วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 17:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2013, 18:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
Pathita เขียน:
SOAMUSA เขียน:
JIT TREE เขียน:
อนุโมทนา สาธุนะค่ะ :b8: :b8: :b8:



ชอบจังค่ะธรรมครองใจ เรามีสิ่งเหล่านี้ให้สามีแต่สามีทำตรงกันข้ามกับเราหมด พูดจานิ่มหู อภัยทุกอย่าง แบ่งปัน ตักเตือนให้เห็นทางที่ถูกตามครรลองครองธรรม แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย รึจะเป็นเพราะหมดกรรมกันแล้วหว่า


:b47: :b47: :b47:


อีกข้อหนึ่งก็ต้องบอกว่า เค้าไม่มีบุญที่จะคู่ควรกับเราค่ะ :b4:



ใช่ค่ะ สาธุแรงๆค่ะ บุญไม่เสมอก็ไม่อาจเด็ดดอกฟ้าพวกเราได้เค๊อะ Onion_R Onion_R


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 15:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


Pathita เขียน:
SOAMUSA เขียน:
Pathita เขียน:
SOAMUSA เขียน:
JIT TREE เขียน:
อนุโมทนา สาธุนะค่ะ :b8: :b8: :b8:



ชอบจังค่ะธรรมครองใจ เรามีสิ่งเหล่านี้ให้สามีแต่สามีทำตรงกันข้ามกับเราหมด พูดจานิ่มหู อภัยทุกอย่าง แบ่งปัน ตักเตือนให้เห็นทางที่ถูกตามครรลองครองธรรม แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย รึจะเป็นเพราะหมดกรรมกันแล้วหว่า


:b47: :b47: :b47:


อีกข้อหนึ่งก็ต้องบอกว่า เค้าไม่มีบุญที่จะคู่ควรกับเราค่ะ :b4:


:b17: "เค้าไม่มีบุญที่จะคู่ควรกับเรา". คิดอย่างนี้ซิเนอะถึงจะมีความสุข หรืออีกทางคือคนไม่ดีหลุดพ้นไปจากชีวิต เพื่อที่คนดีจะได้เข้ามา :b22:


:b22: ขอเจอคนดีๆ นะคะ 555

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2013, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว




:b51: :b51: :b51: :b51: :b51:
โดย คณะสหายธรรม
ความสุขของผู้ครองเรือนคืออะไร


ถาม อยากทราบว่า ความสุขของผู้ครองเรือนอย่างเราๆ นี้อยู่ที่อะไร

ตอบ ในเรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในอันนนาถสูตร อัง. จตุกนิบาต ข้อ ๖๒ ถึงความสุขของผู้ครองเรือน อันเป็นความสุขที่ไม่มีโทษ ๔ อย่าง คือ
๑. อัตถิสุข สุขเกิดจากความมีทรัพย์ คือมีทรัพย์ที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน ที่หามาโดยสุจริต ขอบธรรม เมื่อมีทรัพย์แล้วก็ทำให้ภาคภูมิใจ เอิบอิ่มใจไม่เดือดร้อนใจ
๒. โภคสุข สุขเกิดแต่การใช้จ่ายทรัพย์ที่หามาได้ คนที่มีทรัพย์อยู่ในมือแล้วย่อมสบายใจ เอิบอิ่มใจ เมื่อเวลาที่ต้องการจะใช้ ก็สามารถจะเอามาใช้ได้ ไม่ขาดแคลน ข้อที่ว่าสุขเกิดแต่การใช้จ่ายทรัพย์ได้ตามต้องการนี้ รู้สึกคนไทยทุกคนจะซาบซึ้งใจกันดี เพราะคนไทยเป็นนักจ่าย เห็นอะไรก็อยากได้อยากซื้อไปหมด ถ้าไม่มีเงินคงไม่เป็นสุขแน่เทียว
๓. อนณสุข สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้ ถ้าเราเป็นหนี้ ต้องขวนขวายหาเงินมาใช้หนี้เขา จะหาความสุขได้อย่างไร ยิ่งเวลาที่ต้องส่งเงินต้นหรือดอกเบี้ย แต่ไม่มีจะส่ง ยิ่งเป็นทุกข์ใจมาก เพราะฉะนั้นถ้าเราพยายามใช้จ่ายให้พอเหมาะพอสมกับฐานะ ไม่ใช้จ่ายเกินตัวจนต้องเป็นหนี้เป็นสินเขาแล้ว เราจะมีความสุขมากทีเดียว เพราะฉะนั้นความไม่เป็นหนี้จึงเป็นความสุขของผู้ครองเรือน
๔. อนวัชชสุข สุขอันเกิดจากความประพฤติที่ไม่มีโทษ คือประพฤติสุจริตธรรม เมื่อประพฤติแต่สุจริตธรรมก็ไม่มีใครที่จะติเตียนเราได้ ทำให้เกิดความภูมิใจ เอิบอิ่มใจว่า เราประพฤติตนดี ไม่เป็นที่ครหาของใคร ๆ

ขอสรุปอีกครั้งว่า สุขของผู้ครองเรือนมี ๔ อย่าง คือ
๑. สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์
๒. สุขเกิดแต่การใช้ทรัพย์
๓. สุขเกิดแต่ความไม่เป็นหนี้
๔. สุขเกิดแต่ความประพฤติที่ไม่มีโทษ คือประพฤติแต่สุจริตธรรม

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ย. 2013, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจนั้น เป็นเรื่องทรมานยิ่ง และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง"

(พุทธโอวาท)
:b8: :b8: :b8:

:b47: เมื่อก่อนที่ดิฉันยังเป็นเด็กอยู่นั้น พ่อของดิฉันจะเปิดธรรมะฟัง สถานีวิทยุวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์
ดิฉันจะฟังนิทานชาดก ไม่ต่างจากเด็กทั่วๆ ไปที่ชอบฟังนิทาน ตอนเด็กๆ ดิฉันชอบคิดว่า ทำอะไรผิดนิด
ทำอะไรผิดหน่อยก็ตกนรก ทำไมนรกถึงตกกันง่ายจัง? เป็นคำถามที่สร้างความสงสัยมาก เพราะความผิด
ต่างๆ คนเค้าก็ทำผิดกัน เห็นอยู่บ่อยๆ เช่น การโกหก ฆ่าสัตว์ที่ตลาดแม่ค้าเค้าก็ทุบหัวปลากัน

ในปัจจุบันนี้ดิฉันเริ่มเข้าใจธรรมะได้บ้าง จึงเชื่ออย่างไม่สงสัยเลยค่ะว่า นรกนั้นไปได้ง่ายมากค่ะ
ไปกันง่ายๆ แบบน่าใจหาย และไม่ใช่ว่าจะหนีนรกกันง่ายๆ ด้วย ดังนั้นหายห่วงค่ะ สามีนอกใจ เมียน้อย
กิ๊ก คนเหล่านี้ไม่พ้นนรกง่ายๆ หรอกค่ะ บางทีชาติต่อไปอาจจะได้ไปทัวร์นรกเอาง่ายๆ น่าสงสารนะคะ

ในวันนี้หากคุณรู้สึกไม่มีความสุขเพราะได้รับความทุกข์อยู่นั้น ก็ขอให้ยอมรับอย่างหนึ่งว่า
ในอดีตชาติที่ผ่านคุณก็เคยทำคนอื่นไว้ วันนี้คุณจึงได้รับผลของสิ่งที่คุณเคยทำไว้ค่ะ
คุณจะได้ปล่อยวางได้บ้าง พยายามค่อยๆ คิดและปรับใจให้ยอมรับไปเรื่อยๆ ค่ะ จะได้วางเฉยได้
ชดใช้ให้มันหมดไปนะคะ จะได้ไม่ต้องค้างคากันไปอีก กรรมที่สืบเนื่องกันมาจะได้จบๆ กันไปนะคะ :b1:
หากคุณวางเฉยไม่ได้ คุณก็สร้างโอกาสให้กับตนเอง สำหรับการไปทัวร์นรกเหมือนกันค่ะ เพราะการไปนรก
นั้นง่ายมาก หากคุณสะสมความโกรธ ความเศร้า คับแค้นใจไว้ทุกวัน คุณก็สั่งจองที่นั่งทัวร์นรกไว้แล้วค่ะ
:b34: ไม่เอานะคะ ให้คนอื่นที่เค้าทำผิด ไปกันเถอะนะคะ เราอย่าไปร่วมทัวร์เดียวกับเค้าเลยค่ะ :b4:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2013, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๒ ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส

[๖๖๘] ความรักทั้งหลายย่อมมีแก่บุคคลผู้มีความเกี่ยวข้อง. ทุกข์นี้
เป็นไปตามความรัก ย่อมปรากฏ. บุคคลเมื่อเห็นโทษอันเกิด
แต่ความรัก พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น.
[๖๖๙] ความเกี่ยวข้องมี ๒ อย่าง คือ ความเกี่ยวข้องเพราะได้เห็น ๑ ความเกี่ยวข้อง
เพราะได้ฟัง ๑ ชื่อว่าสังสัคคะ ในอุเทศว่า สํสคฺคชาตสฺส ภวนฺติ เสฺนหา ดังนี้.
ความเกี่ยวข้องเพราะได้เห็นเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เห็นสตรีหรือกุมารีที่มี
รูปสวย น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามอย่างยิ่ง ครั้นพบเห็นแล้ว ก็ถือ
นิมิตเฉพาะส่วนๆ ว่า ผมงาม หน้างาม นัยน์ตางาม หูงาม จมูกงาม ริมฝีปากงาม ฟันงาม
ปากงาม คิ้วงาม นมงาม อกงาม ท้องงาม เอวงาม ขางาม มืองาม แข้งงาม นิ้วงาม
หรือว่าเล็บงาม ครั้นพบเห็นเข้าแล้ว ย่อมพอใจ รำพันถึง ปรารถนา ติดใจ ผูกพันด้วยอำนาจ
ความรัก. นี้ชื่อว่าความเกี่ยวข้องเพราะได้เห็น.
ความเกี่ยวข้องเพราะได้ฟังเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมได้ฟังว่า ในบ้าน
หรือในนิคมโน้น มีสตรีหรือกุมารีรูปสวย น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงาม
อย่างยิ่ง ครั้นได้ยินได้ฟังแล้ว ย่อมชอบใจ รำพันถึง ปรารถนา ติดใจ ผูกพันด้วยอำนาจ
ความรัก. นี้ชื่อว่าความเกี่ยวข้องเพราะได้ฟัง.
ความรัก ในคำว่า เสนหา มี ๒ อย่าง คือ ความรักด้วยอำนาจตัณหา ๑ ความรัก
ด้วยอำนาจทิฏฐิ ๑.
ความรักด้วยอำนาจตัณหาเป็นไฉน? สิ่งที่ทำให้เป็นเขต ทำให้เป็นแดน ทำให้เป็นส่วน
ทำให้มีส่วนสุดรอบ การกำหนดถือเอา ความยึดถือว่าของเราโดยส่วนแห่งตัณหาเท่าใด คือ
บุคคลถือเอาว่า สิ่งนี้ของเรา นั่นของเรา สิ่งเท่านั้นของเรา ของๆ เราโดยส่วนเท่านี้ รูปของเรา
เสียงของเรา กลิ่นของเรา รสของเรา โผฏฐัพพะของเรา เครื่องลาดของเรา เครื่องนุ่งห่มของเรา
ทาสีของเรา ทาสของเรา แพะของเรา แกะของเรา ไก่ของเรา สุกรของเรา ช้างของเรา
โคของเรา ม้าของเรา ลาของเรา ไร่นาของเรา ที่ดินของเรา เงินของเรา ทองของเรา
บ้านของเรา นิคมของเรา ราชธานีของเรา แว่นแคว้นของเรา ชนบทของเรา ฉางข้าวของเรา
คลังของเรา ย่อมยึดถือแผ่นดินใหญ่แม้ทั้งสิ้นว่าของเราด้วยอำนาจตัณหา. ตัณหาวิปริต ๑๐๘
นี้ชื่อว่าความรักด้วยอำนาจตัณหา.
ความรักด้วยอำนาจทิฏฐิเป็นไฉน? สักกายทิฏฐิมีวัตถุ ๒๐ มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ อันตคา-
*หิกทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ ทิฏฐิเห็นปานนี้ ทิฏฐิไปแล้ว ทิฏฐิรกชัฏ ทิฏฐิกันดาร ทิฏฐิเป็นเสี้ยนหนาม
ทิฏฐิกวัดแพว่ง ทิฏฐิเป็นสังโยชน์ ความถือ ความถือเฉพาะ ความถือมั่น ความลูบคลำ ทาง
ผิด คลองผิด ความเป็นผิด ลัทธิแห่งเดียรถีย์ ความถือด้วยการแสวงหาผิด ความถืออันวิปริต
ความถืออันวิปลาส ความถือผิด ความถือว่าจริงในวัตถุอันไม่จริง ทิฏฐิ ๖๒ ประการ. นี้ชื่อว่า
ความรักด้วยอำนาจทิฏฐิ.
คำว่า ความรักทั้งหลายย่อมมีแก่บุคคลผู้มีความเกี่ยวข้อง ความว่า ความรักด้วยอำนาจ
ตัณหา และความรักด้วยอำนาจทิฏฐิ ย่อมมี คือ ย่อมเกิด ย่อมเกิดพร้อม ย่อมบังเกิด ย่อม
บังเกิดเฉพาะ ย่อมปรากฏ เพราะเหตุแห่งวิปัลลาส และเพราะเหตุแห่งความเกี่ยวข้องด้วยการ
ได้เห็นและการได้ยิน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความรักทั้งหลายย่อมมีแก่บุคคลผู้มีความเกี่ยวข้อง.
[๖๗๐] ชื่อว่า ความรัก ในอุเทศว่า เสฺนหนฺวยํ ทุกฺขมิทํ ปโหติ ดังนี้ ความรักมี
๒ อย่าง คือ ความรักด้วยอำนาจตัณหา ๑ ความรักด้วยอำนาจทิฏฐิ ๑. ฯลฯ นี้ชื่อว่าความรัก
ด้วยอำนาจตัณหา. ฯลฯ นี้ชื่อว่าความรักด้วยอำนาจทิฏฐิ. ฯลฯ
คำว่า ทุกข์นี้ ... ย่อมปรากฏ ความว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ ประพฤติทุจริตด้วยกาย
ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ประพฤติทุจริตด้วยใจ ฆ่าสัตว์บ้าง ถือเอาทรัพย์ ที่เขามิได้ให้บ้าง
ตัดที่ต่อบาง ปล้นหลายเรือนบ้าง ทำการปล้นเฉพาะเรือนหลังเดียวบ้าง ดักตีชิงในทางเปลี่ยว
บ้าง คบชู้ภรรยาของผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง. พวกราชบุรุษจับบุคคลผู้นั้นได้แล้ว ทูลแด่พระ-
*ราชาว่า ขอเดชะ ผู้นี้เป็นโจรประพฤติชั่ว ขอพระองค์ทรงลงอาชญาตามพระประสงค์แก่ผู้นั้น.
พระราชาก็ทรงบริภาษผู้นี้. ผู้นั้นย่อมเสวยทุกขโทมนัส แม้เพราะเหตุแห่งบริภาษ. ทุกข์โทมนัส
อันน่ากลัวนี้เกิดเพราะอะไร? เกิดเพราะเหตุแห่งความรัก เพราะเหตุแห่งความยินดี เพราะ
เหตุแห่งความกำหนัด เพราะเหตุแห่งความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดีของผู้นั้น. พระราชา
ยังไม่พอพระทัยแม้ด้วยอาชญาเท่านั้น ยังรับสั่งให้จองจำผู้นั้นด้วยการตอกขื่อบ้าง ด้วยการผูก
ด้วยเชือกบ้าง ด้วยการจำด้วยโซ่บ้าง ด้วยการผูกด้วยเถาวัลย์บ้าง ด้วยการกักไว้ในที่ล้อมบ้าง
ด้วยการกักไว้ในบ้านบ้าง ด้วยการกักไว้ในนิคมบ้าง ด้วยการกักไว้ในนครบ้าง ด้วยการกักไว้
ในแว่นแคว้นบ้าง ด้วยการกักไว้ในชนบทบ้าง ทรงทำให้อยู่ในถ้อยคำเป็นที่สุด (ทรงสั่งบังคับเป็น
ที่สุด) ว่า เจ้าจะออกไปจากที่นี้ไม่ได้. ผู้นั้นย่อมเสวยทุกข์โทมนัสแม้เพราะเหตุแห่งพันธนาการ.
ทุกข์โทมนัสอันน่ากลัวนี้ เกิดเพราะอะไร? เกิดเพราะเหตุแห่งความรัก เพราะเหตุแห่งความ
ยินดี เพราะเหตุแห่งความกำหนัด และเพราะเหตุแห่งความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดีของผู้
นั้น. พระราชายังไม่พอพระทัยด้วยอาชญาเท่านั้น ยังรับสั่งให้ริบทรัพย์ของผู้นั้น ร้อยหนึ่งบ้าง
พันหนึ่งบ้าง. ผู้นั้นย่อมเสวยทุกข์โทมนัสแม้เพราะเหตุแห่งความเสื่อมจากทรัพย์. ทุกข์โทมนัส
อันน่ากลัวนี้เกิดเพราะอะไร? เกิดเพราะเหตุแห่งความรัก เพราะเหตุแห่งความยินดี เพราะ
เหตุแห่งความกำหนัด และเพราะเหตุแห่งความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดีของผู้นั้น. พระ-
*ราชายังไม่พอพระทัย แม้ด้วยอาชญาเท่านั้น ยังรับสั่งให้ทำกรรมกรณ์ต่างๆ แก่ผู้นั้น คือ
ให้เฆี่ยนด้วยแส้บ้าง ให้เฆี่ยนด้วยหวายบ้าง ให้ตอกคาบ้าง ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดทั้ง
มือทั้งเท้าบ้าง ตัดใบหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดทั้งใบหูทั้งจมูกบ้าง ทำให้เป็นผู้มีหม้อข้าว
เดือดบนศีรษะบ้าง ให้ถลกหนังศีรษะโล้นมีสีขาวเหมือนสังข์บ้าง ให้มีหน้าเหมือนหน้าราหูบ้าง
ทำให้มีไฟลุกที่มือบ้าง ให้ถลกหนังแล้วผูกเชือกฉุดไปบ้าง ให้ถลกหนังเป็นริ้วเหมือนนุ่งผ้า
คากรองบ้าง ทำให้มีห่วงเหล็กที่ศอกและเข่า แล้วใส่หลาวเหล็กตรึงไว้บ้าง ให้เอาเบ็ดเกี่ยว
ติดที่เนื้อปากบ้าง ให้เอาพร้าถากตัวให้ตกไปเท่ากหาปณะบ้าง ให้เอาพร้าถากตัวแล้วทาด้วย
น้ำแสบบ้าง ให้นอนลงแล้วตรึงหลาวเหล็กไว้ในช่องหูบ้าง ให้ถลกหนังแล้วทุบกระดูกพันไว้
เหมือนตั่งใบไม้บ้าง รดตัวด้วยน้ำมันอันร้อนบ้าง ให้สุนัขกัดกินเนื้อที่ตัวบ้าง เอาหลาวเสียบ
เป็นไว้บ้าง และย่อมตัดศีรษะด้วยดาบ. ผู้นั้นย่อมเสวยทุกข์โทมนัส แม้เพราะเหตุแห่งกรรมกรณ์.

ทุกข์โทมนัสอันน่ากลัวนี้เกิดเพราะอะไร? เกิดเพราะเหตุแห่งความรัก เพราะเหตุแห่งความยินดี
เพราะเหตุแห่งความกำหนัด และเพราะเหตุแห่งความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดีของผู้นั้น.
พระราชาเป็นใหญ่ในการลงอาชญาทั้ง ๔ อย่างนี้. ผู้นั้น เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมของตน. พวกนายนิรยบาลย่อมให้ทำกรรมกรณ์ ซึ่งมีเครื่องจำ
๕ ประการกะสัตว์นั้น คือ ให้ตรึงหลาวเหล็กแดงที่มือ ๒ ข้าง ที่เท้า ๒ ข้าง ที่ท่ามกลางอก.
สัตว์นั้นเสวยทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ดร้อนในนรกนั้น แต่ก็ยังไม่ทำกาลกิริยา ตลอดเวลาที่
บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด. ทุกขโทมนัสอันน่ากลัวนี้เกิดเพราะอะไร? เกิดเพราะเหตุแห่งความ
รัก เพราะเหตุแห่งความยินดี เพราะเหตุแห่งความกำหนัด และเพราะเหตุแห่งความกำหนัดด้วย
อำนาจความยินดีของผู้นั้น. พวกนายนิรยบาลให้สัตว์นั้นนอนลงแล้วเอาผึ่งถาก และจับเอาเท้าขึ้น
เอาศีรษะลงแล้วเอาพร้าถาก และให้เทียมสัตว์นั้นเข้าที่รถแล้วให้วิ่งไปบ้าง วิ่งกลับไปบ้าง บน
แผ่นดินที่ไฟติดโชนมีเปลวลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงบ้าง ต้อนให้ขึ้นภูเขาถ่านเพลิงใหญ่ไฟติดโชน
มีเปลวลุกรุ่งโรจน์โชติช่วงบ้าง ให้กลับลงมาบ้าง และจับสัตว์นั้นเอาเท้าขึ้นเอาศีรษะลงแล้ว
เหวี่ยงไปในหม้อเหล็กแดงอันไฟติดโชนมีเปลวรุ่งโรจน์โชติช่วง. สัตว์นั้นย่อมเดือดพล่านอยู่ใน
หม้อเหล็กแดงเหมือนฟองน้ำข้าวที่กำลังเดือด สัตว์นั้นเมื่อเดือดร้อนพล่านอยู่ในหม้อเหล็กแดง
เหมือนฟองน้ำข้าวที่กำลังเดือด ไปข้างบนคราวหนึ่งบ้าง ไปข้างล่างคราวหนึ่งบ้าง หมุนขวางไป
คราวหนึ่งบ้าง. สัตว์นั้นเสวยทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ดร้อนอยู่ในหม้อเหล็กแดงนั้น แต่ก็ยัง
ไม่ทำกาลกิริยา ตลอดเวลาที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้น. ทุกข์โทมนัสอันน่ากลัวนี้เกิดเพราะอะไร?
เกิดเพราะเหตุแห่งความรัก เพราะเหตุแห่งความยินดี เพราะเหตุแห่งความกำหนัด และเพราะ
เหตุแห่งความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดีของผู้นั้น. พวกนายนิรยบาลเหวี่ยงสัตว์นั้นลงในนรก.
ก็แหละนรกนั้นเป็นมหานรก

สี่เหลี่ยม มีสี่ประตู อันบาปกรรมจัดแบ่งออกเป็นส่วนๆ
มีกำแพงเหล็กกั้นไว้เป็นที่สุด ปิดครอบด้วยแผ่นเหล็ก มี
พื้นล้วนเป็นเหล็กไฟลุกโคลงอยู่ แผ่ไปร้อยโยชน์โดยรอบ
ตั้งอยู่ทุกสมัย. นรกใหญ่ ร้อนจัด มีเปลวไฟรุ่งโรจน์ ยากที่จะ
เข้าใกล้ น่าขนลุก น่ากลัว มีภัยเฉพาะหน้า มีแต่ทุกข์.
กองเปลวไปตั้งขึ้นแต่ฝาด้านหน้า เผาเหล่าสัตว์ที่มีกรรม
ลามก ผ่านไปจนจดฝาด้านหลัง. กองเปลวไฟตั้งขึ้นแต่ฝา
ด้านหลัง เผาเหล่าสัตว์ที่มีกรรมลามก ผ่านไปจดฝาด้านหน้า.
กองเปลวไฟตั้งขึ้นแต่ฝาด้านใต้ เผาเหล่าสัตว์ที่มีกรรมลามก
ผ่านไปจนจดฝาด้านเหนือ. กองเปลวไฟตั้งขึ้นแต่ฝาด้านเหนือ
เผาเหล่าสัตว์ที่มีกรรมลามก ผ่านไปจนจดฝาด้านใต้. กอง
เปลวไฟตั้งขึ้นแต่ฝาด้านล่าง น่ากลัว เผาเหล่าสัตว์ที่มีกรรม
ลามก ผ่านไปจนจดฝาปิด. กองเปลวไฟตั้งขึ้นแต่ฝาปิด
น่ากลัว เผาเหล่าสัตว์ที่มีกรรมลามก ผ่านไปจนจดด้านพื้น
ล่าง. แผ่นเหล็กที่ไฟติดทั่ว แดงโชน ไฟโพลง ฉันใด
อเวจีนรกข้างล่าง ก็ปรากฏแก่สัตว์ที่เห็นอยู่ในข้างบน
ฉันนั้น. เหล่าสัตว์ในอเวจีนรกนั้นชั่วช้ามาก ทำกรรมชั่วมาก
มีแต่กรรมลามกอย่างเดียว ถูกไฟไหม้อยู่แต่ไม่ตาย. กาย
ของเหล่าสัตว์ที่อยู่ในนรกนั้นเสมอด้วยไฟ. เชิญดูความ
มั่นคงของกรรมทั้งหลายเถิด. ไม่มีเถ้า แม้แต่เขม่าก็ไม่มี.
เหล่าสัตว์วิ่งไปทางประตูด้านหน้า (ที่เปิดอยู่) กลับจากประตู
ด้านหน้าวิ่งมาประตูด้านหลัง วิ่งไปทางประตูด้านเหนือ
กลับจากประตูด้านเหนือวิ่งมาทางประตูด้านใต้. แม้จะวิ่งไป
ทิศใดๆ ประตูทิศนั้นๆ ก็ปิดเอง. สัตว์เหล่านั้นหวังจะ
ออกไป แสวงหาทางที่จะพ้นไป แต่ก็ออกจากนรกนั้นไป
ไม่ได้ เพราะกรรมเป็นปัจจัย. ด้วยว่ากรรมอันลามก สัตว์
เหล่านั้นทำไว้มาก ยังมิได้ให้ผลหมด ดังนี้.

ทุกข์โทมนัสอันน่ากลัวนี้เกิดเพราะอะไร? เกิดเพราะเหตุแห่งความรัก เพราะเหตุแห่งความยินดี
เพราะเหตุแห่งความกำหนัด และเพราะเหตุแห่งความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดีของสัตว์นั้น.
ทุกข์อันมีในนรกก็ดี ทุกข์อันมีในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็ดี ทุกข์อันมีในเปรตวิสัยก็ดี
ทุกข์อันมีในมนุษย์ก็ดี เกิดแล้ว เกิดพร้อมแล้ว บังเกิดแล้ว บังเกิดเฉพาะแล้ว ปรากฏแล้ว
เพราะเหตุอะไร? ทุกข์เหล่านั้น ย่อมมี ย่อมเป็น ย่อมเกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ
ย่อมปรากฏ เพราะเหตุแห่งความรัก เพราะเหตุแห่งความยินดี เพราะเหตุแห่งความกำหนัด
และเพราะเหตุแห่งความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดีของสัตว์นั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทุกข์
นี้เป็นไปตามความรักย่อมปรากฏ.
[๖๗๑] ชื่อว่า ความรัก ในอุเทศว่า อาทีนวํ เสฺนหชํ เปกฺขมาโน ดังนี้ ความรัก
มี ๒ อย่าง คือ ความรักด้วยอำนาจตัณหา ๑ ความรักด้วยอำนาจทิฏฐิ ๑. ฯลฯ นี้ชื่อว่าความรัก
ด้วยอำนาจตัณหา. ฯลฯ นี้ชื่อว่าความรักด้วยอำนาจทิฏฐิ.
คำว่า เมื่อเห็นโทษอันเกิดแต่ความรัก ความว่า เมื่อเห็น เมื่อแลเห็น เมื่อเพ่งดู
เมื่อพิจารณาเห็น ซึ่งโทษในความรักด้วยอำนาจตัณหา และในความรักด้วยอำนาจทิฏฐิ เพราะ
ฉะนั้นจึงชื่อว่า เมื่อเห็นโทษอันเกิดแต่ความรัก พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น.
เพราะเหตุนั้น พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้นจึงกล่าวว่า
ความรักทั้งหลายย่อมมีแก่บุคคลผู้มีความเกี่ยวข้อง. ทุกข์นี้
เป็นไปตามความรัก ย่อมปรากฏ. บุคคลเมื่อเห็นโทษอันเกิด
แต่ความรัก พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น.

:b8: :b8: :b8:
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.ph ... 281&Z=6413

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2013, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.

:b27: ขอเชิญอ่านเรื่องเมียหลวง เมียน้อย ที่ตามจองเวรกันเรื่อยมา
จนกระทั่งทั้งคู่ได้มาเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงหยุดจองเวรกันได้ในที่สุดค่ะ


อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑

หน้าต่างที่ ๔ / ๑๔.

๔. เรื่องความเกิดขึ้นของนางกาลียักษิณี [๔]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภหญิงหมันคนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “ น หิ เวเรน เวรานิ ” เป็นต้น.

มารดาหาภรรยาให้บุตร
ดังได้สดับมา บุตรกุฎุมพีคนหนึ่ง เมื่อบิดาทำกาละแล้ว ทำการงานทั้งปวง ทั้งที่นา ทั้งที่บ้าน ด้วยตนเอง ปฏิบัติมารดาอยู่, ต่อมา มารดาได้บอกแก่เขาว่า “พ่อ แม่จักนำนางกุมาริกามาให้เจ้า.”
บุ. แม่ อย่าพูดอย่างนี้เลย, ฉันจักปฏิบัติแม่ไปจนตลอดชีวิต.
ม. พ่อ เจ้าคนเดียวทำการงานอยู่ ทั้งที่นาและที่บ้าน, เพราะเหตุนั้น แม่จึงไม่มีความสบายใจเลย, แม่จักนำนางกุมาริกามาให้เจ้า.
เขาแม้ห้าม (มารดา) หลายครั้งแล้วได้นิ่งเสีย. มารดานั้นออกจากเรือน เพื่อจะไปสู่ตระกูลแห่งหนึ่ง.
ลำดับนั้น บุตรถามมารดาว่า “แม่จะไปตระกูลไหน?” เมื่อมารดาบอกว่า “จะไปตระกูลชื่อโน้น” ดังนี้แล้ว ห้ามการที่จะไปตระกูลนั้นเสียแล้ว บอกตระกูลที่ตนชอบใจให้. มารดาได้ไปตระกูลนั้นหมั้นนางกุมาริกาไว้แล้ว กำหนดวัน (แต่งงาน) นำนางกุมาริกาคนนั้นมา ได้ทำไว้ในเรือนของบุตร. นางกุมาริกานั้นได้เป็นหญิงหมัน.
ทีนั้น มารดาจึงพูดกะบุตรว่า “พ่อ เจ้าให้แม่นำนางกุมาริกามาตามชอบใจของเจ้าแล้ว บัดนี้ นางกุมาริกานั้นเป็นหมัน, ก็ธรรมดา ตระกูลที่ไม่มีบุตรย่อมฉิบหาย, ประเพณีย่อมไม่สืบเนื่องไป, เพราะฉะนั้น แม่จักนำนางกุมาริกาคนอื่นมา (ให้เจ้า)” แม้บุตรนั้นกล่าวห้ามอยู่ว่า “อย่าเลย แม่” ดังนี้ ก็ยังได้กล่าว (อย่างนั้น) บ่อยๆ.
หญิงหมันได้ยินคำนั้น จึงคิดว่า “ธรรมดา บุตรย่อมไม่อาจฝืนคำมารดาบิดาไปได้, บัดนี้ แม่ผัวคิดจะนำหญิงอื่น ผู้ไม่เป็นหมันมาแล้ว ก็จักใช้เราอย่างทาสี, ถ้าอย่างไร เราพึงนำนางกุมาริกาคนหนึ่งมาเสียเอง” ดังนี้แล้ว จึงไปยังตระกูลแห่งหนึ่ง ขอนางกุมาริกาเพื่อประโยชน์แก่สามี, ถูกพวกชนในตระกูลนั้นห้ามว่า “หล่อนพูดอะไรเช่นนั้น” ดังนี้แล้ว จึงอ้อนวอนว่า “ฉันเป็นหมัน ตระกูลที่ไม่มีบุตร ย่อมฉิบหาย บุตรีของท่านได้บุตรแล้ว จักได้เป็นเจ้าของสมบัติ, ขอท่านโปรดยกบุตรีนั้นให้แก่สามีของฉันเถิด” ดังนี้แล้ว ยังตระกูลนั้นให้ยอมรับแล้ว จึงนำมาไว้ในเรือนของสามี.
ต่อมา หญิงหมันนั้นได้มีความปริวิตกว่า “ถ้านางคนนี้จักได้บุตรหรือบุตรีไซร้ จักเป็นเจ้าของสมบัติแต่ผู้เดียว, ควรเราจะทำนางอย่าให้ได้ทารกเลย.”

เมียหลวงปรุงยาทำลายครรภ์เมียน้อย
ลำดับนั้น หญิงหมันจึงพูดกะนางนั้นว่า “ครรภ์ตั้งขึ้นในท้องหล่อนเมื่อใด ขอให้หล่อนบอกแก่ฉันเมื่อนั้น.” นางนั้นรับว่า “จ้ะ” เมื่อครรภ์ตั้งแล้ว ได้บอกแก่หญิงหมันนั้น. ส่วนหญิงหมันนั้นแลให้ข้าวต้มและข้าวสวยแก่นางนั้นเป็นนิตย์. ภายหลัง นางได้ให้ยาสำหรับทำครรภ์ให้ตกปนกับอาหารแก่นางนั้น. ครรภ์ก็ตก [แท้ง]. เมื่อครรภ์ตั้งแล้วเป็นครั้งที่ ๒ นางก็ได้บอกแก่หญิงหมันนั้น. แม้หญิงหมันก็ได้ทำครรภ์ให้ตก ด้วยอุบายอย่างนั้นนั่นแลเป็นครั้งที่ ๒.
ลำดับนั้น พวกหญิงที่คุ้นเคยกัน ได้ถามนางนั้นว่า “หญิงร่วมสามีทำอันตรายหล่อนบ้างหรือไม่? นางแจ้งความนั้นแล้ว ถูกหญิงเหล่านั้นกล่าวว่า “หญิงอันธพาล เหตุไร หล่อนจึงได้ทำอย่างนั้นเล่า?” หญิงหมันนี้ได้ประกอบยาสำหรับทำครรภ์ให้ตกให้แก่หล่อน เพราะกลัวหล่อนจะเป็นใหญ่, เพราะฉะนั้น ครรภ์ของหล่อนจึงตก, หล่อนอย่าได้ทำอย่างนี้อีก.” ในครั้งที่ ๓ นางจึงมิได้บอก.
ต่อมา [ฝ่าย] หญิงหมันเห็นท้องของนางนั้นแล้วจึงกล่าวว่า “เหตุไร? หล่อนจึงไม่บอกความที่ครรภ์ตั้งแก่ฉัน” เมื่อนางนั้นกล่าวว่า “หล่อนนำฉันมาแล้ว ทำครรภ์ให้ตกไปเสียถึง ๒ ครั้งแล้ว, ฉันจะบอกแก่หล่อนทำไม?” จึงคิดว่า “บัดนี้ เราฉิบหายแล้ว” คอยแลดูความประมาทของนางกุมาริกานั้นอยู่, เมื่อครรภ์แก่เต็มที่แล้ว, จึงได้ช่อง ได้ประกอบยาให้แล้ว ครรภ์ไม่อาจตก เพราะครรภ์แก่ จึงนอนขวาง [ทวาร]. เวทนากล้าแข็งขึ้น. นางถึงความสิ้นชีวิต.๑-
____________________________
๑- ชีวิตกฺขยํ

นางตั้งความปรารถนาว่า “เราถูกมันให้ฉิบหายแล้ว, มันเองนำเรามา ทำทารกให้ฉิบหายถึง ๓ คนแล้ว, บัดนี้ เราเองก็จะฉิบหาย, บัดนี้ เราจุติจากอัตภาพนี้ พึงเกิดเป็นนางยักษิณี อาจเคี้ยวกินทารกของมันเถิด” ดังนี้แล้ว ตายไปเกิดเป็นแม่แมวในเรือนนั้นเอง. ฝ่ายสามีจับหญิงหมันแล้ว กล่าวว่า “เจ้าได้ทำการตัดตระกูลของเราให้ขาดสูญ” ดังนี้แล้ว ทุบด้วยอวัยวะทั้งหลายมีศอกและเข่าเป็นต้นให้บอบช้ำแล้ว. หญิงหมันนั้นตายเพราะความเจ็บนั้นแล แล้วได้เกิดเป็นแม่ไก่ในเรือนนั้นเหมือนกัน.

ผลัดกันสังหารคนละชาติด้วยอำนาจผูกเวร
จำเนียรกาลไม่นาน แม่ไก่ได้ตกฟองหลายฟอง. แม่แมวมากินฟองไก่เหล่านั้นเสีย. ถึงครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ มันก็ได้กินเสียเหมือนกัน. แม่ไก่ทำความปรารถนาว่า “มันกินฟองของเราถึง ๓ ครั้งแล้ว เดี๋ยวนี้ มันก็อยากกินตัวเราด้วย, เดี๋ยวนี้ เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว พึงได้กินมันกับลูกของมัน” ดังนี้แล้ว จุติจากอัตภาพนั้น ได้เกิดเป็นแม่เสือเหลือง.
ฝ่ายแม่แมวได้เกิดเป็นแม่เนื้อ. ในเวลาแม่เนื้อนั้นคลอดลูกแล้วๆ แม่เสือเหลืองก็ได้มากินลูกทั้งหลายเสียถึง ๓ ครั้ง. เมื่อเวลาจะตาย แม่เนื้อทำความปรารถนาว่า “พวกลูกของเรา แม่เสือเหลืองตัวนี้กินเสียถึง ๓ ครั้งแล้ว เดี๋ยวนี้มันจักกินตัวเราด้วย. เดี๋ยวนี้ เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว พึงได้กินมันกับลูกของมันเถิด” ดังนี้แล้ว ได้ตายไปเกิดเป็นนางยักษิณี.
ฝ่ายแม่เสือเหลืองจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นกุลธิดา๑- ในเมืองสาวัตถี. นางถึงความเจริญแล้ว ได้ไปสู่ตระกูลสามีในบ้านริมประตู [เมือง].
____________________________
๑- หญิงสาวของตระกูล หญิงสาวในตระกูล หรือหญิงสาวมีตระกูล

ในกาลต่อมา นางได้คลอดบุตรคนหนึ่ง. นางยักษิณีจำแลงตัวเป็นหญิงสหายที่รักของเขามาแล้ว ถามว่า “หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน?” พวกชาวบ้านได้บอกว่า “เขาคลอดบุตรอยู่ภายในห้อง” นางยักษิณีฟังคำนั้น แสร้งพูดว่า “หญิงสหายของฉันคลอดลูกเป็นชายหรือหญิงหนอ, ฉันจักดูเด็กนั้น” ดังนี้แล้ว เข้าไปทำเป็นแลดูอยู่ จับทารกกินแล้วก็ไป. ถึงในหนที่ ๒ ก็ได้กินเสียเหมือนกัน. ในหนที่ ๓ นางกุลธิดามีครรภ์แก่ เรียกสามีมาแล้ว บอกว่า “นาย นางยักษิณีตนหนึ่งกินบุตรของฉันเสียในที่นี้ ๒ คนแล้วไป, เดี๋ยวนี้ ฉันจักไปสู่เรือนแห่งตระกูลของฉันคลอดบุตร” ดังนี้แล้ว ไปสู่เรือนแห่งตระกูล คลอด [บุตรที่นั่น].
ในกาลนั้น นางยักษิณีนั้นถึงคราวส่งน้ำ. ด้วยว่า นางยักษิณีทั้งหลายต้องตักน้ำจากสระอโนดาตทูนบนศีรษะมา เพื่อท้าวเวสสวัณ ตามวาระ ต่อล่วง ๔ เดือนบ้าง ๕ เดือนบ้างจึงพ้น (จากเวร) ได้. นางยักษิณีเหล่าอื่นมีกายบอบช้ำ ถึงความสิ้นชีวิตบ้างก็มี.
ส่วนนางยักษิณีนั้น พอพ้นจากเวรส่งน้ำแล้วเท่านั้น ก็รีบไปสู่เรือนนั้น ถามว่า “หญิงสหายของฉันอยู่ที่ไหน?” พวกชาวบ้านบอกว่า “ท่านจักพบเขาที่ไหน? นางยักษิณีตนหนึ่งกินทารกของเขาที่คลอดในที่นี้, เพราะฉะนั้น เขาจึงไปสู่เรือนแห่งตระกูล” นางยักษิณีนั้นคิดว่า “เขาไปในที่ไหนๆ ก็ตามเถิด จักไม่พ้นเราได้” ดังนี้แล้ว อันกำลังเวรให้อุตสาหะแล้ว วิ่งบ่ายหน้าไปสู่เมือง.
ฝ่ายนางกุลธิดา ในวันเป็นที่รับชื่อให้ทารกนั้นอาบน้ำ ตั้งชื่อแล้ว กล่าวกะสามีว่า “นาย เดี๋ยวนี้ เราพากันไปสู่เรือนของเราเถิด” อุ้มบุตรไปกับสามี ตามทางอันตัดไปในท่ามกลางวิหาร มอบบุตรให้สามีแล้ว ลงอาบน้ำในสระโบกขรณีข้างวิหารแล้ว ขึ้นมารับเอาบุตร, เมื่อสามีกำลังอาบน้ำอยู่, ยืนให้บุตรดื่มนม แลเห็นนางยักษิณีมาอยู่ จำได้แล้ว ร้องด้วยเสียงอันดังว่า “นาย มาเร็วๆ เถิด นี้นางยักษิณีตนนั้น” ดังนี้แล้ว ไม่อาจยืนรออยู่จนสามีนั้นมาได้ วิ่งกลับบ่ายหน้าไปสู่ภายในวิหารแล้ว.

เวรไม่ระงับด้วยเวร แต่ระงับได้ด้วยไม่ผูกเวร
ในสมัยนั้น พระศาสดาทรงแสดงธรรมอยู่ในท่ามกลางบริษัท. นางกุลธิดานั้นให้บุตรนอนลงเคียงหลังพระบาทแห่งพระตถาคตเจ้า แล้วกราบทูลว่า “บุตรคนนี้ ข้าพระองค์ถวายแด่พระองค์แล้ว ขอพระองค์ประทานชีวิตแก่บุตรข้าพระองค์เถิด”
สุมนเทพผู้สิงอยู่ที่ซุ้มประตู ไม่ยอมให้นางยักษิณีเข้าไปข้างใน.
พระศาสดารับสั่งเรียกพระอานนทเถระมาแล้ว ตรัสว่า “อานนท์ เธอจงไปเรียกนางยักษิณีนั้นมา” พระเถระเรียกนางยักษิณีนั้นมาแล้ว.
นางกุลธิดากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางยักษิณีนี้มา”
พระศาสดาตรัสว่า “นางยักษิณีจงมาเถิด, เจ้าอย่าได้ร้องไปเลย” ดังนี้แล้ว ได้ตรัสกะนางยักษิณีผู้มายืนอยู่แล้วว่า “เหตุไร? เจ้าจึงทำอย่างนั้น ก็ถ้าพวกเจ้าไม่มาสู่เฉพาะหน้าพระพุทธเจ้าผู้เช่นเราแล้ว เวรของพวกเจ้าจักได้เป็นกรรมตั้งอยู่ชั่วกัลป์ เหมือนเวรของงูกับพังพอน, ของหมีกับไม้สะคร้อ และของกากับนกเค้า, เหตุไฉน พวกเจ้าจึงทำเวรและเวรตอบแก่กัน? เพราะเวรย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร หาระงับได้ด้วยเวรไม่”
ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
๔. น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน
“ในกาลไหนๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับ
ด้วยเวรเลย ก็แต่ย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร,
ธรรมนี้เป็นของเก่า.”

แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น หิ เวเรน เป็นต้น ความว่า เหมือนอย่างว่า บุคคล แม้เมื่อล้างที่ซึ่งเปื้อนแล้วด้วยของไม่สะอาด มีน้ำลายและน้ำมูกเป็นต้น ด้วยของไม่สะอาดเหล่านั้นแล ย่อมไม่อาจทำให้เป็นที่หมดจด หายกลิ่นเหม็นได้, โดยที่แท้ ที่นั้นกลับเป็นที่ไม่หมดจดและมีกลิ่นเหม็นยิ่งกว่าเก่าอีก ฉันใด. บุคคลเมื่อด่าตอบชนผู้ด่าอยู่ ประหารตอบชนผู้ประหารอยู่ ย่อมไม่อาจยังเวรให้ระงับด้วยเวรได้, โดยที่แท้ เขาชื่อว่าทำเวรนั่นเองให้ยิ่งขึ้น ฉันนั้นนั่นเทียว. แม้ในกาลไหนๆ ขึ้นชื่อว่าเวรทั้งหลาย ย่อมไม่ระงับได้ด้วยเวร, โดยที่แท้ ชื่อว่าย่อมเจริญอย่างเดียว ด้วยประการฉะนี้.
สองบทว่า อเวเรน จ สมฺมนฺติ ความว่า เหมือนอย่างว่า ของไม่สะอาดมีน้ำลายเป็นต้นเหล่านั้น อันบุคคลล้างด้วยน้ำที่ใสย่อมหายหมดได้, ที่นั้นย่อมเป็นที่หมดจด ไม่มีกลิ่นเหม็น ฉันใด, เวรทั้งหลายย่อมระงับ คือย่อมสงบ ได้แก่ย่อมถึงความไม่มีด้วยความไม่มีเวร คือด้วยน้ำคือขันติและเมตตา ด้วยการทำไว้ในใจโดยแยบคาย [และ] ด้วยการพิจารณา ฉันนั้นนั่นเทียว.
บาทพระคาถาว่า เอส ธมฺโม สนนฺตโน ความว่า ธรรมนี้ คือที่นับว่า ความสงบเวร ด้วยความไม่มีเวร เป็นของเก่า คือเป็นมรรคาแห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระขีณาสพทั้งหลาย ทุกๆ พระองค์ดำเนินไปแล้ว.
ในกาลจบพระคาถา นางยักษิณีนั้นตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผลแล้ว, เทศนาได้เป็นกถามีประโยชน์ แม้แก่บริษัทผู้ประชุมกันแล้ว.

นางยักษิณีรู้ฝนมากฝนน้อย
พระศาสดาได้ตรัสกะหญิงนั้นว่า “เจ้าจงให้บุตรของเจ้าแก่นางยักษิณีเถิด.”
ญ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์กลัว.
ศ. เจ้าอย่ากลัวเลย, อันตรายย่อมไม่มีแก่เจ้า เพราะอาศัยนางยักษิณีนี้.
นางได้ให้บุตรแก่นางยักษิณีนั้นแล้ว. นางยักษิณีนั้นอุ้มทารกนั้น จูบกอดแล้ว คืนให้แก่มารดาอีก ก็เริ่มร้องไห้.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามนางยักษิณีนั้นว่า “อะไรนั่น?”
นางยักษิณีนั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อน ข้าพระองค์ แม้สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วยไม่เลือกทาง ยังไม่ได้อาหารพอเต็มท้อง, บัดนี้ ข้าพระองค์จะเลี้ยงชีพได้อย่างไร.”
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสปลอบนางยักษิณีนั้นว่า “เจ้าอย่าวิตกเลย” ดังนี้แล้ว ตรัสกะหญิงนั้นว่า “เจ้าจงนำนางยักษิณีไปให้อยู่ในเรือนของตนแล้ว จงปฏิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอย่างดี.” หญิงนั้นนำนางยักษิณีไปแล้ว ให้พักอยู่ในโรงกระเดื่อง ได้ปฏิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอย่างดีแล้ว.
ในเวลาซ้อมข้าวเปลือก สากปรากฏแก่นางยักษิณีนั้นดุจต่อยศีรษะ. เขาจึงเรียกนางกุลธิดาผู้สหายมาแล้ว พูดว่า “ฉันจักไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้ ขอท่านจงให้ฉันพักอยู่ในที่อื่นเถิด”
แม้อันหญิงสหายนั้นให้พักอยู่ในที่เหล่านี้ คือในโรงสาก ข้างตุ่มน้ำ ริมเตาไฟ ริมชายคา ริมกองหยากเยื่อ ริมประตูบ้าน,
(นาง) ก็กล่าวว่า “ในโรงสากนี้ สากย่อมปรากฏดุจต่อยศีรษะฉันอยู่, ที่ข้างตุ่มน้ำนี้ พวกเด็กย่อมราดน้ำเป็นเดนลงไป, ที่ริมเตาไฟนี้ ฝูงสุนัขย่อมมานอน, ที่ริมชายคานี้ พวกเด็กย่อมทำสกปรก, ที่ริมกองหยากเยื่อนี้ ชนทั้งหลายย่อมเทหยากเยื่อ, ที่ริมประตูบ้านนี้ เด็กพวกชาวบ้าน ย่อมเล่นการพนันกันด้วยคะแนน” ดังนี้แล้ว ได้ห้ามที่ทั้งปวงนั้นเสีย.
ครั้งนั้น หญิงสหายจึงให้นางยักษิณีนั้นพักอยู่ในที่อันสงัดภายนอกบ้านแล้ว นำโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้นอย่างดีไปเพื่อนางยักษิณีนั้น แล้วปฏิบัติในที่นั้น. นางยักษิณีนั้นคิดอย่างนี้ว่า “เดี๋ยวนี้ หญิงสหายของเรานี้มีอุปการะแก่เรามาก, เอาเถอะ เราจักทำความแทนคุณสักอย่างหนึ่ง” ดังนี้แล้ว ได้บอกแก่หญิงสหายว่า “ในปีนี้จักมีฝนดี, ท่านจงทำข้าวกล้าในที่ดอนเถิด, ในปีนี้ฝนจักแล้ง ท่านจงทำข้าวกล้าในที่ลุ่มเถิด. ข้าวกล้าอันพวกชนที่เหลือทำแล้ว ย่อมเสียหายด้วยน้ำมากเกินไปบ้าง ด้วยน้ำน้อยบ้าง. ส่วนข้าวกล้าของนางกุลธิดานั้น ย่อมสมบูรณ์เหลือเกิน.

นางยักษิณีเริ่มตั้งสลากภัต
ครั้งนั้น พวกชนที่เหลือเหล่านั้นพากันถามนางว่า “แม่ ข้าวกล้าที่หล่อนทำแล้ว ย่อมไม่เสียหายด้วยน้ำมากเกินไป ย่อมไม่เสียหายด้วยน้ำน้อยไป, หล่อนรู้ความที่ฝนดีและฝนแล้งแล้วจึงทำการงานหรือ? ข้อนี้เป็นอย่างไรหนอแล?”
นางบอกว่า “นางยักษิณีผู้เป็นหญิงสหายของฉัน บอกความที่ฝนดีและฝนแล้งแก่ฉัน, ฉันทำข้าวกล้าทั้งหลายในที่ดอนและที่ลุ่ม ตามคำของยักษิณีนั้น, เหตุนั้น ข้าวกล้าของฉันจึงสมบูรณ์ดี, พวกท่านไม่เห็นโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น ที่ฉันนำไปจากเรือนเนืองนิตย์หรือ? สิ่งของเหล่านั้น ฉันนำไปให้นางยักษิณีนั้น, แม้พวกท่านก็จงนำโภชนะมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้นอย่างดี ไปให้นางยักษิณีบ้างซิ, นางยักษิณีก็จักแลดูการงานของพวกท่านบ้าง”
ครั้งนั้น พวกชนชาวเมืองทั้งสิ้นพากันทำสักการะแก่นางยักษิณีนั้นแล้ว. จำเดิมแต่นั้นมา นางยักษิณีแม้นั้นแลดูการงานทั้งหลายของชนทั้งปวงอยู่ ได้เป็นผู้ถึงลาภอันเลิศ [และ] มีบริวารมากแล้ว.
ในกาลต่อมา นางยักษิณีนั้นเริ่มตั้งสลากภัต ๘ ที่แล้ว สลากภัตนั้น ชนทั้งหลายยังถวายอยู่จนกาลทุกวันนี้แล.

เรื่องความเกิดขึ้นของนางกาลียักษิณี จบ
------------------------
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=11&p=4
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2013, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจนั้น เป็นเรื่องทรมานยิ่ง และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง"

(พุทธโอวาท)
:b8: :b8: :b8:

เราทุกคนนั้นมีผู้อุปการะเลี้ยงดูเราตั้งแต่เป็นทารกจนกระทั่งเติบโตมีครอบครัวนั้น มีใครสักคนหนึ่งมั้ยคะ
ที่ไม่เคยขัดแย้งกันในครอบครัว ทะเลาะกันในครอบครัว เกิดมาไม่เคยขัดแย้งกับใครเลยในหมู่ญาติ
มีชีวิตที่ราบรื่นมีแต่รอยยิ้มตลอดเวลาในครอบครัว พ่อและแม่เลี้ยงเรามา บางครั้ง เราเองยังไม่พอใจ
ในความคิดเห็นของพ่อหรือแม่ ที่เรียกว่าความคิดไม่ตรงกัน มีปัญหาต่างๆ มากมายในครอบครัว
พี่หรือน้องของเราที่กินข้าวหม้อเดียวกันมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก ก็อาจจะมีสักคนหนึ่งที่ไม่ค่อยสนิทกับเรา
นี่ขนาดคนในครอบครัวของเราแท้ๆ ยังมีปัญหากันเลยค่ะ และก็ไม่หยุดหย่อนด้วย ต่างคนต่างนิสัย
บางคนมีพี่น้องหลายคน ก็สนิทกันเป็นคู่ๆ ไป กับคนที่ไม่ถูกกันก็อยู่ร่วมบ้านเหมือนคนไม่รู้จักกัน
ดิฉันเคยเห็นครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคน หลายครอบครัวอยู่กันอย่างนี้จริงๆ ยิ่งแยกย้ายกันไปมีครอบครัว
ของตนเองแยกออกไปอยู่ต่างหาก ก็เหมือนคนไม่รู้จักกัน

นับประสาอะไรกับคนภายนอกบ้านที่เรียกว่า สามี หรือ แฟน ที่เราเพิ่งมารู้จักเค้าตอนเราโตเป็นสาวแล้ว
เค้ากับเราต่างคนก็ต่างมาจากคนละครอบครัว ความรู้สึกนึกคิดก็ถูกอบรมมาต่างกันในบางเรื่องหรืออาจจะ
หลายๆ เรื่องด้วยซ้ำไป บางทีอาจจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลยก็ได้

ถ้าพ่อหรือแม่ไม่เห็นด้วยที่เราจะแต่งงานกับเค้า แต่เราโตแล้วมีงานทำแล้วเรามีสิทธิ์ในชีวิตตัวเอง
เราขอเลือกทางเดินชีวิตของเราเอง เรารักคนๆ นี้ เราต้องแต่งงานกับเค้า พ่อแม่ยังห้ามเราไม่ได้เลย
แม้แต่พ่อแม่ก็ขวางกั้นชีวิตลูกไม่ได้ เพราะชีวิตของใครก็ของเค้าๆ ก็อยากทำตามความต้องการของตน
เองทั้งสิ้น

แล้ววันหนึ่งล่ะ สามีของเราเค้าอยากจะทวงสิทธิ์ชีวิตของเค้าคืนจากเรา ว่าเค้าต้องการหาคนใหม่
เราจะไปยื้อยุดฉุดดึงเค้าได้หรือไม่ ชีวิตของใครเค้าก็มีสิทธิ์ในชีวิตเค้า ในเมื่อเค้าไม่สมัครใจจะอยู่กับเรา
เราก็ไม่สามารถฝืนใจใครได้ หากใครเค้าคิดจะไปก็เป็นสิทธิ์ของเค้า แล้วหากวันหนึ่งเราคิดจะไปบ้าง
มันก็เป็นสิทธิ์ของเรา

มีแต่คุณธรรมที่อยู่ตรงกลางเท่านั้นที่เป็นตัวเชื่อมที่จะสามารถจูงมือคนสองคนให้พบกับความสุขได้
หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไร้ซึ่งคุณธรรม ไม่รับผิดชอบจิตใจซึ่งกันและกัน ก็เดินร่วมทางกัน
ต่อไปไม่ได้ มือของเราและเค้าก็ไม่ได้ถูกล่ามโซ่ไว้ด้วยกันหรือตัวติดกันเป็นฝาแฝดอินทร์จันทร์
จะได้แยกจากกันไม่ได้ เมื่อต้องจากกันจริงๆ ต่างฝ่ายก็รู้สึกสะเทือนใจบ้างไม่มากก็น้อย แต่ส่วนใหญ่
เป็นผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะสลดใจนิดหน่อยแล้วก็เริงร่ากับชีวิตใหม่ที่มีอิสรภาพ ส่วนฝ่ายที่เสียใจนั้น
จะเป็นผู้หญิงเสียมากกว่าที่ต้องเยียวยาจิตใจตนเอง

จากประสบการณ์ของตัวดิฉันเองนั้น เคยจากสามีแบบเลิกกันจริงๆ สามีเก็บเสื้อผ้าข้าวของของเค้าใส่
กระเป๋าเดินออกไปจากบ้าน มันก็เสียใจค่ะ เหมือนจะขาดใจแต่ก็รีบตัดใจโดยเร็วเพราะรู้ว่าไม่มีทาง
จะกลับมาเหมือนเดิมแล้ว คือทำใจยอมรับความจริงโดยเร็ว แต่ความเสียใจที่พูดมานี้เมื่อเทียบกับ
การสูญเสียพ่อและแม่ไป พ่อและแม่ตายจากไปดิฉันก็แทบขาดใจยิ่งกว่าเสียสามีไปอีกค่ะ

ในเวลาที่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ เติบโตในครอบครัวนั้นพ่อแม่คือคนที่เรารักที่สุด แต่พอเรามีครอบครัวไป
เรากลับลดความสำคัญของท่านลงไป เราไปใช้เวลาส่วนใหญ่รักลูกรักสามี จนเหมือนช่วงเวลาหนึ่งที่
เราขาดหายไปจากท่านทั้งสองทั้งๆ ที่บ้านอยู่ใกล้ชิดกัน ในบางครั้งก็ดูแลเอาใจใส่ท่านบ้าง แต่เหมือน
หลงลืมไม่เต็มที่เหมือนกับดูแลลูกดูแลสามี เพราะว่าท่านทั้งสองก็แข็งแรงและมีเงินใช้สบายๆ ท่าน
กลับจะมาดูแลครอบครัวของเราเสียด้วยซ้ำในบางครั้ง

ณ เวลานี้ หากมีวันใดที่ได้นอนหลับฝันถึงพ่อหรือแม่ หรือบางครั้งก็เห็นในฝันพร้อมหน้าพร้อมตากัน
ได้กอดกันในฝัน ได้นอนหนุนตักแม่ในฝันก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ได้รู้ซึ้งอย่างหนึ่งว่า
เราผ่านความพลัดพรากมานับครั้งไม่ถ้วน จากพ่อแม่ของเราในอดีตชาติที่ผ่านมา พ่อแม่ในอดีตชาตินั้น
ก็ย่อมรักเรา แล้วเราก็รักและผูกพันธ์ท่าน อาลัยอาวรณ์เมื่อต้องจากกัน ก็ไม่ต่างกับเวลานี้ในชาตินี้
ที่เรายังอาลัยอาวรณ์พ่อและแม่ในชาตินี้อยู่ ได้แต่ยอมรับความจริงว่าทุกชีวิตไม่เที่ยง ไม่คงทนอยู่ได้
ตลอดไปแม้แต่ตัวเรา สักวันหนึ่งก็ต้องจากโลกนี้ไปเช่นกัน

และทุกๆ ครั้งที่ดิฉันอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่พ่อและแม่ในชาตินี้ ดิฉันจะอุทิศให้พ่อและแม่ในอดีตชาติ
ที่ผ่านมาของดิฉันทุกภพทุกชาติด้วยค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2013, 17:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส.

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจนั้น เป็นเรื่องทรมานยิ่ง และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง"

(พุทธโอวาท)
:b8: :b8: :b8:

เราทุกคนนั้นมีผู้อุปการะเลี้ยงดูเราตั้งแต่เป็นทารกจนกระทั่งเติบโตมีครอบครัวนั้น มีใครสักคนหนึ่งมั้ยคะ
ที่ไม่เคยขัดแย้งกันในครอบครัว ทะเลาะกันในครอบครัว เกิดมาไม่เคยขัดแย้งกับใครเลยในหมู่ญาติ
มีชีวิตที่ราบรื่นมีแต่รอยยิ้มตลอดเวลาในครอบครัว พ่อและแม่เลี้ยงเรามา บางครั้ง เราเองยังไม่พอใจ
ในความคิดเห็นของพ่อหรือแม่ ที่เรียกว่าความคิดไม่ตรงกัน มีปัญหาต่างๆ มากมายในครอบครัว
พี่หรือน้องของเราที่กินข้าวหม้อเดียวกันมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก ก็อาจจะมีสักคนหนึ่งที่ไม่ค่อยสนิทกับเรา
นี่ขนาดคนในครอบครัวของเราแท้ๆ ยังมีปัญหากันเลยค่ะ และก็ไม่หยุดหย่อนด้วย ต่างคนต่างนิสัย
บางคนมีพี่น้องหลายคน ก็สนิทกันเป็นคู่ๆ ไป กับคนที่ไม่ถูกกันก็อยู่ร่วมบ้านเหมือนคนไม่รู้จักกัน
ดิฉันเคยเห็นครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคน หลายครอบครัวอยู่กันอย่างนี้จริงๆ ยิ่งแยกย้ายกันไปมีครอบครัว
ของตนเองแยกออกไปอยู่ต่างหาก ก็เหมือนคนไม่รู้จักกัน

นับประสาอะไรกับคนภายนอกบ้านที่เรียกว่า สามี หรือ แฟน ที่เราเพิ่งมารู้จักเค้าตอนเราโตเป็นสาวแล้ว
เค้ากับเราต่างคนก็ต่างมาจากคนละครอบครัว ความรู้สึกนึกคิดก็ถูกอบรมมาต่างกันในบางเรื่องหรืออาจจะ
หลายๆ เรื่องด้วยซ้ำไป บางทีอาจจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลยก็ได้

ถ้าพ่อหรือแม่ไม่เห็นด้วยที่เราจะแต่งงานกับเค้า แต่เราโตแล้วมีงานทำแล้วเรามีสิทธิ์ในชีวิตตัวเอง
เราขอเลือกทางเดินชีวิตของเราเอง เรารักคนๆ นี้ เราต้องแต่งงานกับเค้า พ่อแม่ยังห้ามเราไม่ได้เลย
แม้แต่พ่อแม่ก็ขวางกั้นชีวิตลูกไม่ได้ เพราะชีวิตของใครก็ของเค้าๆ ก็อยากทำตามความต้องการของตน
เองทั้งสิ้น

แล้ววันหนึ่งล่ะ สามีของเราเค้าอยากจะทวงสิทธิ์ชีวิตของเค้าคืนจากเรา ว่าเค้าต้องการหาคนใหม่
เราจะไปยื้อยุดฉุดดึงเค้าได้หรือไม่ ชีวิตของใครเค้าก็มีสิทธิ์ในชีวิตเค้า ในเมื่อเค้าไม่สมัครใจจะอยู่กับเรา
เราก็ไม่สามารถฝืนใจใครได้ หากใครเค้าคิดจะไปก็เป็นสิทธิ์ของเค้า แล้วหากวันหนึ่งเราคิดจะไปบ้าง
มันก็เป็นสิทธิ์ของเรา

มีแต่คุณธรรมที่อยู่ตรงกลางเท่านั้นที่เป็นตัวเชื่อมที่จะสามารถจูงมือคนสองคนให้พบกับความสุขได้
หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไร้ซึ่งคุณธรรม ไม่รับผิดชอบจิตใจซึ่งกันและกัน ก็เดินร่วมทางกัน
ต่อไปไม่ได้ มือของเราและเค้าก็ไม่ได้ถูกล่ามโซ่ไว้ด้วยกันหรือตัวติดกันเป็นฝาแฝดอินทร์จันทร์
จะได้แยกจากกันไม่ได้ เมื่อต้องจากกันจริงๆ ต่างฝ่ายก็รู้สึกสะเทือนใจบ้างไม่มากก็น้อย แต่ส่วนใหญ่
เป็นผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะสลดใจนิดหน่อยแล้วก็เริงร่ากับชีวิตใหม่ที่มีอิสรภาพ ส่วนฝ่ายที่เสียใจนั้น
จะเป็นผู้หญิงเสียมากกว่าที่ต้องเยียวยาจิตใจตนเอง

จากประสบการณ์ของตัวดิฉันเองนั้น เคยจากสามีแบบเลิกกันจริงๆ สามีเก็บเสื้อผ้าข้าวของของเค้าใส่
กระเป๋าเดินออกไปจากบ้าน มันก็เสียใจค่ะ เหมือนจะขาดใจแต่ก็รีบตัดใจโดยเร็วเพราะรู้ว่าไม่มีทาง
จะกลับมาเหมือนเดิมแล้ว คือทำใจยอมรับความจริงโดยเร็ว แต่ความเสียใจที่พูดมานี้เมื่อเทียบกับ
การสูญเสียพ่อและแม่ไป พ่อและแม่ตายจากไปดิฉันก็แทบขาดใจยิ่งกว่าเสียสามีไปอีกค่ะ

ในเวลาที่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ เติบโตในครอบครัวนั้นพ่อแม่คือคนที่เรารักที่สุด แต่พอเรามีครอบครัวไป
เรากลับลดความสำคัญของท่านลงไป เราไปใช้เวลาส่วนใหญ่รักลูกรักสามี จนเหมือนช่วงเวลาหนึ่งที่
เราขาดหายไปจากท่านทั้งสองทั้งๆ ที่บ้านอยู่ใกล้ชิดกัน ในบางครั้งก็ดูแลเอาใจใส่ท่านบ้าง แต่เหมือน
หลงลืมไม่เต็มที่เหมือนกับดูแลลูกดูแลสามี เพราะว่าท่านทั้งสองก็แข็งแรงและมีเงินใช้สบายๆ ท่าน
กลับจะมาดูแลครอบครัวของเราเสียด้วยซ้ำในบางครั้ง

ณ เวลานี้ หากมีวันใดที่ได้นอนหลับฝันถึงพ่อหรือแม่ หรือบางครั้งก็เห็นในฝันพร้อมหน้าพร้อมตากัน
ได้กอดกันในฝัน ได้นอนหนุนตักแม่ในฝันก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ได้รู้ซึ้งอย่างหนึ่งว่า
เราผ่านความพลัดพรากมานับครั้งไม่ถ้วน จากพ่อแม่ของเราในอดีตชาติที่ผ่านมา พ่อแม่ในอดีตชาตินั้น
ก็ย่อมรักเรา แล้วเราก็รักและผูกพันธ์ท่าน อาลัยอาวรณ์เมื่อต้องจากกัน ก็ไม่ต่างกับเวลานี้ในชาตินี้
ที่เรายังอาลัยอาวรณ์พ่อและแม่ในชาตินี้อยู่ ได้แต่ยอมรับความจริงว่าทุกชีวิตไม่เที่ยง ไม่คงทนอยู่ได้
ตลอดไปแม้แต่ตัวเรา สักวันหนึ่งก็ต้องจากโลกนี้ไปเช่นกัน

และทุกๆ ครั้งที่ดิฉันอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่พ่อและแม่ในชาตินี้ ดิฉันจะอุทิศให้พ่อและแม่ในอดีตชาติ
ที่ผ่านมาของดิฉันทุกภพทุกชาติด้วยค่ะ



อิฉันซึ้งจนน้ำตาแตกถึงทรวงค่ะ s007 s007 s007 s007
จริงค่ะ ความพลัดพรากเป็นทุกข์จริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


JIT TREE เขียน:


อิฉันซึ้งจนน้ำตาแตกถึงทรวงค่ะ s007 s007 s007 s007
จริงค่ะ ความพลัดพรากเป็นทุกข์จริงๆ


ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะคุณJIT TREE
สามี หรือ แฟนนั้นเลิกกันก็เป็นคนอื่น
แต่พ่อแม่นั้น จะอย่างไรก็แล้วแต่ ท่านก็เป็นพ่อแม่ของเราตลอดชีวิต
ใครมีค่ากับเรามากกว่ากัน ลองคิดดูนะคะ ควรจะทำให้ใครสบายใจ ระหว่างแฟน กับพ่อแม่
เขียนเพื่อเตือนใจกันค่ะว่า อย่ามัวแต่เสียใจกับคนรัก หันมาดีใจดีกว่าที่ยังมีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้า
สามีหรือแฟนไม่รักก็ช่าง ไม่ดีก็ช่าง เลิกๆ ไป แต่เรามีพ่อแม่ให้ความรักแก่เราไม่เคยไม่รักเราสักวัน

ดิฉันนั้นก็เคยกอดแม่ตัวเองร้องไห้เวลามีความทุกข์มาแล้ว เห็นแม่ร้องไห้ไปกับเราแล้ว
รู้สึกว่า เราต้องเข้มแข็ง ท่านจะได้สบายใจค่ะ

คุณJIT TREE ก็ต้องเข้มแข็งนะคะ อย่าปล่อยให้ทุกอย่างยุ่งยากต่อไป
เพราะพ่อกับแม่คุณJIT TREEจะได้สบายใจ ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่อีกแล้วนะคะคุณJIT TREE :b27:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 15:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 16:30
โพสต์: 97

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
JIT TREE เขียน:


อิฉันซึ้งจนน้ำตาแตกถึงทรวงค่ะ s007 s007 s007 s007
จริงค่ะ ความพลัดพรากเป็นทุกข์จริงๆ


ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะคุณJIT TREE
สามี หรือ แฟนนั้นเลิกกันก็เป็นคนอื่น
แต่พ่อแม่นั้น จะอย่างไรก็แล้วแต่ ท่านก็เป็นพ่อแม่ของเราตลอดชีวิต
ใครมีค่ากับเรามากกว่ากัน ลองคิดดูนะคะ ควรจะทำให้ใครสบายใจ ระหว่างแฟน กับพ่อแม่
เขียนเพื่อเตือนใจกันค่ะว่า อย่ามัวแต่เสียใจกับคนรัก หันมาดีใจดีกว่าที่ยังมีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้า
สามีหรือแฟนไม่รักก็ช่าง ไม่ดีก็ช่าง เลิกๆ ไป แต่เรามีพ่อแม่ให้ความรักแก่เราไม่เคยไม่รักเราสักวัน

ดิฉันนั้นก็เคยกอดแม่ตัวเองร้องไห้เวลามีความทุกข์มาแล้ว เห็นแม่ร้องไห้ไปกับเราแล้ว
รู้สึกว่า เราต้องเข้มแข็ง ท่านจะได้สบายใจค่ะ

คุณJIT TREE ก็ต้องเข้มแข็งนะคะ อย่าปล่อยให้ทุกอย่างยุ่งยากต่อไป
เพราะพ่อกับแม่คุณJIT TREEจะได้สบายใจ ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่อีกแล้วนะคะคุณJIT TREE :b27:


ซึ้งอ่ะๆๆ :b48: แต่กล้วยหอมเวลาทุกข์จะไม่ค่อยให้ท่านรู้ กลัวท่านทุกข์ไปกับเรา ชอบแต่จะทำให้ท่านทั้งสอง หัวเราะและมีความสุข ชอบทำมิวสิคดราม่าคนเดียว :b22: :b22: :b22:

แต่โดยปกติก็จะทุกข์กับใครเขาไม่นานค่ะ เป็นนิสัยส่วนตัว ที่ใจไม่ยอมแพ้ :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


กล้วยหอม เขียน:
SOAMUSA เขียน:
JIT TREE เขียน:


อิฉันซึ้งจนน้ำตาแตกถึงทรวงค่ะ s007 s007 s007 s007
จริงค่ะ ความพลัดพรากเป็นทุกข์จริงๆ


ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะคุณJIT TREE
สามี หรือ แฟนนั้นเลิกกันก็เป็นคนอื่น
แต่พ่อแม่นั้น จะอย่างไรก็แล้วแต่ ท่านก็เป็นพ่อแม่ของเราตลอดชีวิต
ใครมีค่ากับเรามากกว่ากัน ลองคิดดูนะคะ ควรจะทำให้ใครสบายใจ ระหว่างแฟน กับพ่อแม่
เขียนเพื่อเตือนใจกันค่ะว่า อย่ามัวแต่เสียใจกับคนรัก หันมาดีใจดีกว่าที่ยังมีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้า
สามีหรือแฟนไม่รักก็ช่าง ไม่ดีก็ช่าง เลิกๆ ไป แต่เรามีพ่อแม่ให้ความรักแก่เราไม่เคยไม่รักเราสักวัน

ดิฉันนั้นก็เคยกอดแม่ตัวเองร้องไห้เวลามีความทุกข์มาแล้ว เห็นแม่ร้องไห้ไปกับเราแล้ว
รู้สึกว่า เราต้องเข้มแข็ง ท่านจะได้สบายใจค่ะ

คุณJIT TREE ก็ต้องเข้มแข็งนะคะ อย่าปล่อยให้ทุกอย่างยุ่งยากต่อไป
เพราะพ่อกับแม่คุณJIT TREEจะได้สบายใจ ไม่มีใครรักเราเท่าพ่อแม่อีกแล้วนะคะคุณJIT TREE :b27:


ซึ้งอ่ะๆๆ :b48: แต่กล้วยหอมเวลาทุกข์จะไม่ค่อยให้ท่านรู้ กลัวท่านทุกข์ไปกับเรา ชอบแต่จะทำให้ท่านทั้งสอง หัวเราะและมีความสุข ชอบทำมิวสิคดราม่าคนเดียว :b22: :b22: :b22:

แต่โดยปกติก็จะทุกข์กับใครเขาไม่นานค่ะ เป็นนิสัยส่วนตัว ที่ใจไม่ยอมแพ้ :b16:



:b20: ดีค่ะ คนที่จิตใจเข้มแข็งนี้ยอดเลยค่ะ พระอาจารย์ท่านก็เคยสอนค่ะ ท่านก็สอนให้ผู้หญิง
มีจิตใจเข้มแข็งเลียนแบบผู้ชายกับเค้าบ้าง เดี๋ยวนี้ดิฉันก็จำไว้เตือนตนเองบ่อยๆ ค่ะ

เมื่อก่อนดิฉันมีอะไรบอกแม่หมด อิๆ :b3: มีอะไรก็ฟ้องแม่ เก็บไม่ได้สักเรื่องค่ะ :b29:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2013, 18:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 16:30
โพสต์: 97

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บางทีก็อยากอ่อนแอทำตัวน่าสงสารเป็นนางเอกเจ้าน้ำตา :b22: :b22: แบบหนังไทยบ้างค่ะ s005 s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2013, 11:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.ค. 2013, 21:44
โพสต์: 173

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เดี๊ยวนี้หนู๋จะเจออะไรที่ผู้ชายอยากมีคนใหม่หนู๋ก็จะบอกเขาว่า

ถ้าเจอคนที่ดีกว่าก็ไปนะ เออเก็บสิ่งๆนั้นไว้ให้กับคนที่เรารักจะดีกว่า

คบๆไป หมดรักเมื่อไร บอก อย่าทำตัวหาเรื่องทะเลาะกัน กรูรู้...

หนู๋แมนไปไหมค่ะ 5555555 Onion_R Onion_R


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2013, 12:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ JIT แมนมั๊กๆๆๆ มากค่ะ..........
ของเรา จะทำคล้ายคุณกล้วยหอม.....ทุกข์ เก็บไว้ ร้องไห้เพียงลำพัง ไม่ได้ให้ใครรับรู้ด้วย สุขจะเผื่อแผ่ สนุกสนาน ตลกโปกหาไปวัน ๆ ๆ ๆ

ยิ่งตอนนี้ อยู่คนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบ พ่อเสีย แม่เสีย แล้ว พี่ น้อง ก็อยู่กับครอบครัวของเขา ก็มีเรากับน้องชายคนเล็กอยู่กัน 2 คน ................ :b18: :b18:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2013, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b35: แมนมากค่ะคุณJIT TREE อย่าไปกระโดดงับเค้าล่ะคะ อุ้ย.... ไม่ใช่555 ล้อเล่นค่ะ s006

:b17: คุณกล้วยหอม กับคุณกล้วยไม้ม่วง นี่เข้มดีค่ะ ดีแล้วค่ะ ตอนนี้ดิฉันก็เข้มนะคะฝึกไว้ค่ะ
หากว่าเราพอใจในเพศหญิง อยู่กับความอ่อนแอ ก็จะต้องเกิดเป็นหญิงอยู่ร่ำไป Onion_R

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron