วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 12:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 05:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คัดมาบางส่วนจากหนังสือ “ปุจฉาวิสัชนาในประเทศ”
โดย พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี)


ปล. ผู้โพสต์ได้จัดหน้าใหม่ บรรดาตัวเน้นเส้นใต้ทั้งหลาย
ล้วนเป็นฝีมือผู้โพสต์ดัดแปลงเพื่อให้อ่านง่าย และเน้นสิ่งสำคัญ
หากต้องการต้นฉบับ PDF ซึ่งถูกออกแบบมาให้
พร้อมพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ ก็ขอเชิญที่นี้
http://www.hinmarkpeng.org/dhamma01.html

---------------------------------------------------------

(๑) ถาม การทำบุญอุทิศให้ผู้มีพระคุณทั้งหลายมีมารดาบิดาเป็นต้น
ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือเปล่า ถ้าผู้นั้นไม่ได้รับบุญเหล่านั้นจะเป็นของใคร


(๑) ตอบ ปัญหาเรื่องนี้กินความกว้างขวางมาก มีผู้ถามปัญหาข้อนี้กับผู้เขียนตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณรอยู่
จนมาได้บวชพระนับเป็นเวลา ๖๐ กว่าปี แล้วก็ยังมีคนถามอยู่

นี่แหละผู้เขียนหวังว่าถึงผู้เขียนตายไปแล้ว ถ้ายังมีการทำบุญให้ผู้ตายไปแล้วอยู่
คงจะมีปัญหาอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

ผู้เขียนจะตั้งประเด็นไว้เป็นข้อๆ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย และกันความหลงลืมดังนี้
๑.๑ ทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว
๑.๒ ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือเปล่า
๑.๓ ถ้าผู้นั้นไม่ได้รับ บุญอันนั้นจะเป็นของใคร


๑.๑ ทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว
๑.๑ ผู้ทำบุญโดยส่วนมาก ๙๙ เปอร์เซ็นต์ เพื่ออุทิศแก่ผู้มีพระคุณทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้น

ชาวพุทธมีดีตรงนี้แหละ พุทธศาสนาสอนให้รู้จักบุญคุณของผู้ที่มีพระคุณทั้งหลาย
แล้วทำดีเพื่อสนองพระคุณของท่านเหล่านั้น

ถ้าไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณแล้ว คนเราก็จะกลายเป็นเดรัจฉานไปหมด
การทำความดี คือ บุญกุศลนี้ย่อมทำสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์
ไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนและคนอื่น ทำในที่เปิดเผย ไม่ทำในที่ลับด้วยและทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ

ไม่เหมือนกับคนที่ทำความชั่ว ทำความชั่วนั้นทำด้วยความเศร้าหมอง
ไม่ผ่องใส และก็ทำในที่ลับไม่เปิดเผยด้วย
ทั้งไม่อุทิศส่วนบาปนั้นให้แก่ผู้มีพระคุณทั้งหลาย
ถึงแม้อุทิศให้แก่ใครก็ไม่มีใครอยากรับ เพราะเป็นของเศร้าหมอง

ทำบุญให้แก่ผู้มีพระคุณที่ตายไปแล้วนี้ จงทำด้วยของบริสุทธิ์
อย่าไปฆ่าเป็ด ไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายมาทำ จะบาปหนักเข้าไป

อีกทำเล็กๆ น้อยๆ ด้วยใจผ่องใสบริสุทธิ์ เป็นต้นว่าตักบาตรถวายอาหารพระสงฆ์ บุญก็มากเอง
บุญมิใช่เกิดเพราะไทยทานมากๆแต่เกิดขึ้นจากใจเลื่อมใสศรัทธาต่างหาก
เปรียบเหมือนเทียนที่เรามีอยู่แล้วไปขอต่อจากคนอื่น เทียนของคนอื่นก็ไม่ดับ ของเราก็ได้ไฟสว่างมา
เหตุนั้นบุญในพุทธศาสนาจึงหมดไม่เป็น

คนมากี่ร้อยกี่พัน เอาหัวใจของตนมาตักตวงเอา บุญในพุทธศาสนานี้ก็ไม่มีหมด
บุญยังเต็มเปี่ยมอยู่ตามเดิม ถ้าทำด้วยความเลื่อมใสแล้ว วัตถุทานมีน้อยก็กลายเป็นของมากเอง


๑.๒ ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าผู้นั้นได้รับหรือเปล่า
เรื่องนี้เป็นของพูดยาก เพราะผู้ที่ตายไปแล้วก็ไม่ได้ตอบรับเหมือนเราส่งจดหมายไปหากัน
อนึ่ง บุญนั้นก็มิใช่จะส่งไปได้อย่างพัสดุไปรษณีย์เพราะเป็นของไม่มีตัวตน

เป็นความรู้สึกภายในใจว่าบุญที่ตนทำนี้ต้องถึงผู้ตายไปแน่
และเราเชื่อตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า
ทำบุญให้แก่ผู้ตายไปแล้วต้องทำในพระภิกษุผู้มีศีลและเมื่อต้องการอยากจะให้เขาได้บริโภคอาหาร ก็
ต้องทำบุญถวายอาหารเมื่อต้องการอยากจะให้เขาได้เครื่องนุ่งของห่ม ก็ถวายผ้าผ่อนเครื่องนุ่งของห่ม แล้วอุทิศ
กุศลนั้นไปให้แก่เขาเหล่านั้น แล้วของเหล่านั้นก็จะปรากฏแก่เขาเหล่านั้นเองโดยที่ไม่มีใครนำไปให้เขา


๑.๓ ถ้าผู้นั้นไม่ได้รับ บุญอันนั้นจะเป็นของใคร
เรื่องนี้บอกได้ชัดเลยว่า บุญเป็นของผู้ทำแน่นอนเพราะผู้ทำเกิดศรัทธาเลื่อมใสพอใจในการกระทำบุญ
บุญก็ต้องเกิดในหัวใจของผู้นั้นเสียก่อนแล้วอุทิศส่วนบุญนั้นให้แก่ผู้มีอุปการะคุณที่ตายไปแล้ว
ได้ชื่อว่าทำบุญสองต่อ คือเราได้ทำบุญแล้วเพราะศรัทธาเลื่อมใสจึงทำบุญ
แล้วเราอุทิศส่วนบุญนั้นไปให้แก่ผู้ตายไปอีก เป็นอีกต่อหนึ่ง

ทำบุญให้ผู้ตายนี้ท่านแสดงไว้ว่ายากนักผู้ที่ตายจะได้รับ เหมือนกับงมเข็มอยู่ในก้นบ่อ
แต่ผู้ยังมีชีวิตอยู่ก็ชอบทำ นับว่าเป็นความดีของผู้นั้นอย่างยิ่ง

ท่านเปรียบไว้ สมมุติว่าบุญที่ทำลงไปนั้นแบ่งออกเป็น ๑๖ ส่วน
แล้วเอาส่วนที่ ๑๖ นั้นมาแบ่งอีก ๑๖ ส่วน
ผู้ตายไปจะได้รับเพียง ๑ ส่วน เท่านั้น

ฟังดูแล้วน่าใจหาย เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายจึงไม่ควรประมาท
ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้มีสิ่งใดควรจะทำก็ให้รีบทำเสียตายไปแล้ว
เขาทำบุญไปให้ไม่ทราบว่าจะได้รับหรือไม่
ถึงแม้ได้รับก็น้อยเหลือเกิน
เพราะคนตายแล้ว เขาเรียกว่าเปรต ไม่ได้เรียกว่า บิดา
มารดา ป้า น้า อาว์ ครูบาอาจารย์ อย่างเมื่อเป็นมนุษย์อยู่นี้หรอก


ในบรรดาเปรตเหล่านั้นมี ๑๑ พวก
มีจำพวกเดียวที่จะได้รับส่วนบุญ
ที่คนยังมีชีวิตอยู่อุทิศไปให้ เรียกว่า ชีวิตูปรัตตเปรต เปรตจำพวกนี้ได้รับทุกข์ร้อนลำบากมาก

เพราะในเปรตโลกนั้นไม่มีการทำนาค้าขาย แม้แต่ขอทานก็ไม่มี
เสวยผลกรรมของตนๆที่ทำไว้ เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่นี้เท่านั้น
ฉะนั้นเปรตจำพวกนี้แหละมนุษย์คนที่ยังเป็นอยู่ทำบุญอุทิศไปให้จึงจะได้รับ
เปรตนอกนั้นแล้วไม่ได้รับเลย เช่น ตายไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้รับ นับประสาอะไร

บางทีสามีภรรยานอนอยู่ด้วยกันแท้ๆ ฝ่ายหนึ่งทำบุญขอให้อีกฝ่ายหนึ่งอนุโมทนาด้วย ก็ไม่รับ
พวกที่ไปเกิดเป็นเดรัจฉานยิ่งไม่รู้กันใหญ่
ไปเกิดในนรกหมกไหม้ทุกขเวทนามาก ทำบุญอุทิศไปให้ก็ไม่รู้อะไร เพราะกำลังเสวยผลกรรมอันนั้นอยู่

หรือไปเกิดเป็นเทวดาชั้นใดชั้นหนึ่งก็เหมือนกัน เขากำลังเสวยผลบุญของเขาอยู่
เขาจะมาเอากุศลผลบุญของเราได้อย่างไร

ชีวิตูปรัตตเปรต ดังเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่พระเจ้าพิมพิสารเกิดอาเพทตอนกลางคืน
มีเสียงดัง ขลุกๆ ขลักๆ ทั่วไปหมดในห้องพระตำหนัก พระเจ้าพิมพิสารกลัวจะเกิดเหตุเป็นอันตรายแก่ราชบัลลังก์
จึงเข้าไปกราบทูลเหตุอันนั้นแก่พระพุทธเจ้า

พระองค์ตรัสว่า ไม่มีอันใดเลย
พวกเปรตที่เป็นญาติของพระองค์แต่ครั้งพระพุทธเจ้าชื่อว่า พระวิปัสสี โน่น เขามาขอส่วนบุญกับพระองค์
ขอมหาบพิตรจงทำบุญให้เขาแล้วอุทิศส่วนบุญนั้นให้เขาเสีย เสียงนั้นก็จะหายไป

พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงกระทำ ทักษิณานุประทาน ทำบุญอุทิศให้แก่เปรตเหล่านั้นแล้ว
พวกเปรตเหล่านั้นได้รับส่วนบุญแล้วก็มีกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่ยังไม่มีผ้าเครื่องนุ่งห่ม

ทีหลังก็มาปรากฏให้พระเจ้าพิมพิสารเห็นอีก พระเจ้าพิมพิสารก็นำเอาเรื่องพฤติการณ์อันเปรตมาแสดงนั้น
ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าอีก

พระองค์จึงตรัสว่า เพราะมหาบพิตรไม่ได้ทำบุญผ้า
พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงทำบุญถวายผ้าแก่พระสงฆ์ และอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่เปรตเหล่านั้น
พอเปรตเหล่านั้นได้รับแล้วก็ไปเกิดในสุคติภพในสวรรค์

ที่มาเล่าสู่กันฟังพอเป็นทัศนคติที่ว่า ทำบุญให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้วจะได้รับหรือไม่
เพราะผู้เขียนก็ไม่สามารถจะไปล่วงรู้เขาได้ และผู้ตายไปแล้ว
แม้แต่โยมบิดามารดาของผู้เขียนก็ไม่เคยบอกว่า บุญที่ทำแล้วอุทิศไปให้ได้รับหรือเปล่า
แต่ผู้เขียนก็ทำบุญอุทิศไปให้เสมอเป็นแต่ได้ฟังมาจากตำรา จะหาว่าเล่านิทานหลอกเด็กให้กลัวเฉยๆ
แต่ถ้าผู้ใหญ่กลัวอย่างเด็กๆแล้ว บ้านเมืองก็ไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ เด็กเชื่อง่ายหัวอ่อน สั่งสอนน้อมใจเชื่อเร็ว
ผู้ใหญ่จึงชอบสอนเด็กๆ แต่เมื่อโตขึ้นมาแล้ว ถือว่าเรามีสิทธิเสรีเต็มที่ไม่ต้องเชื่อความคิดของคนอื่น
เชื่อความคิดของตนเอง หรือเข้าสมาคมกับผู้ใหญ่เลยเป็นผู้ใหญ่ไปหมด
ความเชื่อและความคิดเมื่อยังเด็กอยู่ที่อบรมไว้เลยหายหมดเลย
กลายมาเป็นผู้ใหญ่อย่างผู้ใหญ่ทั้งหลายที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

อนึ่ง เรื่องการทำบุญใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวร เรื่องนี้ผู้เขียนไม่รู้จริงๆ จึงตอบไม่ได้ ขอผู้รู้ทั้งหลายได้
เมตตาแนะแนวให้ผู้เขียนได้ทราบบ้างก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

กรรมที่ตนกระทำไว้แล้ว ไม่ว่ากรรมดีและกรรมชั่ว ผลของกรรมนั้นย่อมเกิดที่ใจของตนเอง
มิิใช่ผู้ทำกรรมผู้หนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรอีกผู้หนึ่ง
คล้ายๆ กับว่ามีเจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้บัญชาการอยู่
ทำบุญอุทิศกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรผู้บัญชาการเพื่อให้เป็นสินน้ำใจ
แล้วเจ้ากรรมนายเวรก็จะลดหย่อนผ่อนผันให้อย่างนี้เป็นต้น

หรือกรรมเวรที่เราทำแก่คนอื่นนั้น คนนั้นเองเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราเห็นโทษความผิดแล้วทำบุญอุทิศไปให้แก่
เขาเพื่อเขาจะลดโทษผ่อนผันให้ อันนี้ก็ไม่ถูก เพราะเขาตายไปแล้ว ไม่ทราบไปเกิดในที่ใด และกำเนิดภูมิใด ดังได้อธิบายมาแล้วในข้างต้น

คนที่ทำกรรมทำเวรแก่กันแล้วเมื่อยังเป็นคนอยู่นี้ จะพ้นจากกรรมจากเวรได้ก็เมื่ออโหสิกรรมให้แก่กันและกัน
ในเมื่อยังเป็นคนอยู่นี่แหละตายไปแล้วจะอโหสิกรรมให้แก่กันและกันไม่ได้เด็ดขาด

มิใช่ว่าเราได้ทำกรรมชั่วทุจริตด้วยจิตที่เป็นบาปมีอกุศลมูลเป็นพื้น
มาภายหลัง ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี หรือเท่าไรก็ตาม ระลึกถึงกรรมอันนั้นแล้วกลัวบาป
จึงทำบุญอุทิศไปให้แก่ผู้ที่เราได้กระทำแก่เขานั้นเพื่อให้เขาอโหสิกรรมให้
ดังนี้ เป็นการไม่ยุติธรรม

เป็นการตัดสินคดีภายหลังจากเหตุการณ์ ถ้าถือว่าเราระลึกถึงความชั่วของตนแล้ว
ทำความดีเพื่อแก้ตัวหรือปลอบใจของตัวเอง เป็นการสมควรแท้

การทำบุญให้แก่ผู้ตายไปแล้วจะได้หรือไม่ มีอรรถาธิบายกว้างขวางมาก
อธิบายมาก็มากพอสมควร พอที่ผู้ฟังจะเข้าใจบ้างตามสมควร
จึงขอยุติไว้เพียงแค่นี้เสียก่อนเพื่อจะได้ตอบปัญหาคนอื่นต่อไป

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 06:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b16: k.คามินธรรม นี่เก่งนะคะ หาบทความง่ายๆ อ่านแล้วเข้าใจเต็ม 100 มาให้อ่าน
ตอนนี้เราได้รับ messages จากบ้านอารีย์ทุกวันเลยค่ะ แล้วคุณล่ะ ยังไม่เปลี่ยนใจมาใช้ AIS หรือคะ
:b17: :b17: :b17: :b17: :b17: :b17: :b17: :b17: :b17: :b17: :b17:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพลศักดิ์ครับ เรื่องนี้หลวงปู่เทสก์ไม่ได้พูดจากความเชื่อของท่านครับ
ท่านพูดสอนบนฐานแห่งพระไตรปิฏก

ลองดูนะครับ
Quote Tipitaka:
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=24&A=6420&Z=6522

ชาณุสโสณีสูตร
[๑๖๖] ครั้งนั้นแล ชาณุสโสณีพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

ท่านโคดมผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าได้นามว่าเป็นพราหมณ์
ย่อมให้ทาน ย่อมทำความเชื่อว่า ทานนี้ต้องสำเร็จแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้ว
ขอญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วจงบริโภคทานนี้

ท่านโคดมผู้เจริญ
ทานนั้นย่อมสำเร็จแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วหรือ

ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วเหล่านั้นย่อมได้บริโภคทานนั้นหรือ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์
ทานนั้นย่อมสำเร็จในฐานะแล ย่อมไม่สำเร็จในอฐานะ ฯ
(ชาติสยาม - ฐานะคือเป็นไปได้ อฐานะคือเป็นไปไม่ได้)


ชา. ท่านโคดมผู้เจริญ ฐานะเป็นไฉน อฐานะเป็นไฉน ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มีความอยากได้ของผู้อื่น มีจิตปองร้าย
มีความเห็นผิด บุคคลนั้นเมื่อตายไปย่อมเข้าถึงนรก
เขาย่อมเลี้ยงอัตภาพอยู่ในนรกนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรกนั้น
ด้วยอาหารของสัตว์นรก
ดูกรพราหมณ์ ฐานะอันเป็นที่ไม่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แล เป็นอฐานะ ฯ

(ชาติสยาม - สรุปว่าสัตว์นรกทุกชนิด ไม่มีทางได้รับทาน)


ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ มีความเห็นผิด
บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนั้น
ย่อมตั้งอยู่ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนั้น ด้วยอาหารของสัตว์ผู้เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน
ดูกรพราหมณ์แม้ฐานะอันเป็นที่ไม่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แล ก็เป็นอฐานะ ฯ
(ชาติสยาม - ถ้าผู้ล่วงลับไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไม่มีทางได้รับทาน)


ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์จากการลักทรัพย์
จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ
จากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่มีความอยากได้ของผู้อื่น มีจิตไม่ปองร้าย มีความเห็นชอบ
บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของพวกมนุษย์
เขาย่อมเลี้ยงอัตภาพในมนุษย์โลกนั้น ย่อมตั้งอยู่ในมนุษย์นั้นด้วยอาหารของมนุษย์
ดูกรพราหมณ์ แม้ฐานะอันเป็นที่ไม่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แล ก็เป็นอฐานะ ฯ
(ชาติสยาม - ถ้าล่วงลับแล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ เขาก้จะไม่ได้รับทานที่เราทำให้)

ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ
มีความเห็นชอบ บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดา
เขาย่อมเลี้ยงอัตภาพอยู่ในเทวโลกนั้น ย่อมตั้งอยู่ในเทวโลกนั้น ด้วยอาหารของเทวดา
ดูกรพราหมณ์ แม้ฐานะเป็นที่ไม่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แล ก็เป็นอฐานะ ฯ
(ชาติสยาม - ถ้าล่วงลับแล้วไปเกิดเป้นทวดา เขาก้จะไม่ได้รับทานที่เราทำให้)


ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ ฯลฯ มีความเห็นผิด
บุคคลนั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงเปรตวิสัย เขาย่อมเลี้ยงอัตภาพอยู่ในเปรตวิสัยนั้น
ด้วยอาหารของสัตว์ผู้เกิดในเปรตวิสัย หรือว่ามิตร อำมาตย์หรือญาติ สาโลหิตของเขา
ย่อมเพิ่มให้ซึ่งปัตติทานมัยจากมนุษย์โลกนี้ เขาเลี้ยงอัตภาพอยู่ในเปรตวิสัยนั้น
ย่อมตั้งอยู่ในเปรตวิสัยนั้น ด้วยปัตติทานมัยนั้น
ดูกรพราหมณ์ฐานะอันเป็นที่เข้าไปสำเร็จแห่งทานแก่สัตว์ผู้ตั้งอยู่นี้แล เป็นฐานะ ฯ
(ชาติสยาม - สรุปตรงนี้ก่อนว่า ทานสำเร็จกับเปรตเท่านั้น "เป็นฐานะ"
ส่วนสัตว์นรก เทวดา มนุษย์ ล้วนไม่อยู่ในฐานะที่จะได้รับทาน)



ชา. ท่านโคดมผู้เจริญ ก็ถ้าญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น
ไม่เข้าถึงฐานะนั้น ใครเล่าจะบริโภคทานนั้น ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วแม้เหล่าอื่นของทายกนั้น
ที่เข้าถึงฐานะนั้นมีอยู่ ญาติสาโลหิตเหล่านั้นย่อมบริโภคทานนั้น ฯ
(ชาติสยาม - ถ้าทานที่ทำไปแล้ว ญาติคนที่จะทำไปให้นั้นไม่ได้เป็นเปรต
ทานนั้นจะตกแก่ญาติเหล่าอื่นที่เหลือของผู้ให้ทานที่เป้นเปรต)


ชา. ท่านโคดมผู้เจริญ ก็ถ้าญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น ไม่เข้าถึงฐานะนั้น
และญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วแม้เหล่าอื่นของทายกนั้น ก็ไม่เข้าถึงฐานะนั้น ใครเล่าจะบริโภคทานนั้น ฯ
(คามินธรรม - ผู้ถามถามว่า ถ้าไม่มีญาติเป็นเปรตเลยล่ะ ทานจะตกกับใคร)
พ. ดูกรพราหมณ์ ฐานะที่จะพึงว่างจากญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วโดยกาลช้านานเช่นนี้
มิใช่ฐานะมิใช่โอกาสที่จะมีได้
อีกประการหนึ่ง แม้ทายกก็เป็นผู้ไม่ไร้ผล ฯ

(ชาติสยาม - ในช่วงเวลาอันยาวนานของสังสารวัฏนี้
เรามีญาตินับไม่ถ้วน และที่เป็นเปรตก็นับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าบอกว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีญาติเป้นเปรตในช่วงเวลาอันยาวนานของสังสารวัฏนี้)

(มีข้อความต่อตรงนี้ สามารถดูได้ตามลิงกืที่ให้ไป)

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าทรงบรรยายสภาพโลกแห่งเปรต (ปิตติวิสัย) ว่า
(ติโรกุฑฑสูตร ๒๕/๘)

ก็ในปิตติวิสัยนั้น ไม่มีกสิกรรมการทำไร่นา ไม่มีการเลี้ยงโค
ในปิตติวิสัยนั้น การค้า การซื้อขายด้วยเงิน ก็ไม่มี

ผู้ทำกาลกิริยาละไปแล้ว (ตาย) ย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปในปิตติวิสัยนั้น
ด้วยทานที่ญาติให้แล้วจากมนุษยโลกนี้

น้ำตกลงบนที่ดอน ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด
ทานที่ทายกให้ไปจากมนุษยโลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่ฝูงเปรต ฉันนั้นเหมือนกัน

บุคคลเมื่อระลึกถึงกิจที่ท่านเคยทำมาแต่ก่อนว่า
ท่านได้ทำกิจแก่เรา ได้ให้แก่เรา ได้เป็นญาติมิตร เป็นเพื่อนของเรา ดังนี้
จึงควรให้ทักษิณาแก่ฝูงเปรต

การร้องไห้ การเศร้าโศก หรือการพิไรรำพันอย่างอื่นๆ ก็ไม่ควรทำ
เพราะการร้องไห้เป็นต้นนั้น ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
ญาติทั้งหลายก็คงอยู่อย่างนั้น (มีแต่ทำตนให้ เดือดร้อนเท่านั้น)

ทักษิณานี้แล อันทายกให้ไว้ ตั้งไว้ดีแล้วในพระสงฆ์
ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ทายกนั้น โดยฐานะตลอดกาลนาน


อรรถกถาติโรกุฑฑสูตรได้บรรยายถึงลักษณะของเปรต ว่า

บางพวกมีหนวดและผมยาวหน้าดำ มีอวัยวะใหญ่น้อยหย่อนยาน
ผอมหยาบดำเสมือนต้นตาลถูกไฟป่าไหม้ ยืนต้นอยู่ในที่นั้นๆ

บางพวกมีเรือนร่างถูกเปลวไฟ (แห่งความกระหายน้ำ)
ที่ตั้งขึ้นจากท้องแลบออกจากปากแผดเผาอยู่

บางพวกไม่ได้รสอื่นนอกจากรสคือความหิวกระหาย
ถึงได้ข้าวน้ำก็ไม่สามารถบริโภคได้ตามต้องการ
เพราะมีหลอดคอเล็กเท่ารูเข็ม แต่มีท้องใหญ่ดังภูเขา

บางพวกมีรูปร่างไม่น่าดู แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน
ได้น้ำเลือด น้ำหนอง ไขข้อ ที่ไหลออกจากแผลหัวฝีที่แตกของกันและกัน
หรือของสัตว์อื่น ลิ้มเลียเหมือนน้ำอมฤต
http://www.dhammajak.net/book/sara/sara01.php

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างไรก้ตาม ตรงนี้อาจจะมีความสับสนเล็กน้อย
ว่ กุศล กับทาน เป็นอันเดียวกันหรือไม่
ทานเป้นส่วนหนึ่งของกุศล หรือกุศลเป็นส่วนหนึ่งของท่าน
ขอเชิญท่านไปศึกษาเรื่องทานให้แตกฉานเอาเถิด

http://84000.org/tipitaka//book/bookpn01.html#3

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 23:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1855

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ธรรมะสวัสดี ท่านคามินธรรม
:b13: ยังคงเส้นคงวา เหมือนเดิม
ไม่ผิดหวังจริง ๆ ที่ตามมาอ่าน

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2009, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2007, 15:53
โพสต์: 41

ที่อยู่: ชลบุรี

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอความกรุณา อยากทราบว่าการทำบุญนั้นผู้รับบุญจะทราบหรือไม่ว่าบุญนั้นๆ ใครเป็นผู้ทำให้ :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2009, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


เหม่งตุ๊ก เขียน:
ขอความกรุณา อยากทราบว่าการทำบุญนั้นผู้รับบุญจะทราบหรือไม่ว่าบุญนั้นๆ ใครเป็นผู้ทำให้ :b10:

อันนี้ไม่รู้นะแต่ อยากให้เค้ารู้เหรอ ว่าเราทำบุญไปให้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2009, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 20:41
โพสต์: 83

ที่อยู่: ขอนแก่น

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8:

.....................................................
ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2009, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2009, 11:03
โพสต์: 37

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2009, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
พระสงฆ์เมืองไทยที่เป็นสมมุติสงฆ์ แม้แต่พระอริยสงฆ์ บางครั้งท่านก็สอนผิด เข้าใจผิดเหมือนกัน

การทำบุญให้ผู้ตาย ถ้าวิญญาณของผู้ตายยังอยู่ในปรโลก วิญญาณของเขาย่อมต้องได้รับผลบุญแน่นอน ไม่จำเป็นต้องเป็นเปรตเท่านั้นจึงจะรับผลบุญได้ พวกที่อยู่ในนรกเขาก็รับบุญได้เช่นกัน ดังที่พระผู้มีตาทิพย์เช่น หลวงพ่อจรัญ ฯลฯ แม้กระทั่งพระมาลัยท่านก็เล่าให้ฟังแบบเดียวกัน

จริงอย่างที่คุณว่าเพราะคนธรรมดาที่สอนผิดก็มี (คิดว่าตนเองเข้าใจถูกแต่เข้าใจผิด) คุณว่าไหมหล่ะคุณพลศักดิ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 15:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2007, 19:15
โพสต์: 96


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ ค่ะ :b8:
อาจารย์ที่โรงเรียนเคยสอนให้โอนบุญค่ะ
ปกติก็จะโอนบุญให้แก่เทวดาที่รักษาตัวของญาติพี่น้อง แล้วก็สรรพสิ่งทั้งหลายค่ะ
^^

สวดมนต์ทุกครั้ง หนูก็จะสวดบทกรวดน้ำด้วยค่ะ อาจารย์เคยบอกว่า
ญาติพี่น้องที่ได้ล่วงลับไปแล้ว จะได้รับผลบุญได้ จะต้องเป็นเทวดาชั้นสูง
แต่ ชั้นต่ำ จะไม่ได้รับค่ะ ต้องสวดบทกรวดน้ำ แล้วก็ใช้น้ำด้วยค่ะ
จึงจะได้รับผลบุญ

.....................................................
ความรื่นนมย์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ไม่จำเป็นต้องได้อะไรที่ยิ่งใหญ่มาครอบครอง แต่ควรเป็นชีวิตที่เกิดจากความเข้าใจ อันเป็นภาวะของความรู้สึกตัว ความตื่นจากปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างรู้เท่าทันตามความเป็นจริงด้วยปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ค. 2009, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 พ.ค. 2009, 21:30
โพสต์: 5

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
พระสงฆ์เมืองไทยที่เป็นสมมุติสงฆ์ แม้แต่พระอริยสงฆ์ บางครั้งท่านก็สอนผิด เข้าใจผิดเหมือนกัน

การทำบุญให้ผู้ตาย ถ้าวิญญาณของผู้ตายยังอยู่ในปรโลก วิญญาณของเขาย่อมต้องได้รับผลบุญแน่นอน ไม่จำเป็นต้องเป็นเปรตเท่านั้นจึงจะรับผลบุญได้ พวกที่อยู่ในนรกเขาก็รับบุญได้เช่นกัน ดังที่พระผู้มีตาทิพย์เช่น หลวงพ่อจรัญ ฯลฯ แม้กระทั่งพระมาลัยท่านก็เล่าให้ฟังแบบเดียวกัน

สมควรหรือไม่กับการชี้ถูกชี้ผิด กับธรรมที่พระอริยสงฆ์ท่านแสดงไว้
จาบจ้วงล่วงเกินพระอริยสงฆ์กรรมหนักเหลือเกิน


พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

. . . . . . . พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) กำเนิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2445 (ปีขาล) เป็นบุตรของนายอุตส่าห์ นางครั่ง ครอบครัวชาวนา บ้านนาสีดา ตำบลกลางใหญ่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี

. . . . . . . เมื่ออายุ 18 ปี มีโอกาสติดตาม พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ออกธุดงค์ และบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านเค็งใหญ่ โดยมีพระอาจารย์ลุย เป็นอุปัชฌาย์ ต่อมาไป ศึกษาธรรมที่วัดสุทัศนาราม เมืองอุบล และเรียนหนังสือที่วัดศรีทอง เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 อุปสมบท ณ พัทสีมาวัดสุทัศนาราม โดยมีพระมหารัฐเป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาปิ่น ปัญญาพโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ต่อมาได้ออกธุดงคไปกับพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ได้มีโอกาสวาสนากราบ นมัสการพระเดชพระคุณหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่บ้านค้อ อำเภอบ้านผือ อุดรธานีทำให้ มีกำลังจิตกำลังใจในการปฏิบัติธรรมบำเพ็ญความเพียรอย่างยิ่ง

. . . . . . . ครั้งสมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ไปพำนักทางภาคเหนือ ท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ได้จาริกธุดงคกับพระอาจารย์อ่อนสีไปกราบท่านอาจารย์ใหญ่ที่ป่าเมี่ยง ดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ และได้ปฏิบัติธรรมในภาคเหนือ ถิ่นมูเซอร์ และมาโปรดสาธุชนแถบลำพูนจนกลับมา ภาคอีสานพำนักที่วัดอรัญญวาสี ท่าบ่อ หนองคาย

. . . . . . . ปี พ.ศ.2492 ไปเยี่ยมหลวงปู่มั่นที่อาพาธที่วัดบ้านหนองผือ นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนครจนกระทั้งท่านพระอาจารย์ใหญ่ละสังขาร กาลต่อมาปี พ.ศ.2593 ท่านไปจำพรรษาที่ภูเก็ตและเผยแผ่ศาสนธรรมในภาคใต้ ร่วมกับหมู่คณะท่านพำนักที่ภูเก็ต-พังงา-กระบี่ นานถึง 15 ปีกลับมาที่ถ้ำขามสกลนคร พักจำพรรษา ปีรุ่งขึ้นจาริกมาที่วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ซึ่งตั้งอญู่ริมแม่น้ำโขงบรรยากาศดีเหมาะแก่การเจริญธรรมสัมมาปฏิบัติ

. . . . . . . หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เป็นสมณะผู้สมบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตรอันงดงามยิ่ง เป็นผู้นำศรัทธาในการอบรมสั่งสอนธรรมและนำสร้างศาสนสถานเพื่อการจรรโลงพระบวร พุทธศาสนาหลายแห่งในถิ่นแถบอีสาน เป็นปูชนียาจารย์ของชนทุกระดับชั้น ในปัจฉิมวัยท่านไปพำนักพักที่วัดถ้ำขามและละสังขาลด้วยอาการสงบเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2537 เวลาประมาณ 22.00 น สิริรวมอายุได้ 93 ปี 71 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานน้ำอาบศพและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานโลงทองทึบ และทรงรับงานบำเพ็ญกุศลอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์

. . . . . . . พิธีพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี มีที่วัดหินหมากเป้ง นับเป็นงานพระราชทานเพลิงศพพระเถราจารย์ครั้งประวัติศาตร์


--------------------------------------------------------------------------------
ขออภิวาทวันทาบารมีรังสีธรรมอันไพศาลพระเดชพระคุณ พระราธนิโรธรังสีคัมภัรปัญญาวิศิษฏ์ ( เทสก์ เทสรังสี ) ปูชนียาจารย์ "ผู้ส่องประกายรังสีธรรม" ในดวงจิตชาวไทย ดวงใจชาวพุทธ เป็นอมตะนิรันดร์สมัย
--------------------------------------------------------------------------------

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร