ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

...เราสวดมนต์เพื่อ ???... (ว.วชิรเมธี)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=23552
หน้า 3 จากทั้งหมด 3

เจ้าของ:  หุบเขาไร้รัก [ 23 ธ.ค. 2010, 16:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เราสวดมนต์เพื่อ ???... (ว.วชิรเมธี)

:b44: อนุโมทนาค่ะ :b44:

เจ้าของ:  สุดปลายฟ้า [ 27 ก.พ. 2011, 23:47 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เราสวดมนต์เพื่อ ???... (ว.วชิรเมธี)

tongue อนุโมทนาสาธุค่ะ :b8: :b8: tongue

ไฟล์แนป:
1183329_reply.gif
1183329_reply.gif [ 22.99 KiB | เปิดดู 8903 ครั้ง ]

เจ้าของ:  dekchang [ 09 มี.ค. 2011, 09:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เราสวดมนต์เพื่อ ???... (ว.วชิรเมธี)

สาธุค่ะ tongue

เจ้าของ:  bluebird [ 26 มี.ค. 2011, 17:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เราสวดมนต์เพื่อ ???... (ว.วชิรเมธี)

:b8: อนุโมทนาค่ะ :b8:

:b44: :b41: :b44:

เจ้าของ:  พยอม [ 27 มี.ค. 2011, 13:50 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เราสวดมนต์เพื่อ ???... (ว.วชิรเมธี)

สวดเพื่อให้จิตมีสมาธิ มีเมตตา มีสติ ทุกเมื่อ tongue Onion_L

เจ้าของ:  ฟ้าใสใส [ 03 เม.ย. 2011, 20:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เราสวดมนต์เพื่อ ???... (ว.วชิรเมธี)

» สวดมนต์เพื่ออะไร

เราสวดมนต์กันมาก สวดถูกบ้างผิดบ้าง สวดสิ่งที่ควรสวดบ้างไม่ควรสวดบ้าง เพราะความไม่รู้ แล้วแต่ผู้ที่เคารพนับถือจะแนะนำให้สวดอะไร ก็มักจะสวดกันไป โดยไม่รู้ความหมายด้วย บางทีก็ใช้เวลานานและยากที่จะจำ แต่ว่าเชื่อ มีศรัทธาในบทสวดมนต์ว่าขลังและศักดิ์สิทธิ์ สามารถจะบันดาลประสิทธิ์ประสาทสิ่งที่ต้องการให้ได้ ตามคำโฆษณาที่เขาเขียนเอาไว้บ้างพูดเอาไว้บ้าง ในหนังสือสวดมนต์นั้นๆก็มี

การสวดมนต์ เป็นวิธีการอันหนึ่ง ในการทำจิตให้สงบไม่ใช่พิธีการ วิธีการกับพิธีการไม่เหมือนกัน เดี๋ยวจะอธิบาย

การสวดมนต์ เป็นวิธีการอันหนึ่ง ในการทำจิตให้สงบเป็นบริกรรมสมาธิ ถ้าจุดมุ่งหมายอันนี้ ก็สวดอะไรก็ได้ เพื่อให้จิตสงบ คือทำสมาธิโดยวิธีบริกรรม หมายถึงสวดเบาๆ สิ้นมนต์ไปบทหนึ่งๆว่าซ้ำๆจนจิตใจจดจ่ออยู่กับบทนั้น ไม่วอกแวกไปที่อื่น จะสวดบทเดียวหรือหลายบทก็ได้ ให้จิตใจจดจ่ออยู่กับบทสวดเป็นใช้ได้ เหมือนท่องหนังสือ หรือท่องสูตรคูณ

ตัวอย่างที่นิยมสวดกันทั้งฝ่ายพระ ฝ่ายฆราวาส และเป็นบทที่ดี เช่น บทพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อิติปิโส ภควา ถ้าเราสวดคนเดียว ต้องการให้เป็นสมาธิ ก็สวดเบาๆ สวดกลับไปกลับมา 20-30 เที่ยวก็ได้

เดิมทีเดียว คำสอนของพระพุทธเจ้ายังไม่ได้จารึกลงเป็นตัวอักษรในใบลาน พระสาวกนำพาพระพุทธพจน์มาโดยการถ่ายทอดจากอาจารย์ไปยังศิษย์โดยการท่องจำ ท่องเป็นกลุ่มๆ และช่วยกันจำ ถ้าเป็นหนังสือสมัยนี้ ก็เรียกว่าท่องกันเป็นเล่มๆ สมัยก่อนนี้เขาบอกกันให้จำ เขาเรียกว่าไปต่อหนังสือ

บางทีวัดหนึ่งก็มีหนังสืออยู่เล่มเดียวที่กุฏิเจ้าอาวาส ลูกศิษย์ไม่มีหนังสือ ลูกศิษย์ก็ต้องไปต่อหนังสือ คืนนี้ได้แค่นี้ พออีกคืนหนึ่งก็ไปต่อ อาจารย์ก็ว่านำ ลูกศิษย์ก็ว่าตาม ท่องจำ ก็จำกันได้เป็นเล่ม สวดมนต์ฉบับหลวงเล่มใหญ่ 400-500 หน้า บางคนก็จำได้หมด ท่องหลายปี ท่องไปเรื่อยๆ เพราะว่าบวชอยู่เรื่อยๆ

คนที่ไม่ได้บวช หรือว่าสึกแล้ว แต่ว่ายังมีฉันทะยังมีศรัทธา ยังมีอุตสาหะในการที่จะท่องจำ ก็ท่องต่อไปเรื่อยๆ ก็จำได้เยอะ จำได้มากอย่างไม่น่าจะจำได้ เป็นที่ประหลาดใจของคนที่ได้ยินได้ฟังว่าจำได้อย่างไร ไม่มีเทคนิคลี้ลับอะไรหรอก เพียงแต่ว่ามีฉันทะอุตสาหะในการท่องเท่านั้น ไปเห็นอะไรดีๆ ก็ท่องเอาไว้ เพื่อเป็นประโยชน์กับการสวดบ้าง การเพ่งพินิจเนื้อความบ้าง ท่องจำแล้วก็ง่ายกับการที่จะเพ่งพินิจเนื้อความ

เพราะฉะนั้น ในองค์ของพหูสูตร ท่านจึงมีอยู่ข้อหนึ่งว่า ธตา จำได้ วจสา ปริจิตา ว่าได้คล่องปาก มนสานุเปกฺขิตา เพ่งพินิจในใจ เอาใจไปเพ่งพินิจเนื้อความ ว่าเนื้อความนี้มีความหมายอย่างใด ไม่ต้องไปเปิดหนังสือ ก็ช่วยประหยัดเวลาได้เยอะ

การท่องจำพระพุทธพจน์นั่นเอง ก็กลายมาเป็นบทสวดมนต์ในภายหลัง

บทสวดมนต์เช้า สวดมนต์เย็น ส่วนมากแต่งขึ้นในภายหลัง พระท่านก็จะสวดเหมือนกัน สวดเป็นบทต้นๆ พอไปกลางๆ พระท่านจะสวดพระพุทธพจน์ เช่น ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร อนัตตลักขณสูตร อาทิตตปริยายสูตร ธรรมนิยามสูตร โลกธรรมสูตร อะไรที่มีเนื้อธรรมดีๆ ท่านจะสวดหลังๆของการสวดมนต์

ท่านลองเทียบดูกับการสวดปาติโมกข์ก็ได้ คือเป็นการท่องวินัย 227 ข้อ ท่ามกลางสงฆ์ทุก 15 วัน ต้องท่องเร็วมากเลย มีผู้ทบทวนอยู่ข้างธรรมมาศ องค์ที่สวดก็พนมมือ ไม่มองใคร สวดเรื่อยไป ส่วนมากโดยเฉลี่ยก็ 45 นาทีจึงจะจบ จบแล้วก็เหนื่อย เพราะว่าสวดไม่หยุดเลยเร็วด้วย เร็วกว่าสวดมนต์

เมื่อก่อนนี้ท่านสวดพร้อมกัน และรู้ความหมาย เพราะเป็นภาษาของท่านเอง ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนามาอยู่ในเมืองไทย เราก็สวดเพื่อจะรักษาธรรมเนียมเดิมเอาไว้ นี่หมายถึงการสวดมนต์นะครับ แต่ส่วนมากไม่รู้ความหมายว่าสวดอะไร เพราะไม่ใช่ภาษาของเรา และก็ไม่ได้เรียน ไม่เข้าใจ การสวดปาติโมกข์จึงกลายเป็นพิธีการ ไม่ใช่วิธีการ เป็นพิธีการ พิธีกรรม โดยที่ผู้สวดก็ไม่รู้เนื้อความ ผู้ฟังก็ไม่รู้เนื้อความ แต่ว่าต้องสวด เพราะเป็นพิธีการ หรือเป็นวินัยบัญญัติว่าต้องสวดปาติโมกข์ หรือทบทวนวินัยทุก 15 วัน

เมื่อก่อนนี้ ท่านฟังไปๆท่านรู้เรื่อง ถ้าพระองค์ไหนท่านรู้ว่าต้องอาบัติอะไร ก็สะกิดเพื่อนมา ไปปลงอาบัติใกล้ๆนั้นเอง และผู้ที่สวดก็ต้องหยุดสวด

แต่ว่าเวลานี้ ไม่มีเป็นอย่างนั้น เพราะว่าปลงอาบัติกันไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วค่อยเข้าไปฟังปาติโมกข์

การสวดมนต์หรือสวดพระปริตรต่างๆ ส่วนมากก็มุ่งไปทางพิธีการ คือทำพิธี มุ่งเอาความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ที่จะบันดาลให้สำเร็จผลด้วยมนต์นั้น แต่จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ไม่มีใครรับรอง มีแต่ความเชื่อ ผู้สวดเองก็ไม่กล้ารับรอง แต่เราก็นิยมเรื่องการสวดมนต์เพื่อความขลังและศักดิ์สิทธิ์อยู่

ศักดิ์สิทธิ์ ตามพจนานุกรมแปลว่าขลัง แล้วขลังแปลว่าอะไร ขลังแปลว่ามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อกันว่าอาจบันดาลให้สำเร็จได้ดังประสงค์ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ ‘เชื่อกันว่า’ บางทีก็สวดเพื่อเป็นสิริมงคลในโอกาสต่างๆ สวดเพื่อป้องกันและทำลายทุกข์โศกโรคภัย และให้สำเร็จสมบัติทั้งปวง ดังคำอาราธนาพระปริตรที่ทำกันอยู่ ท่านว่า

วิปตฺติ ปฏิพาหาย สพฺพสมฺปตฺติ สิทฺธิยา สพฺพทุกฺขวินาสาย ปริตฺตํ พฺรูถ มงฺคลํ แปลว่า ขอท่านทั้งหลายสวดพระปริตร วิปตฺติ ปฏิพาหาย เพื่อป้องกันวิบัติ หรือต่อต้านวิบัติ หรือทำลายวิบัติ สพฺพสมฺปตฺติ สิทฺธิยา เพื่อให้สำเร็จสมบัติทั้งปวง สพฺพทุกฺขวินาสาย เพื่อความพินาศแห่งทุกข์ทั้งปวง สพฺโรค วินาสาย เพื่อความพินาศแห่งโรคทั้งปวง สพฺพภย วินาสาย เพื่อความพินาศแห่งภัยทั้งปวง

นี่คือจุดมุ่งหมายแห่งการสวดพระปริตร เพื่อความพินาศแห่งทุกข์ทั้งปวง แห่งโรคทั้งปวง แห่งภัยทั้งปวง เพื่อให้ประสบความสำเร็จในสมบัติทั้งปวง

จะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่มีใครรับรอง แต่ก็มีความเชื่อ ถ้าจะถามว่าการสวดพระปริตรจะให้สำเร็จผลตามประสงค์ได้หรือไม่ ในคัมภีร์มิลินทปัญหา พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามเรื่องนี้กับพระนาคเสนเหมือนกัน พระนาคเสนก็ถวายพระพรตอบว่า

จะให้สำเร็จผล ต้องมีเงื่อนไข 3 อย่าง

1. ต้องมีความเชื่อ

2. ไม่มีกรรมเป็นเครื่องกางกั้น เรียกว่า กรรมวรณ์

3. ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องกางกั้น เรียกว่า กิเลสาวรณ์

ถ้าไม่เชื่อ พระปริตรก็ไม่สำเร็จ หรือถ้ามีกรรมเป็นเครื่องกางกั้น คือกรรมชั่วมันจะให้ผล ป้องกันไม่ได้ เพราะนตฺถิ กมฺมะ สมงฺ พลงฺ ไม่มีกำลังใดเสมอด้วยกำลังกรรม หรือว่ามีกิเลสเป็นเครื่องกางกั้น คือว่ากิเลสรุนแรง เดี๋ยวจะเล่าเรื่องให้ฟัง ให้เห็นว่ากิเลสรุนแรง มันป้องกันไม่ได้อย่างไร

ปัญหาว่าองค์ 3 ที่ว่านั้นเป็นของใคร คือเป็นของผู้สวด ผู้ทำพิธี หรือว่าเป็นของผู้รับทำพิธี หมายความว่าที่ว่าไม่เชื่อนั้นใครไม่เชื่อ ผู้สวดไม่เชื่อหรือผู้รับพิธีไม่เชื่อ

เช่น นิมนต์พระมาทำพิธี ท่านที่สวดเองท่านก็ไม่เชื่อ หรือว่าคนฟังไม่เชื่อ

ที่ว่ากรรม เป็นกรรมของใคร กรรมของผู้ทำพิธี หรือกรรมของผู้รับพิธี

ที่ว่ากิเลสนั้นเป็นกิเลสของใคร ของผู้ทำพิธีหรือว่าเป็นกิเลสของผู้รับทำพิธี

นี่ก็ทิ้งเอาไว้ให้คิดกันดูนะครับ

กล่าวถึงในพระไตรปิฎก พบเรื่องพระมหากัสสป และพระมหาโมคคัลลานะป่วย พระพุทธเจ้าทรงทราบเข้า เสด็จไปเยี่ยมทรงแสดงหรือตรัสโพชฌงค์ 7 ประการ เมื่อจบลงพระมหากัสสป พระมหาโมคคัลลานะหายป่วย หายจากทุกขเวทนากล้าแข็ง อันนี้ปรากฏใน สังยุตนิกาย มหาวารวรรค พระไตรปิฎกเล่ม 19 หน้า 113-115

พระมหากัสสป ป่วยอยู่ที่ถ้ำปิผลิ ท่านมหาโมคคัลลานะป่วยอยู่ที่ภูเขาคิชกูฏ เมืองราชคฤห์ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจากเวฬุวัน ไปเยี่ยมทั้งสองท่าน

ในเมืองไทยก็นิยมสวดโพชฌงค์ให้กับผู้ป่วยเหมือนกัน เมื่อผู้สูงอายุป่วย ญาติพี่น้องมักจะนิมนต์พระสงฆ์ไปสวดโพชฌงค์ ผู้ป่วยหายบ้าง ตายบ้าง สุดแล้วแต่เหตุปัจจัยของผู้ป่วยนั่นเอง

ทำไมพระเหล่านั้น ท่านฟังโพชฌงค์แล้วท่านหาย แต่ทำไมผู้ป่วยในเมืองไทยนี้ ส่วนมากตาย ส่วนน้อยหาย ที่หายนั้นก็คือ ถึงแม้จะนิมนต์พระไม่สวดโพชฌงค์ ก็หายเองอยู่ได้บ้างแล้ว ที่ตายนั้นเพราะอะไร ก็เพราะว่าโพชฌงค์ 7 นั้นมีบริบูรณ์อยู่ในพระอรหันต์เหล่านั้น แต่ว่าผู้ป่วยของเรานั้น มีโพชฌงค์อยู่บ้างหรือเปล่า

โพชฌงฺโค สติ สงฺขาโต มีสติ ธมฺมานํ วิจโย ตถา มีธรรมวิจยะ วิริยมฺปิติ ปสฺสทฺธิ มีวิริยะ มีปีติ มีปัทสัทธิ โพชฺฌงฺคา จ ตถาปเร สมาธุเปกฺขโพชฺฌงฺคา มีสมาธิ อุเบกขา เหล่านี้มีไหม ถ้าไม่มี ก็คือเหตุปัจจัยมันไม่พร้อม ก็เพียงแต่ทำพิธีไปเท่านั้นเอง

บางคราวพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงป่วยเอง รับสั่งให้พระจุนทะน้องชายพระสารีบุตรสวดโพชฌงค์ถวาย ก็ปรากฏว่าทรงพอพระทัยและหายป่วยเหมือนกัน นี่ปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน สังยุตนิกาย มหาวารวรรค พระไตรปิฎกเล่ม 19 หน้า 116

ท่านผู้เป็นมหาบุรุษทั้ง 3 นี้หายป่วย เพราะฟังโพชฌงค์ เพราะเหตุใดฟังโพชฌงค์แล้วจึงหาย เพราะท่านมีโพชฌงค์ 7 ประการอยู่เต็มบริบูรณ์

แต่คนเราธรรมดา มีโพชฌงค์อยู่เท่าใด หรือไม่มีเลยเมื่อเป็นเช่นนี้ จะเอาอะไรมาเป็นยาหรือเป็นธรรมโอสถสำหรับรักษา คุณสมบัติภายในไม่เหมือนกัน แม้ทำอาการภายนอกให้เหมือนกัน ผลก็ไม่เหมือนกัน เหมือนผลไม้พลาสติกกับผลไม้จริง มันดูอาการภายนอกมันเหมือน แต่ผลไม้พลาสติกมันกินไม่ได้ ความสำเร็จประโยชน์ในการบริโภคไม่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น การทำอะไรแต่เพียงพอเป็นพิธี กับการทำด้วยการเข้าใจความหมายอันแท้จริง จึงได้ผลไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน

อีกครั้งหนึ่ง ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี พระคิริมานนท์ป่วยหนัก พระอานนท์ไปเยี่ยม แล้วกลับไปกราบทูลพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปเยี่ยมพระคิริมานนท์ แต่พระศาสดาไม่ได้เสด็จไป ทรงให้พระอานนท์ท่องสัญญา 10 ประการ สัญญาในที่นี้หมายถึงข้อพิจารณา ไม่ใช่สัญญาแบบหนังสือสัญญาในภาษาไทย

ข้อพิจารณา 10 ประการ มี อนิจจสัญญา เป็นต้น คือว่าพิจารณาถึงความไม่เที่ยง มีอานาปานสติเป็นที่สุด ให้ไปกล่าวบอกเล่าแก่พระคิริมานนท์ คิริมานนท์ฟังแล้วหายอาพาธเหมือนกัน

ถ้าจะสงสัยว่าทำไมพระศาสดาไม่ให้พระอานนท์แสดงโพชฌงค์แก่คิริมานนท์ นี่สันนิษฐานว่าทรงมีพระญาณกำหนดรู้อินทรีย์คือความพร้อม และอาศัยอนุสัยของพระสาวกว่าผู้ใดควรโปรดด้วยธรรมใด อาศัยคือความโน้มเอียง อนุสัยคือความรู้สึกส่วนลึกหรือกิเลสที่อยู่ส่วนลึก ควรโปรดด้วยธรรมใดจึงจะสำเร็จประโยชน์ได้ เหมือนกับหมอให้ยาคนไข้ให้ถูกกับโรคของเขา

ข้อความในพระสูตรหลายสูตร เช่น กรณียเมตตสูตรที่กล่าวถึงเรื่องเมตตาและรัตนสูตร ขันธปริตร โมรปริตร เป็นต้น ที่พระนิยมสวดในพิธีต่างๆ ก็มีเรื่องเล่าประกอบถึงเหตุที่ตรัสไว้ และปรากฏในอรรถกถาบ้าง และอรรถกถาชาดกบ้าง เช่นกรณียเมตตสูตรก็รู้จักกันแพร่หลายที่ว่า พระไปอยู่ป่าและถูกผีหลอก เพราะว่าไปแย่งที่อยู่ของเขา อยู่ไม่ได้กลับมา พระพุทธเจ้าประทานโอวาทในกรณีเมตตสูตร ถึงคุณสมบัติของที่บรรลุสันต บทหลายข้อด้วยกันและให้แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ ปรากฏว่า พระไปอยู่ป่าได้ ผีไม่หลอก รุกขเทวดาก็เมตตา ได้คุ้มครองให้อยู่เป็นสุข

รัตนสูตรนั้น ก็มีเรื่องเล่าถึงว่า เกิดทุพภิกขภัยขึ้นในเมืองเวสาลี พระพุทธเจ้าได้ให้พระอานนท์ไปสวดรัตนสูตรภัยพิบัติก็ค่อยๆลดลง

ขันธปริตร เกี่ยวกับการแผ่เมตตาให้สัตว์ร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืองู งูก็ไม่กัด เรื่องก็มีว่า ภิกษุถูกงูกัด พระพุทธเจ้าทรงประทานพุทธมนต์ คือขันธปริตร แผ่เมตตาไปให้พวกงูตระกูลต่างๆ พระพุทธเจ้าบอกว่าแผ่เมตตาไปให้งู แล้วงูจะไม่กัด

ที่จริงสัตว์พวกนี้กลัวคน ถึงจะมีพิษสักเท่าไหร่ มันก็กลัวคน คนก็กลัวงู คือต่างคนต่างกลัวกัน คนก็กลัวงูกัด กัดแล้วก็ถึงตาย หรือปางตาย งูก็กลัวคนจะตีมัน คนจะฆ่ามัน โดยสัญชาตญาณ แต่ถ้าคนมีเมตตาก็อยู่กับงูได้

โมรปริตร เกี่ยวกับนกยูง โมร แปลว่านกยูง ก็จะเล่าเกี่ยวกับนกยูงนิดหนึ่ง เป็นเรื่องประกอบ โมรปริตร เป็นมนต์นกยูง สวดแล้วให้แคล้วคลาดปลอดภัย จากตัวอย่างของนกยูงทอง ตามชาดก นกยูงทองสวดมนต์ทั้งเช้าทั้งเย็น ตอนเช้าก็สวดมนต์นอบน้อมดวงอาทิตย์ นอบน้อมท่านผู้หลุดพ้น นอบน้อมความหลุดพ้น และขอให้หลุดพ้น ปลอดภัยมาเป็นเวลานาน จนพรานนกยูง เอานกยูงตัวเมียมาส่งเสียงร้อง นกยูงตัวนี้ก็ติดในเสียงของตัวเมีย รีบตะลีตะลานลงมา ลืมสวดมนต์ ด้วยความพอใจในเสียงของนางนกยูง


ขอบคุณที่มา :: เรือนธรรม บ้านพักผ่อนทางจิตใจด้วยธรรมะ

กราบอนุโมทนาบุญกับท่านผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่านเจ้าค่ะ :b8: :b8: :b8: :b20:

ไฟล์แนป:
พวงมาลัย12.jpg
พวงมาลัย12.jpg [ 7.38 KiB | เปิดดู 8903 ครั้ง ]

เจ้าของ:  วชิรพันธ์ [ 03 มิ.ย. 2011, 20:15 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เราสวดมนต์เพื่อ ???... (ว.วชิรเมธี)

:b8: [b]สาธุ......ครับผม

เจ้าของ:  Bluesky [ 09 ก.ย. 2011, 21:15 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เราสวดมนต์เพื่อ ???... (ว.วชิรเมธี)

tongue tongue tongue ธรรมรักษา เทวดาคุ้มครองนะเจ้าค่ะ

เจ้าของ:  nateay [ 11 ต.ค. 2011, 19:50 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เราสวดมนต์เพื่อ ???... (ว.วชิรเมธี)

:b8: :b8: :b8:

ไฟล์แนป:
lotus1.jpg
lotus1.jpg [ 72.53 KiB | เปิดดู 8623 ครั้ง ]

เจ้าของ:  nutune0206 [ 02 ก.ค. 2012, 22:37 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ...เราสวดมนต์เพื่อ ???... (ว.วชิรเมธี)

สาธุคะ :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

หน้า 3 จากทั้งหมด 3 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/