วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 13:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 06:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 13:42
โพสต์: 38

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมว่า..พระพุทธเจ้าหยุดกรรมไม่ให้ให้ผลได้..ถ้าพระองค์ท่านต้องการ..เพียงแต่ว่า..พระองค์จะยังต้องการหยุดกรรมไปทำไม..ก็มันรู้ไปซะหมดแล้วนี้..ทำอย่างนี้แล้วจะเป็นยังงัย..ไม่ทำอย่างนี้แล้วจะเป็นยังงัย..พระองค์ท่านจะทำเฉพาะที่มีประโยชน์เท่านั้น

ดูอย่างท่านเทวทัต กลิ่งก้อนหินใส่พระองค์ท่าน..ผมว่าพระองค์ท่านรู้..แล้วทำไม่พระองค์ท่านไม่หลบไปซะ..(ผมคิดว่า)..เพราะรู้ว่า..ผลมีแค่ ห้อพระโลหิต..เพราะรู้ว่า..เมื่อท่านเทวทัตทำแล้ว..ฌาณจะเสื่อม.เหาะไปไหนมาไหนไม่ได้..จะเกิดการสำนึกผิด..เพราะรู้ว่า..จะเดินทางมาหาพระองค์แล้วถูกธรณีสูบ..เพราะรู้ว่า..ก่อนจะถูกแผ่นดินกลืนหมด..เทวทัตจะทำการถวายกระดูคางแก่พระองค์..เพราะรู้ว่า..ด้วยอานิสงค์การถวายนี้จะเป็นปัจจัยได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า..พระองค์ท่านเลยไม่หลบ..(เป็นแค่คิดว่า..เฉย ๆ นะ)


ดูอย่าง..ตอนที่พระองค์ท่านปลงสังขาร..ก็กล่าวกับพระอานนท์ว่า..หากท่านอาราธนาให้เราอยู่..เป็นกัลป์เราก็อยู่ได้..เพราะอะไร..ก็เพราะท่านรู้วิธีนะซิ..(เป็นพุทธวิสัยที่รู้แจ้งแทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท..รู้ว่าจิตอวิชชาสร้างสังขาร อย่างไร นั้นเอง..ผมคิดเองนะ..ไม่เกี่ยวกับอาจารย์ผม)..

ในพุทธกาลก็มีตัวอย่าง..ตอนหนึ่ง.พระเถรีอรหัตตเจ้าผู้หนึ่ง..รูปสวยมีดวงตาที่งดงามมาก..อดีตคนรักก็เฝ้ากวนใจให้ลาสิกขา..เพราะหลงในดวงตางามนั้น..พระท่านเกรงว่าบาปจะตกอยู่กับเขา..ก็ควักดวงตายื่นให้..เจ้านั้นเผ่นกลับแต่โดยเร็ว..ครันท่านพบพระพุทธเจ้า..พระองค์ยังกล่าวว่าทำถูกแล้ว..แล้วบันดาลให้มีดวงตาเหมือนเดิมอีกครั้งหนึ่ง..

ดังเช่น..คนสร้างรถยนต์..อะไรจะเสียก็ซ่อมแซมด้วยอะไหล่..ถ้าขาดอะไหล่อีก..ก็สร้างอะไหล่ใหม่ซะเลย..ก็คนมันรู้วิธีทำ ไม่เหมือนคนซ่อมรถ รถเสียซ่อมได้แต่สร้างอะไหล่เองไม่ได้ทำไม่เป็น

เราจะกล่าวให้ฟัง ที่เหลือเธอใคร่ครวญเองเถิด
พระพุทธองค์ ทรงดำริว่า " กรรมนี้ เป็นกรรมที่มิใช่ใครจะห้ามได้"
เพราะทรงทราบว่า ต่อให้พระพุทธองค์ ทรงห้ามกี่ครั้ง พระเจ้าวิฑูทะพะก็จะไปไม่หยุด แล้วประโยชน์อันใดต่อพระพุทธองค์ ด้วยการห้ามปรามกรรมเหล่านั้น
เช่นพระมหาโมคคัลลานะ แม้จะหลบหลีกโจรซักเท่าไหร่ก็ยังถูกราวีไม่ลดละ ด้วยอำนาจแห่งกรรม
จนที่สุดก็รู้ว่าหาใช่ประโยชน์ที่จะต้องหลบหลีกไม่
แม้แต่พระพุทธองค์ เสวยภัตตาหารของนายจุนทะ แม้ทรงทราบว่า มีโทษจะทำให้อาพาธแต่ก็ยังเสวย
เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าพระองค์ทรงทราบว่านี้เป็นกรรมแห่งอดีต
เหล่านี้แล เหล่าพระอริยสงฆ์ทั้งปวง หาได้กลัวต่อกรรมไม่ และยอมรับกรรมโดยไม่หวั่นเกรง
แต่เหตุไฉนเธอทั้งหลายกลับกลัวกรรมอันเธอกระทำกันไว้แล้ว หาใช่สิ่งที่ควรไม่

และจะแก้ไขความเข้าใจเรื่องที่เธอกล่าวมาดังนี้
เทวทัต พระพุทธองค์ทรงทราบก่อนที่จะบวชแล้ว ถามว่า เพราะเหตุไรพระพุทธองค์จึงทรงบวชให้?
ตอบว่า เพราะหากพระพุทธองค์ทรงห้าม เทวทัตจักผูกอาฆาต และก่อกรรมที่หนักหนากว่า
เมื่อทรงเห็นว่า เทวทัตบวชแล้ว จักได้เป็นปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคต จึงทรงบวชให้

ฌาณของพระเทวทัตเสื่อมตั้งแต่หลังจากไปหาพระเจ้าอชาตศัตรู แล้วยังจิตกำเริบว่า จักปกครองหมู่สงฆ์ เมื่อจิตนี้เกิดขึ้นฌาณของเธอจึงเสื่อม

พระเทวทัต ผลักก้อนหินหวังปลิดชีพพระพุทธองค์ แต่ยอดภูเขารองรับหินนั้นไว้ เหลือเพียงสะเก็ดที่แตกออกมา แต่พระพุทธองค์ ทรงรับไว้ด้วยเหตุว่า หากไม่ถูกพระองค์เลย พระเทวทัตจักอกแตกตาย
แล้วจักไม่ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคต

ที่พระเทวทัต จักได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า มิใช่ด้วยอำนาจแห่งการถวาย แต่เป็นจิตที่เลื่อมใสต่อพระพุทธองค์ โดยที่ไม่เห็นสิ่งบูชาอื่น จึงได้กล่าวถวายด้วยสิ่งที่เหลืออยู่ หาใช่เพราะถวายคางแล้วได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่

โอภาสนิมิตอย่างหยาบ อันพระพุทธองค์ ทรงแสดงแก่พระอานนท์ ทรงแสดงทั้งหมด 16 แห่งด้วยกัน
หาใช่แสดงเพียงหนเดียวไม่

ที่พระพุทธองค์ทรงเนรมิต อวัยวะให้ตามเดิมนั้น เพราะสิ่งนี้มิใช่เกิดจากกรรม
ยังมีอีกเรื่องทำนองเดียวกันนี้
มีอุบาสิกาคนหนึ่ง เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสต่อพระพุทธศาสนามาก ถวายอาหารแก่ภิกษุไม่เคยขาด
วันหนึ่ง อุบาสิกา ถามภิกษุว่า ท่านต้องการจะฉันอะไร ภิกษุนั้นตอบว่า อยากฉันเนื้อมนุษย์
อุบาสิกา ก็หาปฏิเสธไม่ ก็ได้เฉือนเนื้อน่องขา แล้วทำเป็นอาหารถวายแก่ภิกษุนั้น
พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่อง ก็กล่าวติเตียนโดยประการต่างๆ มีความเป็นแห่งผู้เลี้ยงยากเป็นต้น
แล้วบัญญัติมิให้ภิกษุฉันเนื้อมนุษย์ และทรงเนมิตเนื้อน่องของอุบาสิกานั้นให้กลับมาเต็มดังเดิม

สิ่งนี้มิใช่เกิดจากกรรมเก่าไม่ แต่เป็นกรรมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นกรรมกุศล มิใช่เป็นกรรมอกุศล
เหล่าพระขีณาสพ ย่อมไม่เคยคิดจะหลีกหนีกรรมเก่า เพราะต่อให้หลีกหนีเช่นไร กรรมหล่านั้น
ก็ติดตามสนองจนสำเร็จ นี้แล จึงเป็นที่มาแห่งพระดำรัส ว่า

บุคคลหว่างพืชเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น
บุคคลทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดี
บุคคลทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว

ความเลื่อใสต่อพระพุทธองค์ เป็นการดี แต่ว่าอย่าเปลี่ยนความเลื่อมใส ให้กลายเป็นความงมงาย
แม้ในพระพุทธองค์ ก็ไม่สรรเสริญในจุดนี้

.....................................................
ทุกคนมี อายตนะ ทั้ง 6 ครบเช่นกัน แต่การจะใช้ไปในทิศทางใดนั้น เราเป็นผู้ตัดสินใจ
หากหลงไปกับกระแสแห่งตัณหา เราจักไม่มีหนทางหนีออกจากกระแสแห่งตัณหานั้นได้
จงออกมาจากแม่น้ำคือตัณหานั้น แล้วมายืนดูที่ฝั่ง แล้วเราจะพบว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้น
หาใช่สุขที่แท้จริงไม่ ความยึดถือ ความปรุ่งแต่งแห่งจิต ทุกสิ่งล้วนเกิดจาก จิต
จิต ที่เราไม่สามารถที่จะควบคุมได้ จิต ที่คอยจมดิ่งไปสู่อารมณ์ที่ตนชอบใจ
การชนะใดๆ ก็หาใช่การชนะที่แท้จริงไม่ การชนะใจตัวเองนั่นแล คือการชนะที่ประเสริฐที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 06:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอโมทนาทุกท่านที่แสดงความคิดเห็น
ถึงแม้จะขัดแย้งกัน ก็ยิ่งทำให้เห็นภาพชัดขึ้น อ่านแล้วคิดตามทั้งสองฝั่งทำให้
เข้าใจอะไรๆได้ง่ายขึ้น จริตของดิฉันคงต้องศึกษาธรรมะจากสงครามมั้งค่ะ
:b8: :b8: :b41: :b41: :b42: :b41: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร