วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 06:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=28



กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
วันอาสาฬหบูชาเวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง กว่า ๒๕๐๐ ปีมาแล้ว ไกล้จะ ๒๖๐๐ ปีอีกด้วย
ยังทราบซึ่งในพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไม่เสื่อมคลาย
ความอดทน พากเพียร ความบากบั่น ที่พระองค์สู้สั่งสอนจนตราบวันปรินิพพาน นึกถึงคราใด
ก็ยังซาบซึ้งอยู่ครานั้น ทำให้มีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมได้ตามสมควรแก่ธรรมอยู่เสมอ
ขอบูชาพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ด้วยธัมมจักกัปปวัตนสูตร(แปล)นี้

อนึ่ง การแปลนี้ แปลด้วยตัวเอง พยายามรักษากฏเกณฑ์ภาษาและความหมายอย่างถึงที่สุด
อาจไม่ตรงสำนวนในที่อื่น แต่จะไม่ผิดความหมายของพระพุทธศาสนาและคำสอน บางแห่ง
เพื่อความสละสลวยของภาษา อาจต้องแปลทับศัพท์บ้าง

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสูตร.

พระสูตร อันข้าฯ(พระอานนท์) ได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ ว่า
ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในเมืองพาราณสี.
ในกาลนั้น แล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกปัญจวัคคีย์ภิกษุ.พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า

ภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอย่างนี้ อันบรรพชิตไม่ควรส่องเสพ คือ การประกอบบำรุงกามในกามทั้งหลาย อันเลว
อันหยาบ อันเป็นของบุคคลผู้หนา อันไม่ประเสริฐ อันไม่เป็นไปพร้อมเพื่อประโยชน์ และการประกอบในการ
ทำตนให้เหน็ดเหนื่อย อันเป็นทุกข์ อันไม่ประเสริฐ อันไม่เป็นไปพร้อมเพื่อประโยชน์.
ภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง อันกระทำจักษุ อันกระทำญาณ เป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อการตรัสรู้ เพื่อความดับทุกข์ที่ตถาคตไม่เข้าไปไกล้ที่สุดสองอย่างนั่น ตรัสรู้แล้ว.ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง อันกระทำจักษุ อันกระทำญาณ เป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อการตรัสรู้ เพื่อความดับทุกข์ ที่ตถาคตตรัสรู้ยิ่งแล้ว นั้น อย่างไร.
ทางประกอบด้วยองค์แปด อันประเสริฐ คือปฏิปทาสายกลางนี้นั่นเอง อย่างไรเล่า กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิ
สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ .
ภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลางนี้แล อันกระทำจักษุ อันกระทำญาณ เป็นไปเพื่อความสงบระงับ เพื่อการรู้ยิ่ง
เพื่อการตรัสรู้ เพื่อความดับทุกข์ที่ตถาคตตรัสรู้ยิ่งแล้วฯ

ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความโศก ความคร่ำครวญ ความไม่สบายกาย
ความไม่สบายใจ ความคับแค้น ก็เป็นทุกข์ การประสบสิ่งไม่พึงใจ ก็เป็นทุกข์ การพลัดจากสิ่งที่พึงใจก็เป็นทุกข์
อยากได้สิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่อ ขันธ์อันยึดมั่นทั้งห้า คือทุกข์
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความจริงอันประเสริฐนี้แล คือ ทุกข์

ความทะเยอทะยานอยากใด อันทำให้เกิดอีก คลุกเคล้าด้วยความชอบความบันเทิง มีปกติยินดียิ่งในขันธ์นั้นๆ .
ความทะเยอทะยานอยากนั้น เป็นอย่างไร.
ความทะเยอทะยานอยากนั้น ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความจริงอันประเสริฐนี้แล คือ เหตุแห่งทุกข์

การดับเพราะปราศจากราคะโดยไม่เหลือ การสละ การปล่อย การพ้น การไม่เยื่อใย ด้วยตัณหานั้นนั่นเอง.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความจริงอันประเสริฐนี้แล คือ การดับทุกข์.

ทางอันประกอบด้วยองค์แปด อันประเสริฐ นี้นั่นแล กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
ภิกษุทั้งหลาย ก็ความจริงอันประสริฐนี้แล คือ ปฏิปทาอันดับทุกข์โดยปกติ.ฯ

ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ว่า ความจริงอันประเสริฐนี้คือทุกข์.ฯ
ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ว่า ความจริงอันประเสริฐนี้คือทุกข์ บุคคลควรกำหนดรู้ .ฯ
ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ว่า ความจริงอันประเสริฐนี้คือทุกข์ เรากำหนดรู้แล้ว.ฯ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


แก้ไขล่าสุดโดย กามโภคี เมื่อ 04 ก.ค. 2009, 22:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 22:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ว่า ความจริงอันประเสริฐนี้คือเหตุแห่งทุกข์.ฯ
ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ว่า ความจริงอันประเสริฐนี้คือเหตุแห่งทุกข์ บุคคลพึงละ.ฯ
ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ว่า ความจริงอันประเสริฐนี้คือเหตุแห่งทุกข์ เราละได้แล้ว.ฯ

ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ว่า ความจริงอันประเสริฐนี้คือความดับทุกข์.ฯ
ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ว่า ความจริงอันประเสริฐนี้คือความดับทุกข์ บุคคลพึงกระทำให้แจ้ง.ฯ
ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ว่า ความจริงอันประเสริฐนี้คือความดับทุกข์ เรากระทำให้แจ้งแล้ว.ฯ

ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ว่า ความจริงอันประเสริฐนี้คือปฏิปทาอันดับทุกข์โดยปกติ.ฯ
ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ว่า ความจริงอันประเสริฐนี้คือปฏิปทาอันดับทุกข์โดยปกติ บุคคลพึงให้เจริญ.ฯ
ภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ว่า ความจริงอันประเสริฐนี้คือปฏิปทาอันดับทุกข์โดยปกติ เราได้เจริญแล้ว.ฯ

ภิกษุทั้งหลาย การเห็นด้วยปัญญาญาณ ตามความเป็นจริง มีอาการสิบสอง โดยปริวัฏ อย่างนี้ ด้วยประการดังนี้
ในสัจจะสี่อย่างเหล่านี้ ยังไม่บริสุทธิ์ดี เพียงใด.
ภิกษุทั้งหลาย เราไม่แสดงตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้ยิ่ง ซึ่งสัมมาสัมพุทธ อันไม่มีคุณชาติอื่นยิ่งกว่า แก่หมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารและพรหม เพียงนั้น.ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ก็แล การเห็นด้วยปัญญาญาณ ตามความเป็นจริง มีอาการสิบสอง โดยปริวัฏ อย่างนี้ ด้วยประการดังนี้
ในสัจจะสี่อย่างเหล่านี้ของเรา บริสุทธิ์ดี แต่กาลใด.
แต่กาลนั้น เราแสดงตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้ยิ่ง ซึ่งสัมมาสัมพุทธ อันไม่มีคุณชาติอื่นยิ่งกว่า แก่หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ
พราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารและพรหม.ฯ

อนึ่ง ญาณทัสสนะ ความไม่กำเริบ วิมุตติ เกิดขึ้นแก่เราแล้ว ชาตินี้เป็นที่สุด ไม่มีการเกิดอีก.ฯ

ปัญจวัคคีย์ภิกษุ มีใจไม่กระสับกระส่าย ชมเชยภาษิตพระผู้มีพระภาคเจ้า.ฯ
ก็แล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไวยากรณ์นี้อยู่ ธัมมจักษุ อันปราศจากธุลี ไม่มีมลทิน เกิดแก่ท่านโกณฑัญญะผู้มีอายุ
ว่า สิ่งใด มีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวง มีดับไปเป็นธรรมดา.ฯ

อนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยังธัมมจักรให้เป็นไปแล้ว ภุมมเทวดาทั้งหลาย ยังเสียงกระหึ่มไปแล้ว ว่า
ธัมมจักร อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้วที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ


.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


แก้ไขล่าสุดโดย กามโภคี เมื่อ 04 ก.ค. 2009, 22:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 22:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


เทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกา ฟังเสียงของภุมมเทวดาทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นดาวดึงส์ ฟังเสียงของเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกาทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นยามา ฟังเสียงของเทวดาชั้นดาวดึงส์ทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นดุสิต ฟังเสียงของเทวดาชั้นยามาทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นนิมมานรตี ฟังเสียงของเทวดาชั้นดาวดึงส์ทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ฟังเสียงของเทวดาชั้นนิมมานรตีทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นพรหมปริสัชชา ฟังเสียงของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตีทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นพรหมปโรหิตา ฟังเสียงของเทวดาชั้นพรหมปริสัชชาทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นมหาพรหม ฟังเสียงของเทวดาชั้นพรหมปโรหิตาทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นปริตตาภา ฟังเสียงของเทวดาชั้นมหาพรหมทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นอัปปมาณาภา ฟังเสียงของเทวดาชั้นปริตตาภาทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นอาภัสสรา ฟังเสียงของเทวดาชั้นอัปปมาณาภาทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นปริตตสุภา ฟังเสียงของเทวดาชั้นอาภัสสราทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ


.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


เทวดาชั้นอัปปมาณสุภา ฟังเสียงของเทวดาชั้นปริตรตสุภาทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นสุภกิณหกา ฟังเสียงของเทวดาชั้นอัปปมาณสุภาทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นเวหัปผลา ฟังเสียงของเทวดาชั้นสุภกิณหกาทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นอวิหา ฟังเสียงของเทวดาชั้นเวหัปผลาทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นอตัปปา ฟังเสียงของเทวดาชั้นอวิหาทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นสุทัสสา ฟังเสียงของเทวดาชั้นอตัปปาทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นสุทัสสี ฟังเสียงของเทวดาชั้นสุทัสสารทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ
เทวดาชั้นอกนิฏฐา ฟังเสียงของเทวดาชั้นสุทัสสีทั้งหลายแล้ว ยังเสียงให้กระหึ่มไปแล้วว่า ธัมมจักร
อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า อันสมณะหรือพราหมณ์ เทวดาหรือมาร พรหมหรือใครๆในโลก ให้เป็นไปไม่ได้แล้ว
(แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั่น ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเมืองพาราณสี.ฯ

ขณะนั้นเอง เสียงได้พุ่งขึ้นไปถึงพรหมโลก เพียงครู่เดียว ด้วยประการดังนี้. อนึ่ง หมื่นโลกธาตุนี้ สะเทือนแล้ว
สั่นคลอนแล้ว เลื่อนลั่นแล้ว.อนึ่ง แสงสว่างอันโอฬาร อันหาประมาณมิได้ ปรากฏในโลก ครอบงำเทวานุภาพ
ของเทวดาทั้งหลาย.ฯ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเปล่งอุทานว่า โกณฑัญญะ ผู้เจริญ รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะ ผู้เจริญ รู้แล้วหนอ.
ด้วยประการดังนี้ คำว่า อัญญาโกณฑัญญะ นั่นเอง จึงเป็นชื่อของพระอัญญาโกณฑัญญะ ผู้มีอายุ.ฯ


.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 22:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ...คุณกามโภคี

เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ

ธรรมะสวัสดีค่ะ

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 02:06
โพสต์: 811

อายุ: 0
ที่อยู่: มหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาด้วยครับ
สาธุครับ


:b8: :b48: :b41:

.....................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 22:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเปล่งอุทานว่า โกณฑัญญะ ผู้เจริญ รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะ ผู้เจริญ รู้แล้วหนอ.
เป็นคำแปลที่มาจากคำว่า
" อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ"
:b39: :b40:
ขออนุโมทนาบุญ กับ จขกท. ที่อธิบายไว้อย่างยืดยาวละเอียดเลย และขอกราบนมัสการในพระรัตนตรัยเนื่องด้วยจะใกล้วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา :b40:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 06:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อินทรีย์5 เขียน:
อ้างคำพูด:
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเปล่งอุทานว่า โกณฑัญญะ ผู้เจริญ รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะ ผู้เจริญ รู้แล้วหนอ.
เป็นคำแปลที่มาจากคำว่า
" อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ"
:b39: :b40::b40:


ใช่ครับ การแปลมีหลายอย่าง ที่ผมแปลนั้นเรียกว่า แปลโดยอรรถ หมายถึงคัดเอาแต่เนื้อความ
ไม่หนักไปทางไวยากรณ์ ถ้าแปลแบบยกศัพท์ คำนึงถึงเนื้อความและไวยากรณ์จะได้รูปแบบนี้

โกณฺฑญฺโญ อันว่าโกณฑัญญะ โภ ผู้เจริญ อัญญาสิ ได้รู้แล้ว วต หนอ.
โกณฺฑญฺโญ อันว่าโกณฑัญญะ โภ ผู้เจริญ อัญญาสิ ได้รู้แล้ว วต หนอ.

แปลโดยพยัญชนะ จะออกมาแบบนี้

อันว่าโกณฑัญญญะ ผู้เจริญ ได้รู้แล้ว หนอ อันว่าโกณฑัญญะ ผู้เจริญ ได้รู้แล้ว หนอ

มีข้อสังเกตประการหนึ่ง คำว่า โภ ที่แปลว่าผู้เจริญ หมายถึงเจริญด้วยวัยนะครับ ไม่ไช่เจริญเรื่องอื่น
ท่านโกณฑัญญะนั้น ท่านอายุมากกว่าพระพุทธองค์หลายปีทีเดียว ก็ท่านเป็นหนึ่งในพรามณ์ที่คัด
เหลือ ๘ ท่านที่เข้าพยากรณ์สิทธัตถะกุมาร นัยว่า สิทธัตถะเพิ่งเกิดไม่กี่วัน ท่านโกณฑัญญะหนุ่มแล้ว

อนึ่ง ในประไตรปิฎกนั้น การแปลมักย่อไว้ มักใช้คำว่า ฯเปฯ หรือใช้ ....... คือมีสำนวนซ้ำๆกัน แต่
ผมไม่ได้ตัดออกเลย ตระหนักว่า ตัดออกไปแล้ว วันหนึ่งก็หดหายไปง่าย ยังตำหนิเล็กๆว่า ในคัมภีร์
ชั้นสูง ซึ่งมีโอกาสพิมพ์ไม่กี่ครั้ง และเป็นหลักฐานสำคัญขนาดนั้น ไม่หน้าที่จะคร้านตัดออกไปเลย
ในที่นี้ผมเลยเต็มสูบเลย ไม่ตัดออก เลยดูรุงรังไปหน่อย

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ ครับ :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 00:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ค. 2009, 23:11
โพสต์: 1044

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b8:

โมทนาบุญด้วยครับ

ขอนำไปเผยแผ่ ต่อไปนะครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ตักบาตรทุกวัน....ได้บุญทุกวัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร