วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 20:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2013, 08:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2012, 19:33
โพสต์: 117


 ข้อมูลส่วนตัว




คำอธิบาย: ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
p31675151119-1.jpg
p31675151119-1.jpg [ 126.09 KiB | เปิดดู 3119 ครั้ง ]
เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ
ขอน้อมถวายพระพรแด่องค์สมเด็จพ่อของแผ่นดิน
ขอให้พระพลานามัยแข็งแรง พระชนมายุยิ่งยืนนาน


แก้ไขล่าสุดโดย poomipat เมื่อ 06 ธ.ค. 2013, 08:54, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2013, 08:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2012, 19:33
โพสต์: 117


 ข้อมูลส่วนตัว




13862215853791-430x263-2.jpg
13862215853791-430x263-2.jpg [ 16.5 KiB | เปิดดู 3119 ครั้ง ]
ขอให้มีพระพลานามัยแข็งแรง
พระชนมายุยิ่งยืนยาน...
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2013, 08:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2012, 19:33
โพสต์: 117


 ข้อมูลส่วนตัว




images (10).jpg
images (10).jpg [ 11.16 KiB | เปิดดู 3119 ครั้ง ]
พ่อ ผู้ทรงงานหนักตลอดเวลา
พ่อผู้ให้...คนไทยทั้งแผ่นดิน
ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2013, 12:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2012, 19:33
โพสต์: 117


 ข้อมูลส่วนตัว




ในหลง.JPEG
ในหลง.JPEG [ 36.89 KiB | เปิดดู 3113 ครั้ง ]
ขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง
ที่มีไมตรีจิต พร้อม ๆ กันมาให้พรวันเกิด
รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาด้วยประการต่าง ๆ
ข้าพเจ้าขอสนองพรและไมตรีจิตเหล่านั้นด้วยใจจริงเช่นกัน

บ้านเมืองของเราสงบสุขมาช้านาน เพราะเรามีความเป็นปึกแผ่นในชาติ
และต่างบำเพ็ญกรณียกิจทำหน้าที่ให้สอดคล้องเกื้อกูลกันเพื่อประโยชน์ของชาติ
คนไทยทุกคนจึงควรจะตระหนักในข้อนี้ให้มากและตั้งใจประพฤติตัว
ปฏิบัติงานให้สมภาระและหน้าที่ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวม
เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของชาติบ้านเมืองไทย

ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้มีแต่ความสุข ความเจริญตลอดไป "

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ณ มหาสมาคม วังไกลกังวล วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๖


****************************************

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2013, 17:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


poomipat เขียน:
ปลีกวิเวก เขียน:

จริงๆ แล้วให้กำหนดรู้ไปตามสภาพของใจที่รับรู้ในขณะนั้นๆ รู้ตามที่เขาเป็น
เพื่อให้ใจยอมรับความเป็นจริงว่าขันธห้านี้มีความเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
ควบคุมบังคับบัญชาเขาไม่ได้...เขาจะแสดงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอยู่ตลอดเวลา
...ความรู้สึกยินดีพอใจในสภาวะธรรมที่ ไม่ปรุงแต่ง ไม่หวั่นไหว ก็ให้ปล่อยวางเช่นกันเพราะมันก็เป็นเพียงแค่สภาวะธรรมที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คงอยู่อย่างนั้นไม่ได้ ...จิตนั้นมีสภาพรู้อารมณ์
ผานทางทวารทั้งหก อยู่ตลอดเวลา...
..การที่ใจคิดนึกท้าทายผัสสะที่กล่าวมา...ยังไม่ใช่เป็นการระลึกรู้อารมณ์ที่ปล่อยวาง...แต่มันมีความยินดีพอใจในสภาวะธรรมนั้นอยู่...เหมือนวางอย่างหนึ่งลงได้..แต่ก็ไปยึดสภาวะอารมณ์ที่น่ายินดีพอใจอีกอย่างแทน..ลักษณะของอัตตามันจะเป็นอย่างนี้..มันยึดว่าเป็นเราอยู่นั่นแหละ...
...เมื่อมีอาการอย่างนี้ก็ให้กำหนดรู้มาที่ใจหรือผู้รู้นั้น...ผู้ที่รู้ยินดีพอใจก็จะดับไปหมดไป...ก็จะเห็นว่าอ้อ! ผู้รู้ความยินดีพอใจก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน..ไม่ใช่ตัวเราของเราอีกนั่นแหละ... :b41:
:b48: ..ค่อยๆปฏิบัติไปแล้วจะเข้าใจสภาวะธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ

เจริญในธรรมค่ะ :b41:



หลายครั้ง ...หลายครา..เหมื่อนว่าจิตรับรู้ตามสภาวะธรมมนั้นๆ....
แต่บางครั้งกลับรู้สึกว่า...กดดันตัวเองเกินไปหรือเปล่า
เมื่อสิ่งที่มากระทบไม่ใช่อย่างที่ใจคิด.....แว๊บแรกยังเป็นความทุกข์ผุดขึ้นมาก่อนเสมอ
พยายามนำ...บทธรรมที่คุณปลีกวิเวกแนะนำมาตีแผ่
กำกับจิตตัวเองให้รู้เท่าทันก่อนความทุกข์จะขึ้นมา...แต่ก็ยังไม่ทัน

ตั้งแต่ไปอยู่ที่อินโดนีเซีย ยังไม่มีเวลาปฏิบัติแบบจริงจัง
ความเชืื่อของคนแถบเกาะชะวา ยังเชื่อเรื่องผี ...เรื่องคนทรงเจ้า
เกรงว่า...กำลังจิตไม่พอ เดี๋ยวเจ้าถิ่นมาเยือนจะยุ่งเอา



tongue สวัสดีค่ะ คุณpoomipat

การที่เราเข้าไปบังคับ อารมณ์ ที่ปรากฏ ให้ได้อย่างใจที่ต้องการ อาจจะกลายเป็นการสร้างความกดดันให้กับตนเองโดยผลอาจจะออกมาในอาการ ขัดเคืองใจ ไม่พอใจ เสียใจ หรือ โกรธ เช่น นั่งสมาธิอยากได้ความสงบ แต่นั่งไปแล้วไม่สงบกลับกลายเป็นความฟุ้งซ่าน รำคาญใจแทน ก็รู้สึกไม่พอใจ ไม่ได้อย่างใจ แล้วพยายามไปกดข่มให้ความฟุ้งซ่านหายไปเพื่อให้ได้ความสงบ อย่างนี้อาจทำให้เกิดการกดดันตัวเอง ผลที่ตามมาคือ อาจปวดศรีษะ มึนหัว หรือจุกแน่น เป็นต้น ส่งผลในทางลบต่อร่างกาย
วิธีแก้ไขก็คือให้รู้ตามสภาวะที่เกิดขึ้นแต่ละขณะๆ รู้ตามไปเรื่อยๆ อย่าไปบังคับ หรือพยายามเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามความอยาก หรือไม่อยากของเรา สิ่งเหล่านี้ควบคุมเขา(รูปและนาม)ไม่ได้จริงๆ รู้ไปตามที่เขาเป็น แล้วสาวเข้าไปให้ถึงเหตุของทุกข์ ทำบ่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ไม่หลงลืมสติ ถ้าปฏิบัติถูกต้อง ใจจะค่อยๆปล่อยวางในสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่น ว่าชอบ ไม่ชอบ รัก เกลียด สวยงาม ไม่สวยงาม เหล่านี้เป็นต้น เรื่องใดที่ปล่อยวางได้แล้ว ใจจะมีความเป็นกลาง มันจะเฉยๆกับสิ่งเหล่านั้นไปเองเป็นอัตโนมัติ จะเรียกว่ายังไงดี คือ มันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหละ เป็นธรรมดา ที่ต้องเป็นอย่างนั้น เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันไม่ไปปรุงแต่งต่อเติมไปตามความอยากหรือไม่อยากของเรา...
แต่ถ้าเราจะไปตั้งท่าไว้ว่าต้องมีสติ..และจะไม่ทุกข์ก่อนที่ความทุกข์จะเกิดขึ้น...อย่างนี้เรียกว่าไปกดข่ม บังคับ เท่ากับไปเพิ่มภวตัณหา หรือวิภวตัณหา เข้าไปอีกทำให้ตัณหามีกำลัง...จึงต้องรู้ด้วยความเป็นกลางอย่างที่เขาเป็น...โดยมองให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย...ไม่ใช่รู้เพื่อที่จะเอาหรือไม่เอาในความสุขหรือความทุกข์นั้น...

ยกตัวอย่างเช่น เราเข้าไปในที่ๆมีเสียงดัง ผู้คนวุ่นวายกันไปหมด โดยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบเสียงดัง ชอบอยู่เงียบๆ
แต่พอต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่อย่างนั้น ก็เกิดความไม่พอใจ ไม่ชอบ ....ความไม่พอใจเป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏขึ้นมาแล้วดับไปทันที..เพราะไม่เที่ยง... ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้..และก็ไม่ใช่ตัวตนของเราเพราะบังคับเขาไม่ได้...แล้วก็สืบสาวไปที่เหตุปัจจัย คือหูได้ยินเสียง เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม มีโสตวิญญาณ มีหู มีเสียง มีมนสิการ ก็ต้องได้ยินเสียงเป็นธรรมดาอย่างนั้นเอง...แต่ การไปปรุงแต่งเป็นความพอใจ ไม่พอใจ ความชอบ ความชัง เหล่านี้เป็นการไปสำคัญมั่นหมายไปตามความปรารถนาของเรา(อุปาทาน) เมื่อผลปรากฏว่ามันไม่เป็นไปอย่างที่ปรารถนาก็เป็นทุกข์ (ความยึดมั่นถือมั่นเป็นเหตุของทุกข์) เพราะความไม่รู้ความจริงของเราว่ารูปและนามนี้ เกิดขึ้นแล้วหมดไปตลอดเวลา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ควบคุมบังคับเขาไม่ได้และเขาก็มีความเป็นไปตามเหตุปัจจัย.....มิได้เป็นเรา หรือของเราแต่ประการใด....เมื่อเรารู้ความจริงอย่างนี้ก็ไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อเติมอะไร...ใจมันก็ไม่ไปยึดแล้ว มันปล่อยของมันเอง...

จะว่าไปแล้วก็มีแต่รูปและนามเท่านั้น ที่เกิดขึ้นหมดไป แล้วก็เกิดใหม่เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา....เดี๋ยวหูก็ได้ยินเสียง ตาก็เห็นสี ลิ้นรู้รส จมูกได้กลิ่น กายรู้สัมผัสความร้อน ความเย็น ฯลฯ ใจก็นึกคิด อยู่ตลอดเวลา เกิดขึ้นหมดไปอยู่อย่างนั้นเอง...เคยได้ยินไหมการเกิดเป็นทุกข์....ทุกข์เพราะมีรูปมีนามหรือทุกข์เพราะการเกิดขึ้นของชีวิตนี้นี่เอง...ทุกข์ในที่นี้ไม่ได้หมายเอาทุกขเวทนาแต่หมายถึงทุกขังซึ่งทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ถ้าเราไปสัมพันธ์กับเขาด้วยความมั่นหมายว่าเที่ยง คงทน และบังคับบัญชาได้ ผลที่ได้รับคือความทุกข์ใจ เสียใจ คับแค้นใจ...ทุกข์ทางกายเราเลี่ยงไม่ได้...ต้องเป็นไปตามสภาพของสังขาร แต่ทุกข์ทางใจเราเลี่ยงได้ด้วยรู้เท่าทันความจริงของสังขารว่าไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ บังคับเขาไม่ได้....และวางใจให้ถูกตรง...ความทุกข์ใจก็จะไม่มี...

สรุปแล้วคือรู้ตามที่เขาเป็น (รูปและนาม)....รู้ตามไปแบบสบายๆ ไม่ต้องไปกดข่มแบบจะเอาสุข สงบ ไม่เอาทุกข์...ถ้ารู้แบบจะเอาให้ได้..มันไม่ใช่การปล่อยวาง (อุเบกขา) มันจะไปเพิ่มกำลังของตัณหาแทน..ถ้าปล่อยให้ใจเป็นอุเบกขามากๆ เข้ากำลังของตัณหาจะอ่อนกำลังและค่อยๆหมดไป...ใหม่ๆอาจจะต้องคิดในเชิงกุศลเป็นตัวช่วยเพราะตัณหายังมีกำลังมาก...คือละจากอกุศลโดยปลุกเร้ากุศลให้เจริญหลังจากนั้นก็ค่อยๆปล่อยกุศลไปเป็นอุเบกขา อันนี้ในเชิงคุณภาพของจิต..แต่ในเชิงปฏิบัติการยังคงต้องทำกุศล สร้างกุศลแต่ทำด้วยใจที่ปล่อยวาง...
แต่ถ้าตัณหามีกำลังมากพอที่จะล่วงละเมิดออกมาทาง กายและวาจา ที่ผิดศีล หรือผิดกฎหมายอย่างนี้ต้องกดข่มไม่ให้ล่วงละเมิดนะ ไม่ใช่แค่รู้ตามอย่างที่เขาเป็นแบบนี้ไม่ได้...

พูดไปเสียยืดยาว..ก็พยายามจะสื่อสารให้คุณเข้าใจ แต่ต้องขอบอกว่าการเอาความรู้สึก หรือนามธรรมมาสื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจมันเป็นเรื่องยาก..คำพูดหรือภาษาไม่อาจทดแทนความรู้สึกได้ทั้งหมด...จึงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายหรือสื่อให้เข้าใจกันได้ง่ายถ้าอ่านแล้วสับสนก็ต้องขออภัย..

:b41: :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 10:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2012, 19:33
โพสต์: 117


 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วงนี้ต้องยืดอกยอมรับความจริง
ว่าเรา ห่างไกลการปฏิบัติไปมากมายทีเดียว

การก้าวออกไปสู่โลกภายนอก
เป็นอะไรที่ท้าทายความสามารถ
ต้องใช้วิชาความรู้ที่มีอยู่...และไม่มีต้องค้นคว้าตลอดเวลา

และเป็นความโชคดีที่มีพื้นฐาน..นำหลักการของสมเด็จพ่อ องค์ตถาคต
ไปใช้ในชีวิตการทำงานกับสังคมที่เราไม่คุ้นชิน
ปัญหาทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรมจะมากหรือน้อย

อยู่ที่ใจเรา หมายมั่นว่ามันมาก ...มันก็มาก
หมายมั่นว่ามันน้อย..มันก็น้อย...พลังต่อสู่มันก็มาก

วันนี้ภูมิใจที่ได้เกิดมาใต้ร่มบารมีของพ่อ
และได้ใช้หลัก ยืดกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น แล้วจะไม่หวั่นไหวเลย
มีความรู็สึกเสมอว่า....เมื่อสติเรามั่นเหมือนพ่อคอยดูเราตลอดเวลา
ปัญหาที่เรามีคำถามกับตัวเอง..ว่าฉันจะผ่านได้หรือเปล่านะ

เพื่อนๆลองนำไปใช้สิคะ...และใช้อย่างไม่หวังผล
ใช้ด้วยใจตั้งมั่น และศรัทธา ....

อีกไม่กี่วันจะได้กลับไทยแล้ว....คิดถึงๆๆๆๆๆๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2014, 14:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2012, 19:33
โพสต์: 117


 ข้อมูลส่วนตัว


สงสัยตัวเองจะหลุดออกจากขอบลานเสียแล้ว

วันพรุ่งนี้เป็นวันมาฆบูชา ปีที่แล้วยังได้ปวารณาตัว
ตั้งจิตตรงต่อองค์สมเด็จพ่อ ตถาคต
ณ วันนี้ยังอยุ่ต่างประเทศอยู่เลย
ช่วงนี้ชีวิตมีแต่งานๆๆๆๆๆ เดินทางตลอด

จำไม่ได้ว่า..ปีที่แล้วอธิฐานสิ่งใด ให้กับตัวเอง
เหตุไฉน..ได้พลัดพรากจากคนที่รักขนาดนี้หนอ ...


แต่เอาเถอะ ระยะทางไม่ใช่สำคัญ ....
อาจมีบ้างในบางเวลา...พยายามควบคุมสติให้มั่นคง
ก็ไม่มีสิ่งใดทำลายความเข้มแข็งได้....Strong heart


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร