วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 23:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

คนส่วนมากยังมีความเชื่อว่ามีผู้ดลบันดาล
เช่น ดลบันดาลให้เกิดภัย ดลบันดาลให้เกิดโชคลาภ เป็นต้น
แต่ทางพระพุทธศาสนาได้แสดงว่า
คนมีกรรมเป็นของตน จะมีสุขหรือทุกเพราะกรรม
ก็เปลี่ยนให้คนมากลัวกรรมกันอีก
เช่นเดียวกับที่เคยกลัวผู้ดลบันดาล
เมื่อคิดถึงก็คิดเห็นไปคล้ายกับเป็นตัวทุกข์มืด ๆ
อะไรอย่างหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัว ผู้เงือดเงื้อจะลงโทษ
กรรมจึงคล้ายผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกเข้าใจในทางร้ายอยู่เสมอ
เมื่อได้ดีมีสุขก็กลับกล่าวว่าเป็นบุญบารมี
กรรมจึงไม่มาเกี่ยวในทางดีตามความเข้าใจของคนทั่วไป


นอกจากนี้ คนจะทำอะไรในปัจจุบันก็ไม่ได้นึกถึงกรรม
เพราะเห็นว่ากรรม ไม่เกี่ยว
กรรมจึงกลายเป็นอดีตที่น่ากลัว ที่คอยจะให้ทุกข์เมื่อไรก็ไม่รู้
ซึ่งไม่สามารถจะป้องกันได้เท่านั้น
ดูก็เป็นเคราะห์กรรมของกรรมยิ่งนักที่ถูกคนเข้าใจไปเช่นนี้
อันที่จริงพระพุทธศาสนาได้สอนให้คนเข้าใจในกรรมเช่นนี้ไม่
ไม่ได้สอนให้คนกลัวกรรม เป็นทาสของกรรม หรืออยู่ใต้อำนาจกรรม
แต่สอนให้รู้จักกรรม ให้มีอำนาจเหนือกรรม
ให้ควบคุมกรรมของตนในปัจจุบัน


“กรรม” คือ กาลอะไรทุกอย่างที่คนทำอยู่ทุกเวลา ประกอบด้วยเจตนา
คือ ความจงใจ ทุกคนจะทำอะไร จะพูดอะไร จะคิดอะไร ย่อมมีเจตนา
คือ ความจงใจนำอยู่ก่อนเสมอ
และในวันหนึ่งก็ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องพูดอย่างนั้นอย่างนี้
ไปตามที่ตนเองจงใจจะพูด จะทำ จะคิด นี่แหละคือกรรม
วันหนึ่ง ๆ จึงทำกรรมมากมายหลายอย่าง หลีกกรรมไม่พ้น
พระพุทธศาสนาสอนเรื่องกรรม



หลักใหญ่ก็มุ่งให้พิจารณาให้รู้จักปัจจุบันกรรมของตนนี้แหละว่า
“อะไรดีอะไรชั่ว อะไรควรไม่ควร
เพื่อที่จะได้เว้นกรรมที่ชั่วที่ไม่ควร เพื่อที่จะทำกรรมที่ดีที่ควร”

และพระพุทธเจ้ายังได้ตรัสไว้ว่า “บุคคลสามารถจะละกรรมที่ชั่วทำกรรมที่ดีได้”
จึงได้ตรัสสอนไว้ให้ละกรรมที่ชั่ว ทำกรรมที่ดี
ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่ตรัสสอนไว้
และการละกรรมชั่วทำกรรมดีถ้าให้เกิดโทษทุกข์ ก็จะไม่ตรัสไว้อย่างนี้
แต่เพราะให้เกิดประโยชน์สุข จึงตรัสสอนไว้อย่างนี้
พระพุทธโอวาทนี้แสดงว่า คนมีอำนาจเหนือกรรม อาจควบคุมกรรมของตนได้
แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าต้องควบคุมจิตเจตนาของตนได้ด้วย
โดยตั้งมั่นแน่วแน่อยู่ในธรรม เช่น เมตตา สติ ปัญญา สัจจาธิษฐาน เป็นต้น
อันเป็นส่วนจิตและศีล อันหมายถึง ตั้งเจตนาเว้นการที่ควรเว้น
ทำการที่ควรทำในขอบเขตอันควร


ที่ว่าคนมีอำนาจเหนือกรรมปัจจุบัน
ด้วยการควบคุมจิตเจตนาให้เว้นหรือทำกรรมอะไรก็ได้นั้น
ถ้าพูดเพียงเท่านี้ก็ดูไม่มีปัญหา แต่ถ้าพูดถึงกรรมอดีตที่จะส่งผลให้ในปัจจุบัน
ก็เกิดปัญหาขึ้นอีกสำหรับผู้ที่เชื่อในอดีตชาติว่า
กรรมที่ทำให้ในอดีตชาติจะส่งผลให้ในชาตินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
จึงกลัวอำนาจของกรรมอดีต เหมือนอย่างกลัวอำนาจมืดที่จะมาทำร้ายเอาแน่
ในเรื่องนี้พระพุทธศาสนาแสดงไว้อย่างไรสมควรจะพิจารณา


ประการแรก พระพุทธเจ้าตรัสว่า
บุคคลเป็นทายาทรับผลกรรมที่ตนได้ทำไว้แล้ว
ข้อนี้เป็นกฎธรรมดาข้อมาติกา คือแม่บท
ไม่มีผิดเหมือนอย่างที่คำโบรารณว่า “กำปั้นทุบดิน”

แต่ยังมีกฎประกอบอีกหลายข้อเหมือนอย่างดินที่ทุบนั้น
ยังมีปัญหาต่อไปอีกหลายข้อว่า ดินที่ตรงไหน เป็นต้น
เมื่อกล่าวว่าดินแล้วก็คลุมไปทั้งโลก
คำว่ากรรมก็ฉันนั้นคลุมไปทั้งหมด
เพราะคนทุกคนทำกรรมต่าง ๆ ซับซ้อนกันมากมายเหลือเกิน
กรรมอันไหนจะให้ผลเมื่อไร จึงมีกฎแบ่งกรรมออกไปอีก
สรุปลงว่า กรรมหนักหรือกรรมที่ทำบ่อย ๆ
ให้ผลก่อนกรรมที่เบากว่า หรือที่ทำไม่บ่อยนัก
คนเรานั้นทำมาทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว จึงมีสุขบ้างทุกบ้างสลับกันไป
ผู้ที่มีสุขมากก็เพราะกรรมหนัก หรือกรรมที่ทำบ่อย ๆ ฝ่ายดีกำลังให้ผล
ผู้ที่มีทุกข์มากก็ตรงกันข้าม


และในปัจจุบันนี้ใครก็ตามมีความไม่ประมาท
ประกอบกรรมที่ดีอย่างหนักหรือบ่อย ๆ กรรมดังกล่าวนี้จะสนองผลให้ก่อน
กรรมชั่วในอดีตหากได้ทำไว้ ถ้าเบากว่าก็ไม่มีโอกาสให้ผล
ฉะนั้น ผู้ที่ทำกรรมดีมากอยู่เสมอ ๆ จึงไม่ต้องกลัวกรรมชั่วในอดีต
หากจะมีกุศลของตัวจะชูช่วยให้มีความสุขความเจริญสืบไป
และถ้าแผ่เมตตาจิตอยู่เนือง ๆ ก็จะระงับคู่เวรในอดีตได้อีกด้วย
ระงับได้ตลอดถึงปัจจุบัน
ทั้งเมื่อได้ดำเนินในมรรคมีองค์ 8 ของพระพุทธเจ้าเพื่อความสิ้นทุกข์
ก็จะดำเนินเข้าสู่ทางที่พ้นจากกรรมเวรทั้งสิ้น

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
“ตัณหาเป็นกรรม สมุทัยคือ เหตุให้เกิดกรรม มรรคเป็นทางดับกรรม
ฉะนั้น จึงไม่ต้องกลัวอดีต แต่ให้ระวังปัจจุบันกรรม
และระวังใจ ตั้งใจให้มั่นไว้ในธรรม
ธรรมก็จะรักษาให้มีความสวัสดีทุกกาลทุกสถาน”


:b47: ----------------------------- :b47:


ที่มา...กรรม
พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
จาก “พระพุทธศาสนา และการนับถือพระพุทธศาสนา”

คัดลอกจาก
http://freehp.kku.ac.th/freeHP/nec/0122 ... anha2.html
http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... dej-11.htm

:b48: :b8: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 28 ม.ค. 2010, 17:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร