ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

อิทัปปัจจยตาในปฏิจจสมุปบาท
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=26235
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  TU [ 12 ต.ค. 2009, 16:47 ]
หัวข้อกระทู้:  อิทัปปัจจยตาในปฏิจจสมุปบาท

........... อิทัปปัจจยตาในปฏิจจสมุปบาท

............... (หันทะ มะยัง ปะฏิจจะสะมุปปาทะธัมเมสุ
.............. อิทัปปัจจะยะตาทิธัมมะปาฐัง ภะณามะ เส)

กะตะโม จะ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างไรเล่า?

(๑) ชาติปัจจะยา ภิกขะเว ชะรามะระณัง,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะการเกิด (ชาติ) เป็นปัจจัย
ความแก่และความตาย (ชรามรณะ) ย่อมมี,

* อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้พระตถาคตทั้งหลาย,
จะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม,

ฐิตา วะ สา ธาตุ, ............ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้ว นั่นเทียว,

ธัมมัฏฐิตะตา, ................คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา,

ธัมมะนิยามะตา, ............คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา,

อิทัปปัจจะยะตา, ............คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น,

ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ,

ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น,

อะภิสัมพุชฌิต๎วา อะภิสะเมต๎วา,

ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว,

อาจิกขะติ เทเสติ, ...........ย่อมบอก ย่อมแสดง,

ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ, .....ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้,

วิวะระติ วิภะชะติ, ............ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง,

อุตตานีกะโรติ, ................ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ,

ปัสสะถาติ จาหะ, ชาติปัจจะยา ภิกขะเว ชะรามะระณัง,

และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมาดู
เพราะการเกิด (ชาติ) เป็นปัจจัย ความแก่และความตาย (ชรามรณะ) ย่อมมี,

** อิติ โข ภิกขะเว, ..........ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุดังนี้แล,

ยา ตัต๎ระตะถะตา, ............ธรรมธาตุใดในกรณีนั้นอันเป็นตถตา คือความเป็นอย่างนั้น,

อะวิตะถะตา, ...................เป็นอวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น,

อะนัญญะถะตา ................เป็นอนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น

อิทัปปัจจะยะตา,

เป็นอิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น,

อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมนี้ เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท,
(คือธรรมอันเป็นธรรมชาติอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)

(๒) ภะวะปัจจะยา ภิกขะเว ชาติ,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะภพเป็นปัจจัย การเกิด (ชาติ) ย่อมมี, (*)

ปัสสะถาติ จาหะ, ภะวะปัจจะยา ภิกขะเว ชาติ,

และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมาดู
เพราะภพเป็นปัจจัย การเกิด (ชาติ) ย่อมมี, (**)

(๓) อุปาทานะปัจจะยา ภิกขะเว ภะโว,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความยึดมั่น (อุปาทาน) เป็นปัจจัย ภพย่อมมี, (*)

ปัสสะถาติ จาหะ, อุปาทานะปัจจะยา ภิกขะเว ภะโว,

และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมาดู
เพราะความยึดมั่น (อุปาทาน) เป็นปัจจัย ภพย่อมมี, (**)

(๔) ตัณหาปัจจะยา ภิกขะเว อุปาทานัง,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความอยาก (ตัณหา) เป็นปัจจัย
ความยึดมั่น (อุปาทาน) ย่อมมี, (*)

ปัสสะถาติ จาหะ, ตัณหาปัจจะยา ภิกขะเว อุปาทานัง,

และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมาดู
เพราะความอยาก (ตัณหา) เป็นปัจจัย ความยึดมั่น (อุปาทาน) ย่อมมี, (**)

(๕) เวทะนาปัจจะยา ภิกขะเว ตัณหา,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความเสวยอารมณ์ (เวทนา) เป็นปัจจัย
ความอยาก (ตัณหา) ย่อมมี, (*)

ปัสสะถาติ จาหะ, เวทะนาปัจจะยา ภิกขะเว ตัณหา,

และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมาดู
เพราะความเสวยอารมณ์ (เวทนา) เป็นปัจจัย ความอยาก (ตัณหา) ย่อมมี, (**)

(๖) ผัสสะปัจจะยา ภิกขะเว เวทะนา,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะการกระทบ (ผัสสะ) เป็นปัจจัย
ความเสวยอารมณ์ (เวทนา) ย่อมมี, (*)

ปัสสะถาติ จาหะ, ผัสสะปัจจะยา ภิกขะเว เวทะนา,

และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมาดู
เพราะการกระทบ (ผัสสะ) เป็นปัจจัย ความเสวยอารมณ์ (เวทนา) ย่อมมี, (**)

(๗) สะฬายะตะนะปัจจะยา ภิกขะเว ผัสโส,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอายตนะ ๖ (สฬายตนะ) เป็นปัจจัย
การกระทบ (ผัสสะ) ย่อมมี, (*)

ปัสสะถาติ จาหะ, สะฬายะตะนะปัจจะยา ภิกขะเว ผัสโส,

และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมาดู
เพราะอายตนะ ๖ (สฬายตนะ) เป็นปัจจัย การกระทบ (ผัสสะ) ย่อมมี, (**)

(๘) นามะรูปะปัจจะยา ภิกขะเว สะฬายะตะนัง,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะกายและจิต (นามรูป) เป็นปัจจัย
อายตนะ ๖ (สฬายตนะ) ย่อมมี, (*)

ปัสสะถาติ จาหะ, นามะรูปะปัจจะยา ภิกขะเว สะฬายะตะนัง,

และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมาดู
เพราะกายและจิต (นามรูป) เป็นปัจจัย อายตนะ ๖ (สฬายตนะ) ย่อมมี, (**)

(๙) วิญญาณะปัจจะยา ภิกขะเว นามะรูปัง,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความรู้แจ้งอารมณ์ (วิญญาณ) เป็นปัจจัย
กายและจิต (นามรูป) ย่อมมี, (*)

ปัสสะถาติ จาหะ, วิญญาณะปัจจะยา ภิกขะเว นามะรูปัง,

และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมาดู
เพราะความรู้แจ้งอารมณ์ (วิญญาณ) เป็นปัจจัย กายและจิต (นามรูป) ย่อมมี, (**)

(๑๐) สังขาระปัจจะยา ภิกขะเว วิญญาณัง,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะการปรุงแต่ง (สังขาร) เป็นปัจจัย
ความรู้แจ้งอารมณ์ (วิญญาณ) ย่อมมี, (*)

ปัสสะถาติ จาหะ, สังขาระปัจจะยา ภิกขะเว วิญญาณัง,

และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมาดู
เพราะการปรุงแต่ง (สังขาร) เป็นปัจจัย ความรู้แจ้งอารมณ์ (วิญญาณ) ย่อมมี, (**)

(๑๑) อะวิชชาปัจจะยา ภิกขะเว สังขารา,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความไม่รู้ (อวิชชา) เป็นปัจจัย
การปรุงแต่ง (สังขาร) ย่อมมี,

อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง, อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้พระตถาคตทั้งหลาย,
จะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม,

ฐิตา วะ สา ธาตุ, ..............ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้ว นั่นเทียว,

ธัมมัฏฐิตะตา, .................คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา,

ธัมมะนิยามะตา, ..............คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา,

อิทัปปัจจะยะตา,

คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น,

ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ,

ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น,

อะภิสัมพุชฌิต๎วา อะภิสะเมต๎วา,

ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว,

อาจิกขะติ เทเสติ, ............ย่อมบอก ย่อมแสดง,

ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ, ......ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้,

วิวะระติ วิภะชะติ, ............ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง,

อุตตานีกะโรติ, ................ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ,

ปัสสะถาติ จาหะ, อะวิชชาปัจจะยา ภิกขะเว สังขารา,

และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงมาดู
เพราะความไม่รู้ (อวิชชา) เป็นปัจจัย การปรุงแต่ง (สังขาร) ย่อมมี,

อิติ โข ภิกขะเว, ..............ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุดังนี้แล,

ยา ตัต๎ระตะถะตา,

ธรรมธาตุใดในกรณีนั้นอันเป็นตถตา คือความเป็นอย่างนั้น,

อะวิตะถะตา, ..................เป็นอวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น,

อะนัญญะถะตา, ..............เป็นอนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น,

อิทัปปัจจะยะตา,

เป็นอิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น,

อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะฏิจจะสะมุปปาโท,

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมนี้ เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท,
(คือธรรมอันเป็นธรรมชาติอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)

อิติ, ...............................ด้วยประการฉะนี้แล.

........................................... (บาลีทสมสูตร นิทาน.สํ. ๑๖/๓๐/๖๑)

(หมายเหตุ) เมื่อจะสวดข้อที่ ๒ ถึงข้อที่ ๑๐ ย้อนไปสวดตามเครื่องหมาย * , **
จนจบเหมือนข้อที่ ๑


:b8:

...คัดลอกเนื้อหามาจาก...
หนังสือสวดมนต์-ไหว้พระ-สาธยายธรรม (แปล)
ธรรมานุสรณ์แด่พระอาจารย์สุโข กตปุญโญ

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=20792

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/