วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


- สถานที่ปฏิบัติธรรม
แนะนำรายชื่อสถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐานทั่วประเทศ
http://www.dhammajak.net/forums/viewforum.php?f=9

- รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=30



กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้ากินแล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ไม่น่าจะมีปัญหา
แล้วตัวเองไม่เดือดร้อนรึ ... เบียดเบียนตัวเองคิดว่าไม่บาปรึท่าน
อ้างคำพูด:
แต่กินเพราะ อากาศหนาวแค่ช่วยให้อุ่นอะไรแบบนี้ผิดศีลเหรอ
กินเป็นยาไม่ผิดศีล กินจนขาดสติ เป็นนักเลงสุราผิดศีล
อ้างคำพูด:
งั้นประเทศที่หนาวมากบางคนกินเหล้าแก้หนาวก็ผิดศีล
หาอย่างอื่นมาแก้หนาวแทนไม่ได้รึ ที่รัสเซียให้ยามหรือทหารกินเหล้าเพราะมันประหยัดงบประมาณหรอก
อ้างคำพูด:
ถ้าไม่มีน้ำกินแต่มีเหล้าเลยกินเหล้าแทนไปก่อนก็ผิดศีลเหรอ
กินเหล้าแล้วคอจะแห้งนะ อยากน้ำมากกว่าเดิมอีก
อ้างคำพูด:
เราว่าเรื่องฆารวาสน่าจะทำอะไรได้มากกว่าเลิกเหล้าเพราะบางคนไม่เคยกินเหล้าเลยด้วยซ้ำ
มันง่ายที่สุดแล้ว เหล้าไม่เข้าปากก็ไม่ผิด แค่นี้ทำไม่ได้อย่าไปคิดทำอะไรที่มันยากกว่านี้เลย ส่วนคนที่ไม่กินเหล้าก็ดีอยู่แล้ว

กำเนิดสุรา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=5&t=25884


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 09:00
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:

ในฐานะฆารวาส เอาแค่อย่างหยาบเป็นบรรทัดฐาน เป็นเครื่องวัด ก็พอ โสดาปัตติผลยังได้แค่อย่างกลาง ทำได้จริงๆ ข้อเดียวคือ ไม่กินเหล้า

คนทำได้แค่นี้หรอ ข้อเดียวไม่กินเหล้า
ศีลมันก็แค่ควบคุมความประพฤติทางกาย วาจาใจ ให้ตั้งอยู่ในความดีงามมีความปกติ ไม่มีการเบียดเบียนกันในสังคม เราว่าคนทั่วไปก็ทำได้ ไม่ใช่แค่เรื่องเหล้า
และเหล้าก็ไม่ได้ผิดศีลไรเลย จับมือหญิงสาวก็ไม่ได้ผิดศีลไรถ้าไม่ได้มาด้วยกิเลส เพราะสุดท้ายกิเลสก็นำไปหาทุกข์อีก ถ้ากินเหล้าไม่เดือดร้อนใครก็ไม่มีทางบัญญัติหรอก แต่ เหตุว่าเกิดเรื่องเพราะกินเหล้าแล้วดันขาดสติ ทั้งผู้คนติฉินนินทา สังคมติเตียน มันผิดที่ว่าทำให้ใครเดือดร้อนทั้งทางกาย วาจา ใจ หรือไม่นั้นแหละพื้นฐาน
ศีล ก็แค่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนทั้งตัวเองและผู้อื่นทั้งกาย วาจา และใจ เรื่องแค่นี้ทำยากมากไม่ใช่ง่ายๆ(หรือแค่นี้จะเรียกว่าเลวทรามได้อีก) แตทำได้ ถ้าตั้งใจจริง ก็ไม่เกินไปที่คนธรรมดาจะทำไม่ได้ แต่เลือกไม่ทำเอง
พุทธเจ้าไม่บอกให้คนทำอะไรที่เกินวิสัยมนุษย์หรอก จะไปอ้างอิงศีล5 ศีล8 หรือ227 ก็มาจากพื้นฐานเดียวกัน คิดทีละข้อสาเหตุก็เพราะมีเรื่องเดือดร้อนผู้อื่นและตนเอง ก็เลยบัญญัติ ของพวกนี้
อยู่เฉยๆไม่ทำไรบางคนก็เดือดร้อนใจเพราะเรา แต่สุดท้ายก็ที่เราว่าจะละจะวางมันได้บ้างรีเปล่า


แก้ไขล่าสุดโดย Sasha เมื่อ 17 มี.ค. 2010, 15:25, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 09:00
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ถ้ากินแล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ไม่น่าจะมีปัญหา
แล้วตัวเองไม่เดือดร้อนรึ ... เบียดเบียนตัวเองคิดว่าไม่บาปรึท่าน
อ้างคำพูด:
แต่กินเพราะ อากาศหนาวแค่ช่วยให้อุ่นอะไรแบบนี้ผิดศีลเหรอ
กินเป็นยาไม่ผิดศีล กินจนขาดสติ เป็นนักเลงสุราผิดศีล
อ้างคำพูด:
งั้นประเทศที่หนาวมากบางคนกินเหล้าแก้หนาวก็ผิดศีล
หาอย่างอื่นมาแก้หนาวแทนไม่ได้รึ ที่รัสเซียให้ยามหรือทหารกินเหล้าเพราะมันประหยัดงบประมาณหรอก
อ้างคำพูด:
ถ้าไม่มีน้ำกินแต่มีเหล้าเลยกินเหล้าแทนไปก่อนก็ผิดศีลเหรอ
กินเหล้าแล้วคอจะแห้งนะ อยากน้ำมากกว่าเดิมอีก
อ้างคำพูด:
เราว่าเรื่องฆารวาสน่าจะทำอะไรได้มากกว่าเลิกเหล้าเพราะบางคนไม่เคยกินเหล้าเลยด้วยซ้ำ
มันง่ายที่สุดแล้ว เหล้าไม่เข้าปากก็ไม่ผิด แค่นี้ทำไม่ได้อย่าไปคิดทำอะไรที่มันยากกว่านี้เลย ส่วนคนที่ไม่กินเหล้าก็ดีอยู่แล้ว

กำเนิดสุรา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=5&t=25884

ไม่มีน้ำกินมีแต่เหล้า พอกินแล้วผิดศีลหรอ คอแห้งก็แห้งสิ มันก็ต้องค่อยๆจิบไปไม่ใช่ให้แห้งผาก
และไม่ใช่ซดเอาซดเอาเพราะหิว มันก็ต้องรู้ว่าไอที่กินมันคืออะไร
กินอะไรพิจารณาว่าอันตรายอย่างไรก็ทำไปตามที่มีที่ได้ จะมีศีลแล้วต้องยอมอดหรอ
พุทธเจ้าไม่บัญญัติอะไรที่มันไม่มีความยืดหยุ่นหรอก
หยิบของเขามาไม่ได้ตั้งใจ ก็ไม่ผิดไร ดูตามเหตุการ
มันต้องดูว่าเพื่ออะไร ไม่ใช่ว่ามีบอกไว้ก็ทำตามนั้นทื่อๆ
ถ้ายึดตามวินัยมากจะเฟ้อ เพราะ พุทธเจ้าก็บอกให้เพิ่มได้ลดได้ ตามกาลตามสถาน
บางข้อก็ไม่ให้เสื่อมศรัทธา เสื่อมศรัทธาเพราะอะไรล่ะ เพราะ ไปเดือดร้อนผู้อื่น บางอย่างก็แค่ให้ผู้อื่นไม่สบายใจก็แค่นั้น เอง
ขอโทษด้วยถ้าทำให้ไม่พอใจนะ แต่ จริงๆมันก็แค่นั้น เรื่องธรรมดามองให้มันธรรมดาบ้าง


แก้ไขล่าสุดโดย Sasha เมื่อ 17 มี.ค. 2010, 14:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 09:00
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


* ข้าพเจ้าขอรับเอาซึ่งหัวข้อในการศึกษาเจตนา เป็นเครื่องเว้นจากน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

ในบรรดาศีลห้านั้น ศีลข้อนี้ต่างจากข้ออื่น กล่าวคือ ศีลสี่ข้อแรกนั้น จะไม่มีคำว่า เป็นที่ตั้ง แห่งความประมาท กำกับอยู่ ซึ่งประเด็นนี้อาจอธิบายโดยรวบรัดได้ว่า ศีลสี่ข้อแรกประสงค์ให้งดเว้นอย่างเด็ดขาด ขณะที่ศีลข้อนี้ อาจดื่มได้เพื่อเป็นยาเป็นต้นในบางกรณี แต่ต้องตระหนักว่ามิได้ตั้งอยู่ในความประมาท แต่โบราณาจารย์แนะนำว่า การไม่ดื่มเลยน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าการดื่มโดยตระหนักว่าจะไม่ประมาท...

อ้างอิงจาก http://gotoknow.org/blog/dhammasakajcha/234493

สังเกตได้ว่า จริงๆแล้วให้ดื่มได้แต่ต้องไม่ตั้งอยู่ในความประมาท มีการยืดหยุ่นเสมอ
ไม่ใช่ว่าไว้ทื่อๆ ยึดถือปฏิบัติทื่อๆ แต่หลังๆ มากำหนดกันเองว่าไม่ดื่มเลยดีกว่า เพราะมันยากที่จะรู้
คนอาจอ้างได้ว่าทำไปเพราะสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อจะดื่ม
วินัย ไม่ได้มีมาตั้งแต่เริ่มแรก แต่เพราะมีคนทำเรื่องเดือดร้อนขึ้นจึงบัญญัติ ไม่งั้นคงบัญญัติไว้มากกว่านี้มากมายตั้งแต่เริ่มตรัสรู้ แปลว่าแรกๆทำได้ไม่มีใครเดือดร้อน มนุษย์เกิดมามีอิสระของตน อยู่ๆ จะไปบังคับว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มีที่มา ใครจะไปทำตาม (และเหล้าก็แค่ปาจิตตีย์ด้วยไม่ร้ายแรงเลย ปลงอาบัติก็จบ แต่ผลของการเมาเหล้าไประรานชาวบ้านสิหนักกว่า) สุดท้ายก็คือดื่มไปอย่าให้เมา อย่าให้ขาดสติ มันจะเป็นเหตุให้ไปผิดศีลได้ (เมาเหล้าแล้วนอนขวางประตู ก็ทุเรศก็เสื่อมเหมือนกัน)

ส่วนตัวนะ ถ้าหากว่าความจริงศีลคืออะไรทื่อๆ ไม่ยืดหยุดตามเวลาสถานการได้ ก็ไม่งดงาม ไม่น่านับถือ เพราะคนเรา มันก็มีที่จำเป็นในบางเวลา ไม่ใช่แค่เรื่องสุรา แต่เรื่องอื่นๆด้วย ถ้าเอา เรื่อง เหล้ามาอ้างว่าผิดศีลนั้น เรื่องวิ่งเรื่องเดิน เรื่องคำหยาบที่เป็นนิสัยส่วนตัว แต่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้จงใจทำเพื่อให้ เกิดผลเลวร้าย ก็ ผิดศีลหมดสิ เพราะมันไม่งาม บางคนเห็นแล้วได้ยินแล้วหงุดหงิดไม่พอใจ พาให้เขาเดือดร้อนใจ
และเราก็เดือดร้อนตาม
สิ่งสำคัญคือทำไงไม่ให้เดือดร้อนให้มันมาจากใจจริงที่หวังดีต่อผู้อื่นและตนเอง ไม่ใช่ทำเพราะว่ามีข้อกำหนดแค่นั้น เพราะ เรื่องที่มันจะผิดศีลจริงๆ มีเยอะแยะมากมายถ้าจะทำจริงแล้วแต่จะตลบตะแลง
คิดถึงผลตามมาก่อนที่จะทำ จะให้ไปตามจำเป็นข้อๆเหรอ เฟ้อไป

(edit บ่อยไปหน่อย พิมพ์ผิดเยอะ คีบอร์ดไม่มีไทย แล้วเราก็แค่นั่งจิ้มด้วยไม่สัมผัส)


แก้ไขล่าสุดโดย Sasha เมื่อ 17 มี.ค. 2010, 15:23, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 18:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คนทำได้แค่นี้หรอ ข้อเดียวไม่กินเหล้า
หมายถึงถ้าจะให้บริสุทธิ์จริงๆ ได้ข้อเดียว ยกตัวอย่างเช่น นั่งดูทีวี เห็นหน้านางเอกสวย ใจมันก็คิดไปแล้ว เผลอๆ นึกชื่อเมียไม่ออก แบบนี้ แสดงว่า ยังมีราคะอยู่ ยังไม่บริสุทธิ์ ฯ

อ้างคำพูด:
ศีลมันก็แค่ควบคุมความประพฤติทางกาย วาจาใจ ให้ตั้งอยู่ในความดีงามมีความปกติ
ตรงนี้เรียกว่า สีลพพจปรามาส เป็นแนวคิดของพราหมณ์ พุทธไม่ได้สอนกันแบบนี้

อ้างคำพูด:
และเหล้าก็ไม่ได้ผิดศีลไรเลย
เออ... ผิดเต็มๆ เลยแหละท่าน คนที่หวังมรรคผล ถ้าเลิกเหล้าไม่ได้ อย่างมากก็ได้โสดาปัตติมรรค ทำร้ายตัวเอง เบียดเบียนตัวเอง มันก็คือบาป ฆ่าตัวตาย ไม่ไดให้ใครมาฆ่า ทิ้งมรดกไว้เป็นล้าน ก็ต้องไปใช้กรรมในนรก

การไม่กินเหล้าเลยได้นั้น คือการเอาชนะใจตัวเองอย่างหนึ่ง ในทางธรรม เมื่อนั่งกินเหล้าอยู่คนเดียวในบ้าน ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อนเลย พอเมา โลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำท่านเต็มๆ ไม่มีเบรคเลย เหยียบ 180 km/hr ลงนรก

อ้างคำพูด:
หยิบของเขามาไม่ได้ตั้งใจ ก็ไม่ผิดไร
เห็นสายไฟเปลือยๆ นึกว่าไม่มีไฟ เอามือไปจับ อย่างไงก็โดนไฟดูด เผลอๆ ตาย จะบอกว่าผมไม่รู้มันไม่ได้นะ

กรณีพระ หยิบของแบบนี้ ถ้าของราคาเกิน ๑ บาท ก็ปราชิกไปเลย

ที่ท่านสรุปมามันก็ถูก แต่เป็นถูกของท่าน ไม่ได้ถูกจริงๆ ตามความเป็นจริง ศีล ๕ เป็นศีลที่พระอริยเจ้าทั้งหลายใคร่ครวญแล้ว รู้เห้นถึงภัยที่จะตามมาในการประพฤตินอกกรอบของศีล

เรื่องทางธรรม จะเอาปัญญาทางโลกมาตัดสินนั้นไม่ได้ เพราะปัญญาทางโลกเต็มไปด้วยความเห็น ธรรมะคือความจริง ต้องใช้ข้อเท็จจริงมาตัดสิน จะไปคิดเองเออเองไม่ได้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 09:00
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาเป็นว่ายอมละกันนะ เพราะท่าทางเหมือนคุณจะพิจารณาอะไรตามตัวอักษรไปหมด
ไม่คิดอะไรไปตามความจริง แทนที่จะใช้มัน กลับโดนมันใช้
สมัยนั้นมีพระหลายแบบ ทั้งพระทีปฏิบัติจริง และพระที่เข้ามาเพราะเนื่องมากจากนิกายอื่นหวังแทรกซึม
ปัญหาสังคมสมัยนั้นรุนแรงมาก มีหลายฝ่ายมาก จะมาว่าทางโลกทางธรรม มีหมดเลย
ตลบตะแลงข้างๆคู่โดยถืออักษรว่ากันถือความหมายแง่เดียวว่ากัน
แต่พุทธเจ้า ไม่เคยว่าอะไรในแง่เดียวเลย จะฟังเหตุผล ว่าไปตามเหตุตามผลนั้น
ไม่ใช่ว่าจะต้องอาบัติทุกอาการตามตัวอักษร เพราะ ในสมัยนั้นมีทั้งการว่าจ้างผู้อื่นมาแกล้งด้วยเผื่อให้ผิดวินัย รุนแรงมากมายหลายอย่าง

ถ้าในวินัยแบบที่คุณคิดและตีความและไม่ยืดหยุ่นเลยนั้น คือศีลแท้จริง แต่ละวันก็มีแต่อาบัติ
เพราะทั้งเราไม่ตั้งใจ ทั้งนิกายอื่นแกล้งเยอะแยะ

ก็ยังยืนยันนะ ต่อให้บังเอิญวิ่งไปชนเป็นเหตุให้สิ่งมีชีวิตตกเหวตาย แต่ไม่ได้ตั้งใจไม่มีใจอาฆาต
และนอนอยู่โดนจับไปทำออรัลเซ็กจนเสร็จ แต่เราไม่ได้ยินดีในกามนั้น
แตะเนื้อตัวสีกามากมายแต่ไม่ได้คิดอะไรในใจเป็นกามมารมณ์เลย
หยิบของผู้อื่นมาโดยไม่ตั้งใจเพราะคิดว่าคงทิ้งแล้วไม่ได้ตั้งใจขโมย
หรือหยิบมาโดยสำคัญว่าคือของเรา หยิบผิดมา
หรือมาอยู่ในของเราเราเอาไปโดยไม่ทราบ ต่อให้มูลค่า1000ล้าน
เหล่านี้ ก็ไม่มีเหตุไหนให้ต้องอาบัติเลย

ถ้าคิดว่าเราโกหกหรือกล่าวตู่ วินัย นายก็ลองไปคุ้นวินัยทุกเล่มอ่านดู
ว่าสาเหตุที่บัญญัติ วินัยแต่ละข้อ มันมาจากอะไรบ้าง
มีทั้งผู้อาบัติ และ ไม่อาบัติ ทั้งๆที่ควรอาบัติทุกคนแบบทึ่คุณว่า
แต่พุทธเจ้าก็ให้บ้างคนไม่อาบัติ เหตุเพราะ "ใจ" ไม่ได้อาบัติ

ขอโทษที่คิดว่าแต่ละคนพอจะพิจารณาได้บ้าง
ขอโทษที่เราพิจารณาที่นี่พลาดไป
แต่แนะนำเหลือเกินถ้าเป็นแบบนาย ให้ไปอ่าน วินัยให้ทุกเล่ม ไม่ได้หมายถึงแค่ นวโกวาทนะ
เพราะเราเองอ่านตอนบวชก็ไม่ใช่แค่ นวโกวาท
เจ้าอาวาสเห็นว่าเราถามมากแบบลักษณะสงสัยมาก ก็แนะนำให้ไปอ่านวินัย
เราก็เลิกถาม และเข้าใจได้ เพราะคำตอบว่าทำไมต้องมีแต่ละข้อๆ อยากให้ได้เข้าใจเหมือนกันจริงๆ
ไม่ได้มีประสงค์ร้ายนะ

ส่วนตัวเราว่า วินัย คือ วัวหาล้อมคอกนั้นแหละ
ขอโทษอีกครั้ง ยอมๆ

ปล.คุณน่าจะอ่านข้อความของเราดีๆ ว่าเราบอกถึงเหตุและผลว่าไง ในเรื่องเหล้า จะมีคำว่าไม่เดือดร้อนไว้ด้วย ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผู้อื่นเท่านั้นแต่หมายรวมถึงตน คือพิจารณาแล้ว มีสติในการกระทำ ควบคุมได้ มีสาเหตุความจำเป็นแห่งการกระทำ ทำในแง่ไหน เหล่านี้ไว้หมดเลย นั้นเราจึงจะยืนยันว่าไม่อาบัติไม่ผิดศีล ส่วนเรื่องพุทธไม่พุทธ ก็ลองพิจารณาเริ่มแรกเอง ว่ามันมีวินัยตั้งแต่ตรัสรู้หรือไม่ เพราะพุทธเจ้าเป็นพุทธแล้วตั้งแต่ตรัสรู้ ไม่มีวินัยแต่ศีลครบ


แก้ไขล่าสุดโดย Sasha เมื่อ 17 มี.ค. 2010, 20:01, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 09:00
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:

อ้างคำพูด:
หยิบของเขามาไม่ได้ตั้งใจ ก็ไม่ผิดไร
เห็นสายไฟเปลือยๆ นึกว่าไม่มีไฟ เอามือไปจับ อย่างไงก็โดนไฟดูด เผลอๆ ตาย จะบอกว่าผมไม่รู้มันไม่ได้นะ

กรณีพระ หยิบของแบบนี้ ถ้าของราคาเกิน ๑ บาท ก็ปราชิกไปเลย

ที่ท่านสรุปมามันก็ถูก แต่เป็นถูกของท่าน ไม่ได้ถูกจริงๆ ตามความเป็นจริง ศีล ๕ เป็นศีลที่พระอริยเจ้าทั้งหลายใคร่ครวญแล้ว รู้เห้นถึงภัยที่จะตามมาในการประพฤตินอกกรอบของศีล

เรื่องทางธรรม จะเอาปัญญาทางโลกมาตัดสินนั้นไม่ได้ เพราะปัญญาทางโลกเต็มไปด้วยความเห็น ธรรมะคือความจริง ต้องใช้ข้อเท็จจริงมาตัดสิน จะไปคิดเองเออเองไม่ได้


จะบอกว่าไม่รู้ได้นะ ถ้านั้นคือความจริง เมื่อไม่รู้จริงว่าเอาของเขามา
เหตุการณ์นี้ปัจจุบันก็ยังมีเยอะแยะ หยิบไป เพราะเหมือนกันนึกว่าของตน ก็ไม่ได้ผิดอะไร
เพราะไม่ได้จงใจทำ ไม่มี "ไถยจิต" ต่อให้1000ล้าน เลย อย่าว่าแค่บาทเดียว
ไม่ต้องอาบัติ


แก้ไขล่าสุดโดย Sasha เมื่อ 17 มี.ค. 2010, 20:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


การบวชนั้นยาก ไม่มีอะไรยากกว่าการรักษาตนให้ครบพรมหจรรย์ตลอดระยะเวลาการบวช พระวินัยที่ประกาศไว้มาก เพราะสาวกประพฤตินอกพรมจรรย์มาก ศาสนาของพระโคตมะเกิดในยุคที่จิตใจมนุษย์ตกต่า หากไม่ฝึกตนให้ดีแล้วไปบวช โอกาสบวชลงนรกมีมากว่า ๗-๘๐%

ศีล ๕ ของฆารวาส กับศีล ๒๒๗ ข้อของพระ ก็ไม่ได้เหมือนกัน มีเหตุที่มาที่ไปต่างกัน จุดประสงค์ต่างกัน เรื่องของศีล ๕ ไม่ได้อยู่ในพระวินัย อยู่ในพระสูตร

เหตุของศีล ๕ เหตุมาจากการที่พระอริยะทั้งหลายเห็นผลที่ประสบกับบุคคลที่ทุศีล ภัยเวร ๕ ประการที่จะดึงมนุษยให้ตกต่ำถึงที่สุด ทั้งตั้งใจไม่ตั้งใจ จึงถ่ายทอดออกมาให้เราศึกษากัน

บาปมันเป็นของร้อนนะ โดนไปแล้ว ตั้งใจไม่ตั้งใจ ก็ถูกเผาด้วยกันทั้งนั้นแหละ มันเป็นปรมัติธรรม นึกว่าทำอย่างนี้แล้วไม่น่าจะผิด ทำบาปเล่นๆ ก็เหมือนกับนึกว่าฉันจะไม่แก่ไม่ตายนั่นแหละ :b38:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 20:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 09:00
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
การบวชนั้นยาก ไม่มีอะไรยากกว่าการรักษาตนให้ครบพรมหจรรย์ตลอดระยะเวลาการบวช พระวินัยที่ประกาศไว้มาก เพราะสาวกประพฤตินอกพรมจรรย์มาก ศาสนาของพระโคตมะเกิดในยุคที่จิตใจมนุษย์ตกต่า หากไม่ฝึกตนให้ดีแล้วไปบวช โอกาสบวชลงนรกมีมากว่า ๗-๘๐%

ศีล ๕ ของฆารวาส กับศีล ๒๒๗ ข้อของพระ ก็ไม่ได้เหมือนกัน มีเหตุที่มาที่ไปต่างกัน จุดประสงค์ต่างกัน เรื่องของศีล ๕ ไม่ได้อยู่ในพระวินัย อยู่ในพระสูตร

เหตุของศีล ๕ เหตุมาจากการที่พระอริยะทั้งหลายเห็นผลที่ประสบกับบุคคลที่ทุศีล ภัยเวร ๕ ประการที่จะดึงมนุษยให้ตกต่ำถึงที่สุด ทั้งตั้งใจไม่ตั้งใจ จึงถ่ายทอดออกมาให้เราศึกษากัน

บาปมันเป็นของร้อนนะ โดนไปแล้ว ตั้งใจไม่ตั้งใจ ก็ถูกเผาด้วยกันทั้งนั้นแหละ มันเป็นปรมัติธรรม นึกว่าทำอย่างนี้แล้วไม่น่าจะผิด ทำบาปเล่นๆ ก็เหมือนกับนึกว่าฉันจะไม่แก่ไม่ตายนั่นแหละ :b38:

เอาเข้าไป มีว่าฆารวาสและพระอีก ศีลที่ให้พระทำเป็นไปเพื่ออริยะนี่คิดดูดีๆ เหตุผลนั้นๆแต่ละข้อ
หนักแน่นจำเป็น แต่ก็มีข้อละเว้นเสมอ
แล้วฆาราวาสที่ไม่ได้เคร่งครัด จะไม่มีข้อยกเว้นได้อย่างไร
ศีลมันมีอยู่แล้ว ต่อให้บัญญัติเป็นข้อๆ หรือไม่ก็ตาม ลองอ่านและพิจารณาแบบที่เราบอกเถอะ
อย่าว่ามันไปตามอักษรทุกตัว
ทำไมถึงควรทำก็มีสาเหตุว่าไว้ มีข้อเว้นหรือไม่แบบไหนแนวไหน ลองไปค้นหาดู มันมีแน่นอน
ไม่มีอะไรที่ทำไปโดยไม่รู้ไม่ตั้งใจ ก็มีข้อเว้นไว้ให้ ในแง่ไหน การกระทำมันมีหลายแง่หลายด้าน
พุทธเน้นเรื่องทางใจมาก แม้ทางกายทำเหมือนกันแต่ใจต่างกันก็พิจารณาต่าง
ขอโทษด้วยทำตัวเหมือนเรื่องมาก แต่ไม่อยากให้เข้าใจจนเพี้ยนไปแค่นั้นเอง


แก้ไขล่าสุดโดย Sasha เมื่อ 17 มี.ค. 2010, 20:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 09:00
โพสต์: 18

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปละไปหาไรทำถ้าหากจะเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ เราคงต้องช่างเขาช่างหัวมันเหมือนเดิมๆละ
บายๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๖ ตอนค่ำ
ณ วัดเจริญสมณกิจ ภูเก็ต


ศีล เป็นเบื้องต้นของการทำความดีทั้งปวง ๑ ศีลเป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งปวง ๑ และศีลเป็นหัวหน้าของธรรมทั้งหลาย ๑

ศีล ท่านแสดงไว้มีอรรถสี่ ด้วยอรรถว่า ความปกติ ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นของเย็น ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นของสูง ๑ ด้วยอรรถว่า ท่านผู้รู้ทั้งหลายสรรเสริญแล้ว ๑

ข้อ ๑ ว่าเป็นปกตินั้น เพี้ยนมาจากสีลา (คือหิน) ธรรมดาหินแล้วไม่มีการงอกการเกิดอีก สภาพของมันเป็นอยู่เช่นไร ก็เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไป ศีลก็เหมือนกันที่ท่านแสดงว่าผู้ล่วงละเมิดในศีลข้อนั้น ๆ จะต้องได้รับโทษอย่างนั้น ๆ ตายตัวเลยทีเดียว ใครจะทำเมื่อไร ณ ที่ไหน โทษของการล่วงละเมิดศีลจะต้องมีอยู่เท่าเก่าไม่ลดหย่อนเลย ถ้าผู้ใดมาปฏิบัติตามศีล งดเว้นจากข้อห้ามนั้น ๆ แล้วกาย วาจา ใจของผู้นั้นจะต้องเป็นปกติไปด้วย คือได้แก่ไม่ล่วงละเมิดในศีล

ข้อ ๒ ว่าเป็นของเย็นนั้น แปลว่าเย็น อธิบายว่าศีลมีจุดมุ่งหมายมิให้เบียดเบียนกัน ไม่ว่ามนุษย์สัตว์ทั้งหลายทั่วไป เมื่อไม่มีการเบียดเบียนกันแล้วก็อยู่เย็นเป็นสุขทั่วกัน ผู้ใดปฏิบัติตามศีล เอาศีลเข้ามาสวมคุ้มครองตนไว้ ผู้นั้นก็เป็นผู้เย็นกายเย็นใจ คือ ไม่มีเวรมีภัย มนุษย์สัตว์ทั้งหลายก็พลอยเย็นไปตามด้วย

ข้อ ๓ ว่าเป็นของสูงนั้น แปลมาจากศีรษะ แปลว่าสูง อธิบายว่าศีลเป็นคุณธรรมที่สูงเหนือจากความชั่วอกุศลธรรมทั้งหลาย ที่เป็นของต่ำช้าเลวทราม ผู้นำเอาศีลคือข้อห้ามต่าง ๆ มาปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้นแล้ว ความประพฤติและจิตใจของผู้นั้น ก็พลอยสูงไปตามด้วย

ข้อ ๔ ที่ว่าผู้รู้ทั้งหลายสรรเสริญแล้วนั้น ศีลทุกข้อเป็นกัลยาณธรรมน่าสรรเสริญเพราะปราศจากโทษ ไม่มีความชั่วบาปธรรม เมื่อผู้ใดนำเอาศีลมาปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อนั้น ๆ แล้ว ผู้นั้นก็จะเป็นที่น่าชมเชยสรรเสริญไปด้วย ได้แสดงไปแล้วเมื่อตอนเช้านี้ว่า ศีล เป็นเบื้องต้นก้าวแรกของผู้จะทำความดีทั้งปวง ถ้าเว้นข้ามศีลข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งหมด เสียแล้ว จะทำความดีให้ก้าวขึ้นไปสู่ชั้นสูงไม่ได้เลย ศีลเปรียบเหมือนรากแก้วของต้นไม้ ต้นไม้ที่ปราศจากรากแก้วแล้ว จะอยู่ยืนนานและงอกงามต่อไปไม่ได้เลย

ผู้จะบวชเป็นพระ-เณรในพระพุทธศาสนาได้ก็ต้องมีศีลเป็นมูลฐาน บวชเข้ามาแล้วไม่ตั้งอยู่ในศีล วินัยพุทธบัญญัติจะมีอะไรเป็นเครื่องหมาย พุทธมามกะบริษัทถ้าไม่มีศีลแล้ว ก็เป็นแต่เพียงทายกทายิกาเท่านั้นเอง ตอนเช้านี้จึงได้บอกว่า จงพากันมาเป็นพระกันบ้าง อย่าได้ปล่อยให้วันพระล่วงไป ๆ เสียเปล่าเลย แต่ตัวของเราไม่เป็นพระกันสักที เจ็ดวันเป็นพระกันเสียทีหนึ่งก็ยังดีหรือจะบวชพระอยู่ตลอดชีวิตก็ยังได้ ไม่เห็นเป็นของลำบากอะไรเลย ผู้เป็นพระด้วยการรักษาศีล ๕ ศีล ๘ แล้วเย็นกายเย็นใจ ด้วยเราไม่ได้มองเห็นโทษเพราะละเมิดในศีลข้อนั้น ๆ และไม่ได้กลัวต่อคำครหาติเตียนของคนอื่นในเรื่องโทษของศีล ไฟที่ติดลุกลามร้อนระอุอยู่ทั่วทั้งโลกทุกวันนี้ก็เพราะไม่มีศีล คนผู้ไม่มีศีลจะอยู่ในฐานะใด ๆ และสถานที่ใด แม้จะอยู่บนปราสาทอันสูงเยี่ยมเทียมเมฆก็ไม่มีความเย็นใจ คนอื่นเขาไม่เห็นไม่รู้และไม่ได้กล่าวโทษติเตียนเป็นแต่เขาพูดกันเรื่องความชั่ว เรื่องคนไม่มีศีล พอได้ยินเข้ามันชักให้ร้อนแปล๊บ เข้ามาในใจของเราแล้ว ผู้ทำปาณาติบาตเป็นผู้มีจิตปราศจากเมตตาหาความเย็นมิได้

ไฟ คือ ราคะ-โทสะ-โมหะ-อวิชชา ขนาดหนักย่อมรุมร้อนเผาจิตใจให้คิดแต่จะประทุษร้ายสัตว์และคนอื่น บางครั้งทั้ง ๆ ที่เขาเหล่านั้นไม่ได้ทำผิดอะไรเลย จะเห็นได้ เช่น บางคนเที่ยวฆ่าสัตว์ ตีศีรษะเขาด้วยความคึกคะนองอันมิใช่วิสัยของธรรมดาสามัญชน แต่แสดงถึงจิตใจนั้นต่ำเลวที่สุดยิ่งกว่ายักษ์ มันตรงกันข้ามกับผู้มีศีล แล้วไม่เพียงแต่จะงดเว้นจากโทษนั้น ๆ ตามพุทธบัญญัติแต่จิตยังประกอบด้วยเมตตาอารี มีพรหมวิหารธรรมอันเย็นฉ่ำเข้าไปแทนอยู่อีก
พวกเราผู้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา เมื่อมาพิจารณาดูศีลในตัวเราว่าเวลานี้เรามีศีลเป็นรากฐาน พอที่จะทำความดีให้ยิ่งขึ้นไปได้สมบูรณ์แล้วหรือยังถ้าเห็นว่ายังบกพร่องอยู่ จงพากันรีบเร่งชำระสะสางให้สะอาดบริสุทธิ์เสีย แล้วจะได้ประกอบความดีอื่น ๆ ที่ยังจะต้องกระทำอยู่มาก เพิ่มพูนให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าเห็นว่าศีลของตนบริสุทธิ์แล้ว ก็จะได้เกิดความปราโมทย์ในใจว่า ตัวของเราช่างโชคดีบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาไม่เสียผล เราคนหนึ่งในจำนวนที่เดินตามรอยยุคลบาทของพระพุทธเจ้า ใจของเราก็จะได้หนักแน่นในพระพุทธศาสนายิ่ง ๆ ขึ้นไปสมนัยแห่งอริยธนคาถาว่า

ยสส สทธาตถาคเต อจลา สุปติฏ ฐิตา
สีลญ จ ยสสกลยาณํ อริยกนตํ ปสํสิตํ ฯ เป็นอาทิ

ซึ่งแปลเอาใจความเพื่อแนวปฏิบัติของพวกเราทั้งหลายว่า ผู้ใดมีความเชื่อมั่น ไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าแล้ว จึงจะมีศีลอันดีงามตามคำสรรเสริญของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ต่อนั้นจึงจะเลื่อมใสใจแน่วแน่ในพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ เพราะเข้าถึงศีลอันดีงาม รู้รสชาติของศีลด้วยกัน และได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้เห็นความปฏิบัติที่ซื่อตรงแล้ว ผู้เป็นเช่นว่านี้ปราชญ์ทั้งหลายท่านกล่าวว่า เป็นผู้ไม่จนอริยทรัพย์ เกิดมามีชีวิตเป็นของไม่ไร้ค่า
ฉะนั้น ผู้มีปัญญามาระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ก็ควรประกอบด้วยความเชื่อ มีศีล และเลื่อมใสเห็นในธรรมเนือง ๆ ดังนี้ ฯ

การบวชด้วยการรักษาศีลทุกประเภทตั้งแต่ ศีล ๕ ศีล ๘ เป็นต้นไป จัดได้ชื่อว่าเป็นพระตามชั้นตามภูมิของตนๆ ได้เคยแสดงให้ฟังมาแล้วว่า มิใช่เป็นพระได้แต่เฉพาะผู้บวชนุ่งห่มผ้าเหลืองเท่านั้น ผู้นุ่งห่มผ้าสีต่าง ๆ ก็เป็นพระได้เหมือนกัน เช่นพระอริย ๓ จำพวกเบื้องต้น ถ้าพากันโยนพระเข้าวัดมอบให้แก่ผู้นุ่งห่มเหลืองทั้งหมดแล้ว ชาวบ้านเลยไม่ต้องประกอบคุณงามความดีอะไรกันเลยเข้าวัดเมื่อไรจึงทำความดีกันเมื่อนั้น ออกจากวัดแล้วความดีเหล่านั้นก็ฝากไว้ที่วัดก่อน มาเข้าวัดทีหลังจึงมาทำต่อ ถ้าผู้นาน ๆ จึงเข้าวัดก็เลยลืมที่ต่อเสีย โดยมากมักเข้าใจผิดกันเสียอย่างนี้ เมื่อบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา เวลาสึกออกไปแล้วจึงไม่เห็นผิดแปลกอะไรกับคนผู้ไม่ได้บวชเสียเลย ความเห็นผิดเข้าใจผิดย่อมเป็นเหตุให้ประพฤติในสิ่งที่ไม่สมควร ทั้งเวลาบวชอยู่และสึกออกไปแล้วหลายอย่างหลายประการ บวช แบบนี้เรียกว่าเป็นการบวชบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาหาบุญกุศลไม่ได้ ถ้าเข้าใจถูกต้องว่าพระพุทธศาสนาเป็นเหมือนกับหัวใจของเรา เราจะดำรงชีพอยู่ได้ก็เพราะอาศัยคุณของพระศาสนา ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเราโดยเฉพาะที่จะต้องบำรุงพระศาสนาทุก ๆ วิถีทาง ศีล ก็เป็นเส้นโลหิตใหญ่เส้นหนึ่ง ซึ่งเราจะงดเว้นไม่รักษาเสียเลยย่อมไม่ได้ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว บวชอยู่หรือสึกออกไป แม้แต่เป็นฆราวาสอยู่ การที่รักษาศีลตามภูมิของตน ๆ ย่อมไม่เป็นของแปลก จรรยามารยาทและคุณธรรมอย่างอื่น อันจะเป็นเครื่องเทอดทูนพระศาสนาให้ถาวรวัฒนา ย่อมกระทำได้โดยความเต็มใจ สมกับปราชญ์ฝ่ายพม่าเขากล่าวว่า “ พระสงฆ์เป็นเหมือนพี่เลี้ยง ” คือเลี้ยงรักษาพระศาสนาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เจริญถาวรอยู่ได้นั่นเอง
ทาน การสละสิ่งของ ๆ ตนเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น เป็นของมีอยู่ประจำโลก แต่ก่อนพระพุทธเจ้ายังไม่มาตรัสรู้เผยแพร่คำสอนของพระองค์ ก็มีอยู่แล้วทานจึงไม่เป็นของแปลกอะไรเลย ผู้จะเข้าขอบเขต เป็นพระในพระพุทธศาสนาเริ่มแต่มีศีล ๕ เป็นต้นไป จึงจะเรียกว่าพระในที่นี้ ผู้มีศีล ๕ เป็นต้นมั่นคงดีแล้ว หากยังไม่ถึงอริยภูมิก็เป็นพระกัลยณปุถุชนได้ จึงสมกับที่ได้อธิบายมาแล้วในตอนต้นว่า ศีลเป็นเหมือนมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย

ถ้าเข้าขั้นอริยภูมิ มีพระโสดาบันเป็นต้น จะไม่ยอมให้ศีลของตนขาดเลยแม้ชีวิตก็ยอมสละแทน ศีลชนิดนี้ท่านจึงเรียกว่าอริยทรัพย์ เพราะศีลเป็นของมีคุณค่ามาก แม้ชีวิตก็ยอมสละเพื่อศีลได้ ทรัพย์สินเงินทองของภายนอก แม้แต่ชีวิตร่างกายเป็นของหาได้ง่าย เกือบจะว่าไม่ต้องหาเสียซ้ำไป และเป็นของหาสาระมิได้ด้วย หากบุญกรรมกิเลสยังมีอยู่แล้ว เกิดได้เสมอ ไม่เสื่อมสูญไปไหนทรัพย์สมบัติก็มีพร้อมในที่นั้น ๆ แต่ก็ไม่ใช่ของเรา เป็นของสำหรับโลก คนเกิดมาอายุยืนนาน สมบัติเข้าของยิ่งสะสมมาก ก็มีแต่จะเพิ่มทวีความยุ่งยากขึ้นทุกทีถ้าปราศจากศีลอย่างเดียวแล้ว หาความสุขมิได้เลย ศีลมีผลให้เกิดทั้งความสุขด้วยเป็นของถาวรปราศจากเวรภัย ไม่มีใครจะมาลักขโมยเอาไปด้วย เป็นของจีรังฝังไว้แน่นดีแล้วในกายในใจของใคร ผู้นั้นเกิดมาแม้มีอายุไม่นานมีสมบัติน้อย ก็จะค่อยทวีคุณความดีอันเป็นต้นเหตุให้ผลิตผล มีอายุและสมบัติเป็นต้น ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าให้เจริญถาวรวัฒนาต่อไป

ผู้รักษาศีลจะมากมายสักปานใด ก็ไม่เคยทำลายและเบียดเบียนศีล ตลอดถึงทรัพย์สมบัติของคนอื่นให้สูญเสียสิ้นเปลืองไปเลย จึงจัดได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่จนไม่เหมือนผู้แสวงหาทรัพย์สมบัติภายนอก แม้แต่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันจะถูกหรือแพง ก็ยังต้องร้องขอต่อรองกันอยู่เสมอ ถึงผู้ได้ได้ไปด้วยความยินยอม แต่ก็ไม่พ้นจากการข่มขืนเบียดเบียนน้ำใจของผู้ให้ ฉะนั้น ถึงจะมีมากก็นับว่ายังเป็นผู้จนอยู่ด้วยความพร่อง ความไม่พอความหิวกระหาย เราจะเห็นตัวอย่างชัด บางคนมีสมบัติเข้าของเงินทองมากเหลือใช้เหลือกิน แต่ตนเองไม่กล้านำเอาสมบัติเหล่านั้นออกมาใช้จ่าย แม้แต่จะนำเอามาบริโภคใช้สอยส่วนตัวก็ไม่อิ่มไม่พอ แต่การสะสมแสวงหายังเพิ่มทวีขึ้นอยู่เรื่อย ๆ
เมื่อรู้จักคุณค่าและประโยชน์ของศีลดังแสดงมาแล้ว ขอให้พวกเราทั้งหลายจงพากันชำระศีลของตนให้บริสุทธิ์ อย่าให้ขาดวิ่นและด่างพร้อย จนเป็นอริยกันตะศีล ตัวของเราผู้อันอริยกันตะศีลบำรุงรักษาแล้ว ก็จะกลายเป็นอริยกันตะบุคคลไปด้วย

ศีลเป็นเบื้องต้น ก้าวแรกแห่งการทำความดีของพระพุทธมามกะ เข้ากับหลักที่ว่า อาทิกัลยาณัง ศีลงามในเบื้องต้น ใครจะเป็นองค์พระ-เณร-อุบาสก-อุบาสิกาได้ ก็จะมีศีลเป็นเครื่องวัด
ศีล เป็นบ่อเกิดแห่งกัลยาณธรรมทั้งหลาย เมื่อศีลมี ศีลตั้งมั่นลงใน กาย วาจา ใจ ของใครแล้ว กาย วาจา ใจ ของผู้นั้นเบื้องต้นมีกัลยาณธรรม คือความสงบเสงี่ยม เรียบร้อย น่าคบค้าสมาคม พูดจาน่ารักเป็นสุภาษิตควรคิดและควรนำไปปฏิบัติตามเป็นต้น ต่อนั้นไปธรรมทั้งหลาย มีพรหมวิหารเป็นต้น ก็จะพอกพูนไหลเข้ามานอนเนื่องปรากฏอยู่ในใจของผู้มีศีล ศีลไม่สักแต่ว่าเป็นบ่อเกิดแห่งกัลยาณธรรมเท่านั้น แต่ยังคุ้มครองรักษากัลยาณธรรมนั้น ๆ ไว้ได้อีกด้วย เหมือนแม่ไก่กับลูกไก่ ฉะนั้น ศีลเป็นหัวหน้าพาธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลทั้งปวง ให้เดินถูกทาง คือผู้มีศีลเป็นพื้นอยู่แล้ว ธรรมทั้งหลาย เช่นความละอายบาปความกลัวบาป ความสละเป็นต้นก็ตามมา สนับสนุนเป็นกำลังเป็นบริวารห้อมล้อมในศีล ศีลก็สมบูรณ์บริบูรณ์เพิ่มพูนกำลังขึ้น

เมื่อเรารู้คุณค่าของศีล ซึ่งเกิดมีขึ้นในตนของตนจนหายสงสัยแล้ว ก็จะไม่แสวงหาศีลในที่อื่น เพิ่มพูนบำรุงศีลที่มีอยู่ในตัวของตน จนเป็นอริยกันตะศีลก็จะเกิดความอิ่มใจ ภูมิใจในศีลของตน ต่อจากนั้นความสงบภายในใจก็จะเกิดขึ้น แล้วจิตก็แน่วแน่ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมนั้น จิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมมองเห็นสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าตามเป็นจริง จนหายความสงสัยอันเป็นเหตุให้อุทานว่า อะไรหนอๆ เป็นอันว่าเราเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เราจะอยู่ไหน ไปไหนทำอะไรอยู่ พระธรรมย่อมติดตามตัวของเราไปในที่ทุกสถาน เราบริโภคอาหารก็บริโภคเพื่อพระธรรม จะนุ่งห่มก็หุ้มห่อพระธรรม ผู้ที่มามีความรู้สึกมีสติระลึกได้อย่างนี้แล้ว ย่อมไม่สามารถปล่อยตัวให้กิเลสบาปธรรม นำเอาพระธรรมคำสอนอันนี้ไปหมกตม (คืออกุศลธรรม) ได้ สมกับพุทธภาษิตว่า
ธมโม หเว รกขติ ธมมจารี ธรรมที่ปฏิบัติอยู่นั่นแลย่อมเป็นเครื่อง ปกป้องรักษาผู้ปฏิบัติเอง
ธมโม สุจิณโณ สุขมาวหาติ ผู้ปฏิบัติธรรมถูกต้องดีแล้วให้เกิดสุข
เมื่อเราได้รับความสุขในปัจจุบันเพราะปฏิบัติชอบ ในปรายภพข้างหน้าเราก็ไม่ต้องสงสัย

:b8: :b8: :b8:


.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 21:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
เออ... ผิดเต็มๆ เลยแหละท่าน คนที่หวังมรรคผล ถ้าเลิกเหล้าไม่ได้ อย่างมากก็ได้โสดาปัตติมรรค


โอ้..พ่อพุทธแท้..งั้ยเลอะเทอะ..กว่าพราหมณ์..ซะอีกนี้
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ศีล เป็นเบื้องต้นของการทำความดีทั้งปวง ๑ ศีลเป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งปวง ๑ และศีลเป็นหัวหน้าของธรรมทั้งหลาย ๑
สีลัพพต

พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า อวิชชา เป็นหัวหน้าในการยังอกุศลให้ถึงพร้อม ส่วน วิชชา เป็นหัวหน้าในการยังกุศลให้ถึงพร้อม

[๘๙] อะไรเป็นศีล ศีลมีเท่าไร ศีลมีอะไรเป็นสมุฏฐาน ศีลเป็นที่ประชุมแห่งธรรมอะไร ฯ

อะไรเป็นศีล คือ เจตนาเป็นศีล เจตสิกเป็นศีล ความสำรวมเป็นศีล ความไม่ล่วงเป็นศีล ฯ

ศีลมีเท่าไร คือ ศีล ๓ คือ กุศลศีล อกุศลศีล อัพยากตศีล ฯ

ศีลมีอะไรเป็นสมุฏฐาน คือ กุศลศีลมีกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน อกุศลศีล มีอกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน อัพยากตศีลมีอัพยากตจิตเป็นสมุฏฐาน ฯ


พราหมณ์ไม่กล่าวความหมดจดในอารมณ์ที่เห็นอารมณ์ที่ได้ยิน ศีลและวัตรหรืออารมณ์ที่ทราบโดยมรรคอื่น พราหมณ์นั้นผู้ไม่เข้าไปติดในบุญและบาป ละเสียซึ่งตน เรียกว่าเป็นผู้ไม่ทำเพิ่มเติมอยู่ในโลกนี้. สมณพราหมณ์เหล่านั้น ละต้นอาศัยหลัง ไปตามความแสวงหา ย่อมไม่ข้ามกิเลสเครื่องเกี่ยวข้องได้ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมจับถือ ย่อมละ เหมือนลิงจับและละกิ่งไม้เบื้องหน้า ฉะนั้น.

ว่าด้วยความหมดจดด้วยศีลและวัตร

มีสมณพราหมณ์บางพวก ปรารถนาความหมดจดด้วยศีล สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อม เชื่อถือความหมดจด ความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ ความพ้น ความพ้นวิเศษ ความพ้นรอบ ด้วยเหตุสักว่าศีล เหตุสักว่าความสำรวม เหตุสักว่าความระวัง เหตุสักว่าความไม่ละเมิดศีล.

ปริพาชกผู้เป็นบุตรนางปริพาชิกา ชื่อสมณมุณฑิกา กล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรช่างไม้ เราย่อมบัญญัติปุริสบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แลว่า เป็นผู้มีกุศลถึงพร้อมแล้ว มีกุศลเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้ถึงอรหัตอันอุดมที่ควรถึง เป็นสมณะ เป็นผู้อันใครๆ ต่อสู้ไม่ได้ ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน?

ดูกรช่างไม้ ปุริสบุคคลในโลกนี้ ย่อมไม่ทำบาปกรรมด้วยกาย ๑ ย่อมไม่กล่าววาจาอันลามก ๑ ย่อมไม่ดำริถึงเหตุที่พึงดำริอันลามก ๑ ย่อมไม่อาศัยอาชีพอันลามกเป็นอยู่ ๑ ดูกรช่างไม้ เราย่อมบัญญัติปุริสบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้แล ว่าเป็นผู้มีกุศลถึง พร้อมแล้ว มีกุศลเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้ถึงอรหัตอันอุดมที่ควรถึง เป็นสมณะ เป็นผู้อันใครๆ ต่อสู้ไม่ได้.

สมณพราหมณ์บางพวกปรารถนาความหมดจดด้วยศีล สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมเชื่อ ถือความหมดจด ความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ ความพ้น ความพ้นวิเศษ ความพ้น รอบ ด้วยเหตุสักว่าศีล เหตุสักว่าความสำรวม เหตุสักว่าความระวัง เหตุสักว่าความไม่ละเมิดศีล อย่างนี้เทียว.

พวกสมณพราหมณ์ผู้สำคัญว่าศีลอุดม สมาทานวัตรแล้วเข้าไปตั้งอยู่ ได้กล่าวความหมดจดด้วยความสำรวมว่า เราทั้งหลายศึกษาในทิฏฐินี้แหละ และความหมดจดแห่งวัตรนั้น สมณพราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้เข้าถึงภพ และกล่าวว่าเป็นผู้ฉลาด.

ถ้าบุคคลเป็นผู้เคลื่อนจากศีลและพรต บุคคลนั้นพลาดกรรม แล้วย่อมหวั่นไหว ย่อมเพ้อถึงและปรารถนาถึงความหมดจด เหมือนบุรุษผู้ออกจากเรือนตามไม่ทันพวก ฉะนั้น.


อริยสาวกละศีลและพรตทั้งปวง ละกรรมนั้นอันเป็นสาวัชชกรรมและ อนวัชชกรรม ไม่ปรารถนาความหมดจด และความไม่หมดจด เป็นผู้เว้นแล้ว ไม่ยึดถือทิฏฐิที่มีอยู่ พึงประพฤติไป.

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 18 มี.ค. 2010, 17:35, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 10:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โอ้..พ่อพุทธแท้..งั้ยเลอะเทอะ..กว่าพราหมณ์..ซะอีกนี้
อย่าคิดทำเป็นเล่นไป ... ตอนกินเหล้าเมา สติสัมปัญญะจะไม่ค่อยมี เมามากๆ ไม่มีเลย ตอนนั้นสถาวะจิตของคนเมาไม่ต่างอะไรกับเดรัจฉานเลย เป็นคนอยู่ดีๆ กลายเป็นหมาไปซะงั้น พวกเดรัจฉานต่างกับคนก็ตรงที่ไม่สามารถยังโสภณจิตให้เกิดได้ ถูกครอบงำด้วยอวิชชา หรือความพอใจไม่พอใจและความหลง โงหัวไม่ขึ้น

เมื่อใดจิตเป็นกุศล หรือเกิดโสภณจิต ก็คือ บุญ

เมื่อใดจิตเป็นอกุศล ก็คือ บาป

เพราะฉะนั้น คนที่สั่งสมบุญมาทั้งวันทั้งเดือน ฝึกวิปัสสนาจนจะบรรลุถึงโสดาปัตติผล กินเหล้าวันเดียว ที่สั่งสมทำมาแทบไม่มีอะไรเหลือเลย ต้องมานับหนึ่งกันใหม่

ถือศีล ศีลบริสุทธิ์ อย่าไปเอามันเลย ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เอาพุทธบริสุทธิ์ดีกว่า ขอชาตินี้เป็นชาดิสุดท้าย :b38:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 18 มี.ค. 2010, 10:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Sasha คิดว่าชาติภพมีหรือเปล่า? คิดว่าบุญบาปมีหรือเปล่า? คิดว่าผลของบุญที่ทำแล้วมี ผลขอบาปที่ทำแล้วมีหรือเปล่า?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 47 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร