ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ความเข้าใจพระวินัย (มมร.) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=36150 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 07 ม.ค. 2011, 19:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | ความเข้าใจพระวินัย (มมร.) |
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ พ ร ะ วิ นั ย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ๑. จุดเริ่มต้นพระวินัย เกิดจากการปรารถความดำรงอยู่ยาวนาน แห่งพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ในพรรษาที่ ๑๒ ณ เมืองเวรัญชรา พระสารีบุตรทูลอาราธนาให้บัญญัติในสิกขาบท โดยกราบทูลว่า ถึงเวลาแล้วพระพุทธเจ้าข้า ที่พระผู้มีพระภาคจะทรงบัญญัติสิกขาบท ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงแก่พระสาวก อันจะเป็นเหตุให้พรหมจรรย์ดำรงอยู่ได้ยืนนาน พระพุทธเจ้าทรงตรัสตอบแก่พระสารีบุตรว่า จงรอไปก่อนเถิดสารีบุตร ตถาคตรู้เวลาในเรื่องที่จะบัญญัติสิกขาบทนั้น ศาสดาจะยังไม่บัญญัตสิกขาบทแก่สาวก ไม่ยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ตลอดเวลาที่ยังไม่เกิดอาสวัฏฐานิยธรรมในหมู่สงฆ์ เมื่ออาสวัฏฐานิยธรรมบางอย่างขึ้นในหมู่สงฆ์ ตถาคตจึงจะบัญญัติสิกขาบท และจักปาติโมกข์ขึ้นแสดงแก่สาวก เพื่อขจัดธรรมเหล่านั้น อาสวัฏฐานิยธรรม ในที่นี้คือ การกระทำผิดอันเป็นต้นกำเนิดของพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง แต่หลังจากออกพรรษานั้นแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงบัญญัติสิกขาบทบทแรก คือ ปาราชิก ข้อห้ามที่ภิกษุเสพเมถุน ผู้ที่ประพฤติคนแรกนั้นเรียกว่า อาทิกัมมิกะ เป็นต้นบัญญัติ ไม่ต้องรับตามบัญญัติแห่งสิกขาบทนั้น หมายเอาที่สิกขาบทปาราชิกถึงอนิยต ในการจำบัญญัติสิกขาบทแต่ละข้อนั้น จะมีลำดับดังนี้ ๑. เกิดเรื่องมัวหมองขึ้นภายในคณะสงฆ์ ๒. พระพุทธเจ้าตรัสประชุมสงฆ์ แล้วตรัสถามพระภิกษุผู้ก่อเหตุ ๓. พระภิกษุรูปหรือคณะนั้นๆ รับในการกระทำความผิด ๔. พระพุทธเจ้าทรงตรัสโทษของการประพฤติผิดเช่นนั้น แลอานิสงส์ของการสำรวมระวัง ๕. ทรงบัญญัติสิกขาบทเพื่อห้ามกระทำต่อไป ๖. ผู้ฝ่าฝืนหรือละเมิดสิกขาบทนั้นเรียกว่า “ปรับอาบัติ” (มีต่อ : วัตถุประสงค์การบัญญัติพระวินัย) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 07 ม.ค. 2011, 20:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
๒. วัตถุประสงค์การบัญญัติพระวินัย • เพื่อความดีแก่สงฆ์ • เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์ • เพื่อมาข่มบุคคลผู้เก้ออยาก • เพื่อความอยู่ผาสุกของภิกษุผู้มีศีล • เพื่อปิดกั้นอาสวะอันบังเกิดในปัจจุบัน • เพื่อป้องกันอาสวะอันบังเกิดในอนาคต • เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส • เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว • เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม • เพื่อเอื้อต่อ (ถือตาม) วินัย (มีต่อ : ประโยชน์ของพระวินัย) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 07 ม.ค. 2011, 20:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
๓. ประโยชน์ของพระวินัย พระวินัยนั้นเป็นสิ่งสำคัญของการฝึกอบรม ผู้ที่เข้ามาบวชไม่ว่าจะมาจากตระกูลไหน อย่างไร ต่างจิตต่างใจ ก็ล้วนแต่มีข้อบัญญัติเดียวกัน ในการควบคุมความประพฤติให้เป็นระเบียบเรียบร้อย การประพฤติอยู่ในระเบียบวินัยนั้นเป็นความงดงาม ทำให้เกิดความน่าเลื่อมใส เปรียบดังดอกไม้ที่ร้อยด้วยด้ายไม่กระจัดกระจาย เป็นพวงมาลัยที่งดงาม ประโยชน์หรืออานิสงส์แห่งพระวินัยนั้น มีดังนี้ ๑. เพื่อประโยชน์แก่ความสำรวม ๒. ไม่เดือดร้อนปราโมทย์ ๓. อิ่มใจ ๔. ปัสสัทธิ ๕. สุข ๖. สมาธิ ๗. เห็นตามความจริง ๘. เบื่อหน่าย ๙. คลายกำหนัด ๑๐. วิมุตติ แต่ละองค์ประโยชน์นั้นจะเกิดเชื่อมกันเป็นประโยชน์ตามลำดับ จนกระทั่งถึงพระนิพพาน ด้วยเหตุนี้ เป็นสำคัญในส่วนของพระพุทธศาสนาเถรวาทนั้น จะเน้นการประพฤติปฏิบัติตามวินัยอย่าเคร่งครัด โดยไม่ตัดทอน เนื่องจากการปฏิบัติตามวินัยอย่างเคร่งครัด ก็นำไปสู่วิมุตติได้ ถึงกระนั้นก็ตาม วินัยนั้นเป็นแนวทางให้ตนดำรงอยู่ ด้วยความภาคภูมิใจในความบริสุทธิ์ของตน ซึ่งจะนำไปสู่ลำดับต่อๆ มา โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่เป็นองค์แห่งการเอื้อให้สมาธิงอกงามนั่นเอง (มีต่อ : คัมภีร์พระวินัย) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 07 ม.ค. 2011, 21:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
๔. คัมภีร์พระวินัย วินัยปิฎก คือประมวลพระพุทธพจน์ว่าด้วยบัญญัติ เกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติ ขนบธรรมเนียบประเพณี วิถีชีวิต และวิธีดำเนินกิจการต่างๆ ของพระภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ แบ่งออกเป็น ๓ หมวด คือ ๑. หมวดวิภังค์ ว่าด้วยสิกขาบทของพระภิกษุ มี ๒ คัมภีร์ คือ ๑) ภิกขุวิภังค์ หรือมหาวิภังค์ สิกขาบทของพระภิกษุ ๒) ภิกขุณีวิภังค์ สิกขาบทของภิกษุณี รวมเรียกว่า อาทิพรหมจริยากาสิกขา ในหมวดนี้สามารถแบ่งออกอีกลักษณะหนึ่ง มี ๒ คัมภีร์ได้แก่ ปาราชิก และปาจิตตีย์ รวมทั้งสิกขาบทที่เหลือทั้งหมด ๒. หมวดขันธกะ ว่าด้วยสังฆกรรม พิธีกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ข้อวัตรปฏิบัติ ตลอดจนมารยาทที่ดีงาม เรียกว่า อภิสมาจาริกาสิกขา มี ๒ คัมภีร์ คือ ๑) มหาวรรค ประกอบด้วย ๑๐ ขันธกะ ๒) จุลวรรค ประกอบด้วย ๑๒ ขันธกะ ๓. หมวดปริวาร ว่าด้วยข้อสรุปพระวินัยปิฏก มีลักษณะของการถามตอบ ได้แก่ คัมภีร์ปริวาร เรียกว่า คู่มือศึกษาพระวินัยตั้งแต่เล่ม ๑-๗ ดังนั้น ในคัมภีร์ชื่อว่า วชิรสารัตถะสังคหะ ที่รจนาโดยพระรัตนาปัญญาเถระ ชาวเชียงใหม่ แบ่งพระวินัยออกเป็น ๕ คัมภีร์ ดังมีคำย่อว่า อา ปา ม จุ ป • อา = อาทิกัมมิกะ หรือปาราชิกจนถึงอนิยต • ปา = ปาจิตตีย์ นิสสัคคียปาจิตตีย์ จนถึงเสขิยะ • ม = มหาวรรค • จ = จุลวรรค • ป = ปริวาร อีกสำนวนหนึ่งนั้นย่อตามสิกขาบทเลยก็ได้ คือ ปา ปา ม จุ ปะ พระวินัยปิฎกว่าโดยขันธ์มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ (มีต่อ : ชื่ออาบัติ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 07 ม.ค. 2011, 21:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
ชื่ออาบัติ อาบัติเป็นชื่อของการกระทำความผิด ในแต่ละระดับของสิกขาบทที่มีชื่อไม่เหมือนกับสิกขาบทในบางระดับ ดังมีชื่ออาบัติดังนี้ • สิกขาบท - อาบัติ • ปาราชิก - ปาราชิก • สังฆาทิเสส - สังฆาทิเสส • อนิยตและนิสสัคคิยปาจิตตีย์ - ถุลลัจจัย, ปาจิตตีย์ • ปาจิตตียะ - ปาจิตตีย์ • ปาฏิเทสนียะ - ปาฏิเทสนียะ • เสขียะ - ทุกกฏ • อธิกรณะสมถ - ทุพภาษิต สิกขาบทเหล่านี้ที่มาในพระปาติโมกข์ไม่รวมเสขิยะ เรียกว่า อทิพรหมจริยกาสิกขา ส่วน เสขิยะและสิกขาบทนอกที่มานอกพระปาติโมกข์อีกจำนวนมากนั้น เรียกว่า อภิสมาจาริกาสิกขา (มีต่อ : อาการที่ต้องอาบัติ ๖ ประการ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 07 ม.ค. 2011, 21:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
อาการที่ต้องอาบัติ ๖ ประการ • ต้องด้วยไม่ละอาย • ต้องด้วยไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ • ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง • ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร • ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร • ต้องด้วยหลงลืมสติ (มีต่อ : เปรียบเทียบสิกขาบทของเถรวาทและมหายาน) |
เจ้าของ: | วิริยะ [ 08 ม.ค. 2011, 07:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
กุหลาบสีชา เขียน: เปรียบดังด้ายที่ร้อยด้วยด้ายไม่กระจัดกระจาย เป็นพวงมาลัยที่งดงาม ๘. เบื่อหน่าย แหะ..แหะ..ขออนุญาตขอรับ ข้อความข้างบนน่าจะเป็น เปรียบดังดอกไม้ที่ร้อยด้วยด้าย.. ๘. กำจัดเสียซึ่งความเบื่อหน่าย อะไรทำนองแหละขอรับ.. |
เจ้าของ: | ทักทาย [ 08 ม.ค. 2011, 10:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
ระยะนี้มีเรื่องพระวินัย ทั้งของพระสงฆ์ และภิษุกณีให้อ่านจนจะบวชได้แล้ว ปีนี้เคร่ง"พระวินัย" กันจังนะค่ะ... อนุโมทนาค่ะ |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 08 ม.ค. 2011, 16:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
คุณวิริยะ เขียน: อ้างคำพูด: กุหลาบสีชา เขียน: เปรียบดังด้ายที่ร้อยด้วยด้ายไม่กระจัดกระจาย เป็นพวงมาลัยที่งดงาม ๘. เบื่อหน่าย แหะ..แหะ..ขออนุญาตขอรับ ข้อความข้างบนน่าจะเป็น เปรียบดังดอกไม้ที่ร้อยด้วยด้าย.. ๘. กำจัดเสียซึ่งความเบื่อหน่าย อะไรทำนองแหละขอรับ.. ขอบพระคุณคุณวิริยะมากค่ะที่กรุณาทักท้วงมาด้วยความปรารถนาดี ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งด้วยค่ะ กุหลาบสีชาได้ตรวจสอบแล้วพบว่าพิมพ์คลาดเคลื่อนไปจริง และได้แก้ไขให้ถูกต้องเรียบร้อยแล้วดังนี้ อ้างคำพูด: การประพฤติอยู่ในระเบียบวินัยนั้นเป็นความงดงาม ทำให้เกิดความน่าเลื่อมใส เปรียบดังดอกไม้ที่ร้อยด้วยด้ายไม่กระจัดกระจาย เป็นพวงมาลัยที่งดงาม หมายเหตุ บางสำนวนก็ว่า "ประดุจดังมาลาพรรณ มีสีสัณฐานต่างๆชนิด กระจัดกระจายอยู่โดยทั่วไป เมื่อนำมาร้อยด้วยด้ายให้เป็นระเบียบอันเดียวกัน ก็จะดูสวยงามเจริญตาเจริญใจ ฉะนั้น " ส่วนประโยชน์หรืออานิสงส์ของพระวินัยในข้อ ๘ ที่กล่าวว่า ๘. เบื่อหน่าย ... นั้น ในต้นฉบับได้กล่าวไว้เช่นนี้ถูกต้องแล้วค่ะ เข้าใจว่าเป็นการกล่าวละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าหมายถึง ทำให้เกิด "นิพพิทา (ความเบื่อหน่าย)" (กล่าวคือ เมื่อเกิด "ความรู้เห็นตามความเป็นจริง (ยถาภูตญาณทัสสนะ) " ย่อมมีประโยชน์ หรือยังให้เกิดแก่นิพพิทา..เป็นลำดับต่อไปค่ะ |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 08 ม.ค. 2011, 17:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
๕. เปรียบเทียบสิกขาบทของเถรวาทและมหายาน วินัยของทั้งสองนิกายใหญ่ คือวินัยของฝ่ายมหายาน และวินัยของฝ่ายเถรวาทย่อมมีจำนวนที่ไม่เท่ากัน เพราะความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม และภูมิประเทศของแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน ทำให้มีบางข้อแตกต่างและเหมือนกัน ในที่นี้เป็นการเปรียบเทียบภิกษุปาติโมกข์ มหายาน - ๒๕๐ (โพธิสัตว์ปาติโมกข์) • ปาราชิก ๔ • สังฆาทิเสส ๑๓ • อนิยต ๒ • นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ • ปาจิตตีย์ ๙๐ • ปาฎิเทสนีย ๔ • เสขียะ ๑๐๐ • อธิกรณสมถะ ๗ โพธิสัตว์ปาติโมกข์ • โพธิสัตว์ปาติโมกข์ในพรหมชาลสูตร ๕๘ ข้อ o ครุกาบัติ ๑๐ ข้อ o ลหุกาบัติ ๔๘ ข้อ • โพธิสัตว์ปาติโมกข์ ในโยคาจารภูมิศาสตร์ ๔๗ ข้อ o ครุกาบัติ ๔ ข้อ o ลหุกาบัติ ๔๓ ข้อ เถรวาท - ๒๒๗ (มหาวิภังค์ & ภิกขุณีวิภังค์) • ปาราชิก ๔ • สังฆาทิเสส ๑๓ • อนิยต ๒ • นิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ • ปาจิตตีย์ ๙๒ • ปาฎิเทสนีย ๔ • เสขียะ ๗๕ • อธิกรณสมถะ ๗ (ที่มา : เอกสารประกอบการเข้าศึกษาต่อหลักสูตรศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย : วิชาเปรียบเทียบคำสอนพระพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน, หน้า ๖๒-๖๖) วินัยสงฆ์-อาบัติ-ปาราชิก-สังฆาทิเสส http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=22785 สิกขา สิกขาบท ลาสิกขา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=48387 ผู้ละเมิด “ปาราชิก” คนแรก (เสฐียรพงษ์ วรรณปก) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=57871 |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 08 ม.ค. 2011, 18:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
คุณทวดทักทาย เขียน: ระยะนี้มีเรื่องพระวินัย ทั้งของพระสงฆ์ และภิษุกณีให้อ่านจนจะบวชได้แล้ว ปีนี้เคร่ง"พระวินัย" กันจังนะค่ะ... อนุโมทนาค่ะ ไม่ได้เคร่งเฉพาะปีนี้แต่อย่างใดเลยค่ะคุณทวดทักทาย หากแต่ด้วยเหตุผลที่ตนเองก็เป็นพุทธบริษัทคนหนึ่งที่ศึกษา ประพฤติ ปฏิบัติธรรม จากแรงศรัทธาและปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะช่วยสืบทอดจรรโลงพระพุทธศาสนา ตามศักยภาพและบทบาทหน้าที่ที่มีอยู่เป็นอยู่ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้นค่ะ อ้างคำพูด: "...ธรรมวินัย หรือหลักคำสอนที่สังคายนาไว้นี่แหละ
เป็นตัวพระพุทธศาสนา เพราะได้บอกแล้วว่า พระพุทธศาสนาก็คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรานับถือพระพุทธศาสนา ก็คือเรานับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติไปตามคำสั่งสอนนั้น พร้อมทั้งดูแลจัดสรรทำการต่างๆ เพื่อให้ชาวพุทธทั้งหลายได้เรียนรู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น การปฏิบัติอย่างนี้ก็เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าเองได้ตรัสไว้ คือเมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระองค์ได้ตรัสไว้เองว่า พระองค์ไม่ได้ทรงแต่งตั้งพระภิกษุสาวกองค์ใดให้เป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่พระองค์ตรัสไว้เป็นภาษาบาลีว่า โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา. (ที.ม.๑๐/๑๔๑/๑๗๘) แปลว่า : ดูกรอานนท์ ธรรมแลวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว และบัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราล่วงลับไป หมายความว่าพระพุทธเจ้าตรัสให้พระธรรมวินัย คือคำสั่งสอนของพระองค์นี้ เป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะฉะนั้น การสังคายนาจึงถือว่าเป็นการปฏิบัติตามพุทธพจน์ ที่เหมือนกับได้ทรงฝากฝังสั่งเสียไว้ว่า ให้พระธรรมวินัย คือคำสั่งสอนของพระองค์เป็นศาสดาแทนพระองค์ด้วย เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าเราเคารพพระพุทธเจ้า เราก็ต้องรักษาพระธรรมวินัยไว้ให้ดี เพราะการรักษาพระธรรมวินัยที่สังคายนาไว้ ก็คือรักษาพระศาสดาของเราไว้ คือรักษาพระพุทธเจ้าไว้นั่นเอง" (คัดลอกบางตอนมาจาก : ความสำคัญและการรักษาพระไตรปิฎก ใน เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร, ๒๕๔๒) http://www.geocities.com/tvb1111/tri.3.htm |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 09 ม.ค. 2011, 13:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
กุหลาบสีชา เขียน: ไม่ได้เคร่งเฉพาะปีนี้แต่อย่างใดเลยค่ะคุณ... หากแต่ด้วยเหตุผลที่ตนเองก็เป็นพุทธบริษัทคนหนึ่งที่ศึกษา ประพฤติ ปฏิบัติธรรม จากแรงศรัทธาและปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะช่วยสืบทอดจรรโลงพระพุทธศาสนา ตามศักยภาพและบทบาทหน้าที่ที่มีอยู่เป็นอยู่ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้นค่ะ รบกวนถามจขกทครับคำว่า"เคร่ง"ในความหมายของจขกทหมายถึงอะไรครับ แต่เท่าที่ผมทราบมา มันหมายถึง การปฏิบัติในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ผมเลยสงสัยว่าจขกท เป็นพระภิกษุหรือครับ หรือถ้าจขกทมีจุดประสงค์จะโพสพระวินัย เพื่อให้ความรู้แกคนอื่น มันก็ยังสงสัยอีกครับว่า จขกทให้ความรู้แก่ใคร เพราะพระวินัยเขามีไว้ให้ พระภิกษุสงฆ์ปฏิบัติ แสดงว่าจขกทกำลังให้ความรู้แก่พระภิกษุอยู่ ถามซะเลยว่ามันทำได้หรือครับ ฆราวาสสอนพระวินัยแก่พระสงฆ์นี่น่ะ การจรรโลงศาสนากับการทำร้ายศาสนา บางที่ก็ดูไม่ออกนะครับ ที่สำคัญไม่ดูที่คำพูดหรอกครับ เขาดูที่การปฏิบัตของตนเองว่า ปฏิบัติได้ตามคำสอนของพระผู้เป็นศาสดาหรือไม่ ในเมื่อตัวเองยังไม่เข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอก แล้วมาบอกว่ากำลังจรรโลงศาสนาได้อย่างไรครับ ผมขอยกคำพูดของหลวงพ่อ ป.อ.ปยุตโตในข้ออ้างอิงของคุณมาแสดงความเห็นหน่อยครับ ให้พระธรรมวินัย คือคำสั่งสอนของพระองค์เป็นศาสดาแทนพระองค์ด้วย เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าเราเคารพพระพุทธเจ้า เราก็ต้องรักษาพระธรรมวินัยไว้ให้ดี เพราะการรักษาพระธรรมวินัยที่สังคายนาไว้ ก็คือรักษาพระศาสดาของเราไว้ คือรักษาพระพุทธเจ้าไว้นั่นเอง" ความหมายของคำว่า รักษาพระธรรมวินัย มันหมายถึงการปฏิบัติตามพระวินัยโดยไม่ล่วง ละเมิดนะครับ สงสัยจังครับว่าสถานะคุณเป็นอะไร จะว่าเป็นพระก็ไม่ใช่เพราะเห็นพูดค่ะพูดขา ตกลงคุณเป็นอะไรครับ จะบอกให้ครับคำพูดของหลวงพ่อป.อ.ปยุตโต ที่คุณยกมานั้นน่ะ... เป็นคำพูดที่หลวงพ่อท่านเอาไว้สอนลูกศิษย์ของท่าน ที่เป็นพระภิกษุครับ |
เจ้าของ: | คนสองศอ [ 09 ม.ค. 2011, 15:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
โฮฮับ เขียน: กุหลาบสีชา เขียน: ไม่ได้เคร่งเฉพาะปีนี้แต่อย่างใดเลยค่ะคุณ... หากแต่ด้วยเหตุผลที่ตนเองก็เป็นพุทธบริษัทคนหนึ่งที่ศึกษา ประพฤติ ปฏิบัติธรรม จากแรงศรัทธาและปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะช่วยสืบทอดจรรโลงพระพุทธศาสนา ตามศักยภาพและบทบาทหน้าที่ที่มีอยู่เป็นอยู่ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้นค่ะ รบกวนถามจขกทครับคำว่า"เคร่ง"ในความหมายของจขกทหมายถึงอะไรครับ แต่เท่าที่ผมทราบมา มันหมายถึง การปฏิบัติในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ผมเลยสงสัยว่าจขกท เป็นพระภิกษุหรือครับ หรือถ้าจขกทมีจุดประสงค์จะโพสพระวินัย เพื่อให้ความรู้แกคนอื่น มันก็ยังสงสัยอีกครับว่า จขกทให้ความรู้แก่ใคร เพราะพระวินัยเขามีไว้ให้ พระภิกษุสงฆ์ปฏิบัติ แสดงว่าจขกทกำลังให้ความรู้แก่พระภิกษุอยู่ ถามซะเลยว่ามันทำได้หรือครับ ฆราวาสสอนพระวินัยแก่พระสงฆ์นี่น่ะ การจรรโลงศาสนากับการทำร้ายศาสนา บางที่ก็ดูไม่ออกนะครับ ที่สำคัญไม่ดูที่คำพูดหรอกครับ เขาดูที่การปฏิบัตของตนเองว่า ปฏิบัติได้ตามคำสอนของพระผู้เป็นศาสดาหรือไม่ ในเมื่อตัวเองยังไม่เข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอก แล้วมาบอกว่ากำลังจรรโลงศาสนาได้อย่างไรครับ ผมขอยกคำพูดของหลวงพ่อ ป.อ.ปยุตโตในข้ออ้างอิงของคุณมาแสดงความเห็นหน่อยครับ ให้พระธรรมวินัย คือคำสั่งสอนของพระองค์เป็นศาสดาแทนพระองค์ด้วย เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ถ้าเราเคารพพระพุทธเจ้า เราก็ต้องรักษาพระธรรมวินัย ไว้ให้ดี เพราะการรักษาพระธรรมวินัยที่สังคายนาไว้ ก็คือรักษาพระศาสดาของเราไว้ คือรักษาพระพุทธเจ้าไว้นั่นเอง" ความหมายของคำว่า รักษาพระธรรมวินัย มันหมายถึงการปฏิบัติตามพระวินัยโดยไม่ล่วง ละเมิดนะครับสงสัยจังครับว่าสถานะคุณเป็นอะไร จะว่าเป็นพระก็ไม่ใช่เพราะเห็นพูดค่ะพูดขา ตกลงคุณเป็นอะไรครับ จะบอกให้ครับคำพูดของหลวงพ่อป.อ.ประยุตโตที่คุณยกมานั้นน่ะ... เป็นคำพูดที่หลวงพ่อท่านเอาไว้สอนลูกศิษย์ของท่าน ที่เป็นพระภิกษุครับ ท่าจะไม่เข้าใจในภาษาไทย พวกชอบทำตัวเป็นปัญหา ต้องตีความอักษร ส่งให้ศาลพิสูจน์กัน พวกบ้าสองมาตรฐาน จากการได้อ่านข้อความของ ท่าน จขกท ก็ได้ใจความว่า น่าเป็นคนธรรมดาและคิดว่าเป็นชาวพุทธ และน่าจะพวกพุทธบริษัท (ต้องแปลด้วยมั้ย) คือคิดดี และพยายามทำดี ทำในหน้าที่ของตน หน้าที่ของชาวพุทธน่าจะรู้นะว่าต้องทำอะไร อย่าให้แปลความ การที่เขาเขียนคัดลอกในเรื่องพระวินัยมาโพส เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะก่อนที่ชาวพุทธ(ผู้ชาย)จะบวชต้องควรเรียนรู้ก่อนเสมอ และเป็นการดีไม่ใช่หรือที่จะได้ศึกษาก่อน ก่อนเข้าสู่กาสาวพัสตร์ และที่เจ้าของกระทู้ได้ก๊อปปี้มาให้อ่าน ก็ไม่ได้สอนเอง แต่เป็นการคัดลอกมาให้ได้อ่านและศึกษา จะอ่านจะสงสัยจะต่อว่า ก็หัดทำความเข้าใจเขาก่อนนะ ก่อนจะโพส นะ โปรดอ่านอย่างน้อย 2 รอบก่อนตีความ อุ้ย พลาดไปหน่อย เขาพูดเรื่องเคร่งด้วย เขาก็เคร่งตามกำลังเขาไง คำว่าเคร่ง ไม่ได้หมายความว่า จะเคร่งเหมือนกันหมด เหมือนกับคำว่าอิ่ม อิ่มยังไง ก็อิ่มคนละแบบ ซึ่งขึ้นอยู่แต่ละบุคคล เข้าใจ๋ |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 10 ม.ค. 2011, 05:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
คนสองศอ เขียน: ท่าจะไม่เข้าใจในภาษาไทย พวกชอบทำตัวเป็นปัญหา ต้องตีความอักษร ส่งให้ศาลพิสูจน์กัน พวกบ้าสองมาตรฐาน ก่อนที่จะแสดงความเห็น ผมขอบอกไว้ก่อนเลยครับ ถ้าจะบ้าการเมือง คุณมาผิดเว็บแล้ว กรุณาอย่าเอาสิ่งที่น่ารังเกียจมาแปดเปื้อนเว็บธรรมะดีๆแห่งนี้ครับ อย่างฮาเลย " พวกสองมาตราฐาน " พูดมาได้ไม่รู้กาลเทศะและสถานที่ คนสองศอ เขียน: จากการได้อ่านข้อความของ ท่าน จขกท ก็ได้ใจความว่า น่าเป็นคนธรรมดาและคิดว่าเป็นชาวพุทธ และน่าจะพวกพุทธบริษัท (ต้องแปลด้วยมั้ย) คือคิดดี และพยายามทำดี ทำในหน้าที่ของตน หน้าที่ของชาวพุทธน่าจะรู้นะว่าต้องทำอะไร อย่าให้แปลความ ผมรู้ดีว่าจขกทอยู่ในสถานะอะไร แล้วที่ถามไปมันเป็นการถามในเชิงประชด สาเหตุก็เพื่อจะให้รู้ว่า ที่เรารู้สึกว่าพุทธศาสนาแตกแยกและมีวิวาทะบ่อยๆ ก็เพราะ การไม่รู้จักสถานะและหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนแบบจขกทครับ ไอ้ภาษาหรือหนังสือที่จขกทโพสมามันไม่ต้องแปลหรอกครับ แต่สิ่งที่ต้องแปลก็คือ อะไรเป็นสาเหตุให้จขกทโพสกระทู้นี้ครับ และผมว่ามันมีการเอาพระไตรปิฎกมาทำลายคนอื่น ที่ว่าจขกทคิดดีทำดีน่ะ แน่ใจแล้วหรือที่พูด ในส่วนลึกของใจไม่ได้มีอะไรแอบแฝง พุทโธเอ่ย! มัวไปงมโค่งอยู่ที่ไหน กระทู้นี้เกิดขึ้นมาก็เพราะ การไม่ยอมกันของจขกท กับสมาชิกบางคน ที่มีคนคิดเห็น แตกต่างจากตำราที่ตัวอ่านมา ถามจริงกระทู้นี้สืบเนื่องมาจากกระทู้ คุณสาวิกาในห้องสนทนาธรรมหรือเปล่า นี่ไงคนไม่รู้จักการพิจารณา เห็นอะไรอ่านอะไรมาก็เอาตามนั้นไม่รู้จักคิดก่อน ผมว่าคุณน่าไปอ่านคำขวัญวันเด็กปีนี้หน่อยน่ะ เขาบอกไว้อย่างนี้ "รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ " อ่านแล้วทำให้ได้จึงค่อยมาศึกษาธรรมะ อยากรู้ไหมว่าสามคำนี้เอามาใช้กับการศึกษาธรรมะอย่างไร คนสองศอ เขียน: การที่เขาเขียนคัดลอกในเรื่องพระวินัยมาโพส เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะก่อนที่ชาวพุทธ(ผู้ชาย)จะบวชต้องควรเรียนรู้ก่อนเสมอ และเป็นการดีไม่ใช่หรือที่จะได้ศึกษาก่อน ก่อนเข้าสู่กาสาวพัสตร์ และที่เจ้าของกระทู้ได้ก๊อปปี้มาให้อ่าน ก็ไม่ได้สอนเอง แต่เป็นการคัดลอกมาให้ได้อ่านและศึกษา จะอ่านจะสงสัยจะต่อว่า ก็หัดทำความเข้าใจเขาก่อนนะ ก่อนจะโพส นะ โปรดอ่านอย่างน้อย 2 รอบก่อนตีความ คนอย่างผม ไม่ต้องการถึงสองรอบหรอกครับ แค่เห็นหัวข้อกระทู้ก็รู้ที่มาที่ไปแล้ว แล้วไอ้คำที่คุณเอามาด่าชาวบ้านว่า สองมาตราฐานน่ะเคยดูตัวเองหรือเปล่า ที่เวลาคุณสาวิกา แกโพสประวัติบุคคล ก็ออกมารุมต่อว่าแกเสียๆหายๆ ทั้งๆที่เรื่องต่อว่าไม่เกี่ยวกับเนื้อหาและจุดประสงค์ที่แกโพสเลย เขาโพสประวัติดันเอาพระวินัยมาว่าเขา แล้วอีกเรื่องมีการโพสรูปว่า ภิกษุณีกำลังสอนพระผิดพระวินัย ทางนั้นเขาอธิบายความว่า เป็นการถวายความรู้ พวกคุณก็ยังไม่ยอมที่จะเข้าใจ กระทบกระแทกแดกดันอีก แต่พอเวลากระทู้นี้ ดันบอกว่าจขกททำหน้าที่ชาวพุทธที่ดี ดูแล้วอยากหัวร่อให้ฟันหักจริงๆ |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 10 ม.ค. 2011, 06:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ความเข้าใจพระวินัย : มมร. |
คนสองศอ เขียน: อุ้ย พลาดไปหน่อย เขาพูดเรื่องเคร่งด้วย เขาก็เคร่งตามกำลังเขาไง คำว่าเคร่ง ไม่ได้หมายความว่า จะเคร่งเหมือนกันหมด เหมือนกับคำว่าอิ่ม อิ่มยังไง ก็อิ่มคนละแบบ ซึ่งขึ้นอยู่แต่ละบุคคล เข้าใจ๋ อุ้ย! เกือบลืมเกือบพลาดเหมือนกัน ไอ้ภาษาที่พูดของคุณน่ะ มันไม่ใช่เคร่งหรอกครับ ถ้าเกร็งพอได้ จะอธิบายให้ฟังอีกที่น่ะ คำว่า"เคร่ง"ความหมายคือ การปฎิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แล้วไอ้สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ว่าก็คือ พระวินัย แล้วทำไมว่าเป็นพระวินัย ก็ดูจากการสนทนาระหว่างเพื่อนกับจขกท ดังนั้นถ้าเอาประมวลรวมกันแล้วก็คือ เคร่งในพระวินัยหรือการปฏิบัติตามพระวินัยแบบไม่ตกหล่นครับ ผมถึงได้ถามว่า จขกทอยู่ในสถานะอะไร มีหลักฐานครับ.... กุหลาบสีชา เขียน: คุณทวดทักทาย เขียน: ปีนี้เคร่ง"พระวินัย" กันจังนะค่ะ... อนุโมทนาค่ะ ไม่ได้เคร่งเฉพาะปีนี้แต่อย่างใดเลยค่ะคุณทวดทักทาย ถ้าคุณจะแย้งมาอีกว่า เขาไม่ได้พูดหรือให้ความหมายตามนั้น ผมก็ขอบอกก่อนเลยว่า นี่ไงเป็นเหตุให้เราไม่สมควรเอา พระไตรปิฎกหรือคำของครูบาอาจารย์มาโจมตีผู้อื่น เพราะการอ่านหรือฟังเราต้องพิจารณาไปด้วย ตามเหตุ ตามผลที่สืบเนื่องกันมา |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |