วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2008, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

กรรมฐานรักษาโรคได้จริงหรือ ?

น.ส.ชิตรัตน์ อนุฤทธิ์ อายุ ๕๖ ปี
การเคหะเมืองใหม่บางพลี จ.สมุทรปราการ


เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๐ ดิฉันได้เข้ารับการตรวจร่างกาย
ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และคุณหมอที่นั้น
ท่านได้บอกกับดิฉันว่าต้องผ่าตัดด่วน
เพราะเป็นเนื้องอกไม่พึงปรารถนา
และให้ดิฉันกลับบ้านไปเตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัดในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๐
ดิฉันเองก่อนที่จะมาตรวจที่สถาบันมะเร็งแห่งชาตินี้
ก็ได้รักษาอยู่ต่างจังหวัดมาก่อน
คุณหมอที่นั้นบอกว่า เป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบรักษาอยู่ประมาณ ๕ เดือน
ไม่ยุบและก็ไม่แตกมีแต่อาการที่โตขึ้น และปวดมากขึ้น
ทำให้เกิดความกังวลใจ เพราะว่าเวลาปวดก็ปวดแบบสุด ๆ เลย
ไม่ปวดก็ไม่ปวด วัน ๆ หนึ่งจะปวดก็แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น
ปวดนี้จะปวดเข้าสมองเลย ทุกครั้งที่ปวดก็คิดว่าตายดีกว่าอยู่ทรมานอย่างนี้
ในที่สุดดิฉันก็เขียนจดหมายถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ
แห่งวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
เพราะว่าดิฉันเคยอ่านหนังสือที่หลวงพ่อเขียนท่านเล่าว่า
มีคนเป็นมะเร็งและเคยผ่าตัดถึงสี่ครั้ง
และกำลังจะผ่าครั้งที่ห้า ก็มาหาหลวงพ่อ
เขาบอกว่าจะตายก็มาตายที่หลวงพ่อเถิด
เพราะว่าไม่อยากจะผ่าอีกแล้ว
หลวงพ่อก็ให้เข้ากรรมฐานและโรคดังกล่าวก็หายไปได้

แต่แล้วในที่สุดหลวงพ่อก็ตอบจดหมายมานับได้ ๑๖ วัน
วันที่ได้รับจดหมายของหลวงพ่อดีใจเป็นที่สุด
คิดไว้ว่าท่านจะตอบว่าอย่างไร ขอให้ตอบมาก็เป็นบุญแล้ว
จดหมายของหลวงพ่อเป็นยาชนิดหนึ่งเป็นโอสถทิพย์
คือ กำลังใจที่ได้รับ
คนเราเวลาทุกข์ยากนั้นได้กำลังใจแล้วมีกำลังที่จะต่อสู้ต่อไป
โดยเฉพาะจดหมายของหลวงพ่อ ดิฉันถือว่าเป็นยาวิเศษที่สุด
คือ หลวงพ่อให้ธรรมะจนดิฉันอ่านแล้วอ่านอีก
จนกระดาษเปื่อยก็ยังไม่อิ่มในการอ่าน อ่านได้ทุกวัน
และวันละหลายครั้ง ประทับใจตรงที่ว่า

“ขอให้คุณโยมจงทำใจให้ได้นะว่าอะไร ๆ ในโลกนี้มันไม่เที่ยง
อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด จะไปขัดขวางไม่ได้
อาตมาขอให้โยมขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรเขาเสีย
เวรกรรมอะไรที่มีอยู่ก็ขอให้หมดไปในชาตินี้
ขออย่าให้ไปถึงชาติหน้าอีกเลย
อาตมาก็ขอแผ่เมตตาให้
ขอให้คุณโยมจงหายจากโรคภัยไข้เจ็บ
และขอให้คุณโยมทำสมาธิให้มาก ๆ
และให้สวด อิติปิโส พาหุงมหากาฯ
และอาตมาขอให้คุณโยมไปให้หมอเช็คร่างกายให้แน่นอนอีกครั้งหนึ่ง
ทางที่ดีที่สุดคือ ไปที่สถาบันมะเร็งโดยตรง
อาตมาก็จะแผ่เมตตาไปให้
ขอให้คุณโยมทำตามที่อาตมาบอกเถิด
และกรรมฐานมาก ๆ และอย่าลืมแผ่เมตตาให้กับคนในครอบครัวมาก ๆ
อย่าลืมอุทิศส่วนกุศลให้มาก ๆ
จะได้หมดเวรหมดกรรมกันในชาตินี้จบสิ้นไป โยมไม่เป็นอะไรหรอก”

ดิฉันซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อที่เมตตาต่อดิฉันมาก
พระคุณอันนี้จะจดจำเอาไว้จะไม่มีวันลืมเลย
ที่หลวงพ่อได้เมตตา ให้สติ ให้ธรรมะ
จนดิฉันมีกำลังใจต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

และวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๐ ไปตรวจที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
ถนนราชวิถี คุณหมอบอกว่าต้องผ่าด่วน
และให้ดิฉันกลับบ้านไปเตรียมตัวผ่าตัดในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๐
ดิฉันก็กลับเหมือนกัน กลับจากโรงพยาบาลมาบ้านพักที่หมู่บ้านทานสัมฤทธิ์
ที่เป็นบ้านพี่ที่เป็นญาติกันบอกกับพี่จะไปวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี สัก ๓ วัน
ไปหาหลวงพ่อก็เพราะว่าหนีการผ่าตัด เพราะคิดว่าผ่าก็ตาย ไม่ผ่าก็ตาย
เพราะฉะนั้นก่อนตายก็ขอเก็บเกี่ยวเอาผลบุญไปเป็นเสบียงไว้บ้าง
ดิฉันเองก็เคยปฏิบัติธรรมมาบ้างรู้บ้างเล็กๆ น้อยๆ
เพราะเคยปฏิบัติมาจากวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
แต่เนื่องจากว่าต้องทำงานหาเลี้ยงชีพเลยไม่ได้เอาอย่างจริง ๆ
มาถึงตอนนี้เมื่อรู้แน่แล้วว่าตายแน่ก็ต้องเอาจริงกันละ
เผื่อว่าตอนที่ตายไปจะไม่ต้องลำบากเหมือนขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
ก็เลยตั้งใจจริงเรียกว่าเตรียมตัวตายกัน

ดิฉันเดินทางมาสิงห์บุรีคนเดียว มาถึงก็บ่ายจะสองโมง
ไปขอเข้าอบรมกรรมฐานไม่มีผู้รับรองเพราะว่า มาคนเดียว
ก็ได้ผู้ที่เข้ากรรมฐานด้วยกันรับรองให้เสร็จแล้วก็ไปนั่งคอยหลวงพ่อ
เพราะเขาบอกว่าหลวงพ่อจะลงมาตอนบ่าย
ก็นั่งคอยนานและแขกก็มากมาย ดิฉันไม่กล้าที่กราบเรียนท่าน
เพราะเห็นว่าลูกศิษย์ของท่านมากมายนัก
ก็เลยถวายดอกไม้และปัจจัยแล้วลาท่านเข้ากรรมฐาน
แต่ดิฉันแปลกใจมากตอนที่ดิฉันเข้าไปหาท่าน
หลวงพ่อท่านเห็นดิฉันแล้วท่านมองจ้องอย่างกับว่า
ท่านเห็นหนออะไรสักอย่างหนึ่ง
แต่พอดิฉันเข้าไปใกล้ท่าน ท่านก็หลับตาเสีย
ดิฉันเลยถวายของแล้วกราบลาท่านไม่กล้าถามอะไรท่านเลย
ตอนเย็นก็ฝากจดหมายกับคุณสมประสงค์
กราบเท้าหลวงพ่อขอเมตตาว่า
ดิฉันเดินทางมาจากนครศรีธรรมราชแล้ว
ให้หลวงพ่อแผ่เมตตาให้
คุณสมประสงค์ก็กลับมาบอกว่า
คืนนี้หลวงพ่อจะนั่งแผ่เมตตาให้ ขอให้สบายใจเถอะ

คืนนั้นเมื่อเลิกกรรมฐานแล้วต่างคนก็ต่างเข้านอน
เพราะอากาศหนาวก็รีบนอนกัน
ดิฉันหลับไปมาตกใจตื่นเมื่อคล้าย ๆ กับมีคนมาเรียกว่า
“ตื่น ๆ เร็วหลวงพ่อกำลังแผ่เมตตามาให้เข้าสมาธิเร็ว”
ได้ยินชัดเจนทีเดียว แล้วก็รีบลุกขึ้นมานั่งสมาธิทันที
พอนั่งได้สักประมาณ ๕ นาที
เนื้อตัวรู้สึกร้อนขึ้นเรื่อยและที่เม็ดที่ข้างคอเริ่มเต้น
และเต้นอยู่ประมาณ ๕ นาที แล้วก็หยุด
และค่อย ๆ เย็นลงจนเป็นปกติ
ดิฉันก็นอนต่อแต่นอนไม่หลับดูนาฬิกาบอกเวลา ๐๐.๑๕ นาฬิกา
ที่นอนไม่หลับก็แปลกใจว่าใครมาเรียก
และเรียกคำเดียวก็ตื่นเลย
ตื่นมาก็ไม่ได้ขอบคุณเขาที่อุตส่าห์มาเรียกให้
แล้วคนนั้นเขาไปไหน ทำไมเราไม่เห็น
และอาการที่ตัวร้อนในขณะนั้นมันก็ร้อนแปลก ๆ
เหมือนกับเราเดินผ่านกองไฟร้อน ๆ มา
แต่พอผ่านพ้นไปแล้วมันก็เย็น
แต่นี่มันร้อนไปทั้งตัวรวมทั้งภายในด้วย
และร้อนอยู่นานกว่าจะเย็น มันให้แปลกใจจริง ๆ
คิดไปคิดมาก็เคลิ้มไปนิดหนึ่งก็ได้เวลาเตรียมไปสวดมนต์ตอนตีสี่
ระฆังจะปลุกตอนตีสามครึ่งทุกวัน

ดิฉันอยู่ปฏิบัติที่วัดอัมพวันครบ ๓ วันพอดี
ก่อนกลับได้พบหลวงพ่อกราบลาท่าน
และท่านก็ได้ถามว่าหมอบอกว่าเราเป็นมะเร็งใช่ไหม?
ก็กราบเรียนท่านว่าเขาว่าเป็นเนื้องอกต้องผ่าออกด่วนอันตรายมาก
และดิฉันก็ใคร่จะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า
ดิฉันควรผ่าหรือไม่ควรผ่า
หลวงพ่อตอบทันทีว่า เรื่องนี้หลวงพ่อตัดสินให้ไม่ได้
เพราะเป็นเรื่องที่ควรตัดสินใจเอง หลวงพ่อบอกไม่ได้
แต่ไม่เป็นไรหรอกกรรมฐานมาก ๆ เข้าแล้วก็หายเอง
ดิฉันขอยาหลวงพ่อบอกว่า
เอาน้ำมันมนต์ไปทาและกรรมฐานมาก ๆ
โดยเฉพาะยืนหนอ… ทำให้ได้
แต่อย่าทำแบบหนอ ๆ แหน ๆ แล้วไปหลอ ๆ แหล ๆ นะโยมนะ
ทำให้จริงจังรับรองหายทุกราย
ดิฉันจำคำหลวงพ่อเอาไว้
แล้วกลับมาทำต่อที่บ้านและจัดธุระให้เข้าที่เข้าทาง
ดิฉันกลับมาอีกวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๐
ไม่ไปบ้านแต่ไปพักกับคุณแม่ดวงรัตน์ที่วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
ตอนแรกก็คิดว่าไปสัก ๒ วัน แล้วเลยไปวัดอัมพวัน
แต่เมื่อขึ้นไปกราบท่านพ่อลี
ก็เปลี่ยนใจประกอบกับคุณแม่บอกว่า
อยู่กรรมฐานที่นี้ก็ได้ไม่ต้องไปถึงโน้นหรอกที่นี้ก็มีหมออยู่
พระท่านก็มียาดีเหมือนกัน ก็อยู่ทานยาด้วยและสมาธิด้วย

วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๐ ดิฉันก็ขออนุญาตคุณแม่ไปวัดอัมพวันอีก
เพราะตอนนี้เม็ดที่คอทำท่าจะเปลี่ยนไป
คือ มันจะแตกก็ไม่แตก จะยุบก็ไม่ยุบ มันอยู่คงที่อยู่อย่างนั้น
ดิฉันไปถึงวัดอัมพวันยังเช้าอยู่
เอาดอกไม้จัดไปถวายพระและไปกราบพระรูปของรัชกาลที่ ๕ ด้วย
พร้อมทั้งสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสีด้วย
และขออยู่กรรมฐาน ๗ วัน คราวนี้มีอะไรแปลก ๆ อีก
ออกจากที่ปฏิบัติกรรมฐานมานอนที่พักเหมือนกับมีคนมาปัดเป่าให้
ดิฉันอยากอยู่หลายวันแต่ทางวัดเขาจัดให้แค่ ๗ วันเท่านั้น
และพอเอาจิตไปกำหนดที่แผลก็เกิดการตอบรับกันขึ้น
คือ ที่แผลตรงนั้นจะเต้นตุ๊บ ๆ ๆ
จนเรารู้สึกเต้นแรงมากจะเต้นอยู่อย่างนี้ประมาณ ๕ นาที
แล้วหยุดก็เต้นใหม่เหมือนอัตโนมัติ
ตอนที่มานั้นแผลมันสีม่วง
และพอมาอยู่ได้แค่สองวันคือวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐
เม็ดที่คอก็เริ่มเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีแดง
และค่อย ๆ แดงจัดขึ้นมาเรื่อย ๆ

วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๔๐ ตอนเช้าแผลก็แตกออกมาเป็นเลือดสด ๆ
เหมือนกับเอามีดไปกรีดออกมาอย่างนั้น เอากระดาษทิชชูเช็ด
เช็ดสองสามครั้งก็หมดและแผลก็แห้ง
แต่ตอนนั้นกำลังเดินจงกรมอยู่
ก็ไม่รู้จะเอาอะไรปิดปากแผลพอดีเห็นต้นพลู
เอาใบพลูนั้นมาปิดปากแผลไว้ก่อน
ใบพลูนี้เป็นใบพลูที่แม่ใหญ่ปลูกไว้
พวกกรรมฐานเขาบอกว่า
แม่ใหญ่ปลูกเอาไว้และแม่ใหญ่ยังบ้วนน้ำหมากใส่ด้วย
เป็นยาอีกขนานหนึ่งดีจริง ๆ
ตามธรรมดาใบพลูนี้เผ็ดร้อน
แต่เมื่อเอาปิดปากแผลกลับเย็นฉ่ำเลยก็น่าแปลก
ปิดอยู่ได้ทั้งวัน
พอเย็นเอาใบพลูออกกลับเป็นว่า ใบพลูนั้นแห้งกรอบเลย
แต่ก็ดูดน้ำเหลืองและเลือดติดใบพลูออกมาด้วย
และเมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วก็เอาน้ำมันมนต์ของหลวงพ่อมาทา
ที่ใบพลูเอามาปิดปากแผล
และวันรุ่งขึ้นก็มีเลือดออกมาอีก แต่น้อยกว่าเมื่อวาน
ยังสีสดเหมือนเดิมเป็นเลือด วันรุ่งขึ้นก็มีเลือดไหลอีก
แต่คราวนี้ก็น้อยกว่าเมื่อวานหน่อยหนึ่ง
และพอตอนเย็นมีเลือดปนน้ำเหลืองออกมาอีก
และเอาน้ำมันมนต์ของหลวงพ่อทาใส่ใบพลูปิดเอาไว้อีก
และตอนนี้จะมีแต่น้ำเหลืองออกมาเรื่อย ๆ แต่ไม่มาก
พอครบ ๗ วัน ก็เอาใบพลูปิดไว้กลับมา
ที่วัดอโศการาม สมุทรปราการ แผลเกือบจะสนิท
พระอาจารย์บุญชู เห็นก็บอกโยมเอายาแก้น้ำเหลืองไปทานนะ
มันจะได้หายเร็วขึ้น ก็ทานยาของท่านพระอาจารย์บุญชูด้วย
ทาน้ำมันมนต์ของหลวงพ่อด้วยก็เลยหายเร็ว
ดิฉันกลับมาปฏิบัติต่อที่วัดอโศการาม สมุทรปราการ
อยู่อีก ๑๕ วันก็กลับบ้าน อาการดังกล่าวยังคงเหลือแต่ปวดขากรรไกร
มันเป็นเพราะก่อนหน้านี้ปวดชนิดที่อ้าปากไม่ขึ้นเลย
ทานข้าวแต่ละมื้อมันสุดแสนจะเวทนา
อ้าปากถึงสามสี่ครั้งถึงจะเอาข้าวใส่ในปากได้
ปัจจุบันนี้หายแล้ว เพราะพอแผลมันหาย
อยู่มาอีกหลายเดือนกว่าอาการปวดขากรรไกรจะหาย
ทรมานอีกประมาณ ๕ เดือน รวมเวลาที่เป็นนี้ ๑๑ เดือนพอดี
คือนับตั้งแต่วันที่รู้สึกก็เดือนมิถุนายน ๒๕๔๐
และมาหายเป็นปกติเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๔๑

ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงตั้งหัวข้อว่า
การปฏิบัติธรรมเข้ากรรมฐานรักษาโรคได้จริงหรือ?
คำตอบก็คือได้จริง ๆ

เพราะว่าการปฏิบัติธรรมเข้ากรรมฐานนั้นไม่ใช่ของที่จะทำกันเล่น
ต้องทำกันจริง ๆ ถึงจะบรรลุผลอย่างที่ดิฉันปฏิบัติมานี้
เพราะว่าบางขั้นบางตอนยังมีเอาอย่างอื่นมาผสมด้วย
เช่น น้ำมันมนต์ของหลวงพ่อที่ใช้ทา
และใบพลูนั้นที่รู้มาก็รักษามะเร็งได้ผลเหมือนกัน
และรับประทานยาของพระอาจารย์บุญชูอีก
แต่ที่จริง ๆ แล้วเขาบอกว่าผู้ที่ปฏิบัติจริง ๆ
แล้วไม่ต้องใช้ยาเลย อันนี้ดิฉันเชื่อ ๑๐๐ %
แต่คนเราส่วนมากรวมทั้งดิฉันด้วย
ก็เกิดอาการกลัวก็เอาโน้นบ้างนี้บ้างมาช่วยกัน
แต่จริงแล้วสำหรับดิฉันได้ตั้งใจว่า
ก่อนที่จะตายก็ขอเก็บเกี่ยวบุญเอาไว้เป็นเสบียงไว้บ้าง
กรรมฐานดีที่สุด เพราะขณะที่เข้ากรรมฐานอยู่
เรายังได้พบกับอะไรต่อมิอะไรมากมายนัก
มีคนมาช่วยปัดเป่าให้ และยังมีผู้ที่ไม่เห็นตัวตนมาให้คาถาให้อีกต่างหาก
แต่ถ้าไม่เข้ากรรมฐานใครที่ไหนจะมาให้เราได้

เพราะฉะนั้นกรรมฐานนอกจากรักษาโรคได้แล้ว
กรรมฐานยังช่วยแก้กรรมให้ได้อีกด้วย
และกรรมฐานยังช่วยสงเคราะห์ญาติพี่น้อง
ที่ตายไปให้ได้รับส่วนบุญกุศลอีกด้วย

คัดลอกจาก...
http://www.alternativecomplete.com/jarun/j12.htm

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


กรรมฐานรักษาโรคได้จริงครับ และเรายังสามารถแผ่เมตตาจากกุศลกรรมฐานไปรักษาโรคของคนอื่น
ได้ด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 22:32 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2008, 17:29
โพสต์: 191

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรรมฐานรักษาโรคได้จริงๆ คะเพราะเรื่องนี้ puy ได้พิสูจน์ด้วยตัวเองและประสพผลสำเร็จมาแล้ว เมื่อปีที่ผ่านมา puy ได้ไปหาหมอและหมอบอกว่าเป็นเนื้องอกที่มดลูกและเป็นซีดที่เต้านม และตอนแรกหมอจะผ่าตัดแต่ puy ขอไปตรวจอย่างละเอียดที่กรุงเทพฯ อีกครั้งและก่อนไปก็ไปปฏิบัติกรรมฐานและได้ส่งอารมณ์ท่านอาจารย์ว่าจะไปหาหมอที่กรุงเทพฯ ท่านอาจารย์ก็บอกว่าไม่ต้องไปหรอก ให้ปฏิบัติให้จบพื้นฐานแล้วจะหายเอง แต่ตอนนั้นก็บอกท่านอาจารย์ว่ายังไงก็ขอไปตรวจอีกครั้งแล้วค่อยมาปฏิบัติ พอไปตรวจที่กรุงเทพฯ หมอก็บอกว่าไม่ต้องผ่า เป็นเนื้องอกธรรมดาให้ 3 เดือนมาเช็กใหม่หลังจากกลับก็ไปปฏิบัติธรรมกับท่านอาจารย์ ซึ่งท่านสอนวิธีการปฏิบัติแบบพองยุบและได้ไปเรียนจนจบพื้นฐานจนครบ 2 เดือนและหลังจากนั้นอยู่ทวนญาณอีก 1 รอบ รวมเป็น 3 เดือนก็ลาสิกขามาอยู่ที่บ้าน พอกลับมาก็ไปให้หมอเช็คร่างกายอีกครั้งหนึ่ง ซีดที่เต้านมก็หายไปเลือเพียง 2 ก้อนเล็กๆ หลังจากนั้นอยู่ที่บ้านก็ทวนญาณเองอีก 2 รอบแล้วไปตรวจใหม่ คราวนี้หมอบอกว่าก้อนเนื้องอกที่มดลูกยุบตัวเล็กลง ส่วนซีดนั้นที่เต้านมซ้ายหายไป เหลือเต้านมขวาอีกนิดเดียวซึ่งก้อนซีดก็เล็กลงกว่าเดิมมาก เหลืออีกนิดเดียวก็ไม่มีแล้ว และหมอก็ถามว่าไปทำอะไรมา ก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไรเพียงแต่ไปปฏิบัติธรรมและรับประทานผลไม้และผักมากขึ้น หมอจึงขอดูฟิลม์เก่าและบอกว่าเป็นไปได้ยังไงที่เนื้องอกเล็กลงได้ในเวลา 2 เดือนกว่าๆ นี้คือประสบการณที่ puy ประสพมาด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นก็ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ป่วยทุกท่านนะคะ ขอให้โชคดีและมีพลังใจในการที่เราต้องต่อสู่กับโรคร้ายลองอ่านบทความนี้ดูนะคะ

สมาธิ VS มะเร็ง

นพ.ชูฤทธิ์ เต็งไตรสรณ์ ผู้รับผิดชอบโครงการสมาธิบำบัดในภาวะสุขภาพองค์รวมเฉลิมพระเกียรติฯ และผู้เขียนหนังสือในโครงการดั๊บเบิ้ลเอสื่อสร้างปัญญา "สมาธิบำบัดกำจัดได้ทุกโรค" กล่าวว่า กาย-ใจมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ความเครียดทางใจส่งผลถึงระบบการทำงานของร่างกายได้ ความเครียดทำให้ภูมิคุ้มกันลด และเพิ่มอัตราการกลับเป็นมะเร็งซ้ำ ปัจจุบันมีการนำสมาธิรูปแบบต่างๆ ไปใช้ในเวชปฏิบัติของโรคทางจิตเวชและโรคทางกายหลายโรค โดยเฉพาะมะเร็ง

วิธีรักษามะเร็ง-ดีที่สุด คือการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกไปทั้งหมด แต่บางครั้งต้องใช้วิธีผสมผสาน เช่น ฉายแสง ผ่าตัด และให้คีโม ล่าสุดมีงานวิจัยระบุว่า การฝึกสมาธิและการสะกดจิต ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น

Cognitive-Behaveioral Therapy หรือการฝึกอบรมจิตบำบัดด้วยการปรับกระบวนการคิดและพฤติกรรมทางปัญญา พบว่าสามารถลดอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยมะเร็งได้

"ปัจจุบันมีการใช้การแพทย์ทางเลือกบางอย่างเพื่อลดการใช้ยาของผู้ป่วยมะเร็ง เช่น การบริหารร่างกาย การนวด การใช้กลิ่นบำบัด การทำสมาธิ การทำโยคะ และการอธิษฐานจิต หรือการตั้งใจมั่นว่าจะทำ อะไร และพยายามทำให้สำเร็จ" นพ.ชูฤทธิ์ กล่าวว่า ในงานวิจัยยังระบุถึงผู้ป่วยมะเร็งเต้านมและต่อมลูกหมากที่รักษาตัวที่บ้าน 1 ปีควบคู่กับฝึกสมาธิ พบว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้น ภูมิคุ้มกันดีขึ้น ความเครียดลด ความหงุดหงิดลด แถมความดันโลหิตลดลงอีกต่างหาก

นพ.ชูฤทธิ์ เล่าว่า ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ได้นำงานสมาธิบำบัดเข้าไปปรับใช้กับผู้ป่วยมะเร็งตั้งแต่ปี 2549 ปรากฏว่าประสบความสำเร็จมาก เช่น มีการฝึกสมาธิสั้นๆ 10 นาที แก่ผู้ป่วยขณะรอพบแพทย์ ผู้ป่วยพึงพอใจมากรู้สึกสงบลงและชอบที่ได้บุญขณะรอหมอ ผู้ให้บริการเองก็อิ่มใจ มีการทำสมาธิร่วมกันตามโอกาส ทุกเช้าแพทย์พยาบาลผู้ป่วยทำบุญใส่บาตรแก่พระที่มารับบาตรหน้าตึก ทุกพุธเย็นร่วมกันสวดมนต์ทำวัตรเย็น ก่อนผ่าตัดมีโอกาส เข้าไปไหว้พระ สวดมนต์ และทำสมาธิก่อนขึ้นเตียง (ผ่าตัด) ...คนไข้ที่นี่หน้าตาแช่มชื่นจนดูไม่เหมือนผู้ป่วยมะเร็งเลย น่าทึ่งมาก- ขอบอก

อ่านมาถึงตรงนี้ อยากลองฝึกสมาธิกันบ้างหรือยัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2009, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 พ.ค. 2009, 12:44
โพสต์: 1


 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันพาคุณปู่ อายุ 79 ไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
ดิฉันไม่รู้จะทำยังไงดี ถ้ารักษาก็กลัวเคมีจะทำให้ซุดหนัก
แต่ถ้าไม่รักษา หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกิน 4 เดือน
คุณปู่เลี้ยงดิฉันมา ดิฉันยังไม่ได้ดูแลท่านเท่าไร
ท่านก็จะจากดิฉันไปแล้ว ดิฉันควรทำอย่างไรดี
ควรรักษาหรือไม่ หรือไม่ควรแล้วพาไปหาหลวงพ่อแบบเจ้าของกระทู้ดี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร