วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2009, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.พ. 2009, 22:29
โพสต์: 8


 ข้อมูลส่วนตัว


มีข้อสงสัยค่ะ ผู้รู้ช่วยตอบหน่อยค่ะ

คือสงสัยว่า ถ้าคนบ้ามีสติ แต่เป็นสติแบบบ้าๆคือหลงผิด คิดว่าคนจะมาทำร้ายก็เลยฆ่าคนตายโดยเจตนาคนบ้าคนนั้นจะบาปไหม

หรือจากข่าวในหนังสือพิมพ์ ที่คนบ้าฆ่าแม่ตัวเองเพราะเสียสติคิดว่า แม่เป็นเสือร้ายจะมาทำร้าย คือตามข่าวบอกว่า ที่บ้านเปิดเป็นศาล แล้วแม่เป็นร่างทรงเจ้าพ่อเสือ คนบ้าคนนั้นจะบาปไหม

หรือถ้าคนบ้าทำร้ายพ่อแม่ ตามอาการของคนบ้า แต่พ่อแม่ให้อภัยเพราะรู้ว่าบ้าและสงสารลูกด้วย คนบ้าคนนั้นจะบาปและต้องรับกรรมไหม เมื่อเจ้ากรรมนายเวรให้อภัยแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2009, 08:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออธิบายแบบเอาพูดเข้าใจง่ายๆ คร่าวๆนะครับ
แล้วจะให้ keyword ไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทราบให้ละเอียดยิ่งขึ้น
อยากให้ทราบเรื่องบุญบาปให้เข้าใจจริงๆ แล้วจะเกรงกลัวต่อบาป


"จิต"ของเรานี้ มันจะเกิดดับตลอดเวลา
ถี่ยิบขนาดที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามีเป็น"แสนโกฐในชั่วลัดนิ้วมือ"
อย่างเวลาเราโกรธ ชั่วขณะที่โกรธมัน"ไม่ได้มีความโกรธแค่อันเดียว"สืบเนื่องกันไป
แต่มันเป็นจิตที่โกรธ "เกิดดับสืบต่อกันไป" จนรูสึกว่าเป็นอันเดียว

ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดลึกซึ้ง สิ่งที่ดับไม่ใช่"จิต" เพราะ"จิตเดิมแท้" ไม่เกิดไม่ดับ
และก็หาไม่เจอกันจริงๆว่าพระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง"จิตเดิมแท้"ว่าดับไว้ตรงไหน

สิ่งที่เกิดดับเป็น"อาการที่จิตแสดงออก" ศัพท์ท่านเรียกว่า"เจตสิก"
พูดง่ายๆว่าเป็นสมรรถนะของจิต ความสามารถของจิต

อย่างเราดีใจ อาการดีใจคือเจตสิก
เวลาเราคิดอะๆไรอยู่ ความคิดคือเจตสิก
เวลากลัดกลุ้ม สงสัย ก็เป็นเจตสิก
แม้แต่ความเฉย ก้เป็นเจตสิก

จิต คือผู้แสดงเจตสิก และรับรู้เจตสิกที่แสดงออกมา
เจตสิก คือ สิ่งที่จิตแสดง

เรื่องบุญบาป คือ เจตสิก
ผู้รับรู้บุญบาป คืิอจิตที่เป็นธาตรู้

ธรรมชาติของจิตนั้น จะรับรู้อารมณ์ได้อารมณ์เดียวในขณะจิตหนึ่งๆ
แต่ที่เรารู้สึกว่ามันมีอารมณ์"ระคน" กันไปในชั่วเวลาหนึ่ง เช่น"ทั้งดีใจทั้งเสียใจไปพร้อมกัน"
ก็เพราะว่ามันเป้นจิตที่ดีใจ และเสียใจ เกิดดับสลับกันไป (เจตสิกเกิดดับตลอดเวลา)

ต่อไปจะพบศัพท์คำว่า "ดวง/ดวงจิต" ก็ให้รู้ว่าหมายถึง ดวงจิตหนึ่งดวงที่เกิดแล้วดับไป

---------------------

เจตสิก แบ่งออกเป็น 3 หมวด
1. โสภณเจตสิก (กุศลเจตสิก) ตัวนี้แหละคือดวงจิตที่เป้นบุญ แยกย่อยเป็น 4 พวก
แต่ถ้านับแล้วจะมี 25 ดวง

1.1. โสภณสาธารณะเจตสิก 19 ได้แก่ สัทธา สติ หิริ โอตัปปะ..... เป็นต้น
1.2. วิรตีเจตสิก 3 ได้แก่ สัมมาวาจาเจตสิก สัมมากัมมันตะเจตสิก สัมมาอาชีวะเจตสิก
1.3. อัปมัญญาเจตสิก 2 ได้แก่ กรุณาเจตสิก มุฑิตาเจตสิก
1.4. ปัญญาเจตสิก 1 ได้แก่ ปัญญาเจตสิก หรือปัญญินทรีย์เจตสิก



2. อกุศลเจตสิก หมายถึง เจตสิกฝ่ายอกุศล ตัวนี้แหละที่เรียกว่าเป้นบาป จิตบาป เจตสิกที่เป้นบาป ได้แก่

1. กลุ่มโมหะเจตสิก 4 ดวง(โมจตุกะ 4) ได้แก่ โมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ
2. กลุ่มโลภะเจตสิก 3 ดวง(โลติกะ3) ได้แก่ โลภะ ทิฏฐิ มานะ
3. กลุ่มโทสะเจตสิก 4 ดวง(โทจตุกะ 4) ได้แก่ โทสะ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ
4. กลุ่มที่ทำให้หดหู่ ท้อถอย(ถีทุกะ2) ได้แก่ ถีนะเจตสิก มิทะเจตสิก
5. กลุ่มความลังเลสงสัย(วิจิกิจฉา1) ได้แก่ วิจิกิจฉาเจตสิก (มีเพียง 1 ดวง)


ในขณะจิตหนึ่งๆ (ดวงจิตหนึ่งๆ )
กุศลจิต จะไม่มีทางเกิดพร้อมกับ อกุศลจิต
แต่มีเจตสิกกลุ่มที่ 3 เป้นกลุ่มที่สามารถจะไปผนวกรวมเข้าได้ทั้งสองฝ่าย
เพราะเป้นจิตที่เป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว แต่รวมกับดีแล้วดี รวมกับชั่วแล้วชั่ว
อธิบายเปรียบเทียบง่ายๆเบื้องต้นตรงนี้ว่า
ถ้าเรา"ขยันทำชั่ว"-เจ้าขยันตัวนี้มันก็เป็นตัวขยันที่ชั่ว
ถ้า"ขยันทำดี" - เจ้าคำว่าขยันตัวนี้ มันก็เป้นขยันที่ดี
แต่ถ้าแยกความขยันออกมา มันอาจจะไม่ดีไม่ชั่ว อะไรทำนองนี้ อันนี้อธิบายพอกล้อมแกล้มนะครับ
ความจริงมันสลับซับซ้อนกว่านี้มากมาย
เจตสิกกลุ่มที่ 3 นี้เรียกว่า อัญญสมานาเจตสิก

---------------------------------

ทีนี้มาถึงคำถาม
See เขียน:
คือสงสัยว่า ถ้าคนบ้ามีสติ แต่เป็นสติแบบบ้าๆคือหลงผิด คิดว่าคนจะมาทำร้ายก็เลยฆ่าคนตายโดยเจตนาคนบ้าคนนั้นจะบาปไหม


คำว่า"สติ" ที่เราเอามาใช้กันในภาษาพูดนั้น ถ้าจะพูดกันจริงๆแบบเอาพระพุทธเจ้าเป้นหลัก
คำว่าสติที่เราใช้กันอยู่ทั่วๆไปนั้น มันต่างจาก"สติ"ที่พระพุทธเจ้าเรียก
(พิจารณาเผินๆแล้วก็สติเหมือนกัน แต่พิจารณาละเอียดแล้วต่างกัน)


แต่สติเราๆท่านๆ เวลาดูละครตบกันอย่างเอาจริงเอาจังตั้งใจ
ก็ไปเหมาเรียกว่ามีสติในการดูละคร
สติพระพุทธเจ้าต้องรู้ทันที่จิตและที่กาย ไม่มากกว่านี้ (สติปัฏฐาน 4)
ถ้าดูละครแล้วแอบกัดปากหมั่นไส้นางร้ายก้ไม่รู้ตัว นี้คือไม่มีสติ
ถ้าดูละครแล้ว"ดีใจก็ไม่ทราบ" "เสียใจก็ไม่ทราบ" ดีใจเสียใจสลับกันไปตลอดเวลาโดยทราบเลยว่าใจเรานี้มันเกิดอะไรไปแล้ว อย่างนี้ไม่เรียกว่ามีสติ


ถ้าจะว่ากันจริงๆแล้ว เราๆ ท่านๆ ปุถุชนคนธรรมดาไม่มีใครมีสติจริงๆสักคนหนึ่ง

พวกที่ปฏิบัติธรรมเจริญสติปัฏฐานมาพอสมควร จะเกิดสติบ้าง ไม่เกิดบ้าง
อาศัยกำหนดบ้าง ไม่อาศัยการกำหนดบ้าง

พวกที่มีสติจริงๆแล้ว สติจะทำงานเองโดยปราศจากการจงใจกำหนด น้อม หรือบังคับบัญชา
พวกนี้ได้แก่อริยบุคคล ชั้นโสดาบัน / สกทาคามี / อนาคามี / และอรหันต์


ทีนี้กลับมาที่คำถาม ให้ลองเทียบดูว่าเวลาคนบ้าฆ่าคนนั้น เขามีเจตสิกอย่างไร
จะพบว่าไม่มีใครไม่บาปจริงๆสักคน บาปหมด แล้วแต่มากน้อย
ที่ไม่บาปจริงๆเห็นจะมีคนเดียวคือพระอรหันต์
เผลอๆคนบ้าอาจจะบาปปกว่าคนปกติก็ได้ เพราะเจตนารุนแรง ไม่มีการยับยั้งชั่งใจ

See เขียน:
หรือจากข่าวในหนังสือพิมพ์ ที่คนบ้าฆ่าแม่ตัวเองเพราะเสียสติคิดว่า แม่เป็นเสือร้ายจะมาทำร้าย คือตามข่าวบอกว่า ที่บ้านเปิดเป็นศาล แล้วแม่เป็นร่างทรงเจ้าพ่อเสือ คนบ้าคนนั้นจะบาปไหม


- นี่ก็เป็นผลมาจากการขาดสติ ไม่รู้ทันสัจจธรรมของความคิดปรุงแต่ง (เจตสิกที่ปรุงแต่งขึ้นมา)
แล้วก็ไม่พยามจะมีสติ กลับคอยฟูมฟักความเชื่อถือว่าเจ้าพ่อเสือนี้มีจริง
เรื่องตัวเจ้าพ่อเสือมีอยู่จริงๆหรือไม่มีไม่เกี่ยวนะ เรากำลังพูดถึงตัวจิตใจที่มันยึดถือความคิดอยู่
ความคิดก้มาจากการปรุงแต่ง แล้วไปยึดถือความคิด

ยึดถือมานาน วันหนึ่งจิตมันเกิดปรุงว่าเป้นอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเราก็เชื่อถือเมหือนที่เคยทำๆมา
วันหนึ่งดันไปปรุงว่าจะมาฆ่า แม่เป้นเสือ ก็เลยฆ่าเม่
เหตุเพราะขาดสติ และไม่เคยฝึกสติเลย

การฆ่าบุพการี เป้นกรรมหนักที่สุดที่ ตัดทางมรรคผลนิพพาน
ต้องรับวิบากไม่เว้นว่างไม่จบไม่สิ้น


See เขียน:
หรือถ้าคนบ้าทำร้ายพ่อแม่ ตามอาการของคนบ้า แต่พ่อแม่ให้อภัยเพราะรู้ว่าบ้าและสงสารลูกด้วย คนบ้าคนนั้นจะบาปและต้องรับกรรมไหม เมื่อเจ้ากรรมนายเวรให้อภัยแล้ว

มันไม่เกี่ยวกับจิตคนอื่นนะครับ มันอยู่ที่จิตเรา
พิสูจน์ง่ายๆ ก็เวลานึกถึงกรรมที่ทำแล้วเขารู้สึกอย่างไร
ให้ไปเทียบดูในเจตสิก ไปดูว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการนึกถึงกรรมนั้น มันอยู่ในกลุ่มไหน
กุศล หรืออกุศล

เวลานึกถึงเรื่องที่เคยทำไม่ดีกับพ่อแม่ ไม่มีใครนึกแล้วจิตเป็นบุญแน่ๆใช่ไหมครับ
เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่มันจะเป้นกุศลขึ้นมาได้ เว้นแต่ประสาทกินแล้วถูกผิดดีชั่วแยกไม่ออก
ดังนั้นถ้าไม่อยุ่ในกลุ่มกลางๆ ก้ต้องไปอยู่ในกลุ่มอกุศล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2009, 21:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.พ. 2009, 22:29
โพสต์: 8


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ :b8: ที่ให้ความกระจ่างค่ะ

มีข้อสงสัยอีกข้อนึงค่ะ คืออยากทราบว่า คนบ้าเขาทำกรรมอะไรถึงได้เกิดเป็นคนบ้าคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 11:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


See เขียน:
ขอบคุณ :b8: ที่ให้ความกระจ่างค่ะ

มีข้อสงสัยอีกข้อนึงค่ะ คืออยากทราบว่า คนบ้าเขาทำกรรมอะไรถึงได้เกิดเป็นคนบ้าคะ



ในอจินไตย 4 หรือ "เรื่องที่ไม่ควรขบคิด"
4 ประการที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

มีข้อหนึ่งที่ชื่อ "กัมมวิบาก" แปลว่า "วิบากของกรรม"
แปลอีกที่ว่า "ทำอะไรมา ถึงได้เป็นอย่างนี้อย่างนั้น"
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าไปขบคิดเลย เพราะจะทำให้บ้าเอาง่ายๆ
ท่านใช้คำว่า "มีส่วนแห่งความบ้า"
ลองศึกษาเรื่อง"อจินไตย 4" เพิ่มเติมเอานะครับ


สมเด็จพระสังราชท่านเปรียบเ้ทียบกรรมไว้ว่าเหมือนเราเขียนประโยคอะไรลงไปในกระดาษ
ผมขออธิบายเรียบเรียงสรุปด้วยสำนวนผมเองจากความทรงจำนะครับว่า
เหมือนเราเขียนทับลงไปเรื่อยๆ ทำกรรมเล็กรรมน้อยกรรมใหญ่ ก็เหมือนเราขีดๆเขียนๆลงไป
จนวันหนึ่งเราอยากจะแยกแยะสิ่งที่เขียนๆทับกันอยู่นี้
ว่าเส้นนี้มันเป็นของอักษรตัวไหน อักษรตัวนี้มันเป้นของประโยคอันไหน
ซึ่งเป็นเรื่องเหลือวิสัย


ผู้เดียวที่จะแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร้ขีดจำกัดคือพระพุทธเจ้า เพราะท่านมีญานวิเศษณ์ 10 อย่าง
ที่เรียกว่า ตถาคตญาน หรือ ทศพลญาน 10
หนึ่งในนั้นคือเรื่องรู้"วิบากของกรรม"
ท่านรู้ของท่านเองด้วย รู้ของคนอื่นได้ด้วย รู้ของสัตว์นรกเทวดา ท่านรู้หมด
และที่สำคัญคือรู้ไปในอดีตหรืออนาคตได้อย่างไร้ขีดจำกัด
เช่นว่า บุญที่ทำอยู่ในเวลานี้ จะให้ผลอีกตอนไหน ชาติไหน ภพไหน
หรือความยากลำบากที่เราประสบอยู่นี้ มันเกิดมาจากไหน ต้นรากมันมาจากไหน ท่านทราบหมด

ในสมัยท่านอยู่ ในวาระต่างๆที่ท่านสอนคน ท่านได้ตรัสสิ่งเหล่านี้หลายๆครั้ง ในหลายๆโอกาส
ต่อมายุคเราได้เอาเหจุการณ์ที่ทรงตรัสนี้ เอามาเทียบเคียงเอาเอง ว่าทำอย่างนั้น ได้อย่างนี้
ซึ่งต้องเข้าใจว่าเวลาทรงตรัสนั้น ท่านตรัสแก่เฉพาะบุคคล เฉพาะเจาะจง

เว้นแต่ท่านจะตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่าทำอย่างนั้นได้อย่างนี้
ซึ่งก็ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกมากมาย

อนึุ่งความสามารถในการสืบสาวเรื่องกรรมไปในอดีต หรือหยั่งรู้ผลของกรรมที่จะเกิดในอนาคตนี้
มีในพระอรหันต์บางรูป และที่สำคัญคือ ท่านมีขีดจำกัด รู้ได้ไม่เท่าพระพุทธเจ้า
แม้ว่าหลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายที่มีความสามารถอันนี้ เราก้จะพบว่าท่านไม่ค่อยจะอยากพูด
ท่านจะพูดแค่ว่า กรรมมีจริง วิบากกรรมมีจริง บาปบุญมีจริง

ส่วนพวกที่ไม่ค่อยรู้ เช่นพวกพ่อมดหมอผี พวกนี้เดาๆเอาทั้งนั้น
ถามว่ารู้ได้ไง เอามาจากไหน ก็มักจะตอบได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง ไม่ทนต่อการพิสูจน์ มีแง่ให้สงสัยได้ไม่จบ
เพราะพวกเขาไม่ได้รู้จริง แค่เดาๆเอาเพื่อหวังประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง


ดังนั้น อย่าไปสงสัยเลยครับว่าวิบากที่พบอยู่นี้ มันเป็นผลมาจากกรรมไหน
คิดๆไปยังไง อย่างมากก็ได้แค่เทียบเคียงเอา
"การเทียบเคียงเอาแล้วเชื่อ" จัดว่าเป็นหนึงหัวข้อใน"กาลามะสูตร" ที่ว่า
Quote Tipitaka:
" ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย ! พวกท่านอย่าได้ถือ
(1) โดยฟังตามกันมา
(2) โดยสืบต่อกันมา
(3) โดยตื่นข่าวลือ
(4) โดยอ้างตำรา
(5) โดยนึกเดาเอา
(6) โดยคาดคะเน
(7) โดยตรึกตามอาการ
(8) โดยชอบใจว่า ต้องตามลัทธิของตน
(9) โดยเชื่อว่า ผู้พูดควรเชื่อได้
(10) โดยนับถือว่า ท่านเป็นครูของเรา,

ดูก่อน ชาวกาลามะทั้งหลาย !
เมื่อใด ท่านรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล มีโทษ
นักปราชญ์ติเตียนเมื่อทำแล้ว ย่อมให้เกิดแต่ส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์และทุกข์ ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสีย,

ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ไม่มีโทษ นักปราชญ์สรรเสริญเมื่อทำแล้ว
ย่อมให้เกิดประโยชน์และสุข ท่านควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่. "

: กาลามสูตร 2/243 ภัททิยสูตร 20/295.




บางทีมันอาจจะเป็นเหตุผลง่ายๆ แสนจะง่ายเลย
เช่น บ้าเพราะได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง แล้วก็ไม่ได้กระทบมาจากชาติไหนไกลเลย
กระทบในชาตินี้แหละ
เหตุเพราะไม่รู้จักคำว่า"การเจริญสติ" เลยไม่รู้ว่าจะจัดการจิตใจตัวเองอย่างไร
เลยควบคุมจิตใจตัวเองไม่ได้ สติแตกไป

เรื่องความกระทบกระเทือนใจ เพราะเราใช้ชีวิตในโลก มันห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว ยังไงเราก้ต้องเจอ
สิ่งที่เีราทำได้คือการมีองค์ความรู้ในการรักษาจิตใจของตนให้อยู่รอดปลอดภัยได้ นั่นคือ"การเจริญสติ"

แต่เพราะว่ามันไม่พิศดาร มันไม่จ้ามพบข้ามชาติ
มันไม่เยอะแยะสมใจอยากของเรา เราเลยมองข้ามเรื่องง่ายๆ

อย่างวันนี้ถ้าผมวางแผนจะทำงานชิ้นนึงให้สำเร็จ
แล้วผมลงมือทำงานชิ้นนั้น มันก็ย่อมเสร็จ
ผมกำลังพูดถึงความสามารถในการหยั่งรู้อนาคตว่า
กรรมที่ทำในขณะเวลานี้ของผม จะให้ผลอะไรในอนาคต

หรือเอาหลายๆปีหน่อย เช่นเรารู้ว่าเหตุคือความขยัน อดออม เราย่อมมีอนาคตที่มั่นคง

ลองสังเกตุดูนะครับ
เรื่องที่เราคิดได้ เราไม่ค่อยคิดกัน
เรื่องที่คิดไม่ได้ คนเราชอบคิดมาก
ที่เป้นอย่างนี้เพราะ "ขาดสติ"

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คือสงสัยว่า ถ้าคนบ้ามีสติ แต่เป็นสติแบบบ้าๆคือหลงผิด คิดว่าคนจะมาทำร้ายก็เลยฆ่าคนตายโดยเจตนาคนบ้าคนนั้นจะบาปไหม

หรือ จากข่าวในหนังสือพิมพ์ ที่คนบ้าฆ่าแม่ตัวเองเพราะเสียสติคิดว่า แม่เป็นเสือร้ายจะมาทำร้าย คือตามข่าวบอกว่า ที่บ้านเปิดเป็นศาล แล้วแม่เป็นร่างทรงเจ้าพ่อเสือ คนบ้าคนนั้นจะบาปไหม


เจตนาในการฆ่าเป็นบาป ยิ่งบ้าเสียสติยิ่งเป็นบาปหนัก เพราะไม่สามารถควบคุมตนเองให้รู้สิ่งควรไม่ควรหรือไม่มีศีลควบคุมตนเอง เป็นผู้ที่ถูกโมหะครอบคลุมอย่างหนัก

อ้างคำพูด:
มีข้อสงสัยอีกข้อนึงค่ะ คืออยากทราบว่า คนบ้าเขาทำกรรมอะไรถึงได้เกิดเป็นคนบ้าคะ


สิ่งทั้งปวงล้วนมีมาจากเหตุ อยู่ดีๆจะกลายเป็นบ้าได้ก็เพราะมีเหตุ ส่วนหนึ่งเกิดจากกรรม คือการที่เคยล่วงศีลข้อ 5 มาก่อน ผลโดยตรงคือไปนรก ส่วนเศษกรรมที่เหลือ เมื่อได้มาเกิดในอัตตภาพมนุษย์ย่อมเป็นพวกวิกลจริต หรือปัญญาอ่อน

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1855

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว


คิดว่าบาปนะ ชัวร์ เพราะพุทธองค์ ทรงกล่าวว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ถือเป็นบาป

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร