วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 14:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2014, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว






:b8: บทเพลงพระราชนิพนธ์ "ยิ้มสู้"

โลกจะสุขสบายนั้นเป็นได้หลายทาง
ต้องหลบสิ่งกีดขวางหนทางให้พ้นไป
จะสบความสุขสันต์สำคัญที่ใจ
สุขและทุกข์อย่างไรเพราะใจตนเอง


ฝ่าลู่ทางชีวิตต้องคิดเฝ้าย้อมใจ
โลกมืดมนเพียงใดหัวใจอย่าคร้ามเกรง
ตั้งหน้าชื่นเอาไว้ย้อมใจด้วยเพลง
ไยนึกกลัวหวาดเกรงยิ้มสู้

คนเป็นคนจะจนหรือมี
ร้ายหรือดีคงมีหวังอยู่
ยามปวงมารมาพาลลบหลู่
ยิ้มละมัยใจสู้หมู่มวลเภทภัย

ใฝ่กระทำความดีให้มีจิตโสภา
สร้างแต่ความเมตตาหาความสุขสันต์ไป
จะสบความสุขสันต์สำคัญที่ใจ
เฝ้าแต่ยิ้มสู้ไปแล้วใจชื่นบาน

:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2014, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ชีวิตนี้สั้นนัก สั้นจริงๆ เวลาผ่านไปยังกับกระพริบตา
เมื่อวันก่อนเรายังเป็นเด็กเล็กที่พ่อแม่จูงมืออยู่เลย ตอนนี้เราอายุกันแค่ไหนแล้ว
เวลาผ่านไปเหมือนสายฟ้าแลบ เราใกล้เวลาเข้าไปทุกขณะ ถึงไม่ตายวันนี้แต่อนาคตได้ตายกันแน่นอน

เมื่อไรที่เรารู้ค่าของเวลา ก็เมื่อยามที่เราเจ็บป่วยทำอะไรไม่ได้เต็มที่ หรือทำอะไรไม่ได้เลย
เราจะนึกออกว่า วันที่เราแข็งแรง เรามัวทำอะไรกันอยู่ ในวันที่เราหมดแรงเราจะเสียดายกับเวลาที่เสียไป

อย่าให้ใครมาพรากเวลาไปจากใจเรา อย่าให้ใครมายืนอยู่ในใจ ให้ใจเราแบกความทุกข์ไว้
เอากายที่แข็งแรง เอาใจที่รู้คุณค่าของเวลา ไปทำสิ่งที่ดีๆ สำหรับตัวเราดีที่สุดค่ะ

ไม่มีใครรักตัวของเรา เท่าเราค่ะ
ไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้กับเราได้อย่างแท้จริงตลอดไป สุดท้ายก็ลำพังแต่เราเพียงผู้เดียวค่ะ

ขอให้เข้มแข็งและจดจ่ออยู่กับการทำสิ่งดีๆ ให้ตนเองกันไว้ค่ะ
ความดีที่พระพุทธองค์ตรัสสอน ใครทำตามได้มากได้ถูกต้อง ผู้นั้นก็จะมีความสุขค่ะ

:b49: :b49: :b49: :b49: :b49: :b49: :b49: :b49:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

วัดท่ามะโอ ( wattamaoh )
17 พฤศจิกายน

8 ข้อปฏิบัติเพื่อฝึกหาความสุข

1. ฝึกมองตัวเองให้เล็กเข้าไว้ หมายความว่า จงเป็นคนตัวเล็ก อย่าเป็นคนตัวใหญ่ จงเป็นคนธรรมดา อย่าเป็นคนสำคัญ เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา อย่าไปให้ความสำคัญกับตัวเองมากไป

2. ฝึกให้ตัวเองเป็นนักไม่สะสม หมายความว่า การสะสมอะไรสักอย่างนั้นเป็นภาระ ไม่มีอะไรที่เราสะสมแล้วไม่เป็นภาระยกเว้นความดี นอกนั้นล้วนเป็นภาระทั้งหมดไม่มากก็น้อย

3. ฝึกให้ตนเองเป็นคนสบายๆ หมายความว่า อย่าไปบ้ากับความสมบูรณ์แบบ เพราะความสมบูรณ์แบบมันไม่มีจริง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองว่า ความสมบูรณ์แบบมีจริง

4. ฝึกให้ตัวเองเป็นคนนิ่งๆ หรือไม่ก็พูดในสิ่งที่ดีๆ หมายความว่า ถ้าอะไรไม่ดีก็อย่าไปพูดมากไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด แต่ถ้ามันไม่ดี เป็นไปได้ก็ไม่ต้องพูด เพราะการพูด หรือวิจารณ์ในทางเสียหายนั้น มีแต่ทำให้จิตใจตนเองตกต่ำ และขุ่นมัว

5. ฝึกให้ตัวเองรู้ธรรมชาติว่า อะไรๆ ก็ผ่านไปเสมอ หมายความว่า เวลามีความสุข ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความสุขมันก็ผ่านไป เวลามีความทุกข์ ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความทุกข์ก็ผ่านไป เวลามีสถานการณ์แย่ๆ เกิดขึ้น ก็ให้รู้ทันว่า เรื่องราวเหล่านี้ มันไม่ได้อยู่กับเราจนวันตาย

6. ฝึกให้ตัวเองเข้าใจเรื่องของการนินทา หมายความว่า เราเกิดมาก็ต้องรู้ตัวว่า เราต้องถูกนินทาแน่นอน ดังนั้น เมื่อถูกนินทาขอให้รู้ว่า "เรามาถูกทางแล้ว" แปลว่า เรายังมีตัวตนอยู่บนโลก คนที่ชอบเต้นแร้งเต้นกา กับคำนินทาก็คือคนไม่รู้เท่าทันโลก แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ก็ยังนินทาลูก คนเป็นลูกก็ยังนินทาพ่อแม่ นับประสาอะไรกับคนอื่น ถ้าเราห้ามตัวเองไม่ให้นินทาคนอื่นได้เมื่อไหร่ ค่อยมาคิดว่า เราจะไม่ถูกนินทา

7. ฝึกให้ตัวเองพ้นไปจากความเป็นขี้ข้าของเงิน หมายความว่า เราต้องหัดพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ รถยนต์ใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน นาฬิกาใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน เสื้อผ้าใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน การที่คนเราจะเลิกเป็นขี้ข้าเงินได้ ต้องเริ่มจากการรู้จักเพียงพอก่อน เมื่อรู้จักพอแล้ว ก็ไม่ต้องหาเงินมาก เมื่อไม่ต้องหาเงินมาก ชีวิตก็มีโอกาสทำอะไรที่มากกว่าการหาเงิน

8. ฝึกให้ตัวเองเสียสละ และยอมเสียเปรียบ หมายความว่า การที่คนๆ หนึ่งยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องจำเป็น ใครก็ตามที่บ้าความถูกต้อง บ้าเหตุบ้าผล ไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลย ไม่ช้า คนๆ นั้นก็จะเป็นบ้าสติแตก กลายเป็นคนที่ถูกทุกอย่างแต่ไม่มีความสุข เพราะต้องสู้รบกับคนรอบข้างเต็มไปหมดเพื่อความถูกต้องที่ตนเองยึดมั่นถือมั่น

:b49: :b49: :b49: :b49: :b49: :b49: :b49: :b49:

วัดท่ามะโอ ( wattamaoh )
15 พฤศจิกายน

โลกพร่อง

คนทั่วไปมักไม่พอใจกับสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน คิดว่าสิ่งอื่นดีกว่าสิ่งที่มีอยู่แล้ว ทำให้ต้องวิ่งไล่ไขว่คว้าอยู่เรื่อยไป คนจนทำงานเพราะความขัดสน คนรวยทำงานเพราะยังรวยไม่พอ

ในพระสูตรกล่าวว่า เทวดาอยากเกิดเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถสร้างศรัทธาในพระศาสนาและขวนขวายปฏิบัติธรรมจนกระทั่งบรรลุธรรมได้ แต่มนุษย์อยากเกิดเป็นเทวดาเพื่อเสวยสุขในสวรรค์

ตอนแรกเราอาจตั้งใจมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสร้างศรัทธาที่มั่นคงจากการบรรลุธรรม แต่พอเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ไม่ว่างปฏิบัติธรรม อยากร่ำรวย จึงเอาเวลาไปทำงานแลกเงิน ส่วนคนที่ไม่มีโอกาสหรือความสามารถเช่นนั้น ก็จะหาเงินด้วยการคดโกงข่มขู่คนอื่น

จะเห็นได้ว่า คนส่วนใหญ่ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เราครอบครอง แต่คิดถึงความสุขที่ยังมาไม่ถึง ดังนั้น คนที่เป็นโสดจึงอยากแต่งงาน คนที่แต่งงานแล้วอยากกลับมาเป็นโสด พระอยากลาสิกขาไปมีครอบครัว ฆราวาสที่มีครอบครัวแล้วอยากมาบวชพระ ดังนี้เป็นต้น

ทั้งหมดนี้เกิดจากโลกพร่อง เพราะชาวโลกเป็นทาสของตัณหาที่เปรียบเสมือนแม่น้ำอันพร่องอยู่เสมอไม่เต็มฝั่ง ดังพระพุทธดำรัสว่า

นตฺถิ ตณฺหาสมา นที.

"แม่น้ำที่เสมอด้วยตัณหาไม่มี"

ดังนั้น เราจึงควรเห็นคุณค่าของสถานะที่มีอยู่ หรือคนรักที่อยู่ด้วยกัน อย่าไปคาดหวังอนาคตที่ว่างเปล่า ควรรักษาปัจจุบันให้ดีที่สุดเสมอ จึงจะไม่เสียใจภายหลังว่า "ทำพลาดเพราะโลภมาก" ตามคำพังเพยพม่ากล่าวว่า
"จงทำสิ่งที่เป็นไปได้ อย่าทำสิ่งที่น่าจะเป็น"

:b8: :b8: :b8:

รูปภาพ
ภาพจากWow! I love these pics.

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2015, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว




image.jpg
image.jpg [ 216.07 KiB | เปิดดู 4484 ครั้ง ]
http://m.youtube.com/watch?list=RDFJoUV ... s=OAI%253D

ขอให้ทุกๆท่านมีความสุขค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2016, 13:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

พระพุทธพจน์

โย น หนฺติ น ฆาเตติ
น ชินาติ น ชาปเย
เมตฺตโส สพฺพภูตานํ
เวรนฺตสฺส น เกนจิ.
ผู้ใดไม่ฆ่า (สัตว์) เอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า
ไม่ชนะเอง ( คือไม่ทำความเสื่อมให้ผู้อื่นด้วยตนเอง )
ไม่ให้ผู้อื่นชนะ ( คือไม่ใช้ให้ผู้อื่นทำความเสื่อมแก่ผู้อื่น )
ผู้นั้นชื่อว่ามีเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวง และไม่มีเวรกับใครๆ
จาก เมตตสูตร อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๙๑

อกฺโกเธน ชิเน โกธํ
อสาธุ สาธุนา ชิเน
ชิเน กทริยํ ทาเนน
สจฺเจนาลิกวาทินํ.
พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ
พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดีพึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลวไหล ด้วยคำจริง
จาก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท โกธวรรค ข้อ ๒๗

ชยํ เวรํ ปสวติ
ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต
อุปสนฺโต สุขํ เสติ
หิตฺวา ชยปราชยํ.
ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์
บุคคลละความชนะและความแพ้เสียแล้วจึงสงบระงับอยู่เป็นสุข
จาก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท สุขวรรค์ ข้อ ๒๖

:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

อยู่ด้วยความรัก โดย อ.ปราณีต ก้องสมุทร
http://www.84000.org/tipitaka/book/bookpn07.html

"ขันติ" คือ อโทสะ ความไม่โกรธ มากเป็นพิเศษ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2016, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาเพลงมาฝากค่ะ

[MV] HIGH4, IU(하이포, 아이유) _ Not Spring, Love, or Cherry Blossoms(봄,사랑,벚꽃 말고)

https://www.youtube.com/watch?v=ouR4nn1G9r4


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


TAEYEON 태연_ I (feat. Verbal Jint)_Music Video

https://www.youtube.com/watch?v=4OrCA1OInoo


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


Girls' Generation 소녀시대_Lion Heart_Music Video

https://www.youtube.com/watch?v=nVCubhQ454c


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โอ้รัก.....ปุ้ย ดวงพร
https://www.youtube.com/watch?v=e3kwLInOy3U


เพลง : โอ้รัก
ศิลปิน : ปุ้ย ดวงพร

โอ้รัก เป็นเจ้าจอมบงการ
มีพลังบันดาล ลิขิตชีวิตคน
ผลักดันให้พบเรื่องราว
เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน
เหมือนมีเวทมนต์ บังคับให้เป็นไป

โอ้รัก เจ้าไม่มีรูปแบบ
จึงเข้ามาเนียนแนบ แฝงอยู่อย่างแยบคาย
จิตใจก็ของของเรา
กลับกลายเป็นของของใคร
เผลอไม่ทันไร เจ้าความรักก็สั่งการ

ให้มีหมื่นเหตุผล ว่ามันไม่ควรรัก
แต่ช่างยากยิ่งนัก รักเจ้าเอาแต่ใจ
ควรนะ ควรหรือเปล่า ดีนะ ดีหรือไม่
ต่อให้จะสงสัย คิดไปยิ่งป่วยการ
ให้มีกี่เหตุผล ก็รู้สึกอย่างนี้
เขายิ้มให้สักที แล้วใยเราเบิกบาน
คงเพราะมีต้นเหตุ ให้สิ้นแรงทัดทาน
ความรัก เจ้าบันดาลทุกอย่างข้างในใจ

โอ้รัก พาฉันมาพบเธอ
เพียงแค่ในแรกเจอ ทุกสิ่งก็เพี้ยนไป
สะเทือนเมื่อเห็นสายตา
สะกดความคิดข้างใน
เพราะรักนี่ไง ให้เธอเข้ามาระราน

http://radio.sanook.com/music/player/17 ... 1%E0%B8%81

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2016, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑
ขุททกนิกาย มหานิทเทส
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 084&Z=3567

ติสสเมตเตยยสุตตนิทเทสที่ ๗
[๒๒๔] (ท่านพระติสสเมตเตยยะ กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า)
ข้าแต่พระองค์ผู้หาทุกข์มิได้ ขอพระองค์จงตรัสบอกซึ่งความคับแค้น
ของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม พวกข้าพระองค์ได้ฟัง
คำสอนของพระองค์แล้ว จะศึกษาในวิเวก.

ว่าด้วยเมถุนธรรม
[๒๒๕] คำว่า ของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม ความว่า ชื่อว่าเมถุนธรรม
ได้แก่ ธรรมของอสัตบุรุษ ธรรมของชาวบ้าน ธรรมของคนเลว ธรรมชั่วหยาบ ธรรมมีน้ำเป็นที่สุด
ธรรมอันพึงทำในที่ลับ ธรรมคือความถึงพร้อมแห่งคนคู่ๆ กัน. เพราะเหตุไร จึงเรียกว่า เมถุน-
*ธรรม. เพราะเป็นธรรมของคนทั้งสองผู้กำหนัด กำหนัดกล้า ผู้ชุ่มด้วยราคะ มีราคะกำเริบขึ้น
มีจิตอันราคะครอบงำ เป็นธรรมของคนเช่นเดียวกันทั้งสองคน เพราะเหตุดังนี้นั้น จึงเรียกว่า
เมถุนธรรม. คนสองคนทำความทะเลาะกัน เรียกว่าคนคู่ คนสองคนทำความมุ่งร้ายกัน เรียกว่าคนคู่
คนสองคนทำความอื้อฉาวกัน เรียกว่าคนคู่ คนสองคนทำความวิวาทกัน เรียกว่าคนคู่ คนสองคน
ก่ออธิกรณ์กัน เรียกว่าคนคู่ คนสองคนพูดกัน เรียกว่าคนคู่ คนสองคนปราศรัยกัน เรียกว่าคนคู่
ฉันใด ธรรมนั้นเป็นธรรมของคนทั้งสองผู้กำหนัด กำหนัดกล้า ผู้ชุ่มด้วยราคะ มีราคะกำเริบขึ้น
มีจิตอันราคะครอบงำ เป็นคนเช่นเดียวกันทั้งสองคน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น
จึงเรียกว่า เมถุนธรรม. คำว่า ของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม คือ ของบุคคลผู้ประกอบ
ประกอบทั่ว ประกอบเอื้อเฟื้อ ประกอบพร้อมในเมถุนธรรม คือ ประพฤติในเมถุนธรรม มักมาก
ในเมถุนธรรม หนักอยู่ในเมถุนธรรม น้อมไปในเมถุนธรรม โน้มไปในเมถุนธรรม โอนไปใน
เมถุนธรรม น้อมใจไปในเมถุนธรรม มีเมถุนธรรมนั้นเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ของ
บุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม.

[๒๒๖] คำว่า ท่านพระติสสเมตเตยยะกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า มีความว่า ศัพท์ว่า
อิติ เป็นบทสนธิ เป็นบทอุปสัคคะ เป็นบทปูรณะ เป็นศัพท์ประชุมอักขระ เป็นศัพท์สละ
สลวยด้วยพยัญชนะ เป็นลำดับบท. คำว่า อายสฺมา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก เป็นเครื่องกล่าว
ด้วยความเคารพ เป็นเครื่องกล่าวเป็นไปกับด้วยความเคารพ เป็นเครื่องกล่าวด้วยความยำเกรง
คำว่า ติสฺส เป็นนาม เป็นเครื่องนับ เป็นเครื่องหมายรู้ เป็นบัญญัติ เป็นโวหาร เป็นชื่อ
เป็นความตั้งชื่อ เป็นความทรงชื่อ เป็นเครื่องกล่าวถึง เป็นเครื่องแสดงความหมาย เป็นเครื่อง
กล่าวเฉพาะ แห่งพระเถระนั้น. คำว่า เมตเตยยะ เป็นโคตร เป็นเครื่องนับ เป็นเครื่องหมาย
รู้ เป็นบัญญัติ เป็นโวหาร แห่งพระเถระนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ท่านพระติสสเมตเตยยะ
กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า.

[๒๒๗] คำว่า ข้าแต่พระองค์ผู้หาทุกข์มิได้ ขอพระองค์จงตรัสบอกความคับแค้น
(ของบุคคลผู้ประกอบเนืองๆ ในเมถุนธรรม) มีความว่า ขอพระองค์จงตรัสบอก คือ โปรดบอก
ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ประกาศซึ่งความคับแค้น คือ ความ
เข้าไปประกอบ ความเบียดเบียน ความกระทบกระทั่ง ความทรมาน ความขัดข้อง. คำว่า
มาริสะ เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก เป็นเครื่องกล่าวด้วยความเคารพ เป็นเครื่องกล่าวด้วยยำเกรง
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระองค์ผู้หาทุกข์มิได้ ขอพระองค์จงตรัสบอกความคับแค้น.
[๒๒๘] คำว่า ได้ฟังคำสอนของพระองค์แล้ว มีความว่า ได้ฟัง ได้สดับ ศึกษา
เข้าไปทรง เข้าไปกำหนดแล้ว ซึ่งคำเป็นทาง เทศนา คำพร่ำสอนของพระองค์ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ได้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์แล้ว.

ฯลฯ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2019, 19:04 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss :b8: :b20:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร