วันเวลาปัจจุบัน 05 ต.ค. 2024, 19:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 17:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 17:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

• ลูกเจี๊ยบน้อย ค่อยเจาะ…. เลาะเปลือกไข่
เสร็จก่อนใคร พี่หรือน้อง…. ตรองลึำกล้ำ
พราหมณ์ว่าพี่ แน่นอน…. ด้วยสอนนำ
เพราะว่ากร่ำ คร่ำเวลา…. ก่อนหน้าใคร

• เป็นเช่นนั้น ท่านพราหมณ์…. ตามท่านเย้า
ก็ตัวเรา นี่แหละ…. แกะเอาไว้
สำเร็จก่อน สอนคน…. ที่สนใจ
พ้นบ่วงใหญ่ “อวิชชา”…. ที่มารอ

• ธ จึงกล่าว เล่าความ…. ยามตรัสรู้
ชี้พราหมณ์ดู “อริยสัจสี่”…. ที่น่าท้อ
ให้เห็นจริง สิ่งลวง…. ถ่วงตัวงอ
เห็นข้อต่อ บ่อกำเนิด…. เกิดทุกข์จัง

• แล้วทรงแจ้ง แทงกรรม…. ทำไฉน
เจาะเปลือกไข่ ให้เห็น…. เป็นสุขขัง
บรรลุแคว้น แดนทิพย์…. นิพพานัง
พราหมณ์นิ่งฟัง ดั่งฟ้าผ่า…. ต่อหน้าตน

• ท่านพราหมณ์ได้ อรหันต์…. ในทันที
เกิดราศรี มีสง่า…. กล้ากุศล
จึงกราบทูล วอนเว้า… เข้าสอนคน
ที่ตำบล หนแห่ง… แขวงเวรัญชา

• ก็ยามนี้ ที่เมือง…. มิเฟื่องฟู
เกิดหดหู่ ข้าว-หมาก…. ยากจะหา
พญามาร ผ่านมนต์…. ดลอุรา
พราหมณ์เกิดล้า ลืมหลง…. ตรงก่อบุญ

• เหล่าสาวก ยกเข้าเมือง…. พร้อมชินสีห์
ประชาชี ไม่มี…. จะเกื้อหนุน
เพราะแร้นแค้น แสนลำบาก…. ยากเจือจุน
เหลือข้าวปุ้น ขุ่นแดง…. แบ่งม้ากิน

ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนฟองไข่ อันแม่ไก่พึงกกดีแล้ว อบดีแล้ว ฟักดีแล้ว บรรดาลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวใดทำลายกระเปาะฟอง ด้วยปลายเล็บเท้า หรือด้วยจะงอยปาก ออกมาได้โดยสวัสดีก่อนกว่าเขา ลูกไก่ตัวนั้นควรเรียกว่ากระไร จะเรียกว่าพี่หรือน้อง

ท่านพระโคดม ควรเรียกว่าพี่ เพราะมันแก่กว่าเขา

ทรงแสดงฌาน ๔ และวิชชา ๓ เราก็เหมือนอย่างนั้นแล พราหมณ์ เมื่อประชาชนผู้ตกอยู่ในอวิชชา เกิดในฟองอันกระเปาะฟองหุ้มห่อไว้ ผู้เดียวเท่านั้นในโลก ได้ทำลายกระเปาะฟอง คือ อวิชชา แล้วได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม เรานั้นเป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุดของโลกเพราะความเพียรของเราที่ปรารภแล้วแล ไม่ย่อหย่อน สติดำรงมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายสงบ ไม่กระสับกระส่าย จิตตั้งมั่น มีอารมณ์เป็นหนึ่ง

ปฐมฌาน เรานั้นแล สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่วิเวกอยู่

ทุติยฌาน เราได้บรรลุ ทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจาร สงบไป มีปีติและสุขซึ่งเกิดแต่สมาธิอยู่

ตติยฌาน เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไปได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้อยู่

จตุตถฌาน เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่

บุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก ด้วยประการฉะนี้พราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี่แล เราได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่หนึ่งของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลาย ออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น

จุตูปปาตญา เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อญาณเครื่องรู้จุติ และอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เรานั้นย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรม ด้วยประการดังนี้ พราหมณ์ วิชชาที่สองนี้แล เราได้บรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้วแสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่สองของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น

อาสวักขยญาณ เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้นได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้อาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะเมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี พราหมณ์วิชชาที่สามนี้แล เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลสส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น ความชำแรกออกครั้งที่สามของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น

เวรัญชพราหมณ์แสดงตนเป็นอุบาสก ข้าพเจ้านี้ขอถึงท่านพระโคดมพระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพเจ้าว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จงทรงรับอาราธนาอยู่จำพรรษา ที่เมืองเวรัญชาของข้าพเจ้าเถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับ อาราธนาด้วยพระอาการดุษณี

ครั้นเวรัญชพราหมณ์ทราบการรับอาราธนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ หลีกไป ขณะนั้นเมืองเวรัญชาเกิดทุพภิกขภัย ข้าวยากหมากแพง พญามารดลใจ ทำให้เวรัญชพราหมณ์ ลืมถวายอาหาร พระพุทธเจ้าและพระสาวก พวกพ่อค้าเกวียนหุงข้าวแดง (บางแห่งว่าข้าวเหนียว บ้างว่าข้าวเหนียวแดง) ให้พระสงฆ์ฉันตลอดพรรษา ทรงเล่าให้ฟังว่า นี่เป็นเพราะกรรมเก่าของพระองค์

อีกชาติหนึ่งเคยบริภาษพระสาวกในพระธรรมวินัยของพระผุสสพุทธเจ้า ว่าท่านจงเคี้ยว จงกินข้าวเหนียวเถิด อย่ากินข้าวสาลีเลย ผลแห่งกรรมนั้นในชาติสุดท้ายนี้ ต้องบริโภคข้าวเหนียวอยู่สามเดือน เมื่อพราหมณ์นิมนต์ไปอยู่เมืองเนรัญชา แล้วลืมถวายอาหาร ได้อาศัยพ่อค้ามาถวายข้าวเหนียวแดงที่มีไว้ให้ม้ากิน


ร้อยกรอง “ภาพพุทธประวัติ” โดย นก พลัดถิ่น

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

✿ ครั้นพระองค์ ทรงสราญ…. ผ่านทางได้
เทวทัตร้าย แถบกระอัก…. หนักโศกศัลย์
ทุกเช้าค่ำ ร่ำไห้…. ได้ทุกข์ทัณฑ์
เพราะขยัน หาทาง…. จะร้างองค์

✿ ติดสินบน คนเลี้ยงช้าง…. ให้สร้างเรื่อง
ช้างเคยเชื่อง มอมเหล้า…. เฝ้าไหลหลง
แล้วปล่อยให้ ไล่ล่า…. ฆ่าเจาะจง
แค่เหมหงส์ องค์พุทธา…. ต่อหน้าคน

✿ พระอานนท์ ถลันขวาง… หว่างคชสาร
หากช้างหาญ ผ่านองค์…. คงทุกข์ล้น
เพราะช้างร้าย เมามาย…. คล้ายอับจน
วิ่งสับสน จนจะถึง…. หนึ่งโมฬี

✿ ธ ตรัสห้าม สามครั้ง…. ฟังเราก่อน
อานนท์ถอน หุนหัน…. กั้นชินสีห์
ธรรมเราสร้าง สว่างแจ้ง…. แสงบารมี
แม้ภูตผี พรหมมาร…. คร้านรานรอน

✿ ครััน "นาฬา- คีรี"…. ปลี่เข้าใส่
พระพุทธใช้ ให้เมตตา…. เป็นดั่งศร
กรุณา ไหลหลัง…. ฝังอาทร
ช้างร้ายถอน ห่อนผ่าย…. สายเมตตา

✿ ธ ใช้หัตถ์ ตรัสปลอบ…. หมอบเถิดพ่อ
อย่าเริ่มก่อ "อนันตริยกรรม"…. ซ้ำเลยหนา
ให้พากเพียร เรียนธรรม…. ค้ำชีวา
ปรารถนา หลุดพ้น…. ค้นนิพพาน

✿ ช้างสยบ ซบกราบ…. ทาบบาทเจ้า
ที่มัวเมา กลับสว่าง…. กระจ่างสาส์น
น้ำตาไหล ไห้ร้อง…. ก้องดวงมาน
ช้างพลายหาญ ซานซม…. บังคมลา

✿ พุทธทำนาย ขยายให้…. อานนท์รู้
ช้างเพศผู้ ดูให้ดี…. นี่แหละหนา
"พระติสส พุทธเจ้า"…. เขาจะมา
ปรับแผ่นฟ้า เปลี่ยนยุค…. ปลุกวินัย

เมื่อพระเทวทัตวางแผนการประทุษร้ายต่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ประสบผลสำเร็จทั้ง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ พระเทวทัตได้ติดสินบนแก่ควาญช้าง เพื่อให้มอมเหล้าพญาช้างนาฬาคิรีด้วยสุราถึง ๑๖ กระออม จนพญาช้างเกิดคลุ้มคลั่ง แล้วปล่อยไปหมายทำร้ายพระพุทธองค์ขณะเสด็จพุทธดำเนินบิณฑบาตโปรดสัตว์พร้อม เหล่าภิกษุสงฆ์สาวก เหล่ามหาชนได้เห็นพญาช้างวิ่งทะยานมาตามถนน ต่างรีบตะโกนบอกต่อๆ กันไปและหลบเข้าที่ปลอดภัย ขณะพญาช้างส่งเสียงกึกก้องโกญจนาท วิ่งตรงเข้าหาพระบรมศาสดา พระอานนท์เถระพุทธอุปัฏฐาก เกรงอันตราย จะเกิดแก่พระพุทธองค์ จึงวิ่งออกมาขวางพญาช้างหมายน้อมถวายชีวิตพลีแด่พระศาสดา แม้พระผู้มีพระภาคาจะตรัสเรียกถึง ๓ ครั้ง แต่พระอานนท์ก็มิยอมถอยกลับ

พระอานนท์นั้นเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ท่านยอมสละชีพของท่านเพื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เมื่อช้างนาฬาคิรีวิ่งเข้ามาทางพระพุทธองค์ พระอานนท์จึงได้เดินล้ำมาเบื้องหน้าพระศาสดา ด้วยคิดหมายจะเอาองค์ป้องกันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพระพุทธดำรัสให้พระอานนท์หลีกไป อย่าป้องกันพระองค์เลย

แต่พระอานนท์ได้กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชีวิตของพระองค์มีค่ายิ่งนัก พระองค์อยู่เพื่อเป็นประโยชน์แก่โลก เป็นดวงประทีปของโลก เป็นที่พึ่งของโลก ของพระองค์อย่าเสี่ยงกับอันตรายครั้งนี้เลย ชีวิตของข้าพระองค์มีค่าน้อย ขอให้ข้าพระองค์ได้สละสิ่งซึ่งมีค่าน้อยเพื่อรักษาสิ่งที่มีค่ามาก เหมือนสละกระเบื้อง เพื่อรักษาซึ่งแก้วมณีเถิดพระเจ้าข้าฯ”

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า “อย่าเลยอานนท์ บารมีเราได้สร้างมาดีแล้ว ไม่มีใครสามารถปลงชีวิตของตถาคตได้ ไม่ว่าสัตว์ดิรัจฉาน หรือมนุษย์ หรือเทวดา มาร พรหมใดๆ”

ในขณะนั้นช้างนาฬาคิรีวิ่งมาจนจะถึงพระองค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระบรมศาสดาจึงใช้พุทธปาฏิหาริย์บันดาลให้พญาช้างวิ่งเสไปทางอื่น แล้วทรงแผ่เมตตาตรัสเรียกพญาช้างนาฬาคิรีให้ได้สติสร่างเมาสิ้นพยศทรุดกายลงนั่งยกงวงขึ้นถวายอภิวาทแทบบาทพระศาสดา ทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองศีรษะ พญาคชสารพร้อมประทานโอวาท ให้หยุดกระทำปาณาติบาตละเลิกความโกรธ มีเมตตา จิตสร้างบุญกุศลไม่คิดเบียดเบียน พร้อมกับตรัสว่า

“นาฬาคิรีเอ๋ย เธอกำเนิดเป็นดิรัจฉานในชาตินี้ เพราะกรรมอันไม่ดีของเธอในชาติก่อน แต่เธออย่าประกอบกรรมหนัก คือทำร้ายพระพุทธเจ้าเช่นเราอีกเลย เพราะจะมีผลเป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน”

พญาคชสารได้ฟังพระโอวาทเกิดตื้นตันใจหลั่งน้ำตาไหลรินอาบหน้า ก้มเศียรเกล้าวันทาแล้วถวายบังคมพระยุคลบาท น้อมรับฟังพระพุทธดำรัสด้วยอาการดุษฎี เดินกลับหลังไปสู่โรงช้างดังเดิม เหล่ามหาชนต่างแซ่ซ้องพนมมือขึ้น สาธุการด้วยความปีติในพุทธปาฏิหาริย์

(ในคัมภีร์อนาคตวงศ์กล่าวว่า ในอนาคตกาลนับจากพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้าไป จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกหลายพระองค์ และช้างนาฬาคิรี จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระติสสพุทธเจ้า)

ในพุทธประวัติกล่าวไว้ว่า พระบรมศาสดาทรงทราบถึงการหมายประทุษร้าย ของพระเทวทัตอยู่ก่อนแล้วด้วยข่าวนี้ได้รั่วไหลไปสู่มหาชนจึงต่างนำความมากราบทูล พระพุทธองค์ซึ่งเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร พร้อมทั้งขอให้พระผู้มีภาคและเหล่าภิกษุสงฆ์งดการบิณฑบาตเพื่อความปลอดภัย มหาชนต่างนัดหมายว่าจะนำภัตตหารมาถวายโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ด้วยพระเมตตาปรารถนาที่จะโปรดพญาคชสารนาฬาศิรี พระพุทธองค์จึงนำเหล่าภิกษุสงฆ์ออกบิณฑบาตในเช้าวันนั้น แล้วจึงเสด็จกลับมารับไทยทานของเหล่ามหาชนผู้มีศรัทธา


ร้อยกรอง “ภาพพุทธประวัติ” โดย นก พลัดถิ่น

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

• พรรษาสิบเจ็ด ธ อยู่ ….เวฬุวัน
เจ้าจอมขวัญ "อภัยกุมาร"…. ขานปัญหา
“นิครนถ์นาฏบุตร”…. ขุดปัญญา
ฝากมาท้า กล้าคิด…. จิตไม่ดี

• “จะทรงเอ่ย เผยคำ…. ไม่ฉ่ำจิต
ให้ลูกศิษย์ ผิดใจ…. ได้หมองศรี”
ธ กล่าวแย้ง แจ้งถาม…. ตามวลี
มีหลายที่ ที่ต้องแจง…. แฝงความนัย

• "อภัยกุมาร" ผ่านคำ…. กรรมแน่แล้ว
ธ ทรงแว่ว จึงถาม…. ตามสงสัย
พระกุมาร ผ่านคำ…. ว่าบรรลัย
อาจารย์ใช้ ให้เกล้าลอง…. มองปัญญา

• ธ จึงถาม ตามเห็น…. เช่นเด็กน้อย
ดินเพียงก้อย ในศอ…. ก่อปัญหา
ท่านจะทำ เช่นไร…. ให้ไขมา
กุมารว่า ให้เด็กรอด…. ยอมสอดมือ

• แม้นโลหิต ตกต้อง…. ร้องไห้จ้า
ก็จะคว้า ให้ขยอก…. ออกมาถือ
ด้วยหม่อมฉัน รักเด็ก จนเลื่องลือ
จึงยอมยื้อ ยอมเจ็บ…. เก็บออกมา

• ธ จึงเน้น เช่นกัน…. นั้นแน่แท้
ทางที่แก้ แค่พิศ…. คิดภาษา
ควร “พูดจริง" "ยิ่งประโยชน์"…. โปรดทุกครา
“ถูกเวลา” “ถูกที่ทาง”…. วางให้ดี

• "อภัยกุมาร" ถามต่อ…. ข้อสงสัย
คิดก่อนไหม หากคนถาม…. ตามเซ้าซี้
ธ ถามบ้าง อ้างรถ…. กฎต้องมี
อาหลั่ยนี้ มีไหม…. อย่างไรกัน

• เกล้ากระหม่อม ชำนาญ…. การสร้างรถ
ตอบได้หมด ไม่ต้องตรึก…. หรือนึกฝัน
อาตมา ก็เป็น…. เช่นจำนรรค์
รู้เท่าทัน ทุกแง่…. แค่มองไป

• "อภัยกุมาร" คลานกราบ…. ทาบบาทเจ้า
ขอยึดเอา อุบาสก….ยกเอาไว้
ขอยึดยื้อ ถือชัด…. รัตนไตร
ฝากชื่อไว้ ให้โลกรู้…. ชูพระนาม

พรรษาที่ 17 ประทับจำพรรษาที่วัดเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ พระชนมายุ 51 พรรษา โปรดอภัยกุมาร พระทัพพมัลลบุตรทูลลานิพพาน โปรดพระวักกลิ

ครั้งนึง “นิครนถ์นาฏบุตร” ผู้ซึ่งเป็นนักบวชนอกศาสนาพุทธ ได้คิดคำถามขึ้นมา 1 ข้อ เพื่อถามพระพุทธเจ้า โดยคาดหวังว่าคำถามนี้ จะทำให้พระพุทธเจ้าตอบไม่ได้ และ จะทรงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และเมื่อนั้น คนทั้งหลายก็จะเลิกนับถือพระพุทธเจ้า

นิครนถ์นาฎบุตร ได้ไปกราบทูล อภัยราชกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงคฤห์ แคว้นมคธ ผู้เป็นศิษย์ ให้อภัยราชกุมาร นำคำถามนี้ไปถามแก่พระพุทธเจ้า คำถามนี้คือ

“พระตถาคตจะตรัสพระวาจาอันไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่นบ้างหรือไม่”

นิครนถ์นาฏบุตรได้อธิบาย คำถามนี้ไว้ว่า ถ้าพระพุทธเจ้า ตอบว่า พึงกล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก/ที่ชอบใจของคนอื่น ก็ให้พระกุมารตอบกลับไปว่า แล้วเช่นนั้นพระองค์จะต่างอะไรจากคนธรรมดา เพราะคนธรรมดาต่างก็กล่าว วาจาอันไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น

ถ้าพระพุทธเจ้า ตอบว่า ไม่พึงกล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก/ที่ชอบใจของคนอื่น ก็ให้พระกุมารตอบกลับไปว่า พระพุทธเจ้าโกหก พระองค์เคยทรงพยากรณ์พระเทวทัตว่า เทวทัตจะไปเกิดในอบาย ไปเกิดในนรกอเวจี ซึ่งวาจานั้นได้ทำให้พระเทวทัตเสียใจ

เมื่อพระพุทธเจ้าเจอคำถามสองเงื่อนนี้เข้าไปแล้ว ก็จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และ อภัยราชกุมารก็จะเป็นฝ่ายมีชัยเหนือพระพุทธเจ้า และ ชื่อเสียงของพระองค์จะระบือไปไกล

อภัยกุราชมารได้เดินทางไปหาพระพุทธเจ้า และ ทูลถามคำถามนั้นกับพระองค์ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า

ดูกรราชกุมาร ในปัญหาข้อนี้ จะวิสัชนาโดยส่วนเดียวมิได้. เมื่อได้ยินคำตอบเพียงเท่านี้ อภัยราชกุมารก็อุทานขึ้นว่า “คำถามของพวกนิครนถ์ได้ฉิบหายแล้ว”

พระพุทธเจ้า ท่านได้ถามกลับว่า “เหตุใดพระกุมารถึงอุทานเช่นนั้น” ซึ่งพระกุมารก็ได้อธิบายที่มาของคำถามนี้ทั้่งหมดแก่พระพุทธเจ้า ว่า นิครนถ์นาฏบุตรได้สอนคำถามนี้ พร้อมทั้งจุดมุ่งหมายของคำถามนี้

ขณะนั้น อภัยราชกุมารได้อุ้มเด็กอ่อนนอนไว้บนไว้ตัก พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับอภัยกุมารว่า ถ้ากุมารน้อยนี้เผลอเอาไม้เอากรวดมาใส่ในปาก พระองค์จะทำอย่างไร
อภัยราชกุมาร กระหม่อมจะนำออกเสีย ถ้านำไม่ออกก็จะใช้กำลังเอามือควักออกมา แม้ว่าจะต้องทำให้กุมารนี้ต้องเลือดออกก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็เพราะหม่อมฉันรัก และเอ็นดูพระกุมาร

พระพุทธเจ้า ตถาคตก็เช่นกัน วาจาที่ไม่จริง/ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ วาจานั้นไม่เป็นที่รัก /ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น - ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

วาจาที่จริง/ที่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ วาจานั้นไม่เป็นที่รัก/ไม่เป็นที่ ชอบใจของผู้อื่น – ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

วาจาที่จริง/ที่แท้ ประกอบด้วยประโยชน์ วาจานั้นไม่เป็นที่รัก/ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น – ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น

วาจาที่ไม่จริง/ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้น เป็นที่รัก/เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น – ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

วาจาที่จริง/ที่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก/เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น – ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

วาจาที่จริง/ที่แท้ ประกอบด้วยประโยชน์ วาจานั้นเป็นที่รัก/เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น – ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตถาคตมีความเอ็นดูในสัตว์ทั้งหลาย

พระอภัยกุมารได้ถามพระพุทธเจ้าว่า “เวลามีคนถามคำถาม พระพุทธเจ้า ต้องนึกคำตอบหรือว่าคำตอบนั้นปรากฏออกมาเองได้โดยทันที”

พระพุทธเจ้าถามกลับว่า “พระกุมาร ท่านเชีี่ยวชาญในรถยนต์ เวลามีคนถามว่า ชิ้นส่วนต่างๆ ของรถยนต์เรียกว่าอะไร พระกุมารต้องนึกก่อน หรือ ตอบได้ทันที”

พระกุมาร “ข้าพระองค์เป็นทหารรถ สามารถตอบได้ทันที ไดยไม่ต้องตรึก พระเจ้าข้า”

พระพุทธเจ้า “ฉันนั้นก็เหมือนกัน คำถามที่มีคนถาม เราตถาคตย่อมรู้แจ้งขึ้นมาได้ทันที เพราะธรรมทั้งหลายเราได้แทงตลอดแล้ว”

อภัยกุมารแสดงตนเป็นอุบาสก มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต

มนุษย์ควรกล่าววาจาที่ "จริง" "มีประโยชน์" และ "ถูกกาลเทศะ"


ร้อยกรอง “ภาพพุทธประวัติ” โดย นก พลัดถิ่น

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2013, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

• พรรษาสิบแปด แวดเมือง…. “อาฬวี”
โปรยธรรมชี้ มรณา…. อย่าหงอยเหงา
จงเฝ้ามอง “มรณสติ”…. ดำริเอา
หายใจเข้า หายใจออก…. บอกว่าตาย

• “เปสการีธิดา”…. ช่างทอหูก
แม่บุญปลูก ฟังธรรม…. ฉ่ำความหมาย
เลยเพ่งพิศ พินิจ…. คิดวางวาย
ก่อนจะพ่าย ตายจริง…. สิ่งแน่นอน

• อีกสามปี เสด็จมา…. อีกคราหนึ่ง
นางหวังซึ้ง ถึงธรรม…. ที่ทรงสอน
แต่บิดา ให้งาน…. ปานเว้าวอน
ธรรมรอก่อน ทอนด้าย…. ให้พ่อที

• ครั้นเสร็จงาน ผ่านมา…. หน้าพุทธเจ้า
นางขอเฝ้า ก่อนไป…. ให้ด้ายนี้
ยาม ธ เห็น เด็กน้อย…. ร้อยวจี
กุมารี “มาจากไหน”…. “ไปที่ใด”

• มิทราบเกล้า เจ้าข้า…. บิดาขา
พระสัมมา แย้มยิ้ม…. พริ้มไสว
“มิทราบหรือ” “คือทราบ”…. กราบทูลไว
ธ ถามใหม่ "เธอทราบหรือ"…. กุมารี

• นางตอบไว "ไม่ทราบ"…. กราบทูลดัง
ผู้คนฟัง ดั่งว่า…. ท้าชินสีห์
ต่างโมโห โกรธา…. คำพาที
พระจึงชี้ ฟังนางก่อน…. อย่าร้อนจินต์

• หม่อมฉันทูล "ไม่ทราบ"…. มาจากไหน
ก็ผู้ใด ใครรู้…. ดูผกผิน
ก่อนกำเนิด เกิดกาย…. ได้กายิน
จะรู้สิ้น บินจาก…. ฝากไหนกัน

• "จะไปไหน" ใครหรือรู้…. ดูได้ก่อน
เมื่อต้องนอน สิ้นลม…. ห่มโศกศัลย์
จึงรู้ได้ ตายแล้ว… ต้องแจวพลัน
ถึงวันนั้น จึงจะรู้…. อยู่ที่ใด

• "มิทราบหรืำอ" คือทราบ…. ว่าตายแน่
ความเที่ยงแท้ อันนี้….. มิหลงไหล
"เธอทราบหรือ" คือมิทราบ…. กราบทูลไว
ก็ผู้ใด ใครรู้วัน…. ท่านจะตาย

• ธ จึงแจง แสงธรรม…. นำเพ่งไว้
ตาข่ายใหญ่ โลกใบนี้…. คือจุดหมาย
ต้องรู้ทิ้ง นิ่งวาง…. สร้างอุบาย
ก่อนติดข่าย สายมายา…. โลกากัน

• "เปสการีธิดา"…. มารศรี
ได้แสงชี้ นำส่ง…. ดำรงฝัน
"โสดาผล" พ้นแล้ว…. แก้วกำนัล
เกล้าหม่อมฉัน วันทา…. ขอคลาไคล

พรรษาที่ 18-19 ประทับจำพรรษาที่จาลิกบรรพตเมืองจาลิกา
พระชนมายุ 52-53 พรรษา โปรดชาวเมืองจาลิกา
….“เปสการีธิดา” ลูกสาวช่างทอหูก เปสกะ เมืองอาฬวี เมื่อครั้ง พระพุทธเจ้าเสด็จเมืองอาฬวีครั้งแรก ทรง แสดงธรรมอันปฏิสังยุต ด้วยความตาย ว่า ชีวิตมนุษย์เราไม่แน่นอน ความตายนั่นแหละแน่นอน เกิดมาแล้วต้องตายกันทุกคน เพียงไม่รู้ว่าจะตายวันไหนเวลาไหนเท่านั้น ขออย่าได้ประมาทในชีวิต ให้เจริญมรณัสสติไว้ให้ดี ธิดาช่างหูก อายุ 13 ปี มีโอกาสไปฟังธรรมด้วย รู้สึกซาบซึ้งในพระธรรมเทศนา จึงเจริญมรณัสสติเสมอมา จนเวลาล่วงไปถึงสามปี พระพุทธองค์ก็เสด็จไปโปรดชาวเมืองอาฬวีอีกครั้ง
….ธิดาช่างหูกได้ทราบว่า พระพุทธองค์เสด็จมา ก็ตั้งใจไว้ว่า จะต้องไปฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ให้ แต่บังเอิญ พอถึงวันจะไปฟังธรรม บิดานางได้สั่งนางให้กรอด้ายหลอดให้จำนวนหนึ่ง แล้วให้นำไปส่งที่โรงทอผ้า
นาง ขัดคำสั่งบิดาไม่ได้ ต้องทำงานให้บิดาจนเสร็จ เมื่องานเสร็จ เวลาก็เลยเที่ยงวันไปแล้ว นางคว้ากระเช้าด้ายหลอดได้ ก็รีบวิ่งไปยังโรงทอผ้า ต้องผ่านสถานที่ที่พระพุทธองค์แสดงธรรมด้วย นางพอผ่านไปถึง ก็แวะเข้าไป แล้วก็จะรีบไปส่งกระเช้าด้ายหลอดแก่บิดา แล้วจะรีบกลับมาฟังธรรม
…ไปถึงเห็นพระพุทธองค์ประทับนิ่ง ไม่ตรัสอะไรแก่บริษัทที่นั่งล้อมอยู่ พระองค์ทรงเอี้ยวพระศอมาทอดพระเนตรนาง คล้ายกับว่าทรงรอการมาของนาง นางเห็นดังนั้นก็มีความปลื้มปีติเหลือประมาณ ก้มลงกราบถวายบังคมด้วยความนอบน้อม

พระพุทธเจ้า….. "กุมาริกา เธอมาจากไหน"
เปสการีธิดา…… "ไม่ทราบ พระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้า..… "เธอจะไปไหน"
เปสการีธิดา…… "ไม่ทราบ พระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้า..… "เธอไม่ทราบหรือ"
เปสการีธิดา……."ทราบ พระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้า….. "เธอทราบหรือ"
เปสการีธิดา…… "ไม่ทราบ พระเจ้าข้า"

คำกราบทูลตอบของนาง ทำให้ประชาชนที่นั่งอยู่หงุดหงิดใจ บางรายอดรนทนไม่ได้ ถึงกับตำหนิแรงๆ ว่า “เด็กหญิงคนนี้กล้าดียังไง จึงมาเล่นลิ้นกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ทรงปรามให้ประชาชนสงบเสียง แล้วทรงหันไปตรัสถามนางว่า
….“กุมาริกา ทำไม เมื่อเราถามว่า มาจากไหน เธอบอกว่า ไม่ทราบ เมื่อเราถามว่า เธอทราบหรือ ทำไมตอบว่าไม่ทราบ ครั้นเราถามอีกว่า เธอไม่ทราบหรือ ทำไมตอบว่าทราบ”
…..นางกราบทูล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทรงทราบอยู่แล้วว่า หม่อมฉันมาจากตระกูลช่างหูก เมื่อทรงถามหม่อมฉันว่า มาจากไหน คงมิได้ทรงหมายถึงอย่างนั้นเป็นแน่ คงทรงหมายความว่า “หม่อมฉันมาจากที่ไหนจึงมาเกิดเป็นธิดาช่างหูก” หม่อมฉันไม่ทราบข้อนี้จึงกราบทูลว่า ไม่ทราบ
….. เมื่อทรงถามว่า จะไปไหน คงทรงหมายถึงว่า “หม่อมฉันตายจากชาตินี้ แล้วจะไปเกิดที่ไหน” หม่อมฉันไม่ทราบ จึงกราบทูลว่า ไม่ทราบ
….เมื่อทรงถามว่า ไม่ทราบหรือ คงทรงหมายถึงว่า หม่อมฉันไม่ทราบหรือว่าจะตาย หม่อมฉันทราบข้อนี้ จึงกราบทูลว่าทราบ
…..เมื่อทรงถามข้อสุดท้ายว่า ทราบหรือ คงทรงหมายถึงว่า หม่อมฉันทราบหรือว่าจะตายวันไหน หม่อมฉันไม่ทราบข้อนี้ จึงกราบทูลว่าไม่ทราบ พระเจ้าข้า
…..คำตอบของนาง ทำให้ประชาชนตกตะลึง ไม่นึกว่าธิดาช่างหูกตัวเล็กๆ คนนี้ จะมีปฏิภาณหลักแหลม และเข้าใจหลักธรรมถึงเพียงนี้
….พระพุทธองค์ทรงหันไปตรัสกับประชาชนว่า พวกเธอเหมือนคนมืดบอด ไม่รู้ “นัย” แห่งคำสนทนาของเราตถาคต กับกุมาริกานี้ จึงตำหนิหาว่า เธอเล่นลิ้นกับตถาคต บัดนี้พวกเธอทราบแล้วใช่ไหมว่านางมิได้ขาดความเคารพในตถาคต
แล้วทรงแสดงพระคาถาสั้นๆ ความว่า

“โลกนี้มืดมน น้อยคนจะเห็นแจ้ง น้อยคนจะไปสวรรค์ ดุจนกติดข่าย น้อยตัวจะหลุดรอดไปได้”


ร้อยกรอง “ภาพพุทธประวัติ” โดย นก พลัดถิ่น

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 110 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร