภพ ๒.๘ อกุศล ที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ๒.๙ กุศล ที่เกิดขึ้นในอดีตภพ ช่วยอุดหนุนแก่กุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ๒.๑๐ อกุศล ที่เกิดขึ้นในอดีตภพ ช่วยอุดหนุนแก่อกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ อุปัตถัมภกกรรม ตั้งแต่ข้อที่ ๑ ถึง ข้อที่ ๘ นี้ จะมีสาระเหมือนกับ ๘ ข้อ ในหัวข้อที่ ๑ อุดหนุนชนกกรรม ที่ยังไม่มีโอกาสให้ผล ให้มีโอกาสให้ผล ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่แตกต่างกันตรงหน้าที่เท่านั้น กล่าวคือ หน้าที่ของอุปภัมถ์โดยนัยนี้จะทาหน้าที่อุปถัมภ์ชนกกรรมที่กาลังมีโอกาสให้ผล ให้มี กาลังในการให้ผลบริบูรณ์ยิ่งขึ้นไป มีรายละเอียด ดังนี้ ข้อที่ ๒.๑ – ๒.๔ ฝ่ายกุศล ฝ่ายอกุศล ที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ตัวอย่างฝ่ายกุศล ข้อ ๒.๑ – ๒.๒ กุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ไปทาหน้าที่ช่วยอุดหนุนกุศลชนกกรรมในอดีตภพก็ได้ หรือมีโอกาสอุดหนุนทาให้กุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพนี้ก็ได้ ที่กาลังมีโอกาสให้ผลอยู่แล้ว ให้สามารถมีกาลังการส่งผลได้เต็มที่บริบูรณ์มากขึ้น เช่น ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้เป็นมนุษย์ชั้นสูงห่างไกลจากความทุกข์ทั้งปวง ได้อยู่ในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ มีพระพุทธศาสนา อยู่ในท่ามกลางของบัณฑิต เป็นต้น แต่ถ้าหากว่ากุศลในขณะใกล้ตายนี้ไม่มีโอกาสมาเป็นกาลังอุดหนุนกุศลชนกกรรมนี้แล้วไซร้ อาจจะได้เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ไปเกิดอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยทุกข์ยากแค้น มีสงคราม ทามาหาเลี้ยงชีพลาบากยากแค้น เป็นต้น ตัวอย่างฝ่ายอกุศล ข้อ ๒.๓ – ๒.๔ ก็เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับฝ่ายกุศลนั้นเอง กล่าวคือ อกุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตาย ไปทาหน้าที่ช่วยอุดหนุนอกุศลชนกกรรมในอดีตภพก็ได้ หรือมีโอกาสอุดหนุนทาให้อกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพนี้ก็ได้ ที่กาลังมีโอกาสให้ผลอยู่นั้น ให้มีกาลังส่งผลได้เต็มที่บริบูรณ์มากขึ้น เช่น อกุศลชนกกรรมได้รับกาลังอุดหนุนทาให้มีกาลังมากยิ่งขึ้น จึงนาไปเกิดในนรกขุมที่ลึกที่สุด ได้รับทุกข์โทษอย่างแสนสาหัสที่สุด ข้อที่ ๒.๕ – ๒.๘ ฝ่ายกุศล – ฝ่ายอกุศล ที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่เสมอในปัจจุบันภพ ตัวอย่างฝ่ายกุศล ข้อ ๒.๕ – ๒.๖ กุศลกรรมต่างๆ ที่กระทาไว้แล้วอย่างสม่าเสมอในชาตินี้ มีโอกาสเป็นกาลังอุดหนุนส่งเสริมให้กุศลชนกกรรมในอดีตภพก็ได้ หรือกุศลกรรมในปัจจุบันภพนี้ก็ได้ ที่กาลังมีโอกาสให้ผลอยู่นั้น ให้สามารถมีกาลังการส่งผลได้เต็มที่บริบูรณ์มากขึ้น เช่น ถ้าได้เกิดเป็นเทวดา ก็อาจจะเป็นเทวดาที่มีวิมานของตนเอง มีรัศมีผุดผ่องกว่าเหล่าเทวดาทั้งหลาย เป็นเทวดาที่อยู่ในกลุ่มของเทวดาสัมมาทิฏฐิ ซึ่งจะมีโอกาสทาให้เป็นเทวดา สัมมาทิฏฐิด้วย เป็นต้น
ตัวอย่างฝ่ายอกุศล ข้อที่ ๒.๗ - ๒.๘ ก็เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับฝ่ายกุศลนั้นเอง กล่าวคือ อกุศลกรรมที่กระทาไว้แล้วอย่างสม่าเสมอในชาตินี้ ไปทาหน้าที่ช่วยอุดหนุนอกุศลอกุศลชนกกรรมในอดีตภพก็ได้ หรือมีโอกาสอุดหนุนทาให้อกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพนี้ก็ได้ ที่กาลังมีโอกาสให้ผลอยู่

นั้น ให้มีกาลังส่งผลได้เต็มที่บริบูรณ์มากขึ้น เช่น บางบุคคลดารงชีวิตอยู่ด้วยการทาแต่อกุศลไม่ว่าจะเป็นการทามาหาเลี้ยงชีพ การพูด การกระทา การคิด ล้วนแล้วแต่เป็นอกุศล บุญทานไม่เคยทา คิดแต่ว่าการจะได้มาซึ่งทรัพย์สิน ชื่อเสียง เกียรติยศ ก็ต้องแลกมาด้วยวิธี การต่างๆ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องด้วยกล เมื่อถึงเวลาใกล้ตายก็ไม่มีที่พึ่งคือบุญอย่างใดๆ เลย ระลึกนึกถึงได้แต่อกุศลเพราะเคยชินอยู่กับการใช้ชีวิตแบบอกุศล อกุศลที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ ตายนี้ก็มีกาลังช่วยอุดหนุนทาให้อกุศลชนกกรรมทั้งในอดีตภพ หรือ ปัจจุบันที่กาลังมีโอกาสให้ผล ก็มีกาลังในการส่งผลได้อย่างบริบูรณ์มากขึ้น แรงยิ่งขึ้น ข้อที่ ๒. ๙ กุศลที่เกิดขึ้นในอดีตภพ ช่วยอุดหนุนแก่กุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ที่กาลังมีโอกาสให้ผล ให้มีกาลังในการให้ผลบริบูรณ์ยิ่งขึ้น บุคคลที่ทากุศลกรรมในปัจจุบันไว้ดีแล้ว กุศลนั้นก็สามารถส่งผลได้ในปัจจุบันภพ ทาให้ชีวิตได้รับความสุข ครอบครัวก็ได้รับความสุขอย่างดีอย่างบริบูรณ์ ซึ่งกุศลในปัจจุบันภพนี้ที่ได้มีโอกาสส่งผลได้อย่างเต็มที่ก็เพราะว่าได้รับกาลังอุดหนุนมาจากกุศลในอดีตภพด้วย ข้อที่ ๒. ๑๐ อกุศลที่เกิดขึ้นในอดีตภพ ช่วยอุดหนุนแก่อกุศลชนกกรรมในปัจจุบันภพ ที่กาลังมีโอกาสให้ผล ให้มีกาลังในการให้ผลบริบูรณ์ยิ่งขึ้น เป็นไปในทานองตรงกันข้ามกับข้อที่ ๙ กล่าวคือ เป็นไปในฝ่ายอกุศลที่ทาในชาตินี้ก็มีโอกาสส่งผลได้อย่างเต็มที่เต็มกาลังมากยิ่งขึ้น เพราะได้กาลังอุดหนุนมาจากอกุศลในอดีตภพด้วย ๓. อุดหนุนรูปนาม ที่เกิดมาแล้วให้เจริญขึ้นและอยู่ได้ มี ๗ คือ ๓.๑ กุศลที่เคยทามาในภพก่อนๆ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากกุศลชนกกรรม ๓.๒ กุศลที่เคยทามาในภพนี้ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากกุศลชนกกรรม ๓.๓ อกุศลที่เคยทามาในภพก่อนๆ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากอกุศลชนกกรรม ๓.๔ อกุศลที่เคยทามาในภพนี้ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากอกุศลชนกกรรม ๓.๕ กุศลที่เคยทามาในภพก่อนๆ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากอกุศลชนกกรรม ๓.๖ กุศลที่เคยทามาในภพนี้ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากอกุศลชนกกรรม ๓.๗ อกุศลที่เคยกระทาในภพนี้ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากกุศลชนกกรรม อธิบายข้อที่ ๓.๑ - ๓.๖ การที่จะเข้าใจอุปัตถัมภกกรรมที่ช่วยอุดหนุนรูปนามที่เกิดมาแล้วให้เจริญขึ้นและอยู่ได้ ต้องศึกษาถึงสภาพความเป็นไปของชีวิตในปัจจุบันนี้ให้เข้าใจโดยกระจ่างชัดว่ามนุษย์นั้นแตกต่างกัน คือ ๑. อายุยืน ๒. อายุสั้น ๓. มีโรคน้อย ๔. มีโรคมาก ๕. มีผิวพรรณงาม ๖. มีผิวพรรณทราม

๗. มียศศักดิ์มาก ๘. มียศศักดิ์น้อย ๙. มีสมบัติมาก ๑๐. มีสมบัติน้อย ๑๑. เกิดในตระกูลสูง ๑๒. เกิดในตระกูลต่า ๑๓. มีปัญญามาก ๑๔. มีปัญญาน้อย ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน “จูฬกัมมวิภังคสูตร” ว่า “บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตามเป็นคนมักทาชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นคนเหี้ยมโหดมีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นอยู่ในการประหาร ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต ครั้นเขาผู้นั้นตายไป ย่อมจักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาสมาทานพรั่งพร้อมไว้อย่างนี้ หากเขาตายไป ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก แล้วถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใด ๆ ในภายหลัง เขาจะเป็นคนมีอายุสั้น ” ส่วนเหตุที่ทาให้มีอายุยืนนั้นพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ จะเป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม เป็นผู้ละปาณาติบาตแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต วางอาชญา วางศาสตรา มีความละอาย ถึงความเอ็นดู อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่ ครั้นเขาผู้นั้นตายไปแล้วย่อม จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้นอันเขาสมาทานพรั่งพร้อมไว้อย่างนี้ หากเขาตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์แล้ว ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใด ๆ ในภายหลังเขาจะเป็นคนมีอายุยืน ” พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเรื่องของกรรม โดยสรุปประมวลได้เป็น ๗ คู่ ดังนี้
ชอบฆ่าสัตว์ เป็นเหตุให้ อายุสั้น
ไม่ฆ่าสัตว์ มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ เป็นเหตุให้ อายุยืน
ชอบเบียดเบียนสัตว์ เป็นเหตุให้ มีโรคมาก
ไม่เบียดเบียนสัตว์ เป็นเหตุให้ มีโรคน้อย
ผู้ที่ชอบโกรธ เป็นเหตุให้ ผิวพรรณทราม
ผู้ไม่โกรธ เป็นเหตุให้ ผิวพรรณงาม
ชอบริษยาผู้อื่น เป็นเหตุให้ มีอานาจน้อย
ไม่ริษยาผู้อื่น เป็นเหตุให้ มีอานาจมาก
ตระหนี่ ไม่บริจาคทาน เป็นเหตุให้ ยากจน ขัดสน อนาถา
ชอบบริจาคทาน เป็นเหตุให้ มีทรัพย์สมบัติมาก
กระด้าง ถือตัว เป็นเหตุให้ เกิดในตระกูลต่า
ไม่กระด้าง ไม่ถือตัว บูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นเหตุให้ เกิดในตระกูลสูง
ไม่อยากรู้ธรรมะ ไม่ไต่ถามผู้มีปัญญา เป็นเหตุให้ มีปัญญาน้อย
อยากรู้ธรรมะ หมั่นไต่ถามผู้มีปัญญา เป็นเหตุให้ มีปัญญามาก


อธิบายข้อที่ ๓.๗ อกุศลที่เคยกระทาในภพนี้ ช่วยอุดหนุนนามรูปที่เกิดมาจากกุศลชนกกรรม ข้อนี้เป็นเรื่องที่ควรจะต้องศึกษาและทาความเข้าใจให้ดี เพื่อจะได้เข้าใจในสิ่งที่ปรากฏในปัจจุบันนี้ได้อย่างไม่สงสัยว่า “ทาไมคนที่ทาชั่ว ถึงได้ดี ” ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีอาชีพค้าสัตว์ ค้าสุรา ค้ายาพิษ ยาเสพติด ขายอาวุธ ค้ามนุษย์ เขาเหล่านั้นมีความร่ารวย รุ่งเรืองในโลกธรรม คือ ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับสุข ได้รับสรรเสริญ มีความสุขในการใช้ชีวิตอย่างดีอย่างเพลิดเพลิน ทั้งๆ ที่อาชีพเหล่านี้เป็นบาปอกุศล แต่อกุศลนี้เป็นเครื่องอุดหนุนแก่นามรูปที่เกิดจากกุศลชนกกรรมให้เจริญและตั้งอยู่ได้ แต่การเกิดขึ้นของอุปัตถัมภกกรรมในข้อที่ ๗ นี้ เป็นไปไม่แน่นอน มีได้แต่ในสมัยที่เป็นยุคกาลวิปัตติ คือ กาลที่กุศลธรรมความดีเสื่อมถอยเท่านั้น ในกาลสัมปัตติ คือ กาลที่กุศลธรรมความดีเจริญนั้น จะไม่มีลักษณะดังข้อที่ ๗ ถ้าผู้ศึกษาเข้าใจเรื่องของอุปัตถัมภกกรรมในข้อที่ ๗ นี้ จะได้ไม่ท้อถอยจากกุศลกรรมความดี เพราะเห็นตัวอย่างว่าคนทาไม่ดีนั้นรุ่งเรืองขึ้นๆ แต่เราผู้มั่นคงในกุศลกรรมความดีกลับไม่ได้ผลตอบสนอง ถ้าในยุคนี้มีตัวอย่างเช่นนี้ให้เห็นในสังคมมากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งต้องบาเพ็ญกุศลกรรมความดีให้มากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งนี้อาจเป็นลางบอกเหตุว่า “ยุคนี้เป็นยุคเสื่อมเสียแล้วกระมัง” สรุป ทั้งหมดนี้เป็นการทาหน้าที่ของกรรม ที่เกิดขึ้นทาหน้าที่อุปถัมภ์ชีวิตของสรรพสัตว์ ตั้งแต่เกิด ในขณะดารงชีวิตอยู่ และในขณะที่จะตายจากโลกนี้ไป กรรมทั้งหลายที่กระทาแล้วไม่ว่าจะชาตินี้หรือในอดีตชาติที่ทามาแล้วอย่างนับไม่ถ้วน กรรมนั้นไม่สูญหายไปไหน ยังตามอุปถัมภ์ชีวิตอยู่เสมอ เมื่อตามส่งผลให้แล้วถ้ากรรมนั้นยังไม่หมดกาลังก็จะตามส่งผลให้อีก หรือว่าเมื่อคอยตามส่งผลแล้ว แต่ไม่สามารถส่งผลได้ จนหมดกาลังแห่งกรรมนั้น กรรมนั้นก็จะกลายเป็นอโหสิกรรม บุคคลทั้งหลายไม่อาจรู้ได้ว่าสร้างกรรมดีหรือกรรรมไม่ดีมาอย่างไร เมื่อได้ศึกษาแล้วก็ควรวางใจให้ถูกต้องว่า ถ้ากาลังได้รับทุกข์อยู่ ก็ควรจะสารวมระมัดระวังใจไม่ไปโทษสิ่งใด ให้รู้ว่าทุกข์ในครั้งนี้เกิด จากอกุศลกรรมในอดีตที่ตามมาส่งผลนั่นเอง แล้วใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่ประมาท และเพียรสร้างกุศลกรรมความดีไว้อย่างเนืองนิตย์ กุศลที่ทาในปัจจุบันนี้อาจจะมาทาหน้าที่อุปถัมภ์ส่งผลให้นามรูปคือชีวิตในปัจจุบันชาตินี้ดาเนินไปได้อย่างไม่ทุกข์ยากมากนัก จบ อุปัตถัมภกกรรม

๓. อุปปีฬกกรรม อุปปีฬกกรรม หมายถึง กรรมที่ทาหน้าที่เข้าไปเบียดเบียนกรรมอื่นๆ เป็นกรรมที่เบียดเบียนกรรมอื่นๆ และการสืบต่อของขันธ์ ๕ ที่เกิดจากกรรมอื่นๆ องค์ธรรมได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ และมหากุศลกรรม ๘ กรรมที่ชื่อว่า อุปปีฬกกรรม เพราะมีความหมายว่า เข้าไปเบียดเบียน ฉะนั้น อุปปีฬกกรรมจึงมีความหมายตรงกันข้ามกับอุปัตถัมภกกรรมนั้นเอง การเบียดเบียนเป็นการขัดขวางวิบากที่ชนกกรรมทาให้เกิดขึ้นหลังจากสัตว์นั้นเกิดแล้ว ฉะนั้น สุขทุกข์อันเนื่องมาจากวิบากนั้นจึงลดลงหรือหมดไป การเบียดเบียนของอุปปีฬกกรรม แบ่งออกได้ ๓ คือ ๑. เบียดเบียนชนกกรรมอื่นๆ เพื่อไม่ให้มีโอกาสส่งผล ๒. เบียดเบียนชนกกรรมอื่นๆ ที่มีโอกาสส่งผลอยู่แล้ว ให้มีกาลังลดน้อยลง ๓. เบียดเบียนรูปนามที่เกิดจากชนกกรรมนั้นๆ ๑. เบียดเบียนชนกกรรมอื่นๆ เพื่อไม่ให้มีโอกาสส่งผล มี ๒ คือ ๑.๑ กุศลที่ทาในภพนี้ เบียดเบียนอกุศลชนกกรรมเพื่อไม่ให้มีโอกาสส่งผล ตัวอย่างเช่น ในชาตินี้บางบุคคลเป็นผู้ที่ทาแต่กุศลกรรมความดี เมื่อเกิดทุกข์ภัยพิบัติต่างๆ ในแวดวงเดียวกันต่างก็ได้รับทุกข์ภัย แต่เขาไม่ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนเช่นนั้นเลย ทั้งนี้ก็อาจเป็นเพราะว่ากุศลในภพนี้ ไปเบียดเบียนอกุศลชนกกรรมนั้นๆ ไว้ไม่ให้มีโอกาสส่งผล ๑.๒ อกุศลที่ทาในภพนี้ เบียดเบียนกุศลชนกกรรมเพื่อไม่ให้มีโอกาสส่งผล ตัวอย่างเช่น ในชาตินี้บางบุคคลทาอกุศลกรรมไว้ ถึงแม้กุศลที่เคยทาไว้ก็มี แต่กุศลก็ไม่อาจส่งผลได้ อาจเป็นเพราะอกุศลที่ทาในภพนี้ปิดกั้นเบียดเบียนกุศลชนกกรรมนั้นๆ ไว้ไม่ให้มีโอกาสส่งผล ๒. เบียดเบียนชนกกรรมอื่นๆ ที่มีโอกาสส่งผลอยู่แล้ว ให้มีกาลังลดลง มี ๒ คือ ๒.๑ กุศลที่ทาในปัจจุบันภพ เบียดเบียนอกุศลชนกกรรมที่กาลังมีโอกาสส่งผลอยู่ ให้มีกาลังลดน้อยลง ตัวอย่างเช่น พระเจ้าอชาตศัตรูกระทาปิตุฆาตกรรมจะต้องตกอเวจีมหานรก แต่พระเจ้าอชาต-ศัตรูได้สร้างกุศลไว้มาก คือ เป็นผู้อุปถัมภ์บารุงพระพุทธศาสนาในการทาปฐมสังคายนา และในบรรดาปุถุชนทั้งหลายนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นผู้เลื่อมใสนับถือพระพุทธเจ้ามากที่สุด ด้วยอานาจของกุศลเหล่านี้ จึงช่วยพระเจ้าอชาตศัตรูไม่ให้ไปตกในอเวจีมหานรกซึ่งเป็นนรกขุมใหญ่ แต่ไปตกในโลหกุมภีอุสสทนรก ซึ่งเป็นนรกขุมเล็กที่เป็นบริวารของอเวจีมหานรก

๒.๒ อกุศลที่ทาในปัจจุบันภพ เบียดเบียนกุศลชนกกรรมที่กาลังมีโอกาสส่งผลอยู่ ให้มีกาลังลดน้อยลง ตัวอย่างเช่น บุคคลสร้างบุญกุศลสาเร็จแล้ว เดิมเจตนานั้นดีมาก ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง มาแวดล้อมในการทากุศล แต่เมื่อทากุศลสาเร็จไปแล้ว มานึกเสียดายทรัพย์ที่ทาไป นึกถึงกุศลนั้นแล้วเกิดความไม่สบายใจ กลายเป็นอกุศลเกิดขึ้นหลังจากทากุศลแล้ว เจตนาที่เป็นอกุศลในคราวหลังนี้เป็นผลทาให้กุศลนั้นมีกาลังอ่อน เพราะอกุศลที่เกิดขึ้นภายหลัง ไปเบียดเบียนกุศลที่ทาอยู่แล้วที่ควรจะได้ผลโดยสมบูรณ์ ก็ได้ผลไม่สมบูรณ์ เพราะเจตนานั้นไม่สมบูรณ์ การทากุศลต้องประกอบด้วยเจตนาทั้ง ๓ กาล คือ ก่อนทา ขณะทา และหลังจากทาแล้ว ต้องไม่ถูกแวดล้อมด้วยอกุศลไม่มีอกุศลเข้ามาเจือปน
๓. เบียดเบียนรูปนามที่เกิดจากชนกกรรมนั้น มี ๒ ประการ คือ
๓.๑ อกุศลอุปปีฬกกรรม เบียดเบียนรูปนามที่เกิดจากกุศลชนกกรรม
ตัวอย่างเช่น บุคคลเกิดมามีร่างกายแข็งแรง ต่อมาอ่อนแอมีโรคภัยเบียดเบียน เป็นเบาหวานต้องถูกตัดขา เป็นอัมพาต เป็นมะเร็ง ถ้าถามว่า ทาไมจึงอ่อนแอลง ? ตอบได้ว่า อาจเป็นเพราะด้วยอานาจของอกุศลอุปปีฬกกรรม มาเบียดเบียนรูปนามที่เกิดจากกุศลชนกกรรมให้อ่อนกาลังลง
๓.๒ กุศลอุปปีฬกกรรม เบียดเบียนรูปนามที่เกิดจากอกุศลกรรม รูปนามที่เกิดจากอกุศลกรรมนั้นเป็นรูปนามของบุคคลในอบายภูมิทั้ง ๔ คือ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน ตัวอย่างเช่น สุนัข นก ปลา ช้าง ถึงแม้นจะมีสีสวยงาม น่ารัก แข็งแรงอย่างไรก็ตาม รูปนามนั้นก็เกิดมาจากอกุศลกรรม สัตว์บางตัวเกิดมาแล้วก็ได้รับทุกข์ต่างๆ นาๆ ซึ่งก็เป็นผลของอกุศลกรรมตามมาส่งผลเบียดเบียนรูปนามนี้ให้ได้รับทุกข์ ต่อมาอาจจะเจอคนที่มีเมตตาให้การเลี้ยงดู ทาให้ได้รับความสุขสบายในภายหลัง ถ้าถามว่า ทาไมจึงดีขึ้น ? ตอบได้ว่า อาจเป็นเพราะกุศลมาเบียดเบียนนามรูปที่เกิดจากอกุศลนี้ เมื่ออกุศลอ่อนกาลังลง กุศลได้โอกาสเบียดเบียนอกุศลแล้วก็ทาให้ดีขึ้น เจริญขึ้นได้ จบ อุปปีฬกกรรม

๔. อุปฆาตกกรรม อุปฆาตกกรรม หมายถึง กรรมที่ทาหน้าที่เข้าไปตัดรอนกรรมอื่นๆ เป็นกรรมที่เข้าไปตัดกรรมอื่นๆ และการสืบต่อของขันธ์ ๕ ที่เกิดจากกรรมอื่นๆ องค์ธรรมได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ และกุศลกรรม ๒๑ กรรมที่ชื่อว่า อุปฆาตกกรรม เพราะมีความหมายว่า เข้าไปตัดรอน กุศลหรืออกุศลก็ตาม ถ้าเกิดขึ้นแล้วก็จะตัดรอนกรรมอื่นๆ ให้มีกาลังน้อยลง หรือขัดขวางวิบากของกรรมที่มีกาลังน้อยให้สิ้นลง อย่างเด็ดขาด แตกต่างไปจากอุปปีฬกกรรม ตรงที่อุปปีฬกกรรมเพียงไปเบียดเบียนให้อ่อนกาลังลงแต่ยังไม่หมดไป แต่อุปฆาตกกรรมนี้ทาให้ตัดขาดไปเลย อุปฆาตกกรรม มี ๓ คือ ๑. ตัดชนกกรรมอื่นๆ เพื่อไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป ๒. ตัดรูปนาม ที่เกิดจากชนกกรรมนั้นๆ ให้เสียไป ๓. ตัดรูปนาม ที่เป็นวิบากกรรมของกรรมอื่นๆ ๑. ตัดชนกกรรมอื่นๆ เพื่อไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป มี ๓ คือ ๑.๑ กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดอกุศลชนกกรรม ๑.๒ กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดกุศลชนกกรรม ๑.๓ อกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดกุศลชนกกรรม ๑. ๑ กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดอกุศลชนกกรรม ไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป คืออะไร ? ตัวอย่างเช่น ท่านองคุลิมาล ได้ศึกษาในสานักทิศาปาโมกข์ แล้วอาจารย์สอนให้ไปฆ่าคน เพื่อจะให้สาเร็จวิชาที่ตนศึกษา แต่พระพุทธองค์ได้ทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณแล้วว่า องคุลิมาลเป็นผู้ที่จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ จึงเสด็จไปโปรด เมื่อพบพระพุทธองค์แล้วองคุลิมาลก็ออกบวช ทาความเพียรจนสาเร็จมรรคผล กรรมที่ฆ่าคนเป็นจานวนมากนั้นก็กลายเป็นอโหสิกรรมไป เพราะอรหัตมรรคอรหัตผลไปตัดอกุศลกรรมต่างๆ ไม่ให้มีโอกาสส่งผลต่อไป ๑.๒ กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดกุศลชนกกรรม ไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป คืออะไร ? ตัวอย่างเช่น ผู้ที่สร้างกุศลบาเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ซึ่งเป็นกามาวจรกุศล ต่อมาบาเพ็ญกุศลสูงขึ้นถึงขั้นภาวนากุศล คือ เจริญสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา เมื่อเจริญสมถะได้ถึงรูปปัญจมฌาน เมื่อตายลงจะต้องไปเกิดในจตุตถฌานภูมิ ส่วนฌานขั้นต้นๆ คือปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน ก็ไม่ส่งผล เพราะรูปกุศลปัญจมฌานเป็นกุศลอุปฆาตกกรรมตัดรูปกุศลขั้นต้นๆ นั้น ไม่ให้มีโอกาสส่งผล

หรือผู้ทาฌานจนกระทั่งถึงอรูปฌาน เมื่อตายจะต้องไปเกิดในอรูปพรหม จึงเป็นผลให้รูปาวจร-กุศลทั้งหมดไม่ส่งผล เพราะกุศลในอรูปฌานเป็นกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดรูปาวจรกุศลทั้งหมด และกุศลอรูปฌานขั้นที่ ๔ ก็เป็นอุปฆาตกกรรมตัดการส่งผลของอรูปฌานขั้นต้นๆ ทั้งหมดเช่นกัน หรือเจริญวิปัสสนาจนถึงโลกุตตรกุศล ในขั้นอรหัตมรรค อรหัตผล ก็ไปตัดรูปาวจรกุศล และ อรูปาวจรกุศลไม่ให้ส่งผลนาไปเกิดในรูปภูมิ อรูปภูมิ เพราะอรหัตมรรค อรหัตผลไม่ส่งผลนาไปเกิดในภูมิใดๆ ๑.๓ อกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดกุศลชนกกรรม ไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป คืออะไร? ตัวอย่าง เช่น พระเทวทัตบาเพ็ญฌานจนสาเร็จรูปฌาน มีฤทธิ์มาก อยู่ต่อมาพระเทวทัตคิด ทาร้ายพระพุทธเจ้า โดยการกลิ้งก้อนหินลงมาจากภูเขาให้ทับพระพุทธเจ้า แต่มีเพียงสะเก็ดหินไปถูกที่พระบาทของพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต และทาสังฆเภท คือ ทาสงฆ์ให้แตกแยกกัน ใน ๒ กรณีนี้เป็นอนันตริยกรรม ฌานที่เคยได้ก็เสื่อมลง เพราะอกุศลมีอานาจแรงกว่าก็ไปตัดรอนกุศลให้เสื่อมลง จนพระเทวทัตต้องตกอเวจีมหานรกในที่สุด ด้วยอานาจของอกุศล เรียกว่า อกุศลอุปฆาตกกรรม ไปตัดรอนกุศลชนกกรรมอื่นๆ ไม่ให้มีโอกาสส่งผลตลอดไป ๒. อุปฆาตกกรรมตัดนามรูป ที่เกิดจากชนกกรรมนั้นๆ ให้เสียไป มี ๔ คือ ๒.๑ กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดนามรูปที่เป็นอกุศลวิบาก ๒.๒ กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดนามรูปที่เป็นกุศลวิบาก ๒.๓ อกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดนามรูปที่เป็นกุศลวิบาก ๒.๔ อกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดนามรูปที่เป็นอกุศลวิบาก ๒.๑ กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดนามรูปที่เป็นอกุศลวิบาก ให้เสียไป คืออะไร ? ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ตายจากมนุษย์นี้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก รับทุกข์ทรมานอยู่ในนรก อยู่ต่อมา เห็นเปลวไฟนรกลุกเป็นสีเหลือง ก็ระลึกได้ว่าเคยสร้างกุศลไว้ เคยบวชพระ ถวายจีวร เคยปิดทองพระพุทธรูป อานาจของกุศลที่ระลึกได้ ก็มาเป็นอุปฆาตกกรรมมาตัดรอนอกุศล คือรูปนามในนรกนี้ให้สิ้นสุดลง ตายจากนรก ไปเกิดในมนุษย์หรือเทวดาก็ด้วยอานาจของกุศล ๒.๒ กุศลอุปฆาตกกรรม ตัดนามรูปที่เป็นกุศลวิบาก ให้เสียไป คืออะไร ?
ตัวอย่างเช่น รูปนามที่บุคคลได้มาในปัจจุบันจัดเป็นกุศลวิบาก อยู่ต่อมาได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า สาเร็จเป็นพระอรหันต์ ในขณะที่ยังเป็นฆราวาสอยู่ อรหัตมรรค อรหัตผล นี้จัดเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องบวชภายในวันนั้น ถ้าไม่บวชก็ต้องตาย ที่ตายก็เพราะอานาจ กุศลนั้นเป็นอุปฆาตกกรรม ไปตัดกุศลนามรูปให้สิ้นสุดลง เพราะว่าอรหัตมรรค อรหัตผลนี้ เพศฆราวาสไม่สามารถจะรองรับได้ เพศฆราวาสจะรองรับกุศลได้เพียง แค่ศีล ๕ ศีล ๘ เท่านั้น อรรถกถาจารย์

ยกตัวอย่างน้ามันของราชสีห์ ภาชนะที่จะรองรับน้ามันของราชสีห์ได้นั้น ต้องเป็นทองคา ถ้าใช้ภาชนะอื่นไปรองรับน้ามันจะระเหยแห้งไปหมด ฉันใดก็ดี คุณธรรมคืออรหัตมรรค อรหัตผลนี้ เพศฆราวาสไม่สามารถจะรองรับได้ ถ้าหากว่าสาเร็จแล้วไม่บวช ก็จะต้องตายภายในวันนั้น ๒.๓ อกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดนามรูปที่เป็นกุศลวิบากให้เสียไป คืออะไร ? ตัวอย่างเช่น มนุษย์นี้เกิดมามีนามรูปที่เกิดมาจากกุศลวิบาก บางคนเกิดมามีอวัยวะทุกอย่างสมบูรณ์ ต่อมาอกุศลกรรมที่เคยทาไว้ในอดีตมาตัดรอนทาให้ถูกรถชน ทาให้พิการ ก็เพราะอานาจของอกุศลอุปฆาตกกรรมมาตัดรอน ทาให้รูปนามที่เป็นกุศลวิบากนี้เสียไป ๒.๔ อกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดรูปนามที่เป็นอกุศลวิบาก ให้เสียไป คืออะไร ? ตัวอย่างเช่น สัตว์เดรัจฉาน ร่างกายของสัตว์เดรัจฉานจัดเป็นอกุศลวิบาก ถึงแม้จะมีสีสวย ขนปุกปุยสวยงาม ก็เป็นรูปนามที่เป็นอกุศลวิบาก ต่อมาถูกยิง ถูกทาร้าย ถูกฆ่า ก็เพราะอกุศล อุปฆาตกกรรม ตัดรูปนามที่เป็นอกุศลวิบากให้เสียไป ๓. ตัดรูปนาม ที่เป็นวิบากกรรมของกรรมอื่นๆ มี ๓ คือ ๓.๑ ตัดวิบากของกรรมอื่นๆ แล้ว ตัวเองก็ไม่ได้ส่งผลให้เกิด และก็ไม่ให้มีโอกาสแก่ชนกกรรมอื่นๆ ได้ส่งผล ๓.๒ ตัดวิบากกรรมของกรรมอื่นๆ แล้ว และตัวเองส่งผลให้เกิด ๓.๓ ตัดวิบากของกรรมอื่นๆ แล้ว และให้โอกาสแก่ชนกกรรมอื่นๆ ได้ส่งผล
ตัวอย่างในประการที่ ๑ เช่น พระจักขุปาลเถระ เมื่ออดีตชาติเคยเป็นหมอรักษาตา และเคยมีเจตนาทาลายดวงตาของผู้ป่วย เพราะความโกรธที่ผู้ป่วยไม่จ่ายค่ารักษา จึงใส่ยาทาให้เขาตาบอด อานาจของอกุศลกรรมที่พระจักขุปาลเถระได้กระทาในครั้งนั้น จึงทาให้ตาทั้งสองของท่านเสียไปจนตลอดชีวิต ก็เป็น เพราะอกุศลอุปฆาตกกรรม มาตัดวิบากของกุศลชนกกรรม คือ ทาให้ตาบอด แต่อกุศลอุปฆาตกกรรมนี้ไม่ได้ส่งผลให้เกิดอีกต่อไป เพราะพระจักขุปาลเถระได้สาเร็จเป็นพระอรหันต์ ไม่มีการเกิดอีกต่อไปแล้ว ฉะนั้น อกุศลอุปฆาตกกรรมนี้จึงเป็นแต่เพียงตัดวิบากของกรรมอื่นๆ เท่านั้นเอง
หรือ พระโมคคัลลานเถระที่ถูกโจร ๕๐๐ ทุบตี ก็ด้วยอานาจอกุศลกรรมที่เคยตีบิดามารดาโดยมุ่งหมายที่จะให้ตายเช่นเดียวกัน อกุศลนี้ก็เป็นอุปฆาตกกรรม มาตัดวิบากของกรรมอื่นๆ เท่านั้น ตัวเองก็ไม่มีโอกาสส่งผลอีกต่อไป เพราะว่าพระ โมคคัลลานะท่านสาเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ตัวอย่างในประการที่ ๒ เช่น นันทยักษ์เอากระบองตีศีรษะพระสารีบุตรในขณะที่กาลังเข้านิโรธสมาบัติ ก็ได้รับผลของการกระทาในปัจจุบันคือถูกธรณีสูบทั้งเป็น เมื่อตายไปแล้ว ไปเกิดในอเวจีมหานรก เพราะอานาจของอกุศลอุปฆาตกกรรมส่งผลตัดวิบากกรรมของกรรมอื่นๆ คือ ทาให้ธรณีสูบ และตัวเองก็ส่งผลนาให้ไปเกิดในอเวจีมหานรก

ตัวอย่างในประการที่ ๓ เช่น พระเจ้าพิมพิสาร ในอดีตชาติ เคยสวมรองเท้าเข้าไปในบริเวณพุทธเจดีย์ ด้วยอานาจแห่งอกุศลนั้น เมื่อเกิดมาในชาตินี้จึงถูกพระเจ้าอชาตศัตรูจับขังคุก ถูกกรีดฝ่าเท้า ทาให้ถึงแก่ความตาย แต่เมื่อตายแล้วกุศลชนกกรรมอื่นๆ ได้มีโอกาสส่งผลให้ไปเกิดเป็นเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกา นี้คืออกุศลอุปฆาตกกรรม ตัดวิบากของกรรมอื่นๆ แล้วให้โอกาสแก่กุศลชนกกรรมอื่นๆ ได้ส่งผล ความต่างกันของชนกกรรม และอุปฆาตกกรรม ชนกกรรม และอุปฆาตกกรรม ถึงแม้ว่าต่างก็เป็นกรรมที่สามารถทาวิบากให้เกิดขึ้นได้ เหมือนกันแต่ก็มีความต่างกัน โดยสรุป คือ ชนกกรรมนั้น เป็นกรรมสักแต่ว่าทาวิบากและกัมมชรูปให้เกิดขึ้นอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีส่วนแห่งการเข้าไปตัดรอนความสามารถของกรรมอื่น อุปฆาตกกรรม มีการเข้าไปตัดรอนวิบากของกรรมอื่น แล้วทาให้วิบากของตนเองเกิดขึ้นแทนได้ หรือตัดกรรมอื่นๆ แล้ว ตัวเองไม่ส่งผลก็ได้ เช่น อรหัตมรรค ตัดรอนวิบากกรรมในนรก ในสุคติ ทั้งหมด เมื่อตัดแล้วก็ไม่ส่งผลนาเกิดในที่ใดอีก เพราะพระอรหันต์เป็นผู้ไม่เกิดแล้ว สรุป อุปฆาตกกรรม เป็นหน้าที่ของกรรม บุคคลทั้งหลายรู้ไม่ได้ว่าเคยทากรรมอะไรไว้ที่จะมีกาลังส่งผลมาเป็นอุปฆาตกกรรม จะรู้ถึงเหตุแห่งกรรมว่าดีหรือชั่วก็ต่อเมื่อกรรมนั้นมาสนองแล้ว ฉะนั้นเมื่อกาลังได้รับผลของกรรมฝ่ายกุศลหรือฝ่ายอกุศลก็ตามขอให้รู้เท่าทัน จะได้ไม่หลงติดสุขที่กาลังได้รับ และไม่ทุกข์ใจมากนักเมื่อกาลังได้รับทุกข์ แต่ในปัจจุบันนี้ต้องเพียรละชั่วกระทาแต่ความดี ไม่ประมาทในอกุศลกรรมแม้เพียงเล็กน้อย เพราะกรรมที่คิดว่าเพียงเล็กน้อย ทาไปเพราะคึกคะนองบ้าง ทาไปเพราะทาตามๆ เขาบ้าง เหล่านี้อาจมีกาลังส่งผลมาทาหน้าที่อุปฆาตกกรรมได้

กรรมหมวดที่ ๒ คือ ปากทานปริยายจตุกกะ การส่งผลของกรรมที่จะนาเกิดในภพต่อไป โดยจะส่งผลตามลาดับก่อนหลังของกรรม แบ่งออกเป็น ๔ คือ
๑. ครุกกรรม คือ กรรมหนัก
๒. อาสันนกรรม คือ กรรมที่กระทาในเวลาใกล้จะตาย
๓. อาจิณณกรรม คือ กรรมที่กระทาอยู่เสมอๆ
๔. กฏัตตากรรม คือ กรรมที่ทามาแล้วในภพนี้ ที่นอกจากกรรมทั้ง ๓ อย่าง
ข้างต้น หรือกรรมที่ทามาแล้วในอดีตชาติ ๑. ครุกกรรม ครุกกรรม หมายถึง กรรมที่หนักแน่นจนกรรมอื่นๆ ไม่สามารถห้ามการให้ผลได้ องค์ธรรมได้แก่ มหัคคตกุศลกรรม ๙ ทิฏฐิคตสัมปยุตจิต ๔ (เฉพาะที่เกี่ยวกับนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม ๓) และโทสมูลจิต ๒ (เฉพาะที่เกี่ยวกับปัญจานันตริยกรรม ๕) รวมทั้งสิ้นเป็น ๑๕ ครุกกรรมเป็นกรรมหนัก เมื่อจัดลาดับการส่งผลของกรรมแล้ว ครุกกรรมจึงเป็นกรรมลาดับแรกที่จะส่งผลนาไปเกิดในภพที่สองก่อนกรรมอื่นๆ คือ ส่งผลก่อนอาสันนกรรม อาจิณณกรรม และกฏัตตากรรม ครุกกรรมแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ครุกกรรมฝ่ายบาป และครุกกรรมฝ่ายบุญ ๑. ครุกกรรมฝ่ายบาป เป็นกรรมหนักฝ่ายบาป เมื่อตายลงผลของบาปจะส่งผลนาไปเกิดในอบายภูมิ ๔ ในชาติต่อไปทันที ครุกกรรมฝ่ายบาป มี ๒ อย่าง คือ ๑.๑ นิยตมิจฉาทิฏฐิ ๑.๒ อนันตริยกรรม ๑.๑ นิยตมิจฉาทิฏฐิ มี ๓ คือ
ก. นัตถิกทิฏฐิ ความเห็นผิดคิดว่าไม่มีผลแห่งกรรมที่ทาไว้ เป็นการปฏิเสธผล ผู้ที่มีความเห็นชนิดนัตถิกทิฏฐิย่อมมีอุจเฉททิฏฐิด้วย คือเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายตายแล้วก็สูญไม่มี

การเกิดอีก มีความเห็นว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า สมมติสัจจะ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคติธรรมดา หรือคลองธรรมตามเหตุและผล ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสมมติสัจจะ เช่น ไม่มีมารดาบิดา สัตว์บุคคลเกิดสืบเชื้อสายกันมาตามเรื่องตามราวเท่านั้น จึงไม่มีใครที่จะต้องนับถือว่าเป็นบิดามารดา แม้ที่นับถือว่าเป็นสมณะ พราหมณ์ ภิกษุ สามเณร ก็ไม่มีเป็นต้น ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคติธรรมดา หรือที่เป็นไปตามคลองธรรม เช่น ทาดีได้ดี ทาชั่วได้ชั่ว อย่างนี้ก็ไม่มี ข. อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นผิดคิดว่าไม่มีเหตุ เป็นการปฏิเสธเหตุ คือ เมื่อได้รับผลดีผลร้ายต่างๆ ก็เห็นว่าเป็นไปตามคราว คราวที่มีโชคดีก็ได้รับผลดี คราวที่มีโชคร้ายก็ได้รับผลไม่ดี ไม่มีเหตุอะไรที่จะมาทาให้ได้ผลดีผลร้าย ปฏิเสธเหตุในการทาดี ทาชั่ว ของบุคคลทั้งหลายที่กระทากันอยู่ทุกวันนี้ ไม่เชื่อว่าเป็นเหตุที่จะก่อให้เกิดผลได้ ฉะนั้นการปฏิเสธเหตุนี้ก็เท่ากับว่าปฏิเสธผลไปด้วย ค. อกิริยทิฏฐิ ความเห็นผิดคิดว่าการทาบุญทาบาปก็เท่ากับไม่ได้ทา เป็นการปฏิเสธทั้งเหตุและผลแห่งกรรม คือ มีความเห็นว่าบุคคลทั้งหลายที่ทาดีก็ตามทาชั่วก็ตามไม่เป็นบาปไม่เป็นบุญ แสดงโทษของมิจฉาทิฏฐิ นิยตมิจฉาทิฏฐิเป็นความเห็นผิดอย่างร้ายแรง ซึ่งเมื่อมีความยึดถือ อยู่ในมิจฉาทิฏฐินี้มากจนดิ่งลงไปแล้ว หรือแนบแน่นแล้ว เพราะมีอุปาทานความยึดถืออยู่อย่างแรงกล้า ผลก็จะส่งให้นาไปเกิดในนรก เมื่อพ้นจากนรกถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ก็จะเป็นผู้มีความเห็นผิดเช่นนั้นๆ ต่อๆไปอีก นับภพชาติไม่ถ้วน พระพุทธองค์ก็ไม่สามารถทรงโปรดให้บุคคลที่มีความเห็นผิดนั้นกลับมาเห็นถูกได้ ๑.๒ อนันตริยกรรม มี ๕ คือ ๑. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา ๒. มาตุฆาต ฆ่ามารดา ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ๔. โลหิตุปบาท ทาให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต ๕. สังฆเภท ทาให้สงฆ์เกิดความแตกแยกไม่ทาสังฆกรรมร่วมกัน ในบรรดาอนันตริยกรรม ๕ นี้ เป็นอกุศลกรรมอย่างหนักทั้งสิ้น แต่สามารถจัดลาดับการส่งผลจากมากไปหาน้อย คือ สังฆเภทกกรรมหนักที่สุด รองลงมาคือ โลหิตุปบาท รองลงมาคือ อรหันตฆาต ส่วนมาตุฆาตและปิตุฆาตทั้งสองนี้ต้องแล้วแต่คุณสมบัติ ท่านใดมีศีลธรรมมากกว่า กรรมนั้นย่อมหนักกว่า ถ้ามารดามีศีลธรรม บิดาไม่มีศีลธรรม มาตุฆาตย่อมหนักกว่า ถ้าทั้งบิดามารดามีศีลธรรมด้วยกันหรือไม่มีศีลธรรมเหมือนกันแล้ว มาตุฆาตกรรมย่อมหนักกว่า ถ้าลูกที่มีพ่อแม่ป่วยไข้มีความทุกข์ทรมาน ก็อย่าไปสั่งหมอให้ฉีดยาให้ตายไปจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมาน หรือสั่งให้หมอเอาสายออกซิเจนออก เพราะการทาอย่างนี้เป็น อนันตริยกรรม บางครั้งลูกคิดไม่ถึง ไม่เข้าใจในเหตุและผลแห่งความทุกข์ของบิดามารดาว่าท่านต้องได้รับเช่นนั้นเป็นเพราะผลกรรมของท่านเอง เมื่อคิดไม่เป็นหรือเพราะมุ่งแต่สงสารจึงอาจพลาดพลั้งทาอนันตริยกรรมโดยไม่รู้ตัว

องกรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะต้องระมัดระวัง การทากรรมใดๆ ก็ตาม จะต้องพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “นิสมฺม กรณ เสยฺโย” ใคร่ครวญเสียก่อนจึงทา อนันตริยกรรม ๕ นี้ จัดเป็นกรรมหนัก แต่ก็ยังหนักไม่เท่ากับนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม เพราะนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมเป็นกรรมที่ให้ผลไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนอนันตริยกรรมเมื่อส่งผลให้ไปเสวยกรรมครบตามกาหนดก็พ้นจากกรรมนั้นๆ ได้ แต่นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมจะจมปลักอยู่ในกรรมเช่นนี้ตลอดเวลา ๒. ครุกกรรมฝ่ายบุญ กรรมหนักฝ่ายกุศล คือ มหัคคตกุศลกรรม ๙ ได้แก่ รูปาวจรกุศล ๕ อรูปาวจรกุศล ๔ ผู้ที่บาเพ็ญฌานบรรลุถึงปฐมฌาน ถึงฌานที่ ๒ ฌานที่ ๓ ฌานที่ ๔ และฌานที่ ๕ การได้ฌานที่เป็นรูปฌาน ทั้ง ๕ นี้จัดว่าเป็นครุกกรรมฝ่ายกุศล และเมื่อได้ถึงปัญจมฌานแล้วไปเจริญอรูปฌานต่ออีก ๔ นั้นก็เป็น ครุกกรรมฝ่ายกุศล ครุกกรรมฝ่ายกุศลกรรมทั้ง ๙ ประการนี้ เมื่อเจริญสาเร็จแล้วอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าตายจากโลกมนุษย์จะต้องได้รับผลกรรมนั้นในชาติที่สองทันที คือนาไปเกิดในรูปภูมิ อรูปภูมิ ส่วนโลกุตตรกุศลกรรม คือ มรรคจิต ๔ จัดว่าเป็นกรรมหนักคือครุกกรรมฝ่ายบุญเหมือนกัน แต่ไม่เป็นกรรมที่จะนาไปเกิดได้ มีแต่จะทาลายการเกิด จึงไม่ถือว่าเป็นกรรมที่จะส่งผลให้เกิดในชาติหน้า จึงไม่จัดเข้าเป็นกรรมในหมวดนี้ จบครุกกรรม ๒. อาสันนกรรม อาสันนกรรม หมายถึง กรรมที่ทาไว้เมื่อใกล้จะตาย เป็นการระลึกถึงสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ในเวลาใกล้ตาย หรือการกระทาที่ดีหรือไม่ดีในเวลาใกล้จะตาย องค์ธรรมได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ และมหากุศลกรรม ๘ ในการให้วิบากปฏิสนธิ ถ้าหากว่าครุกกรรมไม่มี อาสันนกรรมนั้นแหละจะให้ผลก่อน เพราะอยู่ใกล้ปากทาง คือ ความตาย อุปมาดังนี้ ในตอนเย็นก็ต้องต้อนฝูงโคกลับเข้าคอก โคที่แข็งแรงทั้งหมดก็เดินเข้าคอกไปได้ก่อนโคแก่ที่อ่อนกาลัง โคแก่เดินเข้าคอกได้เป็นลาดับสุดท้าย ก็ปิดประตูคอกได้ เมื่อถึงเวลาเช้าเปิดประตูคอกแล้ว ถึงแม้โคที่มีกาลังมีอยู่มากหลายตัวแต่ทั้งหมดก็ออกจากคอกไม่ได้ มีแต่โคแก่เท่านั้นที่จะได้โอกาสออกจากคอกก่อน เพราะว่าอยู่ตรงใกล้ปากประตูคอก ฉันใด ก็ฉันนั้น กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมทั้งหลาย เมื่อครุกกรรมไม่มี อาสันนกรรมนั่นแหละย่อมให้ผลก่อน เพราะเหตุว่าอยู่ใกล้ปากทางแห่งความตายนั่นเอง

ตัวอย่างเช่น พระนางมัลลิกา ทากุศลไว้มาก แต่ในเวลาใกล้ตายนางนึกถึงอกุศลที่เคยทาไว้แล้ว อกุศลที่นึกถึงในขณะใกล้ตายนั้นเอง เป็นอาสันนกรรมนาให้นางไปเกิดในนรก กุศลที่ทาไว้ไม่มีโอกาสส่งผลนาไปเกิดในกามสุคติภูมิ หรือบางคนกาลังมีความสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่ ดูหนังดูละคร รับประทานอาหารอย่างเฮฮา กับเพื่อนฝูง หรือบางคนกาลังทามิจฉาอาชีพมีการลักทรัพย์ เป็นต้น เหล่านี้จัดเป็นอกุศลทั้งสิ้น ถ้าในขณะนั้นมีเหตุที่ต้องเสียชีวิตลง อกุศลเหล่านั้นก็เป็นอกุศลอาสันนกรรม สามารถนาไปเกิดในอบายภูมิ หรือ บุคคลเมื่อตอนใกล้ตายมีอดีตกรรมที่เคยทาไว้ มาเป็นเครื่องให้ระลึกถึงว่าเคยฆ่าสัตว์ ฯลฯ หรือบางบุคคลเมื่อตอนใกล้ตาย มีลูกหลานทะเลาะกันอาจจะแย่งสมบัติกัน หรือตัวเองห่วงทรัพย์สมบัติ อกุศลกรรมที่เกิดขึ้นในขณะใกล้ตายนั้นคือกรรมที่เป็นอาสันนกรรม ย่อมนาไปสู่ทุคติได้ อาสันนกรรมจึงเป็นกรรมที่สาคัญ จะให้ผลก่อนกรรมอื่นๆ เว้นไว้แต่กรรมที่เป็นครุกกรรม จบ อาสันนกรรม ๓. อาจิณณกรรม อาจิณณกรรม หมายถึง กรรมที่เคยทาไว้เสมอ ๆ เป็นกรรมที่บุคคลสั่งสมไว้บ่อยๆ ได้แก่ อกุศลกรรม ๑๒ และมหากุศลกรรม ๘ อาจิณณกรรม ในบางแห่งเรียกว่า พาหุลกรรม แปลว่า กรรมที่ทาไว้มาก กรรมที่เคยทาไว้เสมอๆ บ่อย ๆ คาว่าทาบ่อยๆ ไม่ใช่หมายถึงเพียงจะต้องทาทางกายตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นกรรมที่ทาครั้งเดียว แต่นึกถึงบ่อยๆ ก็เป็นอาจิณณกรรมแล้ว เช่นเคยสร้างโบสถ์ ตลอดชีวิตอาจทาได้ครั้งเดียว แต่ว่านึกถึงบ่อยๆ ก็จัดเป็นอาจิณณกรรมฝ่ายกุศล เพราะนึกถึงครั้งใดจิตใจก็เป็นบุญ ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นอกุศลถึงแม้ทาครั้งเดียวแต่ถ้ามีการนึกถึงบ่อยๆ ก็เป็นอาจิณณกรรมฝ่ายอกุศล ตัวอย่างเช่น ในสมัยพุทธกาลมีคนฆ่าหมูชื่อนายจุนทะ ฆ่าหมูทุกวัน เมื่อนายจุนทะใกล้ตาย เขาร้องเป็นเสียงหมูเมื่อตอนถูกเชือด กรรมที่เขาทาอยู่เสมอๆ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่กรรมนั้นไม่มีโอกาสส่งผล แต่เมื่อใกล้ตายก็มาส่งผล ฉะนั้น กรรมใดที่บุคคลได้ทาไว้บ่อยๆ ตลอดช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ กรรมนั้นแหละเป็นอาจิณณ-กรรม ในขณะใกล้ตายถ้าไม่มีกรรมอื่นๆ มาให้ผล กรรมที่เป็นอาจิณณกรรมก็จะให้ผลนาไปเกิด จบ อาจิณณกรรม

๔. กฏัตตากรรม กฏัตตากรรม หมายถึง กรรมที่ทาไว้พอประมาณ พอประมาณในที่นี้หมายถึงไม่เท่าถึงกรรมทั้ง ๓ ข้อ ที่กล่าวแล้วข้างต้น หรือหมายถึงกรรมในอดีตภพ ตัวอย่างเช่น บุคคลที่ทากุศลหรืออกุศลโดยไม่มีความตั้งใจ คล้ายกับว่าไม่เต็มใจทา ทาบุญกฐินผ้าป่าก็ทาอย่างจาใจ บุญอย่างนี้เมื่อพิจารณาแล้วก็ไม่เข้าข่ายครุกกรรม อาสันนกรรม อาจิณณกรรม จึงกลายเป็นบุญชนิดกฏัตตากรรมไป สรุป กรรมทั้ง ๔ อย่าง คือ ครุกกรรม อาสันนกรรม อาจิณณกรรม และกฏัตตากรรม จะส่งผลเรียงไปตามลาดับ ดังนี้ ลาดับที่ ๑ คือ ครุกกรรมจะส่งผลนาไปเกิด ลาดับที่ ๒ คือ ถ้าไม่มีครุกกรรม อาสันนกรรมก็จะมีโอกาสส่งผลนาไปเกิดในชาติต่อไป ลาดับที่ ๓ คือ ถ้าไม่มีครุกกรรมและอาสันนกรรม อาจิณณกรรมก็จะมีโอกาสส่งผลนาไปเกิด ในชาติต่อไปได้ ลาดับที่ ๔ คือ ถ้าไม่มีกรรมทั้ง ๓ อย่างข้างต้น กฏัตตากรรมก็จะมีโอกาสส่งผลนาไปเกิดในชาติต่อไปได้เป็นลาดับสุดท้าย จบ กฏัตตากรรม

ปากกาลจตุกกะ คือลาดับกาลแห่งการให้ผลของกรรม หรือระยะเวลาของการให้ผลของกรรม จาแนกออกไว้เป็น ๔ คือ ๑. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในภพนี้ ๒. อุปปัชชเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาติที่ ๒ (หมายถึง ชาติที่ต่อจากชาตินี้) ๓. อปราปริยเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาติที่ ๓ เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้าถึง พระนิพพาน ๔. อโหสิกรรม คือ กรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผล กรรมทั้ง ๔ นี้ จะแสดงให้เห็นถึงผลของกรรมที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้กระทาตามระยะเวลา เพราะว่ากรรมที่ทากันอยู่ทุกวันนี้ กรรมบางอย่างให้ผลทันตาเห็นในภพปัจจุบัน กรรมบางอย่างจะให้ผลในชาติหน้า กรรมบางอย่างจะให้ผลในชาติต่อๆ ไป และกรรมบางอย่างก็ไม่มีโอกาสให้ผลเลย ๑. ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ได้นั้นต้องเป็นกรรมที่มีกาลังแรง ในการกระทากรรมครั้งหนึ่งๆ วิถีจิตคือลาดับจิตที่เกิดขึ้นดับไปสืบต่อกัน ย่อมเกิดขึ้นมากมายหลายวิถี และในวิถีจิตหนึ่งๆ ก็มีชวนะจิต คือจิตที่เสพอารมณ์ แล่นไปในอารมณ์ที่ปรารภจะทากรรม ชวนะมี ๗ ขณะ เจตนาในชวนะทั้ง ๗ นั้นเองส่งผล กล่าวคือ ชวนะดวงที่ ๑ ส่งผลในชาตินี้ ชื่อว่า ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม ชวนะดวงที่ ๗ ส่งผลในชาติที่ ๒ ชื่อว่า อุปปัชชเวทนียกรรม ชวนะดวง ที่ ๒-๖ ส่งผลกรรมในชาติที่ ๓ จนกว่าจะถึงพระนิพพาน ชื่อว่า อปราปริยเวทนียกรรม ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ กรรมที่ส่งผลในชาตินี้ แบ่งออกได้ ๒ คือ ๑. กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ ภายใน ๗ วัน ๒. กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ แต่หลังจาก ๗ วันไปแล้ว ๑. กรรมที่ให้ผลในชาตินี้ ภายใน ๗ วัน

ตัวอย่างฝ่ายกุศล เช่น นายมหาทุคตะได้ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นกุศลที่มีกาลังมากจึงส่งผลทาให้เป็นเศรษฐี ภายใน ๗ วัน หรือ นายปุณณะกับภรรยา ซึ่งเป็นคนยากจนได้ถวายภัตตาหารแก่พระสารีบุตรที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ก็ทาให้เป็นเศรษฐีภายใน ๗ วัน ตัวอย่างฝ่ายอกุศล เช่น พระเทวทัตกระทาโลหิตุปบาทและทาสังฆเภท และนายนันทมานพ ที่ทาลายพระอุบลวรรณาเถรีผู้เป็นพระอรหันต์ อกุศลกรรมหนักเช่นนี้ก็ส่งผลทาให้ถูกธรณีสูบลงไปสู่อเวจีมหานรก ๒. กรรมที่ให้ผลในชาตินี้แต่หลัง ๗ วันไปแล้ว มี ๓ ประการ คือ ๒.๑ กุศล อกุศล ที่ทาในวัยเด็ก ส่งผลใน วัยเด็ก วัยกลางคน หรือ วัยชรา ๒.๒ กุศล อกุศล ที่ทาในวัยกลางคน ส่งผลใน วัยกลางคน หรือ วัยชรา ๒.๓ กุศล อกุศล ที่ทาในวัยชรา ส่งผลใน วัยชรา เหตุที่จะทาให้ผลของทานกุศลปรากฏได้ในชาตินี้ มี ๔ คือ
๑. วัตถุสัมปทา คือ ผู้รับต้องเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์
๒. ปัจจยสัมปทา คือ ปัจจัยที่ทากุศลได้มาด้วยความบริสุทธิ์
๓. เจตนาสัมปทา คือ มีเจตนาตั้งใจในการทากุศลอย่างแรงกล้า
๔. คุณาติเรกสัมปทา คือ พระอนาคามีหรือพระอรหันต์ผู้รับทานนั้น ได้พร้อมด้วยคุณ
พิเศษ กล่าวคือ พึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ เมื่อครบด้วยองค์ทั้ง ๔ แล้ว ทานของผู้นั้นก็สาเร็จเป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรมและให้ได้รับผลในชาติปัจจุบันทันที ทิฏฐธัมมเวทนียกรรมจะส่งผลในชาตินี้ จะต้องมีลักษณะ ๔ อย่างๆ ใดอย่างหนึ่ง คือ ๑. ไม่ถูกเบียดเบียนจากกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ คือ ถ้าเป็นกุศลก็ต้องไม่ถูกเบียดเบียนจากอกุศล ๒. ได้รับการเกื้อหนุนเป็นพิเศษทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล ต้องได้รับการเกื้อหนุนเป็นพิเศษ

๓. มีเจตนาตั้งใจอย่างแรงกล้า การกระทากรรมใดๆ ก่อนที่จะกระทาสาเร็จล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา ต้องมีการพิจารณาไตร่ตรองก่อน ถ้ามีเจตนาที่มีกาลังแรงกล้าอย่างมาก กุศลหรืออกุศลที่สาเร็จด้วยเจตนาที่แรงกล้านี้ ก็จะส่งผลเป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรม คือ ให้ผลในปัจจุบันได้ ๔. กระทาต่อผู้มีคุณพิเศษ การกระทากรรมใดๆ เมื่อกระทาต่อบุคคลที่ประกอบด้วยคุณพิเศษ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือพระอนาคามี เป็นต้น ฉะนั้น การบริจาคทานจึงต้องทาความเข้าใจว่าเราควรมีเจตนาตั้งใจในการทาทาน แต่ปฏิคาหก คือ ผู้รับทานนั้นอย่าได้ปรารภเลย ขอให้น้อมระลึกบูชาพระรัตนตรัย บูชาคุณพระพุทธเจ้า บูชาคุณพระธรรม บูชาคุณพระอริยสงฆ์ น้อมระลึกอย่างนี้แล้วจึงให้ทาน ผลแห่งทานนั้นย่อมมีผลอย่างมาก หรืออย่างสูงได้
จบทิฏฐธัมมเวทนียกรรม

๒. อุปปัชชเวทนียกรรม อุปปัชชเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ส่งผล คือ นาไปเกิดในภพที่ ๒ เป็นภพที่ต่อจากปัจจุบันที่สิ้นชีวิตลง กรรมที่ทาให้สาเร็จประโยชน์ในภพที่ ๒ มีทั้งฝ่ายอกุศลและกุศล ฝ่ายอกุศลนั้นก็คือผู้ประกอบอนันตริยกรรมทั้ง ๕ ประการ ซึ่งเป็นกรรมหนักย่อมจะส่งผลในภพที่ ๒ คือเมื่อสิ้นชีวิตจากภพนี้ไปย่อมส่งผลนาเกิดในอบายภูมิทันที ฝ่ายกุศลก็ได้แก่มหากุศล ๘ ที่จะทาหน้าที่ส่งผล คือนาไปเกิดในมนุษย์และเทวดา รูปาวจรกุศล และ อรูปาวจรกุศล ที่จะทาหน้าที่ส่งผล คือนาไปเกิดในรูปภูมิ อรูปภูมิ จบอุปปัชชเวทนียกรรม ๓. อปราปริยเวทนียกรรม อปราปริยเวทนียกรรม หมายถึง กรรมที่ส่งผลในภพอื่นๆ คาว่า ภพอื่นๆ คือภพที่นอกจากภพนี้ และภพหน้า ฉะนั้นภพอื่นๆ จึงหมายถึงตั้งแต่ภพที่ ๓ เป็นต้นไป การทากุศลหรืออกุศลเมื่อสาเร็จแล้ว ถ้าไม่ส่งผลในภพที่ ๒ ที่เป็นอุปปัชชเวทนียกรรม ก็จะส่งผลเป็นอปราปริยเวทนียกรรม คือจะต้องได้รับผลในภพต่อๆ ไปอาจจะเป็นภพที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๑๐ ถึงจะได้รับก็ได้ไม่จากัดจนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน ในนิบาตชาดกได้แสดงไว้หลายเรื่องที่เกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ว่า ผู้ที่ฆ่าสัตว์ตายตัวหนึ่ง เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปเกิดในนรก และเมื่อพ้นกรรมจากนรกไปเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่งแล้ว ก็ถูกฆ่าตายเรื่อยๆ ไป ด้วยอานาจแห่งอปราปริยเวทนียกรรม คัมภีร์พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - มีเรื่องโดยสรุปดังนี้ เรื่องที่ ๑ ภิกษุหลายรูปเดินทางมาเฝ้าพระศาสดาที่เชตวัน เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านหนึ่ง ชาวบ้านเลื่อมใสนิมนต์ให้ฉัน ก่อนฉันภิกษุผู้เป็นหัวหน้าได้แสดงธรรมให้ฟังก่อน เพื่อเพิ่มพูนศรัทธาของทายกผู้ถวาย ขณะที่ชาวบ้านนั่งฟังธรรมอยู่นั่นเอง ไฟจากเตาไฟลุกขึ้นติดชายคา ทาให้เสวียนหญ้า(ขดหญ้าที่ทาไว้เพื่อรองหม้อที่เพิ่งยกขึ้นจากเตา) อันหนึ่งถูกไฟไหม้และลมพัดปลิวขึ้นจากชายคาลอยอยู่ในอากาศ ขณะนั้น กาตัวหนึ่งบินมาสอดคอเข้าไปในเสวียนหญ้า เกลียวหญ้าพันคอไหม้ กาตกลงมาตายกลางบ้าน ภิกษุทั้งหลายเห็นเช่นนั้นแล้วคิดว่า “กรรมนี้หนักหนอ เว้นพระศาสดาเสียใครเล่าจักรู้กรรมที่กาได้กระทาแล้ว เราจักทูลถามพระศาสดา ” เมื่อลาชาวบ้านจึงมุ่งหน้าเดินทางไปเฝ้าพระศาสดา เรื่องที่ ๒ ภิกษุอีกพวกหนึ่งต้องการไปเฝ้าพระศาสดาที่เชตวันเหมือนกัน โดยสารเรือไป เรือหยุดนิ่งในมหาสมุทร คนในเรือปรึกษากันว่าคงจะมีคนกาลกิณี (คนชั่ว) อยู่ในเรือนี้ จึงจับสลากกัน สลากไปตกอยู่ที่ภรรยานายเรือซึ่งยังสาวสวยและอายุยังน้อย คนทั้งหลายต้องการเอาใจนายเรือจึงให้จับสลากใหม่ สลากไปตกแก่ภรรยาในเรือถึง ๓ ครั้ง พวกลูกเรือและคนโดยสารมองหน้านายเรือเหมือนจะถามว่า “จะทาอย่างไรกัน? ”
นายเรือตรองแล้ว จึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจให้คนทั้งปวงพินาศลง เพราะคนๆ เดียว ข้าพเจ้า จะสละหญิงนี้ ขอท่านทั้งหลายจงทิ้งเธอลงในมหาสมุทรเสียเถิด” คนทั้งหลายจับหญิงนั้นเพื่อโยนลงน้า หญิงนั้นก็ร้องขอความช่วยเหลือ นายเรือจึงสั่งลูกเรือว่า “จงเปลื้องอาภรณ์ของเธอออกเสียก่อน ใส่ไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เอาผ้าเก่าๆ ให้เธอนุ่ง และที่สาคัญคือเราไม่อาจเห็นความทรมานของเธอบนผิวน้าได้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงเอาหม้อบรรจุทรายผู้เชือกแล้วผูกติดกับคอของเธอ เพื่อให้จมลงไปเร็วๆ” ลูกเรือก็จัดการตามนั้น นางนั้นได้กลายเป็นเหยื่อของปลา แล้วเรือก็แล่นไปได้อย่างปกติ ภิกษุทั้งหลายเห็นเรื่องนี้แล้ว คิดว่ายกเว้นพระศาสดาเสียใครเล่าจักรู้อดีตกรรมของหญิงนี้ เราจักทูลถามเรื่องนี้กับพระศาสดา เรื่องที่ ๓ ภิกษุอีก ๗ รูปเดินทางจากชนบทมุ่งหน้าไปเฝ้าพระศาสดาที่เชตวัน ระหว่างเดินทางมาค่าลง ณ ที่แห่งหนึ่ง เข้าไปขออาศัยวัดแห่งหนึ่งพักนอน ใกล้วัดมีถ้า ในถ้ามีเตียง ๗ เตียง ภิกษุเจ้าของถิ่นจึงจัดให้ภิกษุพักในถ้านั้น ตอนกลางคืนหินก้อนใหญ่กลิ้งลงมาปิดปากถ้า ภิกษุเหล่านั้นออกไม่ได้ พวกภิกษุเจ้าของถิ่นช่วยกันผลักก็ไม่ออก ประกาศให้ชาวบ้านถึง ๗ ตาบลรอบๆ นั้นมาช่วยกันผลักก็ไม่ออก ภิกษุ ๗ รูปนั้นติดอยู่ในถ้า ๗ วัน อดข้าวอดน้าได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าเกือบจะสิ้นชีวิต พอถึงวันที่ ๗ หินก้อนนั้นก็เคลื่อนออกไปพ้นจากปากถ้า พวกภิกษุออกจากถ้าได้ คิดว่า “บาปกรรมของพวกเรานี้ เว้นพระศาสดาเสียแล้ว ใครเล่าจักรู้ พวกเราจักทูลถามพระศาสดา” แล้วมุ่งหน้าไปเมืองสาวัตถี ภิกษุเหล่านั้นทั้ง ๓ พวก มาพบกันในระหว่างทาง รู้ว่ามีความประสงค์เหมือนกัน จึงเข้าเฝ้าพระศาสดา ทูลถามถึงข้อข้องใจของตนตามลาดับดังต่อไปนี้ ๑. กรรมเก่าของกา พระศาสดาตรัสอดีตกรรมของกา มีเรื่องโดยสรุปดังนี้ ในอดีตกาล ชาวนาผู้หนึ่งฝึกโคของตนในเมืองพาราณสี แต่ไม่อาจฝึกได้ เพราะโคนั้นเดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็หยุด เมื่อเขาตีให้ลุกขึ้น มันเดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็หยุดอีก เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด เขาโกรธมาก กล่าวว่า “ต่อไปนี้มึงจงนอนให้สบายเถอะ” เขาได้เผาโคตัวนั้นทั้งเป็นโดยการนาหญ้ามาพันเป็นพวงมาลัยจุดไฟแล้วคล้องคอโค เขาตายจากชาตินั้นไปเกิดในนรกนาน พ้นจากนรกมาเกิดเป็นกา ถูกไฟคลอกตายมา ๗ ครั้งแล้ว ด้วยเศษกรรมที่เหลือ ๒. กรรมเก่าของภรรยานายเรือ พระศาสดาตรัสอดีตกรรมของภรรยานายเรือ มีเรื่องโดยสรุปดังนี้
ในอดีตกาล ภรรยานายเรือเป็นบุตรีของคหบดีคนหนึ่งในเมืองพาราณสี นางทางานทุกอย่างด้วยตนเอง เช่น ตักน้า ซ้อมข้าว ปรุงอาหาร เป็นต้น นางเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง มันรักนางมาก นั่งดูนางทางานต่างๆ
อยู่ตลอดเวลาไม่เคยห่าง เมื่อนางนาอาหารไปให้สามีที่นา หรือไปเก็บผัก สุนัขนั้นจะตามไปด้วยทุกหนแห่ง จนพวกหนุ่มๆ ล้อกันว่า “แน่ะ พรานสุนัขออกแล้ว วันนี้พวกเราต้องได้กินข้าวกับเนื้อเป็นแน่” เป็นเช่นนี้หลายครั้งเข้า นางก็เกิดความอายเพราะคาพูดนั้น จึงเอาก้อนดินบ้าง ก้อนหินบ้าง ท่อนไม้บ้าง ไล่ตี เพื่อต้องการให้สุนัขนั้นจากไปให้ได้ มันไปได้หน่อยหนึ่งก็หวนกลับมาหานางอีก นับถอยหลังจากชาติปัจจุบันไป ๓ ชาติ สุนัขนั้นเคยเป็นสามีของนาง มันจึงมีความรักในตัวนางมาก วันหนึ่งนางเอาอาหารไปให้สามีแล้วก็เอาเชือกไปด้วย เมื่อให้อาหารแก่สามีแล้ว เอากระออมเปล่าไปยังท่าน้าแห่งหนึ่ง เอาทรายใส่จนเต็มแล้วเอาปลายเชือกผูกเข้ากับปากหม้อ แล้วเรียกสุนัขเข้ามาใกล้ มันดีใจว่า นานเหลือเกินแล้วที่ไม่เคยได้ยินเสียงอันแสดงความปรานีอย่างนี้จากนายของมันเลย จึงกระดิกหางเข้าไปหาอย่างดีใจล้นเหลือ นางเอาปลายเชือกข้างหนึ่งผูกคอสุนัขแล้วผลักกระออมลงน้า สุนัขนั้นตายเพราะถูกถ่วงจมลงน้า ด้วยกรรมนี้ นางตกนรกหมกไหม้ในนรกนาน ด้วยเศษกรรมที่เหลือจึงถูกถ่วงน้าด้วยหม้อทรายมาถึงร้อยชาติแล้ว ๓. กรรมเก่าของภิกษุ ๗ รูป ในอดีตกาลเด็กเลี้ยงโค ๗ คนในเมืองพาราณสี จะต้อนฝูงโคไปเลี้ยงในที่ต่างๆ ที่ละ ๗ วัน วันหนึ่งพวกเขาได้พบเหี้ยตัวหนึ่งจึงช่วยกันไล่ เหี้ยวิ่งหนีเข้ารูในจอมปลวก ตอนนั้นเย็นมากแล้วต้องนาโคกลับ จึงปรึกษากันว่าพรุ่งนี้ค่อยมาจับ แล้วช่วยกันเอาใบไม้อุดรูทั้ง ๗ รู ของจอมปลวก วันรุ่งขึ้นเป็นวันครบกาหนดที่จะต้องย้ายโคไปเลี้ยงที่อื่น พวกเด็กๆ ลืมเสียสนิทว่าได้ขังเหี้ยไว้ ตลอดเจ็ดวันพวกเด็กๆ ก็เลี้ยงโคในที่ใหม่ เมื่อครบ ๗ วันแล้ว จึงตอนฝูงโคย้อนไปที่เก่าอีก เพราะหญ้าที่เป็นอาหารโคในที่เก่านั้นก็งอกใหม่แล้ว เมื่อไปถึงจึงนึกได้ช่วยกันเอาใบไม้ออก เหี้ยอดอาหาร อดน้า เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกคลานออกมา เด็กๆ รู้สึกสงสาร จึงไม่ได้ทาร้ายมัน ปล่อยมันไป เด็กพวกนั้นไม่ได้ไปตกในนรก เพราะมิได้ฆ่าเหี้ย แต่ได้ถูกขังครั้งละ ๗ วัน อดข้าวอดน้ามา ๑๔ ชาติแล้ว เด็กเลี้ยงโค ๗ คนนั้น คือภิกษุ ๗ รูปที่มาติดอยู่ในถ้านั่นเอง ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามพระศาสดาว่า “สถานที่ๆ พ้นจากกรรมไม่มีหรือ” พระศาสดาตรัสเป็นพุทธภาษิตมีคาแปลว่า ไม่ว่าในกลางหาว หรือท่ามกลางมหาสมุทร หรือระหว่างภูเขา แผ่นดินที่มัจจุราชเอื้อมมือไปไม่ถึงนั้นมิได้มี จบอปราปริยเวทนียกรรม

๔. อโหสิกรรม สาหรับอโหสิกรรมนี้ไม่มีองค์ธรรมโดยเฉพาะ แต่จะหมายเอาเจตนาที่เกิดขึ้นกับจิตทุกดวงใน ชวนจิตทั้ง ๗ ดวง เมื่อล่วงเลยเวลาที่จะส่งผลไปแล้วและยังไม่ได้ส่งผลเลย ก็แสดงว่ากรรมนั้นไม่มีโอกาสส่งผลอีกต่อไป จึงเรียกว่า อโหสิกรรม ตัวอย่างเช่น นายทองแก้วระหว่างที่มีชีวิตอยู่ได้สร้างกรรม ๓ อย่าง คือ ให้ทานแก่ผู้มีศีล รักษาอุโบสถศีลทุกวันพระ และในตอนเป็นเด็กเคยฆ่าปลา ในชาตินี้กรรมที่เคยรักษาอุโบสถศีลได้มีโอกาสส่งผลทาหน้าที่ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม กรรมอีกสองอย่าง คือ การให้ทานและการฆ่าปลานั้นไม่มีโอกาสส่งผลในชาตินี้ กรรมทั้งสองอย่างนี้แหละที่ไม่มีโอกาสส่งผลเป็นทิฏฐธัมมเวทนียกรรมในชาตินี้และหมดโอกาสส่งผลแล้ว จัดเป็นอโหสิกรรม ชีวิตของบุคคลที่เกิดมา หนีกรรมไม่พ้น ทั้งกรรมเก่าและกรรมใหม่ กรรมใหม่ก็ทาตลอดเวลาทั้งทางกาย วาจาและใจ โดยเฉพาะกรรมใหม่ที่ทานั้นถ้าเป็นอกุศลจะแก้ไขอย่างไรที่จะให้อกุศลกรรมนั้นเป็นอโหสิกรรม หรือทากุศลมากมายแต่กุศลนั้นไม่ให้ผล แล้วจะทาอย่างไรกุศลนั้นจึงจะส่งผลได้ เรื่องนี้ต้องพิจารณาว่ากรรมจะสาเร็จได้ด้วยเจตนาของผู้ทา บางครั้งทากุศลอย่างที่เห็นเขาทาก็ทาบ้าง ทาด้วยความ ไม่ตั้งใจ กุศลอย่างนี้ไม่มีกาลัง อินทรีย์ไม่เข้มแข็ง ถ้าจะให้กุศลที่ทามีกาลัง ผู้ทาจะต้องประกอบด้วยอินทรีย์ทั้ง ๕ ที่มีกาลัง อินทรีย์ ๕ อย่าง คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เมื่อพิจารณาแล้วก็เหมือนไม่ยาก แต่ในทางปฏิบัติต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างจึงทาได้สาเร็จ อินทรีย์คือ กาลัง การประกอบกรรมทั้งทางกาย วาจา ใจ ถ้าจะให้สาเร็จได้โดยไม่ย่อท้อ ทาได้อย่างต่อเนื่อง ทาอย่างไม่ขาดสาย บุคคลผู้นั้นต้องอาศัยความ เด็ดเดี่ยว ความมีกาลังในการเพียรสร้างกุศลความดี เพราะว่าถ้าขาดกาลังในการกระทาแล้วกุศลนั้นๆ อาจอ่อนกาลังลง อาจสาเร็จไม่สมดังที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก หรือไม่สามารถจะกระทากุศลนั้นได้อีกต่อไป เพราะขาดกาลังคือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ไปเสียแล้ว

เมื่ออินทรีย์ ๕ คือ ความเป็นใหญ่ในแต่ละทางเกิดขึ้นได้ ก็จะเกิดเป็นกาลังในการขับเคลื่อนให้การทากุศลนั้นเป็นไปได้อย่างเต็มกาลัง กาลังหรือพลังนี้ก็คือ พละ โดยเฉพาะพลังใจต้องทาให้เกิดขึ้น และที่สาคัญคือจะต้องเพิ่มพูนอยู่เสมอ ในพละทั้ง ๕ คือ ๑. สัทธาพละ คือ ความเชื่อ บุคคลควรจะต้องปลูกความเชื่อความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยให้มั่นคง ความมั่นคงจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัญญาความรู้ เช่น มีความเชื่อในปัญญาตรัสรู้ขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อกรรม เชื่อโลกนี้ โลกหน้า เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด เชื่อผลของกรรมดีกรรมชั่ว ๒. วิริยพละ คือ ความเพียร ความบากบั่น เพราะว่าการทาความดีถ้าไม่มีความเพียรก็ทาไม่สาเร็จ และความเพียรที่ทาความดีให้สาเร็จนั้นต้องเป็นชนิด “ทาความดีเพื่อความดี” ไม่ใช่ทาความดีเพื่อลาภสักการะ สรรเสริญ หรือความสุข ต้องมุ่งมั่นทาความดีเพื่อผลของความดี
๓. สติพละ คือ ความระลึกได้อยู่เสมอ สติจะต้องระลึกในสติปัฏฐาน ถ้านอกจากสติปัฏฐานแล้ว ก็ควรระลึกคือพิจารณาปัญหาต่างๆ อย่างรอบคอบ อย่างคนมีสติ ไม่ใช่มองอย่างคนมีโมหะ สติจะสกัดกั้นความยินดีความยินร้ายไม่ให้เข้าครอบงาใจได้ เช่น โดยปกติของปุถุชนเมื่อพบหรือได้รับอารมณ์ที่ดี ก็จะเกิดความรู้สึกพอใจ มีความรักในสิ่งนั้น แต่ถ้ามีสติกากับอยู่ในขณะรับอารมณ์แล้ว ความชอบใจก็จะไม่มีในขณะนั้น ทาให้ลดละความเพลิดเพลินยินดีลงไปได้ ความเพลิดเพลินยินดีในอารมณ์ก็เป็นสาเหตุให้บุคคลหลงลืมสติ
๔. สมาธิพละ คือ ความตั้งใจที่มั่นคง ความมั่นคงในการทากิจการทั้งปวง การทาความดีต้องมีสมาธิ คือมีความมั่นใจในตัวเองว่าจะทาความดีต่อไปโดยไม่หวั่นไหว
๕. ปัญญาพละ คือ ความรอบรู้ ความรู้เท่าทัน ความเข้าใจในสิ่งที่กระทา ไม่ใช่ทาด้วยความไม่รู้ แต่ทาด้วยความรู้คือทาด้วยปัญญา เมื่อผู้ใดทาให้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติ ๕ อย่างดังที่กล่าวมานี้ ทาได้อย่างครบถ้วน อย่างแก่กล้าแล้ว ก็อาจทาให้ผู้นั้นได้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติ ๕ อย่าง ในภพต่อ ๆ ไปได้ทุกชาติ จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน เมื่อเป็นเช่นนี้อกุศลอปราปริยเวทนียกรรมนั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะส่งผลได้ กลายเป็นอโหสิกรรมไป ส่วนอกุศลกรรมนั้น บางคนทาอกุศลตามๆ แบบเขาชวนทาก็ทา ชวนไปกินสุรายาเมา ชวนไปเที่ยวรื่นเริง ก็ทาตามๆ เขาไป เพราะมีโมหะ ไม่มีปัญญา มีแต่ความหลง ทาโดยไม่ได้ตั้งใจทา อกุศลกรรมเหล่านี้ก็มีกาลังอ่อน การจะแก้ไขเพื่อให้เป็นอโหสิกรรม ก็ต้องแก้ไขด้วยการสร้างกุศล เช่น ศึกษาธรรมะ เรียนให้รู้เรื่องพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และไม่นึกถึงอกุศลกรรมเก่าๆ นั้น เพียรสร้างความดีละความชั่วคือบาปอกุศลทั้งมวล อกุศลอปราปริยเวทนียกรรม จะเป็นอโหสิกรรมได้นั้น เราต้องพร้อมด้วยคุณสมบัติ ๕ อย่าง คือ ๑. ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้ที่ได้ทาบุญกุศลไว้ในกาลก่อน ๒. ปฏิรูปเทสวาสะ การอยู่ในถิ่นฐานหรือประเทศที่สมควร

๓. สัปปุริสูปัสสยะ ต้องสมาคมกับสัตบุรุษ คบคนดี ๔. สัทธัมมัสสวนะ ต้องหมั่นฟังธรรม ศึกษาธรรมอยู่เสมอ ๕. อัตตสัมมาปณิธิ การตั้งตนไว้ชอบ ๑. ปุพเพกตปุญญตา คือ เป็นผู้ได้กระทาบุญกุศลไว้แล้วในกาลก่อน จึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ และจะต้องปลูกฝังให้เกิดขึ้น ต่อไปอีกด้วย หมายความว่าชาตินี้ก็ต้องทาบุญ สั่งสมบุญ ๒. ปฏิรูปเทสวาสะ คือ การอยู่ในถิ่นฐานหรือประเทศที่สมควร อยู่ในถิ่นฐานที่มีพุทธศาสนา มีคนเป็นนักปราชญ์ มีศีลธรรม ๓. สัปปุริสูปัสสยะ คือ การสมาคมกับสัตบุรุษ สัตบุรุษคือคนดี คนดีคือคนที่มีศีลธรรม อย่าไปคบค้าสมาคมกับคนอันธพาล คนเลว ๔. สัทธัมมัสสวนะ คือ หมั่นฟังธรรม ศึกษาธรรมะอยู่เสมอ เพื่อจะได้เข้าใจหลักธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็นาคาสอนนั้นมาใช้ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิต ๕. อัตตสัมมาปณิธิ คือ ตั้งตนไว้ชอบ ตั้งตนของเราไว้ในทางที่ชอบ ไม่ตั้งตนไว้ในทางที่ผิด คุณธรรมทั้ง ๕ ประการนี้ ควรปลูกฝังไว้ในชาตินี้ อกุศลกรรมที่เคยทาไว้ก็อาจจะไม่มีโอกาสที่จะส่งผล และคุณธรรมทั้ง ๕ นี้ ย่อมทาให้มีเสบียงบุญหนุนนาสัตว์ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ในอัตภาพ สมบูรณ์ในภพชาติ และเสบียงนี้จะเป็นประโยชน์นาส่งไปจนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพาน

งกรรมหมวดที่ ๔ ปากัฏฐานจตุกกะ คือฐานะแห่งการให้ผล มี ๔ ประการ คือ
๑. อกุศลกรรม ได้แก่ เจตนาที่อยู่ในอกุศลจิต ๑๒
๒. กามาวจรกุศลกรรม ได้แก่ เจตนาที่อยู่มหากุศลจิต ๘
๓. รูปาวจรกุศลกรรม ได้แก่ เจตนาที่อยู่ในรูปาวจรกุศลจิต ๕
๔. อรูปาวจรกุศลกรรม ได้แก่ เจตนาทิ่อยู่ในอรูปาวจรจิต ๔
๑. อกุศลกรรม อกุศลกรรม ได้แก่ เจตนาเจตสิกที่อยู่ในอกุศลจิต ๑๒ กรรมจะสาเร็จได้ ๓ ทวาร คือ กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร เจตนาเจตสิกที่ประกอบในอกุศลจิต ๑๒ เป็นเจตนาตั้งใจในการทาความชั่ว หนทางแห่งความชั่ว ได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐

คาว่า “อกุศลกรรมบถ” หมายความว่า เป็นกรรมด้วย เป็นหนทางไปสู่อบายด้วย ฉะนั้น กรรมทั้งหลายมีการฆ่าสัตว์ เป็นต้น เป็นหนทางไปสู่ทุคติ จึงเรียกว่าอกุศลกรรมบถ
ในกรรมบถ ๒ ฝ่าย คือกุศลและอกุศล อกุศลเป็นของหยาบเห็นได้ง่าย และเมื่อเข้าใจฝ่ายอกุศลได้ดีแล้วก็จะเข้าใจฝ่ายกุศลได้ดีตามไปด้วย จึงแสดงฝ่ายอกุศลกรรมบถก่อนอกุศลกรรมบถ อกุศลกรรมบถ ๑๐
๑. ปาณาติบาต คือ การฆ่าสัตว์
๒. อทินนาทาน คือ การลักทรัพย์
๓. กาเมสุมิจฉาจาร คือ การประพฤติผิดในกาม
๔. มุสาวาท คือ การพูดเท็จ
๕. ปิสุณวาจา คือ การพูดส่อเสียด
๖. ผรุสวาจา คือ การพูดคาหยาบ
๗. สัมผัปปลาปะ คือ การพูดเพ้อเจ้อ
๘. อภิชฌา คือ การเพ่งเล็งทรัพย์ของผู้อื่น
๙. พยาบาท คือ การปองร้าย
๑๐. มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด
๑. กายทุจริต ๓
๑. ปาณาติบาต
ปาณาติบาต คือ เจตนาทาให้สิ่งมีชีวิตตกไปโดยเร็ว คือ ตายไปก่อนที่จะหมดอายุ ซึ่งโดยปกติ
ธรรมดาแล้ว สัตว์มีลักษณะค่อยๆ ตกไป คือ ตายไปเองตามปกติอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ยอมให้เป็นไปตามปกติอย่างนั้น กลับทาให้ตกไปอย่างเร็ว ด้วยการฆ่า ฉะนั้น กรรมที่ได้ชื่อว่าปาณาติบาตก็คือเจตนาฆ่า องค์ประกอบของปาณาติบาต มี ๕ ประการ
๑. สัตว์มีชีวิต
๒. รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓. มีจิตคิดจะฆ่า
๔. เพียรพยายามเพื่อฆ่า
๕. สัตว์นั้นตายลงเพราะความพยายามนั้น
การฆ่าสัตว์ที่ครบ ๕ ประการนี้ ชื่อว่าเป็นการทาบาปที่ครบองค์ปาณาติบาต การทาให้ชีวิตของบุคคลอื่นและสัตว์อื่นสูญสิ้นไป ถือเป็นบาปทั้งสิ้น ผู้ที่เคยฆ่าสัตว์ เมื่อใกล้จะตายถ้าคิด ถึงบาปนั้น ผลของบาปก็จะนาให้ไปเกิดในอบายภูมิ ถ้าบาปนี้ไม่มีกาลังส่งผลตอนนาไปเกิด ก็จะสามารถส่งผลได้ตอนหลังจากเกิดแล้วโดยส่งผลให้ได้รับวิบากที่ไม่ดี มีการเห็นไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี เป็นต้น อกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ สาเร็จได้เพราะเจตนาที่ประกอบในอกุศลจิต ๑๒ คือ โลภมูลจิต ๘ โทสมูลจิต ๒ โมหมูลจิต ๒ อกุศลกรรมนี้เมื่อส่งผลจะสามารถส่งผลได้ ๒ กาล คือ
๑. ส่งผลนาไปเกิด (ปฏิสนธิกาล) จะนาไปเกิดในอบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
๒. ส่งผลขณะดารงชีวิตหลังจากเกิดแล้ว (ปวัตติกาล) คือส่งผลให้ ๑.ได้เห็น ๒.ได้ยิน ๓. ได้กลิ่น ๔. ได้ลิ้มรส ๕. ได้รับสัมผัส ๖. ได้รับอารมณ์ ๗. พิจารณาอารมณ์ที่ไม่ดี กล่าวคือจะส่งผลให้ได้รับวิบากที่ไม่ดี ๗ ประการนี้เป็นพื้นฐาน และภายหลังจากไปรับทุกข์โทษในอบายภูมิมาแล้ว เศษกรรมที่เหลือจะตามส่งผลในด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ถ้าฆ่าสัตว์ วิบากกรรมที่จะได้รับในปวัตติกาล คือ ถูกฆ่า ถูกทาร้าย เป็นต้น
เกณฑ์ตัดสินการฆ่าว่ามีบาปมากหรือน้อย
บาปมาก ๑. ฆ่าสัตว์ใหญ่ หรือสัตว์ที่มีประโยชน์ เช่น วัว ควาย ๒. ฆ่าผู้มีคุณธรรมมาก เช่น พระสงฆ์ บิดามารดา ๓. ใช้ความพยายามในการฆ่ามาก
บาปน้อย
๑. ฆ่าสัตว์เล็ก เช่น มด ยุง ริ้น ไร
๒. ฆ่าผู้ไม่มีคุณธรรม เช่น โจร ผู้ร้าย
๓. ใช้ความพยายามในการฆ่าน้อย

ความพยายามในการฆ่า ทาได้ ๖ ประการ คือ
๑. ฆ่าด้วยตนเอง ๔. ใช้อาวุธต่างๆ เช่น มีด ปืน ฯลฯ หรือขุดหลุมพราง
๒. ใช้คนอื่นฆ่า ๕. ใช้วิชาอาคม หรือไสยศาสตร์ต่าง ๆ
๓. ปล่อยอาวุธ ๖. ใช้ฤทธิ์
ผลของปาณาติบาต ส่งผลในปฏิสนธิกาล คือ ส่งผลนาไปเกิด การทาบาปที่ครบองค์ประกอบของปาณาติบาตทั้ง ๕ จัดเป็นอกุศลกรรมที่สมบูรณ์ ถ้ากรรมคือการฆ่านี้ส่งผล เมื่อสิ้นชีวิตจะนาไปเกิดในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน เป็นการส่งผลในปฏิสนธิกาล
การส่งผลในปวัตติกาล คือ ส่งผลหลังจากเกิดแล้ว คือทาให้ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้รับสัมผัส ได้รับอารมณ์ และพิจารณาอารมณ์ที่ไม่ดี และเศษกรรมยังส่งผลทาให้อายุสั้น ซึ่งอกุศลกรรมจะตามมาส่งผลได้ตั้งแต่เกิดอยู่ท้องมารดา ทาให้ได้รับอันตราย ได้รับความวิบัติต่างๆ มารดาบิดาก็มักมีแต่โรคภัยไข้เจ็บก็ส่งผลให้บุตรที่อยู่ในครรภ์ไม่ได้รับอาหารจากมารดาเท่าที่ควร ทาให้อ่อนแอมาตั้งแต่แรกเกิดก็ได้ หรือในเวลานั้นอาจส่งผลทาให้โภคทรัพย์ของบิดามารดาพินาศ ของกิน ของใช้ เครื่องนุ่งห่ม ขาดแคลน ทาให้การบริหารครรภ์ไม่ดี ทารกก็ขาดความสมบูรณ์ อาจจะตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และหรือเมื่อคลอดแล้วอาหารการกินไม่สมบูรณ์ ทารกย่อมอ่อนแอ


และทาให้มีอายุสั้นได้ เพราะผลแห่งการฆ่าสัตว์นั้นติดตามมาส่งผลบีบคั้นให้ย่อยยับไปตามวาระ ตามโอกาส และหรือส่งผลทาให้ถูกฆ่า ถูกทาร้าย ข้อปฏิบัติเพื่อเป็นคนมีอายุยืน คือ เจตนากรรมที่งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จะส่งผลนาไปเกิดในเทวโลกได้ แต่หากว่าพลาดโอกาสนี้ไป บุคคลนั้นไปเกิดเป็นมนุษย์ กรรมนี้ก็จะตามส่งผลให้ในปวัตติกาล คือ หลังจากที่บุคคลนั้นปฏิสนธิแล้ว ตั้งแต่ยังอยู่ในท้องของมารดาก็ส่งผลนาความสุขมาให้ เช่น ตั้งแต่เกิดอยู่ในท้องมารดา ทั้งมารดาทั้งบิดาก็มีแต่ความสุขสาราญ อันตรายใดๆ ที่ปกติมีอยู่ก็ไม่เกิดขึ้น ทรัพย์ทั้งหลายก็มั่งคั่ง ไม่มีความขัดสน คนแวดล้อมทั้งหลาย มีทาสกรรมกร เป็นต้น ก็เป็นคนว่าง่าย ไม่หลีกเลี่ยงการงาน เมื่อเป็นเช่นนี้ ทารกที่อยู่ในครรภ์ก็ได้รับการบริหารครรภ์ที่ดี ร่างกายมีกาลังแข็งแรงมาตั้งแต่อยู่ในท้อง เมื่อคลอดก็ได้หมอดี คลอดแล้วก็ได้อาหารได้ยาที่ดี คลอดแล้วก็เป็นที่ชื่นชมยินดีแก่คนทั้งหลายในตระกูลเพราะได้เห็นเขาเป็นเด็กแข็งแรง ทรวดทรงงดงามไม่พิการ นี้คือผลของการมีเจตนางดเว้นจากการฆ่า
ถ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์ แต่เบียดเบียนสัตว์ด้วยอาวุธ ด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยการกักขัง ทรมานต่างๆ เป็นต้น เช่นนี้ไม่เป็นปาณาติบาต แต่การกระทานี้เป็นบาปอกุศลกรรม ถ้าส่งผลในปฏิสนธิกาล ก็ส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิ ๔ เมื่อสิ้นกรรมจากอบาย ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นคนไม่แข็งแรงมีโรคภัยไข้เจ็บมาก มีอันตรายต่างๆ มีการทาให้ทรัพย์หมดไป เป็นต้น ฉะนั้นการที่จะไม่ต้องเป็นคนมีโรคภัยไข้เจ็บมากก็ต้องงดเว้นจากการเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ๒. อทินนาทาน
อทินนาทาน คือ การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ อทินนาทานจะสาเร็จลงได้ก็ด้วยมีเจตนาในการที่จะได้ครอบครองสิ่งของที่มีผู้หวงแหนรักษา โดยการ ลักขโมย ฉ้อโกง ยักยอก เบียดบัง สับเปลี่ยน ปลอมแปลง โจรกรรม เป็นต้น

อนึ่ง การใช้อุบายหลอกลวงจนผู้อื่นรู้ไม่เท่าทัน จนต้องเสียผลประโยชน์ แม้ว่าผู้อื่นนั้นจะเห็นชอบยอมรับ แต่เมื่อเป็นไปด้วยเจตนาที่หลอกลวง ก็เป็นอทินนาทานด้วย มีเรื่องเล่าว่า นายพรานคนหนึ่งจับแม่เนื้อและลูกเนื้อได้ มีนักเลงคนหนึ่งถามนายพรานว่า “แม่เนื้อราคาเท่าไร ลูกเนื้อราคาเท่าไร” เขาตอบว่า “แม่เนื้อราคา ๒ เหรียญ ลูกเนื้อราคา ๑ เหรียญ” เขาก็ให้ไป ๑ เหรียญ แล้วเอาลูกเนื้อมา เขาเดินไปได้หน่อยหนึ่งก็กลับมาพูดว่า “นายเอ๋ยฉันไม่ต้องการลูกเนื้อแล้วละ จงให้แม่เนื้อแก่ฉันเถิด” นายพรานจึงบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นจงให้ ๒ เหรียญซิ” นักเลงจึงกล่าวว่า “ทีแรกฉันได้ให้ท่านไว้ ๑ เหรียญแล้วมิใช่หรือ” นายพรานก็ยอมรับว่า “ใช่ ให้ไว้ ๑ เหรียญแล้ว” นักเลงจึงบอกว่า “จงรับลูกเนื้อคืนไป ลูกเนื้อตัวนี้ราคา ๑ เหรียญ และเคยให้ไว้แล้ว ๑ เหรียญ รวมกันเข้าก็เป็น ๒ เหรียญ” นายพรานได้ยินก็เข้าใจว่าเขาพูดมีเหตุผล จึงยอมรับเอาลูกเนื้อนั้นมา แล้วให้แม่เนื้อไป เป็นอันว่านักเลงผู้นั้นได้แม่เนื้อไปโดยเสียเงินซื้อเพียง ๑ เหรียญ การยอมรับตกลงด้วยไม่ใช่เหตุของการป้องกันไม่ให้เป็นอทินนาทาน นายพรานยอมตกลงด้วยเพราะรู้ไม่เท่าทันเจตนาเล่ห์เหลี่ยมของนักเลง ส่วนการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของหวงแหนโดยไม่มีเจตนาที่จะลักเอามา แต่ถือเอาด้วยวิสาสะ ความ คุ้นเคยสนิทสนม คือว่าหยิบฉวยเอาของผู้อื่นไปบริโภคใช้สอย เพราะเห็นว่าผู้นั้นเป็นคนคุ้นเคย เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อน อย่างนี้ไม่จัดเป็นอทินนาทาน วิสาสะ คือ ความคุ้นเคย มี ๕ คือ
๑. เคยเห็นกันมา ๔. ผู้ที่ตนมีวิสาสะด้วยยังมีชีวิตอยู่
๒. เคยคบหากันมา ๕. ผู้ที่ตนจะมีวิสาสะด้วยยินดียอมรับ
๓. เคยบอกอนุญาต
องค์ประกอบของการลักทรัพย์ มี ๕ ประการ คือ ๑. วัตถุสิ่งของนั้นมีเจ้าของ ๒. รู้ว่าวัตถุสิ่งของนั้นมีเจ้าของ ๓. มีจิตคิดจะลักทรัพย์
๔. เพียรพยายามเพื่อลักทรัพย์ ๕. ได้สิ่งของที่พยายามลักนั้นมา

๓. กาเมสุมิจฉาจาร
กาเมสุมิจฉาจาร คือ การประพฤติผิดในกาม หมายถึงการประพฤติชั่ว ที่คนดีทั้งหลายรังเกียจและติเตียน
คาว่า “กาม” หมายถึง เมถุนธรรม เป็นการกระทาของคนคู่หญิงกับชายด้วยความกาหนัด คือการร่วมประเวณี การประพฤติร่วมประเวณีที่ผิดศีลก็มีองค์ประกอบ ๔
องค์ประกอบของการประพฤติผิดในกาม ๔ ประการ คือ
๑. มีวัตถุที่ไม่ควรเสพ ได้แก่ หญิง ๒๐ จาพวก
๒. มีจิตคิดจะส้องเสพในวัตถุอันไม่ควรนั้น
๓. มีความพยายามในการส้องเสพ
๔. มีการทามรรคให้จรดถึงกัน มรรคในที่นี้หมายถึงอวัยวะเพศ คือ ทาอวัยวะเพศให้จรดถึงกัน
เนื่องจากเป็นการกระทาของคนคู่ จึงแสดงสิ่งที่เป็นวัตถุที่ไม่ควรเกี่ยวข้องได้แก่หญิง ๒๐ จาพวก ไว้เป็นลาดับแรก การร่วมประเวณีจะสาเร็จได้ก็เพราะฝ่ายชายไม่ใช่ฝ่ายหญิง เพราะเหตุนี้ฝ่ายชายจึงมีโอกาสทาผิดศีลข้อ ๓ นี้ได้ง่าย เพราะฉะนั้นท่านจึงวางองค์แห่งการวินิจฉัยการกระทาของฝ่ายชายไว้ก่อนว่าวัตถุที่ไม่ควรเกี่ยวข้องได้แก่หญิง ๒๐ จาพวก หลังจากนั้นจึงจะวินิจฉัยการกระทาของฝ่ายหญิงต่อไปได้

หญิง ๒๐ จาพวกที่ชายไม่ควรเกี่ยวข้อง มีดังนี้
หญิงที่ยังไม่มีสามี มี ๑๐ จาพวก คือ
หญิงที่มีสามีแล้ว มี ๑๐ จาพวก คือ
๑. หญิงที่มีมารดารักษา คือมีมารดาปกครองดูแล
๑. หญิงที่เขาใช้ทรัพย์ซื้อมาเพื่อเป็นภรรยา
๒. หญิงที่มีบิดารักษา คือมีบิดาปกครองดูแล
๒. หญิงที่อยู่เป็นภรรยากับชายที่ตนมีความพอใจ
๓. หญิงที่มีทั้งมารดาทั้งบิดารักษา
๓. หญิงที่อยู่กับชายเพราะทรัพย์เป็นเหตุ (เช่น ยอมเป็นภรรยาเพื่อปลดหนี้ เป็นต้น)
๔. หญิงที่พี่น้องชายรักษา
๔. หญิงที่อยู่กับชายเพราะผ้าเป็นเหตุ (คือ ยอมเป็นภรรยาเพราะเห็นแก่ผ้า เครื่องประดับ ยานพาหนะ ที่พึงได้รับ เป็นต้น)
๕. หญิงที่พี่น้องหญิงรักษา
๕. หญิงที่ญาติทั้ง ๒ ฝ่ายกาหนดให้จุ่มมือลงไปใน ภาชนะใส่น้า แล้วสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกัน
๖. หญิงที่ญาติรักษา
๖. หญิงที่ชายปลดปล่อยจากความเป็นทาสแล้ว แต่งตั้งให้เป็นภรรยา
๗. หญิงที่โคตรคือวงศ์สกุลรักษา
๗. หญิงที่เป็นทั้งทาส ทั้งภรรยา
๘. หญิงที่ธรรมรักษา (หญิงที่บวชประพฤติธรรม)
๘. หญิงที่เป็นทั้งคนรับจ้างทางานอยู่ในเรือน เป็น ทั้งภรรยาด้วย
๙. หญิงที่รับหมั้นชายแล้ว
๙. หญิงเชลย
๑๐. หญิงที่มีกฎหมายรักษา
๑๐. หญิงที่ชายอยู่ร่วมชั่วคราว

การที่ฝ่ายชายจะผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารพิจารณาดังนี้ คือ ชายไปเกี่ยวข้องล่วงเกินเกี่ยวกับประเวณี กับหญิงทั้ง ๒๐ จาพวกนี้ ชายนั้นได้ชื่อว่า ประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร กล่าวคือ ในกลุ่มหญิงที่ยังไม่มีสามีลาดับที่ ๑-๘ ถ้าชายไปเกี่ยวข้องด้วยโดยที่ผู้ปกครองของหญิงไม่ยินยอมด้วย กรณีนี้ฝ่ายชายเท่านั้นที่ผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร ฝ่ายหญิงไม่ผิด และสาหรับหญิงที่ยังไม่มีสามีในลาดับที่ ๙ หญิงที่รับหมั้นชายแล้ว ๑๐. หญิงที่มีกฎหมายรักษา ทั้ง ๒ นี้ ถ้าชายอื่นที่ไม่ได้เป็นคู้หมั่น เป็นต้นล่วงเกินเกี่ยวกับประเวณี กรณีนี้ฝ่ายหญิงพร้อมชายอื่นนั้นก็ผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารด้วยกันทั้งคู่ ลาดับต่อมา คือ หญิงที่มีสามีแล้ว ได้แก่หญิง ๑๐ จาพวกหลัง ถ้าชายอื่นที่ไม่ใช่สามีเกี่ยวข้องล่วงเกินเกี่ยวกับประเวณี กรณีนี้ฝ่ายหญิงพร้อมชายอื่นนั้นก็ผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารด้วยกันทั้งคู่ ในป๎จจุบันนี้หญิงบางจาพวกไม่ปรากฏให้เห็นแล้ว เช่น หญิงเชลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าหญิงที่เหลือจะมีกี่จาพวกก็ตาม ก็สามารถย่อเหลือ ๒ จาพวก คือ
๑. หญิงที่มีเจ้าของในฐานะผู้ปกครองดูแล
๒. หญิงที่มีเจ้าของในฐานะเจ้าของสัมผัส



เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน
ให้อภัยทาน อนุโมทนากับผูใส่บาตรตามถนนหนทาง
อาราธนาศีล รักษาศีล เมื่อเช้าได้รักษษอาการป่วยของแม่
ช่วมพ่อแม่ทำงานบ้าน กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธรูป
และตั้งใจว่าจะสร้างบารมี ให้ครบทั้ง 10 อย่าง
และที่ผ่านมาได้มีการแจกซีดีธรรมะ กับหนังสือธรรมะหลายแผ่น
หลายเล่ม ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย



ขอเชิญสร้างพระมหาธาตุเจดีย์วชิรมงคล

ร่วมบุญได้ที่
บัญชีธนาคาร กรุงไทย สาขาอ่าวลึก
ชื่อบัญชี วัดมหาธาตุวชิรมงคล
เลขที่ 818-0-17262-7

ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ cool


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาทุกบุญ เลยครับ

รวมถึง ได้อ่านธรรมะดีๆ อีกด้วยครับ
:b1:

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขอร่วมอนุโมทนาด้วยคนครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 08:33
โพสต์: 7

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: ผู้ใดพบพระธรรม ผู้นั้นพบพระตถาคต


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร