วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 11:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2012, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


มีคำศักดิ์สิทธิ์อยู่คำหนึ่งในศาสนาพุทธ
คือคำว่า "ปล่อยวาง"
คำนี้ถ้าพูดกันเล่นๆ ก็เหมือนไม่มีทางทำได้จริง
แต่หากพูดซ้ำบ่อยๆ เหมือนสวดมนต์
หลายคนก็พบความน่าอัศจรรย์ของคำๆนี้ได้เหมือนกัน

อย่างพวกที่ชอบบู๊แหลก
ไม่ยอมใคร ไม่กลัวการมีเรื่อง
พอใช้ชีวิตแบบเห็นทุกเรื่องคอขาดบาดตายมากเข้า
ก็ชักเริ่มคร้านจะก่อเรื่อง
เริ่มเอือมระอากับการมีเรื่อง
ที่ตรงนั้นใจที่ล้าๆ จะเริ่มผลิตคำว่า "ปล่อยวาง" ออกมาเอง
ยิ่งถ้ารู้สึกว่าเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา
ก็พลอยลากจูงให้สนใจรายละเอียดของการปล่อยวางมากขึ้นได้

ถ้าคุณหมั่นคิดถึงคำว่า "ปล่อยวาง" ขณะที่กำลังเป็นทุกข์
ใจที่ถูกปรุงแต่งด้วยคำๆ นี้จะสำแดงอาการ "คลาย" ออกมาชั่วขณะหนึ่ง
เป็นชั่วขณะที่คุณรู้สึกได้ถึงความแตกต่างเป็นตรงข้าม
กับอาการยึดเอาไว้ กุมแน่นเอาไว้

หลายคนท่องคำว่า "ปล่อยวาง" ขึ้นใจ
จนนึกว่าเข้าถึงแก่นสารสาระของศาสนาแล้ว
เพราะพอทำท่าจะเกิดกิเลสชนิดใดขึ้นมา
ก็งัดเอาไม้ตายคือ "ปล่อยวาง" มาใช้
ซึ่งมักได้ผลแบบวูบๆวาบๆอยู่เรื่อยๆ
และระยะเวลาเว้นวรรคอาการยึดมั่น
ก็มักทอดเวลาห่างออกไปมากขึ้น
บางทีอาจเป็นวันๆ หรือหลายวัน
ตามการสั่งสมประสบการณ์ปรุงแต่งจิตด้วยคำว่า "ปล่อยวาง" มา

สำหรับท่านที่เข้าข่ายนี้นับว่าดีนะครับ
เป็นวิธีง่ายๆ ที่ได้ผล ไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก
แต่ควรทำความเข้าใจว่านี่เป็นการปล่อยวางแบบคิดนำ
ไม่ใช่อาศัยสติรู้เป็นตัวนำ

การอาศัยสติรู้และยอมรับตามจริงคืออย่างไร?
คือการที่เราไม่แค่ "มองไปทางอื่น" ด้วยความคิดปล่อยวาง
แต่เป็นการ "มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า" ด้วยใจที่เงียบเชียบ

อย่างเช่นถ้าเป็นทุกข์
เราจะไม่คิดปล่อยวางเพื่อให้จิต "เมิน" ความทุกข์
แล้วหันมาหาอาการวางๆ ว่างๆ
ซึ่งมักเกิดผลเป็นความรู้สึกสำคัญว่าเราวางได้แล้ว ว่างได้แล้ว
แต่จะเป็นการยอมรับว่าขณะนี้ทุกข์ขนาดไหน
ซึ่งเท่ากับเป็นการ "มอง" ความทุกข์ให้เห็น
เพื่อที่อึดใจต่อมาจะได้ถามตัวเองใหม่ว่า
ที่ทุกข์อยู่นั้น มากขึ้นหรือน้อยลง

คุณอาจไม่รู้สึก "ปล่อยวาง" ขึ้นมาทันทีทันใด
ที่เห็นระดับความทุกข์มันไม่เท่าเดิม
แต่เห็นบ่อยเข้าจะรู้สึกอย่างแจ่มชัดว่าเออ!
มันมีขึ้นมีลง ไม่เที่ยงจริงๆด้วย

ตรงที่รู้สึกถึงความไม่เที่ยงของความทุกข์นั่นแหละ
ใจจะไม่ผลิตคำว่า "ปล่อยวาง" ออกมา
แต่จะเกิดอาการ "ไม่เอา" หรือ "ทิ้ง" อย่างแท้จริง
และเมื่อทิ้งขว้าง ไม่ยึดเอาภาวะตรงหน้าว่าเป็นตัวเราบ่อยเข้า
ในที่สุดก็หมดจากอาการหวงทุกข์อย่างสิ้นเชิงไปเอง

โดย ดังตฤณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2012, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามที่มักมีคนถามผมเสมอคือ ผมเริ่มต้นการเขียนจากแรงจูงใจอะไร

ที่อยากเขียนส่วนหนึ่งเพราะผมจบวารสารศาสตร์ จากธรรมศาสตร์ มันมีสัญชาตญาณรักการขีดๆ เขียนๆ มานาน ไม่ได้เขียนเป็นอาชีพ ก็เขียนแบบสมัครเล่นก็ได้ ใครจะทำไม

จริงๆ ก็ไม่มีใครเขาจะมาทำไมหรอก เขียนเท่ๆ ไปงั้นเอง ^^ ถ้านึกอยากเอาหลังเท้าสะกิดผมเล่นด้วยความเอ็นดู ก็สงวนเท้าไว้ก่อนก็แล้วกันนะ เดี๋ยวเท้าท่านจะมีราคี แหะแหะ

แรกเริ่มเดิมที บล็อกที่ผมเขียนก็มีคนรู้จักไม่มากนัก จากที่เคยเขียนแล้วมีคนอ่านวันละสี่ซ้าห้าคน ก็เริ่มมีคนเข้ามาอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นผู้ฟังรายการวิทยุที่ผมเคยจัด อีกส่วนก็เป็นชาวบล็อกเกอร์ด้วยกันเองมาช่วยอ่าน ชะรอยว่ากลัวผีจะหลอกคนเขียนจนจับไข้หัวโกร๋นไปเสียก่อน

พอเริ่มมีคนชอบเอาไปส่งต่อให้เพื่อนทางอีเมล์บ้าง เอาลิงค์ไปบอกต่อกันบ้าง ยิ่งพอได้รวมเล่มเป็นหนังสือ “ธนาคารความสุข” บล็อกเล็กๆ ของผมก็เริ่มมีคนมากหน้าหลายตาแวะเวียนกันเข้ามาอ่านเพิ่มขึ้นไปอีก จากที่อ่านและออกความเห็นปกติ ก็เริ่มมีคนเขียนมาปรึกษาปัญหาจิปาถะชนิดไม้จิ้มฟันยันดาวเทียม แต่หนึ่งในปัญหายอดฮิตที่มีคนถามบ่อยและมากที่สุด คุณคงเดาได้ว่า คือเรื่องอกหัก นั่นแหละ

เคยมีคนวิเคราะห์ว่า ผมมักจะมีวิธีแนะนำคนที่อกหักได้ดุเด็ดเผ็ดเจ่อเหมือนเอาทิงเจอร์ราดลงบนแผล แสบนิดสะกิดหน่อยแต่ถ้าทนได้ก็หายเร็ว แต่มิวายที่บางคนจะย้อนผมว่า “ก็พี่ไม่ได้เป็นคนอกหัก ก็พูดได้สิ”

สำหรับคนที่จบจากคณะในสายสื่อสารมวลชนแบบผม เราจะมีศัพท์เรียกกันว่า พวกนกน้อยในไร่ส้ม แต่โดยส่วนตัวเคยรู้สึกว่าถ้าผมเป็นนกจริงๆ แล้วไซร้ ไอ้นกแบบผมคงไม่ได้อยู่ในไร่ส้ม แต่อยู่ในไร่แห้ว

ถ้าจะบอกว่า ผมเริ่มต้นรู้จักความรักพร้อมกับการมีไร่แห้วเป็นของตัวเอง ก็ไม่ผิดนะ เริ่มจากเป็นพวก Old Sunlight รู้จักไหม พวกแก่แดดน่ะ

คือไปแอบชอบเพื่อนที่เคยเรียนห้องเดียวกันสมัยประถมที่เชียงใหม่ แต่ไม่เคยกล้าบอก พอเข้ามาเรียนมัธยมในกรุงเทพฯ ก็ดันมาเรียนโรงเรียนชายล้วน อันนี้เรียกได้ว่าแห้วสนิทศิษย์ส่ายหน้า

ตอนเรียน ม.สาม อุตส่าห์มีโอกาสไปเจอสาวในโรงเรียนกวดวิชา และรวบรวมความกล้าเข้าไปชวนสาวสวยๆ คุยแต่ไม่ว่าจะกี่คนก็ดันเห็นผมเป็นเพื่อนไปเสียหมด เลยเริ่มรู้ว่าเรามีหน้าตาเป็นอาวุธก็ตอนนี้เอง ^^

นับแต่นั้นมาสถานะความเป็นชาวไร่แห้วของผมก็มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ตามชั่วโมงบิน กระทั่งมีแฟนกับเขาเป็นตัวเป็นตนคนแรกแล้ว ยังโดนบอกเลิกโดยไม่ทราบสาเหตุ ก็ยิ่งการันตีชั่วโมงบินของการชินกับความช้ำใจ

ว่ากันว่าชีวิตมักมีหนทางของมันเสมอ นอกจากจะเชี่ยวชาญในการแห้วแล้ว ผมก็เริ่มเรียนรู้การเป็นชาวสวนปลูกใบบัวบกไว้ซดแก้ช้ำในอีกแปลงหนึ่ง ควบคู่ไปกับแปลงสวนแห้ว

ตลอดระยะเวลาการสมหวัง ผิดหวัง ช้ำใน ลองผิดลองถูกมานานร่วมๆ ๒๐ ปี ผมเริ่มเรียนรู้ว่า การรักษาอาการอกหักนั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการยอมรับความจริง แล้วอยู่กับมันอย่างมีสติและปัญญา

ยอมรับความจริงว่าเวลาของคนคู่นี้มันหมดแล้ว จะด้วยเหตุประการใดก็ช่างหัวเผือกเถอะ อย่ามัวแต่ไปวิเคราะห์เจาะลึก เพราะเจาะให้สึกถึงแกนโลก ก็ไม่ทำให้อะไรมันกลับมา ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกดี หรือทำให้ใครเปลี่ยนใจได้หรอก

อยู่กับมันอย่างมีสติ คือไม่ปฏิเสธว่าการพลัดพรากจากของรักจากคนรักเป็นทุกข์ อันนี้พระพุทธเจ้าท่านการันตีให้ ท่านแจกแจงไว้ให้แล้วว่า ทุกข์น่ะมันมีตั้งแต่การเกิดแล้ว

ท่านบอกว่า การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเป็นทุกข์ ความโศกเศร้าร่ำไรรำพัน เป็นทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ เป็นทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ เป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจ เป็นทุกข์ และการอยากแล้วไม่สมอยาก ก็เป็นทุกข์

ฉะนั้นทุกข์เพราะอกหักก็ไม่ใช่ของใหม่ และใช่ว่าถ้าเราจะไม่รักใครเลย จะเงยคางเชิดหน้าอยู่บนคานทองอันผ่องศรี ก็ไม่ได้การันตีว่าเราจะหนีทุกข์พ้น เพราะมันก็มีทุกข์อื่นๆ รอเราอยู่

แต่การยอมรับทุกข์ด้วยสติ ไม่ได้แปลว่าเราควรปล่อยให้ตัวเองร่วมหัวจมท้ายอยู่กับความทุกข์ เพราะการรู้ทุกข์กับการจมทุกข์ มันไม่เหมือนกันนะครับ

รู้ทุกข์ คือการมีสติรู้สึกถึงทุกข์ด้วยใจที่เป็นกลาง ด้วยใจยอมรับ คือหนทางที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากทุกข์โดยไม่ปฏิเสธการมีอยู่ของมัน เหมือนคนที่ตกน้ำแล้วมีสติประคองตัวจนขึ้นฝั่งพ้นน้ำ ไม่ใช่ปฏิเสธว่าไม่มีน้ำ ไม่จริงๆ อิฉันไม่ได้จมน้ำ แต่พูดไปก็สำลักน้ำไปแบบนั้น

ที่เหลือก็เป็นแต่การมองสิ่งที่เกิดเป็นเรื่องธรรมชาติ ว่าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปทั้งนั้น เราไม่ใช่คนเดียวในโลกที่ต้องเจอความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก พูดให้ถูกกว่านั้นไม่มีใครเลยที่เกิดมาแล้วจะไม่เจอกับการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก คนที่รัก

อีกทั้งการอกหักอาจจะเป็นทุกข์ แต่คนที่อกหักไม่จำเป็นต้องทุกข์ไปกับเรื่องอกหัก หากมีสติและปัญญาที่มีคุณภาพพอ เว้นเสียแต่เราจะยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้จมและไหลไปในทุกข์ ซึ่งก็เท่ากับเราเลือกเอง

สุขสันต์วันที่เรายังเลือกได้ว่า จะเป็นนกอยู่ในไร่แห้วอย่างนี้ไปจนตาย... หรือจะบินไปไร่ส้ม นะครับ

โดย aston27
ที่มา http://bit.ly/xiU3gn


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2012, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ พี่แอสตั้น

ตอนนี้ตัวเองไม่มีความสุขเลยค่ะ
เลิกกับแฟนมานี่ผ่านมาเก้าเดือนแล้ว

ตอนแรกตั้งสติ เพื่อใช้ชีวิตต่อไปตามที่ได้อ่าน และมองตามจิตที่ไหลไป
แต่สองวันที่ผ่านมา พยายามแล้วก็เห็นว่า ในขณะที่จิตใจวกกลับไปคิดถึงแฟน
ด้วยเหตุที่ไปดูรูปของเค้ากับแฟนใหม่ที่เฟสบุ้ค มันทำให้เรารู้ตัวเลยว่า
เราเองยังคาดหวังเพื่อรอให้เค้ากลับมา

เราทะเลาะกันเค้าบอกว่า เราไม่แคร์เค้า เลยห่างกันไปสองอาทิตย์
จนเค้าส่ง sms มาบอกว่า เราจะไม่ติดต่อกันอีก เค้ากลับไปคบกับแฟนเก่าแล้ว

เสียความรู้สึก เสียใจ มันปนไปกันหมด
เค้าควรพูดจาต่อหน้าไม่ใช่หนีหายไป แต่เราก็โอเค เมื่อเค้าไม่ จะไปอะไรก็ไม่ควร

แล้วเค้าคบกับอีกคนแล้ว จะเข้าไปถามไปเจอ
ผู้หญิงอีกคนก็คงเสียความรู้สึกเหมือนที่เราเสียไป จึงต่างคนต่างอยู่มา

มันก็นานแล้วนะคะ เกือบปีแต่มาตกม้าตายแค่เห็นและอ่านคำบรรยายใต้ภาพว่าเค้ารักกันแค่ไหน

สองวันนี้ใจหมองหมอง คิดวนแต่เรื่องที่ผ่านไปไม่อาจกลับมา
รู้ตัวว่าไม่อยู่กับปัจจุบันและไม่สามารถทำให้สภาพจิตใจตัวเองดีขึ้น
รู้สึกตัวเองต่ำต้อย ด้อยค่า น่าสมเพชยังไงไม่รู้

เราสวดมนต์ ฟังซีดีพระท่านมาสองคืน นอนไม่หลับและฟุ้งซ่านมาก
รู้ตัวว่าฟุ้งซ่าน พยายามตั้งสติทำงาน และบอกตัวเองเสมอว่า
เกือบปีที่ผ่านมาก็อยู่ได้ แต่จะมาเป็นตายอะไรแค่วันนี้ ตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้น ใจมันอยากหลุดก็ยิ่งจมค่ะพี่

พี่แนะนำหลักปฏิบัติได้ไหมคะ
ในมันอิจฉาริษยา น่าละอายมากที่เรารู้สึกแบบนี้

พี่แนะนำคนโง่เขลาด้วยได้ไหมคะ

ขอบคุณค่ะ"

เวลาเราเจอทุกข์ เจอปัญหาถาโถมเข้ามา
เราอาจล้มได้บ้างเป็นธรรมดาครับ ไม่ใช่เรื่องโง่นักหนาหรอก

คนล้มเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะทรงตัวได้ในทุกเวลา
แต่เวลาล้มแล้ว อย่าลงไปเกลือกกลิ้งตีอกชกหัว ให้ตั้งสติแล้วรีบลุกขึ้นยืน

อะไรที่แล้วไปแล้ว ก็ต้องให้มันแล้วไปนะครับ
ใครจะชั่วจะดีกับเรา มันก็เป็นได้แค่ความทรงจำ

พี่เคยเขียนบทนึงในธนาคารความสุข เล่มหนึ่ง บอกว่า

ใจคนเราเหมือนห้องเก็บของ
เราชอบเอาของที่ไม่ได้ใช้โยนเข้าไปเก็บ วันดีคืนดีก็รื้อออกมาปัดฝุ่น
แล้วก็โยนกลับเข้าไปเก็บใหม่ ทั้งที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากมันหรอก

ชีวิตเรามีทุกข์บ้าง มีสุขบ้าง สลับกันไปมาแบบนี้แหละ
ไม่ว่าใครจะอยู่ ใครจะไป ใครจะทิ้งเรา เราจะทิ้งใคร
มันก็เป็นแค่กงเกวียน กำเกวียน ที่เวียนวนมาให้ผลบ้าง สร้างใหม่บ้าง

ชาติก่อนเคยไปทำกรรมชั่วไว้ ชาตินี้ก็กลายเป็นคนรับกรรมบ้าง

ทุกข์ที่เราต้องเจอ มันเป็นผลจากกรรมเก่านะ
แต่เราจะรับมือ จัดการอย่างไร อันนั้นเป็นเรื่องของกรรมใหม่

ถ้าอยากสร้างกรรมใหม่ที่พาเราพ้นจากทุกข์ได้
เริ่มจากอโหสิให้เขาไปนะครับ ถือว่าเราใช้กรรมหมดต่อกันแล้ว

ไม่ต้องไปโทษเขาว่าอย่างนั้น อย่างนี้
ไม่ต้องโทษตัวเอง ที่หาทุกข์ใส่ตัวด้วยความคิดฟุ้งซ่าน
ไม่ต้องโทษใคร แต่มีสติ รู้สึกตัวไว้

ที่บอกว่าให้นั่งดู ไม่ใช่ให้ไหลตามเรื่องที่คิดไปนะ แต่ให้รู้ทันใจว่าคิด
คนละอย่างนะครับ

ทุกข์ ก็รู้ว่าทุกข์ ยอมรับไม่ได้ ก็รู้ว่ายอมรับไม่ได้
อึดอัด รู้ว่าอึดอัด รู้เสมือนหนึ่งเราเป็นคนดู ดูจิตใจตัวเองมันทำงาน

ดูที่การดิ้นรน ดูความเป็นไป โดยไม่ไหลเข้าไปอยู่ในเรื่องที่คิด
แล้วจะเห็นว่า ทุกข์ ก็เป็นแค่ผลของกระบวนการคิด นึก ปรุงแต่งเท่านั้น

เรื่องดีๆ ก็เหมือนพระอาทิตย์ขึ้น เรื่องร้ายๆ ก็เหมือนพระอาทิตย์โดนเมฆฝนบดบัง
ทุกอย่างมันชั่วคราวเสมอกันนะครับ ไม่มีอะไรดีหรือแย่กว่าอะไรหรอก

ใจเราเองต่างหาก ที่ให้ค่าว่า แบบนี้เรียกว่าดี เพราะเราชอบ เราพอใจ
แบบนี้ เรียกว่าเลว เพราะเราไม่ชอบ เราไม่พอใจ

ไม่มีใครทำให้เราเสียใจได้หรอกครับ
มีแต่ใจเราที่ตีค่าการกระทำบางอย่าง แล้วเสียใจเอง

สมมติว่า เราเบื่อเขา อยากให้เขาไปให้พ้นๆ แล้วเขามาบอกเลิก
เราจะเสียใจแบบนี้ไหม ไม่หรอก.. ใช่ไหมครับ

เพราะฉะนั้น ที่เราเสียใจ ไม่ใช่เพราะเขาบอกเลิก ไม่ใช่เพราะเขาไปคบใคร
แต่เพราะเรายอมรับไม่ได้ต่างหาก เราอยากให้เขามาพูดต่อหน้า
เราอยากให้อย่างนั้น เราอยากให้อย่างนี้

ที่สุดแล้ว พระพุทธเจ้า ถึงบอกว่า ทุกข์ทั้งหลาย มันเริ่มที่ "เรา" นี่เอง

คุณพูดถูกเป๊ะอย่างนึงว่า ยิ่งอยากหลุด ก็ยิ่งจม
ถึงบอกให้ยอมรับ ยอมรับด้วยสตินะ
ไม่ใช่สุดโต่งว่า อ่อ..พี่ให้ยอมรับ งั้นก็ปล่อยให้ตัวเองจม

มีสตินะครับ หลายเดือนแล้ว เสียใจมาก็พอสมควร
ชีวิตนี้สั้นจะตาย จะหายใจทิ้งๆขว้างๆไปกับความทุกข์.. เพื่ออะไร?

ยิ้มไว้ แล้วมีสติ อยู่กับปัจจุบัน

ให้อดีตมันเป็นอดีตที่ล่วงไปแล้วน่ะดีแล้ว
อย่าไปเอามันมาเป็นอุปสรรคกีดขวางการมีชีวิตอย่างรู้คุณค่าในปัจจุบันเลย

มีสติ รู้ทัน ยอมรับ
เคยรัก เคยล้ม ก็ถึงเวลาต้องลุกนะครับ


โดย aston27
ที่มา http://www.bloggang.com/viewblog.php?id ... 1&gblog=40


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2012, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


น้องดีเจคนหนึ่งบอกผมว่า
จากประสบการณ์การทำงานตรงของเขา
มีคนที่ "ติด" อยู่ในอารมณ์เศร้าจำนวนมาก
คล้ายคนที่อยู่ในหลุมดำ และไม่ยอมให้ตัวเองออกมา
อย่าว่าแต่จะพยายามดิ้นรน
ปากบอกไม่อยากเศร้า แต่ใจติดเข้าไปเต็มๆ
และน่ากลัวจะเป็นแบบนั้นไปอีกยาว
สังเกตได้จากการขอเพลง
ที่ต้องเลี้ยงอารมณ์เศร้าไว้ท่าเดียว
แถมไม่สาแก่ใจ อยากอัดความเศร้าเพิ่มเข้าไปอีก
ซาดิสต์กับตัวเองหนักขึ้นอีก

คุณลองนึกถึงคนติดยาแบบต้องเสพอะไรเป็นบ้องๆ
เสร็จจากบ้องหนึ่งยังไม่พอ ขอต่ออีก
นั่นแหละอาการเดียวกับภาพคนเสพติดความเศร้าจากเพลง

เพลงสมัยนี้ถึงใจกันจริงๆ
ทั้งอารมณ์ดนตรีและการใช้คำ
ทำได้ยิ่งกว่าทุกยุคทุกสมัย
แม้แต่วัยรุ่นที่มีซอฟต์แวร์ประเภทโฮมสตูดิโอ
ก็มีสิทธิ์สร้างดนตรีที่เนี้ยบกว่ามืออาชีพสมัยก่อน
ผมเคยได้ยินเด็กวัยรุ่นคุยกันบนรถเมล์แล้วทึ่ง
คือพูดกันเรื่องซ้อมดนตรี
แล้วก็พูดถึงทฤษฎีดนตรีกันแบบที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง
ต่างจากยุคผมที่เล่นกันมั่วๆ เอาสนุกโดยไม่คิดอะไรมาก
จึงเป็นที่คาดหมายได้ว่าการแข่งขันทางดนตรีระดับมืออาชีพ
จะยิ่งถึงพริกถึงขิงขึ้นทุกวัน ทั้งในแง่การย้อมใจให้ติด
และทั้งในแง่ใช้คำให้โดน

จริงๆแล้วเพลงไม่ใช่ต้นเหตุของความซึมเศร้า
เพราะคนมีความสุขพอฟังเพลงเศร้าก็แค่เอาเพราะ
ฟังแล้วก็ผ่านๆ ไป เดี๋ยวก็หันไปมีความสุขกับสิ่งอื่น
แต่กับคนมีความทุกข์
เพลงเศร้าจะมีบทบาทในการหล่อเลี้ยงอารมณ์โศก
ให้มีอายุยืนยาว และต่อยอดความคิดให้ฟุ้งกระจายยิ่งๆขึ้น
บางทีไม่เคยคิดก็มาคิดเอาตอนเจอคำโดนๆในเพลงนั่นเอง
เพราะมันแทงใจ คล้ายถูกกระทืบใจมาก่อนหน้า
แล้วชอบอยู่ลึกๆ เลยสาแก่ใจที่มาโดนบดขยี้ซ้ำ

โรคซึมเศร้าที่มาพร้อมกับความรู้สึกซังกะตาย
อยู่ไปวันๆ ให้มีแต่เพลงเลี้ยงอารมณ์โศกนั้น
เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก
อย่างที่เราเห็นข่าวแล้วไม่เข้าใจ
ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องฆ่าตัวตาย
ทำไมแค้นแค่นี้ต้องฆ่ากัน
ทำไมพูดกันดีๆ ไม่ได้ต้องลงมือลงไม้
ทำไมมีหน้าที่การงานดีๆ ไม่ชอบ ชอบเข้าไปอยู่ในคุก ฯลฯ
คำตอบก็คือคนเศร้าได้จัดการบิ๊วด์อารมณ์ตัวเองเรียบร้อย
จากที่แค่เศร้าเพราะอกหัก กลายเป็นแค้นสั่งตาย
ไม่ตัวเองตายก็คนอื่นตาย ขอให้มีการตายเถอะ
ฟังคำนี้อัดใส่หัวไว้แยะ

แล้วก็ไม่ต้องไปขอให้คนทำเพลง
ช่วยแต่งเพลงสร้างสรรค์นะครับ
เพลงสร้างสรรค์มีเยอะ แต่คนอกหักไม่ค่อยเลือกฟังกันหรอก
เหมือนกับที่เดี๋ยวนี้มีธรรมะอยู่ทั่วอินเตอร์เน็ต
ทั้งภาษาไทยและทุกภาษาทั่วโลก
แต่ก็เหมือนคนอกหักจะอ่านไม่ออก
จะอ่านออกหรือฟังได้ก็แต่ถ้อยทำนองชวนให้สงสารตัวเอง
หรือเรียกร้องให้คนอื่นมาสงสาร
มาช่วยอุ้มกลับไปหาคนรักเก่า
หรือพาไปหาคนรักใหม่เท่านั้น

ใครเห็นคนใกล้ตัวกำลังจะจมน้ำเพราะความรัก
ผมขอเสนองานชิ้นหนึ่ง คือ รักแท้มีจริง
ซึ่งคนอ่านหลายคนฟีดแบ็กมาว่าช่วยได้
สามารถอ่านออนไลน์ได้ที่ http://bit.ly/57XvqF
ถ้าไม่มีกำลังมากพอจะอ่าน
ก็ฟังเสียงหล่อๆสวยๆอ่านให้ฟังได้ที่ http://bit.ly/kE3gb6
นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าตัวเองพอจะช่วยอะไรได้ส่วนหนึ่งบ้างครับ

ดังตฤณ
มิถุนายน ๕๔

http://bit.ly/yXyvc0


ถาม - มีวิธีอย่างไรที่จะช่วยให้คนที่เป็นทุกข์มากๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งสามารถหายทุกข์ทันทีครับ

ถ้ารู้ช่วยบอกผมด้วยนะ (ยิ้ม) ผมคงไปเปิดคอร์สอะไรได้เยอะแยะเลย
คือจริงๆ แล้วความทุกข์ของแต่ละคนมันมีระดับของมัน
ขอให้นึกถึงคนที่มีภาระ เหมือนจับกังต้องแบกกระสอบ
๑๐ กระสอบบ้าง ๒ กระสอบบ้าง ๑ กระสอบบ้าง ในแต่ละครั้ง มันไม่เท่ากัน
ถ้าหากว่าต้องมีภาระแบก ๑๐ กระสอบเล็กๆ นะ คือพร้อมกัน รู้สึกหนักอึ้ง
แล้วถ้ามีใครไปช่วยเอากระสอบลง ทีละกระสอบ ๒ กระสอบ
มันก็ต้องใช้เวลาใช่ไหม คือมันไม่เท่ากันนะ
คือ ถ้าสมมุติว่าแบกไว้กระสอบเดียว แล้วเขารู้วิธีหรือว่าถึงเวลาที่จะปล่อยลงได้
กระสอบเดียวมันก็หายแล้ว มันก็โล่งแล้ว

แต่ปริมาณความทุกข์ของแต่ละคน มันไม่เท่ากันนะครับ
ถามง่ายๆ ว่าจะทำให้เขาหายทุกข์อย่างฉับพลันทันทีนี่นะ มันมีร้อยคำตอบ พันเทคนิค
ไอ้ที่เรารู้กันดีที่สุดคือทำยังไงให้ใจเขามันไม่ยึด คืนความยึด คลายความยึด
ทีนี้อาการของใจที่จะคลายความยึดออก มันมีสารพัดวิธี แล้วแต่ละคนก็คือจะมีโจทย์ไม่เหมือนกัน
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีความทุกข์เรื่องคนรัก แล้วมันยึดมั่นถือมั่นมาก
มากอย่างชนิดที่ว่า ไม่มีจะต้องตายให้ได้ ไม่มีจะตายเอา
ตรงนี้คุณจะใช้วิธียังไง คุณจะใช้เทคนิคแบบไหน
นอกจากว่าจะเอาคนที่เขารัก ที่เขาพอใจมาให้ ทางอื่นมันไม่มี

แต่ถ้าหากว่าคุณรู้ว่าความเศร้าความเสียใจของเขา
มันอยู่ในระดับแค่ว่ารู้สึกรับไม่ได้นะกับเหตุผลที่ถูกทิ้งไป
จริงๆ ก็ไม่ได้รักมากหรอก เป็นแค่รู้สึกผูกพันหรืออาลัยอะไรต่างๆ
อันนี้คุณอาจจะให้เหตุผลเขาว่า ที่เขาทิ้งไปไม่ใช่เราไม่ดีหรือว่าอะไร
แต่เป็นเพราะว่ามันไม่เหมาะที่จะอยู่ด้วยกัน
คือคำแค่บางคำมันสามารถที่จะสะกิด มันสามารถที่จะเขี่ยเศษผงออกจากนัยน์ตาได้
คือผมเคยพูดกับคนนึงนะ มันไม่ใช่คำที่วิเศษอะไรเลย
ผมบอกว่า "เออ มาถึงตรงนี้แล้วก็สละเถอะ อย่ายึดไว้อีกเลย"
คือจากไอ้ที่เขาวนเวียนมาเป็นปีๆ นะกับเรื่องคนรักนี่ มันหายไปเลย
เพราะว่าทั้งปีที่ผ่านมาเขาได้รับคำแนะนำอะไรรู้ไหม
บอก ตัดใจเถอะ หรือไม่ก็บอก เออ ให้มันลืมๆ ไปเถอะ
ไอ้คีย์เวิร์ด คีย์เวิร์ดที่จะมาเป็นอาการทางใจมันเกิดขึ้นไม่ได้
แต่สำหรับเขามันเกิดขึ้นได้กับคำว่าสละ เพราะเขาเคยทำบุญ เคยเสียสละอะไรไปมาก
คือ แบคกราวน์ของใจน่ะ นึกออกไหม มันเคยสละมาก่อน แล้วรู้สึกเบา รู้สึกโล่ง
พอไปเจอคำนั้นในนาทีนั้น สละเถอะ มันสละได้ มันมีแบคกราวน์พอที่จะรองรับ

เพราะฉะนั้นนะ คือผมจะพูดสรุปก็คือว่า
ไอ้การที่คุณจะหวังว่าให้คนที่เป็นทุกข์มากๆ อยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ให้หายทุกข์ทันทีด้วยเทคนิคครอบจักรวาลนั้น เป็นไปไม่ได้
คุณต้องรู้แบคกราวน์ของเขาพอสมควรนะครับ แล้วคุณต้องรู้ว่าจะพูดยังไง
หรือใช้อุบาย หรือจะทำยังไง ที่จะทำให้ใจเขามันคลาย มันสละ มันคืนไอ้ความยึดออกไป
จุดนี้คุณต้องมองเข้าไปที่จิต จิตน่ะมันเป็นทุกข์ มันยึดอยู่
ตามหลักการของพระ พุทธเจ้านะครับ ถ้าไม่ยึดมันจะไม่ทุกข์
แล้วคุณทำยังไงให้แต่ละคน คนใกล้ตัวคุณแต่ละคน
ใจเขาเลิกมีอาการยึดแบบนี้ (กำมือ) เป็นคลายอย่างนี้ (แบมือ)
ถ้าคุณทำได้ไม่ว่าจะเทคนิควิธีไหน มันใช่หมดนะครับ

โดย ดังตฤณ
http://www.dlitemag.com/index.php?optio ... &Itemid=59


วันหนึ่งขณะที่ธุดงค์ไปพักที่วัดถ้ำแสงเพชร
ซึ่งอยู่ไกลจากอำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ พอสมควร
ปรากฏว่ามีโยมอุปัฏฐากที่เป็นผู้มีหน้ามีตาของอำเภอและเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักปฏิบัติ
มานั่งร้องไห้ต่อหน้าหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ยังคงนั่งเฉยอยู่
จนเมื่อโยมได้สร่างโศกลงบ้าง ท่านก็ถามว่า "เป็นอะไรล่ะ จึงนั่งร้องไห้"
โยมผู้นั้นเล่าว่า รถที่เพิ่งซื้อมาใหม่ถูกขโมยไปแล้ว แต่หลวงพ่อก็นั่งเงียบ

เผอิญก็มีโยมผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมกับญาติ
พอกราบหลวงพ่อเสร็จก็ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรเช่นกัน
หลวงพ่อนั่งคอยจนเขาพอพูดได้ ก็ถามด้วยคำถามเดิมว่า "เป็นอะไรไปล่ะ"
เขาก็ตอบว่า "เมียตายสองคน ลูกตายสองคน"
(เผอิญชายคนนี้มีภรรยาสองคนอยู่ในบ้าน เดียวกัน)
หลวงพ่อก็ถามต่อว่า "เป็นอะไรตายล่ะ" โยมผู้ชายก็ตอบว่า "กินเห็ดเบื่อตาย"

หลวงพ่อหันไปถามโยมผู้หญิงที่ยังน้ำตาซึม แต่ก็นั่งเงียบฟังโยมผู้ชายเล่าอยู่ด้วย
และพูดว่า "แลกกันไหมล่ะ ดูซิ ของเขาลูกเมียตายตั้งสี่คน ของโยมรถหายคันเดียว
โลกนี้เป็นอย่างนี้ แหละ มีความปรารถนาอะไรแล้วไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
ไม่อยากให้รถหาย มันก็หาย ไม่อยากให้ลูกเมียตาย ก็ตาย ใครจะห้ามได้
ชีวิตทุกชีวิตเป็นอย่างนี้แหละ ใครอยากล่ะ
โยม อยากให้รถหายไหม โยมอยากให้ลูกเมียตายไหม"
ทั้งคู่ก็ตอบรับหลวงพ่อว่า "ไม่อยากค่ะ (ครับ)"

หลวงพ่อกล่าวต่อไปว่า "เป็นอย่างนี้แหละ ความโศก ความร่ำไรรำพัน
ให้เราพิจารณาดู ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราไม่หนีมัน มันก็หนีเรา
คนก็เหมือนกัน เราไม่จากเขา เขาก็จากเรา มันอยู่ที่ ใครไปก่อนใครเท่านั้นเอง
บางทีวัตถุก็ไปก่อนเรา บางทีเราก็ไปก่อนวัตถุ บางทีคนใกล้ชิดเราเขา ก็ไปก่อน
บางทีเราไปก่อนเขา มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของกรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เราย่อมมีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นผู้ติดตามให้ผล
ไม่ว่าบุญหรือบาป ดีหรือชั่วก็ตาม เราจะต้องรับกรรมนั้นโดยแน่นอน

สำหรับโยมผู้ชายนั้นโยมผู้หญิงกับลูกเขาทำกรรมกับเรามาแค่นี้
เขาตายไปเขาก็ไม่ขออนุญาตเรา ไม่บอกเรา ไม่ได้เขียนใบลา เขาก็ตายไป
โยมผู้หญิงก็เช่นกัน รถคันนี้มันทำกรรมกับโยมมาแค่นี้
รถมันก็ไม่บอกเราก่อนว่ามันจะถูกขโมยแล้วนะ อยู่ๆ มันก็หายไป

ดังนั้นให้เราเห็นว่า เป็นธรรมดาของทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่หนีมัน มันก็หนีเรา
เราเกิดมาเป็นอะไร เกิดที่ไหน เกิดมากี่ครั้งๆ โลกก็เป็นเช่นนี้
เราเองต่างหากที่ไปอุปาทานว่า นี่รถของเรา นี่ลูกนี่เมียของเรา
รถมันไม่เคยบอกนะว่ามันเป็นของเรา เราไปซื้อมันมาตกแต่ง มารักมันเอง
ที่จริงรถมันไม่ได้เป็นของใคร มันเป็นของธรรมชาติที่ไหลไปตามเหตุปัจจัย
มนุษย์ไปสมมุติขึ้นมา แล้วยึดว่าเราเป็นเจ้าของ
เมื่อมันหายไป ให้เราคิดว่านั่นเป็นการคืนกลับสู่ธรรมชาติ

โยมผู้ชายก็เหมือนกัน ลูกเมียก็เสียไปแล้ว พิจารณามองให้เห็นว่าเป็นทุกข์
ไม่ใช่พอสร่างโศกก็ไปหามาใหม่ เป็นการเพิ่มทุกข์ขึ้นมาอีก
เราควรทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ทำภาวนา แผ่ให้ผู้ตายบ้าง
เราเองก็ต้องตาย ไม่แน่ว่าเมื่อไร ขอให้เข้าใจสัจธรรมของธรรมชาติ"

หลวงพ่อกล่าวเป็นสังเขปพอให้โยมสร่างทุกข์ หน้าที่ของพระก็คือแก้ไขทุกข์
โดยคิดว่าทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันหมดทั้งสิ้น
เมื่อกล่าวไปแล้วก็ไม่ได้คิดปรุงว่าจะแก้ ได้หรือไม่ได้
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีคำตอบอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว
ผู้มีปัญญาก็จะค้นหาคำตอบ ของปัญหาของเขาเองได้ในที่สุด

คำสอนของพระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)
http://www.silapasart.com/budha/papong.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2012, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


เราทุกคนที่ยังเป็นปุถุชนคือที่ยังตัดรักไม่ขาด ย่อมรักทั้งคนทั้งของที่ถูกใจชอบใจ
รักผู้ใดก็ถนอมรักษาเอาใจผู้นั้น เพราะรักกันมั่นคงยั่งยืน
อยู่กับคนที่รักย่อมรู้สึกว่าสบายราบรื่นใจ
มีอะไรดีๆ ก็อยากให้แก่คนที่เรารัก ได้ให้แล้วก็สบายใจ
ยิ่งผู้รับมีความยินดีสิ่งที่ตนให้ เพราะอยากได้
ผู้ให้ก็ยิ่งเพิ่มความสบายใจ ปลื้มใจ เพราะได้ให้สิ่งที่ถูกใจแก่ผู้ที่ตนรัก
นี้แสดงให้เห็นว่ารักผู้ใดไม่เสียดายแก่ผู้นั้น


เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างตั้งใจสนองดีของกันและกัน ถนอมน้ำใจกันและกัน
ไม่ทำอะไรซึ่งไม่เป็นที่ชอบใจของกันและกัน ก็ยิ่งเพิ่มความรักดูดดื่ม
ผู้ยังเป็นปุถุชนเมื่อได้ประสบความดูดดื่มเช่นนี้ก็ย่อมรักตรึงใจ
ปรารถนาจะได้เห็นกัน อยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่นึกถึงว่าชีวิตของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายมีความตายเป็นที่สุด
แม้ได้สดับฟัง ได้เรียนรู้มาบ้าง ก็ไม่อยากจะให้เป็นไปอย่างนั้น
พยายามหาทางที่จะให้เป็นไปอย่างใจตนปรารถนา
และบางคนก็ไม่พยายามจะนึกถึงเรื่องตายเสียทีเดียว
เพราะนึกถึงเข้าแล้วหวาดเสียวทนไม่ได้ และเพราะไม่ตรงกับความประสงค์ของตน
คือตนไม่ต้องการจะจากสิ่งที่รัก และไม่อยากให้สิ่งที่รักจากตนไป


เพราะความตายเป็นเหตุให้ต้องพลัดพรากจากกัน ทั้งคนทั้งของที่รัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย่อมหมกมุ่นมัวเมาติดอยู่ในคนและของที่รัก
ไม่คำนึงถึงอนิจจังแห่งสังขาร คือสิ่งที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง
ย่อมไปตามเหตุปัจจัย คือไม่เป็นไปตามใจใคร
เมื่อเหตุปัจจัยยังเลี้ยงรักษาอยู่ ก็ยังเป็นอยู่ตั้งอยู่
เมื่อเหตุปัจจัยเสื่อม ก็ย่อมเสื่อม เมื่อเหตุปัจจัยสิ้นก็ย่อมสิ้น
กฎธรรมดาสังขารเป็นอย่างนี้ ไม่ยอมตามใจใคร


ผู้ไม่คำนึงถึงกฎธรรมดาของสังขาร ยึดเอาเป็นของตนจริงจัง
ย่อมโศกย่อมเหี่ยวแห้งใจ ไม่สดชื่น เพราะหมดสิ่งที่ทำให้ชื่นใจ
เพราะฉะนั้นจึงปรากฏเป็นความจริงแท้แน่นอนว่า
สิ่งใดเป็นที่ตั้งแห่งความรัก สิ่งนั้นย่อมเป็นที่ตั้งแห่งความโศก
สิ่งใดไม่เป็นที่ตั้งแห่งความรัก สิ่งนั้นไม่เป็นที่ตั้งแห่งความโศก
รักกับโศกมีวัตถุที่ตั้งอันเดียวกัน


แม้จะเลิกหรือตัดรักคนอื่นสิ่งอื่นเสียได้
แต่ถ้ายังรักตัวเองก็ยังพ้นทุกข์โศกไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นความรักที่โลกนิยมชมชอบกัน
ทุกคนต้องการปรารถนา ด้วยเห็นว่ามีคุณอนันต์
แต่ก็มีโทษมหันต์ด้วย ถ้ารู้ไม่ถึงกฎธรรมดาของสังขารอันเป็นที่ตั้งแห่งความรักนั้น
ไปหลงเข้า ด้วยสำคัญว่าเที่ยง ยั่งยืน


อันที่จริงเราทุกคนนั้น เมื่อมาสู่โลกนี้ก็มาคนเดียว
และมาตัวเปล่า ไม่มีอะไรติดตัวมาด้วยเลย
เมื่อไปก็ไปตัวคนเดียว จะหยิบฉวยสิ่งใดติดตัวไปด้วยก็ไม่ได้
เมื่อมาแล้วก็มีคนต้อนรับด้วยความยินดีมีของขวัญทั้งที่เรายังไม่รู้เดียงสา
ครั้นเติบโตขึ้นมาพอรู้เดียงสา ก็มีผู้สอนให้เรายึดถือว่านี่ของเรา นั่นเป็นของเรา
คนนั้นเป็นพ่อ คนนี้เป็นแม่ของเรา คนนี้เป็นลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรา
คนนั้นเป็นพี่ คนนี้เป็นน้องเรา สิ่งนี้เป็นของเรา คนนี้รักเราให้เรา
แล้วเรารู้จักรักคนที่รักเรา ให้เรา เอื้อเฟื้อเกื้อกูลเรา
รักของที่เขาว่าเป็นของหวงแหนเสียดาย
เมื่อได้ก็ดีใจ เมื่อเสียหายไปหรือถูกแบ่งเอาไปก็เสียใจ
ก็โกรธเพราะเสียดายอยากได้คืน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เป็นเด็กเพิ่งรู้ความ


เราถูกสอนให้ยึดถือมาแต่เล็กแต่น้อย จึงคุ้นกับความยึดถือแน่นทีเดียว
ซึ่งแสดงว่าเราถูกมัดให้ติดอยู่กับทุกข์ตั้งแต่เกิดมา
ทำให้ลืมตัวว่าเมื่อเรามานั้นมาคนเดียวและมาตัวเปล่า ไม่มีอะไรมา
เมื่อมาแล้วจึงได้มีคนและของมากขึ้น เรายึดถือว่าเป็นของเราทั้งนั้น
และเมื่อถึงคราวไปก็ไปคนเดียวและไปตัวเปล่า เอาอะไรไปด้วยไม่ได้
ทั้งคนทั้งของที่เรารักแสนรักก็เอาไปด้วยไม่ได้


แม้เป็นคนที่เรารัก จะชวนเขาเอาไปด้วย เขาก็คงไม่ยอมไปกับเราเด็ดขาด
เพราเขารักตัวของเขามากกว่ารักเรา เขาชอบชีวิต ไม่ชอบความตาย
เพราะฉะนั้นทุกคนจึงควรสำนึกตัวอยู่เสมอ ไม่ควรประมาทว่า
เราทุกคน “ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไป”
และ “ใครจะไปดีไปชั่วอย่างไร เป็นเรื่องกรรมเฉพาะตัวของผู้นั้น
ใครจะบันดาลให้ใครไปดีหรือชั่วไม่ได้เด็ดขาด”


พระนิพนธ์ในสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (จวน อุฏฺฐายี)

คัดจากพระธรรมเทศนา ในหนังสือรวมธรรมเทศนา ๑๐๘ กัณฑ์
จัดพิมพ์โดย ชมรมพุทธศาสตร์ เอสโซ่ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๒๖


เมื่อไม่มีใครรัก แม้แต่ตัวเองก็ยังเกลียดชังตัวเอง
บางคนถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย ควรจะทำอย่างไร


๑. หาที่สงบสติ ให้เวลากับตัวเอง ทำความเข้าใจกับตัวเองให้ถ่องแท้


๒. พึงเข้าใจว่าการทำร้ายตัวเอง การฆ่าตัวตายไม่ใช่การแก้ปัญหา
ไม่ใช่วิธีหนีพ้นจากทุกข์ กลับเป็นการเพิ่มปัญหายิ่งขึ้นร้อยเท่าทวีคูณ
เพราะการฆ่าคนเป็นบาปหนัก ต้องชดใช้กรรมอีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ


๓. ทำใจให้ได้ว่าเขาไม่ได้เป็นเนื้อคู่ของเรา
ถึงจะอยู่ด้วยกันก็จะมีปัญหาในอนาคตแน่นอน
อกหักตั้งแต่ตอนนี้ก็ดีแล้ว น่าดีใจที่เรารู้ความจริงเสียแต่บัดนี้


๔. ให้ระลึกถึงพุทธภาษิตที่ว่า “ความรักเสมอด้วยความรักตนไม่มี”
หมายถึงความรักตน เป็นความรักอันสูงสุด


๕. เรากำลังผิดหวัง หลงอยู่ในอารมณ์อกหัก จึงคิดว่าไม่มีใครรักเรา
พ่อแม่ก็ไม่รักเรา คนนี้คนนั้นไม่ดี ไม่รักเรา เรากำลังผิดหวังจากความรู้สึกที่ว่าไม่มีใครรักเราเลย
พิจารณาดูให้ดีว่าเรารักตัวเองไหม ก็คงจะไม่
ถ้าแม้แต่เรายังคิดที่จะทำลายตัวเอง ทั้งทางกาย วาจา ใจ
แสดงว่าเราก็ไม่ได้รักตัวเองเลย แล้วจะให้คนอื่นมารักได้อย่างไร


๖. พยายามตั้งสติระลึกถึงอารมณ์ปกติที่เราก็มีอยู่
ที่เราเคยมีชีวิตอยู่ตามปกติของเราตั้งแต่สมัยเป็นเด็กๆ
อารมณ์ยามอกหักก็เปรียบเหมือนถูกน้ำเน่ากระเด็นใส่ตัว
เปื้อนเสื้อผ้าเลอะเทอะเต็มไปหมด เรารู้สึกตัวเหม็นเน่า น่ารังเกียจ
แต่นั่นไม่ใช่ของจริงอะไร นั่นไม่ใช่ชีวิตจริงของเรา
เมื่อเราชำระล้าง เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นปกติตามเดิม
อารมณ์เมื่อเราอกหักก็เหมือนกัน มันเพียงแต่ผ่านเข้ามากระทบใจเราเท่านั้น


๗. พระพุทธองค์ตรัสว่าจิตของเรานี้ประภัสสร บริสุทธิ์ผ่องใสโดยธรรมชาติ
จิตเศร้าหมองเพราะอุปกิเลส ครอบงำจิต
โอปนยิโก น้อมเข้ามาหาตน ค้นหาธรรมชาติของตนที่บริสุทธิ์ ผ่องใส เบิกบานใจ สบายใจ


๘. ตั้งใจ หยุดคิด ปล่อยวางความรู้สึกนึกคิดต่างๆ
หายใจออกยาวๆ หายใจแรงๆ หน่อย
หายใจเข้าลึกๆ หน่อยๆ เน้นที่หายใจออกยาวๆ
ความตั้งใจปรับลมหายใจยาวๆ ช่วยให้เกิดสติ ระลึกได้
สัมปชัญญะ ความรู้สึกตัว
ความรู้สึกที่ไม่ดี ไม่สบายใจ จะค่อยๆ จางหายไป
ความสบายอกสบายใจ จะปรากฏขึ้นแทน



ในที่สุด เราจะค้นพบตัวเอง เข้าถึงธรรมชาติของจิตใจ
ที่สงบ เบิกบานใจ ซึ่งมีอยู่ในตัวเราทุกคนนั่นเอง
เมื่อเราสบายใจ สุขใจ เราจะรักตัวเอง
เมื่อรักตัวเองแล้ว เราจะมีความสุข สุขภาพใจดี
และเป็นที่รักของบุคคลรอบข้างด้วย


พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเราจะเป็นที่รักของผู้อื่นได้ด้วยการประพฤติตนตามหลักธรรม ๔ ประการ

๑. มีความโอบอ้อมอารี
๒. มีปิยวาจา
๓. ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อผู้อื่น
๔. วางตนเหมาะสมเสมอต้นเสมอปลาย


ถ้าเราประพฤติตนตามนี้ได้ก็จะเป็นการสร้างเหตุปัจจัยที่ดี
ให้เราอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นอย่างมีความสุขทั้งปัจจุบันในชาตินี้และชาติหน้า


คัดจาก "สาระของชีวิตคือรักและเมตตา" โดย หลวงพ่อมิตซูโอะ คเวสโก
วัดป่าสุนันทวนาราม ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี



ถาม - ทำใจอย่างไร เมื่อสามีขอเวลาไปอยู่กับหญิงใหม่ แต่ยังคงเลี้ยงดูครอบครัวเหมือนเดิม


การที่เขายังเลี้ยงดูคุณและลูกเหมือนเดิม
ก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบอยู่ค่ะ

ความเห็นแก่ตัว ต้องการได้ ต้องการครอบครองในทุกสิ่ง
เก็บคนที่คิดว่าเป็นของๆ ตนไว้ ความชมชอบในวิสัยแห่งกามรสแปลก
เป็นกิเลสนิสัยที่ต้องใช้เวลาอบรมขัดเกลา
ซึ่งก็ต้องแล้วแต่ที่เจ้าตัวจะยินยอมพร้อมใจที่จะพัฒนาตนด้วยหรือไม่
หากแม้เจ้าตัวเข้าใจ ตระหนักรู้ ก็ยังต้องใช้ความพยายามที่ยาวนานมากจนชั่วชีวิต
หรือใช้เวลาข้ามภพข้ามชาติสำหรับหลายคน

ดังนั้น การหวังความเปลี่ยนแปลงจากตัวคนอื่นไปในทางที่เราเห็นชอบ
อาจเป็นเรื่องที่ยากเกิน เหนื่อยล้า และดูจะมีหวังอันเลือนราง

ในเมื่อเรายังต้องอยู่กับเขา อยู่ด้วยกันแบบนี้ เพื่อลูกของเรา
การทำอย่างไรไม่ให้ตัวเราทุกข์มาก จึงเป็นเรื่องที่สำคัญค่ะ

ทุกครั้งที่เขาไป ก็ลองวางใจใหม่ว่า เขาไปทานอาหารรสแปลกลิ้นนอกบ้าน
เป็นความสุขของคนที่เรารัก ที่จะได้ลิ้มลองอาหารนอกบ้านบ้าง
สละความรู้สึกเป็นเจ้าของในตัวเขาออกไป เหมือนเวลาที่เรากำลังให้ทาน
สละเวลานั้นให้แก่เขา คิดว่า เพื่อความสุขของเขา

แม้อาหารอร่อยลิ้นเพียงใด เมื่อลิ้มลองจนเคยปาก ซ้ำซากอยู่บ่อย
ก็ย่อมมีวันที่ความปรารถนาจะเจือจางลง
และยิ่งถ้าอาหารนั้นเป็นของแสลงต่อสุขภาพ
เจือด้วยความรู้สึกผิดที่เคยลักขโมยเสพ
ไม่มีความงาม ความดี เหมือนอาหารเดิมที่ทรงคุณค่าแล้ว
เขาก็จะหวนถึงสิ่งดีที่เคยมีอยู่

สิ่งใดที่เป็นกรรมดี ก็กระทำแก่เขา ดูแลเอาใจใส่
ทำหน้าที่ของเราที่ควรทำให้ดีที่สุด

สิ่งใดที่เขาคิดว่า เราไม่เข้าใจ ก็เปิดกว้างเพื่อความเข้าใจกันมากขึ้น
มองเขาให้ชัด มองการกระทำที่ผ่านมาของเขา ความเรียกร้องต้องการของเขา
ให้เหมือนเราเป็นตัวของเขา เราปรารถนาเช่นใดในคนที่เป็นภรรยา

เราสร้างเหตุดี สร้างแต่กรรมดีแก่เขา ผลก็ย่อมงอกงามเป็นสิ่งที่ดีแก่เรา

เราไม่อาจกำหนดกฎเกณฑ์การกระทำกรรมใดของเขา
แต่เรารับผิดชอบกรรมอันเป็นการกระทำของตัวเองได้

สรรพสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นทางเดินของตนอยู่แล้ว
เขาสร้างกรรมอันเป็นเหตุอย่างไร ก็ย่อมได้รับผลสนองเมื่อถึงวาระ

โดยปกติโลกมีทุกข์อันเผ็ดร้อนบีบคั้นอยู่เป็นเนื่องนิตย์แล้ว
การจะอยู่กับทุกข์อย่างไรโดยที่ เป็นทุกข์น้อยที่สุด
เพื่อให้อายุขัยที่เหลือน้อยอยู่แล้วนั้น มีโอกาสสร้างบุญกุศล
ปฏิบัติธรรมให้เป็นที่พึ่งแก่ตัวเองได้ โดยไม่ต้องอิงอาศัยสุขปลอมๆ จากคนอื่น
จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ต่อชีวิตเรามากกว่า

โดย mayrin
ที่มา http://www.dlitemag.com/index.php?optio ... &Itemid=59



การที่ผู้ชายคนหนึ่งเลือกผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่เรา
ไม่ได้หมายความว่า เพราะเขารักผู้หญิงคนนั้นเสมอไป
แต่อาจหมายถึงเขารักตัวตนของตัวเอง
เพราะหญิงนั้นสามารถตอบสนองให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้

อันเป็นวิสัยของปุถุชนทั่วไป ที่แท้จริงแล้วไม่ได้รักใครเลยนอกจากตัวเอง
ซึ่งในกรณีนี้ คุณก็ได้ทราบชัดแล้ว ในเมื่อเงินเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด
และเขาก็มีโอกาสที่จะได้ทันที เพียงเอื้อมมือคว้า ซึ่งเขาก็ไม่ละโอกาสนั้น

สำหรับหลายคนๆ ความรักเป็นนามธรรม ที่ละได้ ขาดได้
เพราะเป็นสิ่งซึ่งไม่อาจเปลี่ยนสภาพเป็นเครื่องบำรุงชีวิตตนได้เหมือนเงิน

ดังนั้น ถ้ามองในด้านตรงข้าม คุณไม่ได้ถูกทิ้ง หากแต่เป็นเขาที่ถูกทิ้ง
ถูกทิ้งจากศักดิ์ศรีของความเป็นชาย ที่ควรยืนหยัดโดยตน
ถูกทิ้งจากคุณงามความดี และความเป็นผู้มีธรรม
ไม่อาจเป็นที่พึ่งเลี้ยงดูตน ไม่อาจฟันฝ่าแก้ไขอุปสรรคขวากหนามในชีวิต

ซึ่งเมื่อมองไปข้างหน้าในอนาคตที่ยาวไกล
ถ้าตัวของเขายังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้แล้ว เขาจะสามารถเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี
เป็นผู้ที่สามารถรับผิดชอบชีวิตคุณซึ่งจะมาเป็นภรรยา และเลี้ยงดูบุตรต่อไปได้อย่างไร

ส่วนผู้หญิงคนนั้น
เธอไม่ใช่ผู้ที่ควรแก่การเคียดแค้นแช่งชักให้ได้ผลสนองคืนของเราเลย
หากแต่เป็นเหยื่อที่น่าสงสารของกิเลส เป็นผู้ที่ยอมเหน็ดเหนื่อย
สูญเสียทั้งทรัพย์สินเงินทอง ร่างกายตนเพื่อบำรุงบำเรอคนอื่น

ละทิ้งจิตอันเป็นกุศล
และทางเดินอันนำไปสู่ทางความสว่างในกรรมดีของตนในเบื้องหน้า

ดิ้นรนทุกอย่างเพียงเพื่อเหนี่ยวรั้งชายคนหนึ่งเอาไว้
ซึ่งก็ไม่รู้ว่า จะต้อง "ยอม" ทำเช่นนี้ต่อไปอีกนานสักเพียงใด

เมื่อวันใดที่เขาพบหญิงอื่น ที่ตรงกิเลส และพร้อมจะให้เขาได้ "มากกว่า"
เธอคนนี้ก็จะต้องทุ่มเทต่อสู้เพื่อแย่งชิงรักเขาไว้อีก ครั้งแล้วครั้งเล่า
กระโจนเข้าสู่วงจรของทุกข์ไม่รู้จบ
ซึ่งในที่สุดก็จะเหลือเพียงความว่างเปล่าในสิ่งที่เคยมีอยู่
เมื่อเธอไม่อาจสนอง หมดในสิ่งที่เขาต้องการได้แล้ว

ความไม่ดีของคนอื่นใดนั้น
เราไม่จำเป็นต้องสร้างวจีกรรม เป็นผู้ประกาศค่ะ
เพราะพฤติกรรมของเขา จะเป็นผู้ประกาศออกมาด้วยตัวเองอยู่แล้ว

และรักครั้งแรกไม่ได้หมายความถึง ครั้งเดียวในชีวิต
คนแรกไม่ได้หมายถึง คนเดียวตลอดไป
เพราะคนที่ดีกว่า สูงกว่า งามกว่าด้วยธรรม

คนที่เหมาะสมควรคู่กับเรามากกว่าคนแรกนั้น
ยังรอเราอยู่ในทางเบื้องหน้าเสมอ
ถ้าเราเป็นคนที่ดีด้วยธรรมที่สมควรแก่เขา

ซึ่งเมื่อวันหนึ่งเราได้พบ... เราจะมองคนแรกของเรา
เป็นเพียงเศษผงเล็กๆ ที่ทำให้เคยรู้สึกระคายเคือง
น้ำตาไหลออกมาเพียงเท่านั้น

โดย mayrin
ที่มา http://www.dlitemag.com/index.php?optio ... &Itemid=59


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2012, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


ระยะทางที่ห่างไกล ก็มักทำให้ใจห่างตามไปด้วยเมื่อมีคนใกล้ที่น่าอภิรมย์
การที่เขาได้อยู่กินกับหญิงอื่นฉันท์สามีภรรยา อยู่กันเป็นครอบครัวแล้ว
แต่คุณยังไม่อาจยุติการคบหา ก็จะเสี่ยงต่อการละเมิดศีล และเป็นที่ครหา

เนื่องจากสภาพปัจจุบันเขาคือสามีของหญิงอื่น
การมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง นอกจากจะเป็นการตอกย้ำซ้ำรอยแผล
สร้างมลทินและความมัวหมองให้แก่คุณไปเรื่อยๆ
แล้วยังเป็นการก่อภัยเวรต่อภรรยาของเขา
พากันจูงมือไปสู่ทางลาดต่ำในเบื้องหน้า

การกระทำกรรมใดที่เบียดเบียนทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่น
ชื่อได้ว่าไม่สมควรกระทำ

ออกจากวนเวียนแห่งทุกข์นั้นเถิดค่ะ
การที่ให้เขาเข้าหาพ่อแม่เหมือนเดิม โดยการปิดบังท่าน
ถ้าท่านได้ทราบความจริงภายหลัง
ความผิดหวังและเสียใจจะยิ่งเพิ่มทวีมากกว่าค่ะ
พ่อแม่จะทุกข์เมื่อเห็นเราทุกข์
ดังนั้นถ้าคุณอยู่ได้ด้วยความจริง โดยไม่มีน้ำตา
ท่านก็คลายความกังวลได้ในไม่ช้า
เพราะท่านย่อมรักและเข้าใจลูกของท่านมากกว่าคนอื่น

เราถอยห่างออกมา ลดการพึ่งพาอาศัยเขา
พยายามยืนอยู่ด้วยตัวเองให้ได้
ปล่อยวางจิตที่คิดรั้งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาไว้เสีย
ถึงจะลำบากกาย ก็จะเป็นเพียงระยะแรกที่เริ่มต้น
แต่เมื่อเทียบกับความสบายใจ
และความสะอาดปลอดจากภัยเวรเมื่ออยู่ในเกราะของศีลที่จะบังเกิดขึ้น
คุณจะพบว่า มันคุ้มค่ากว่าการยึดของร้อนอันเป็นทุกข์นี้ไว้ อย่างประมาณมิได้

โดย mayrin
http://www.dlitemag.com/index.php?optio ... &Itemid=59


บางคนคิดว่าการที่หลบแสงแดดรักที่กำลังแผดเผา
ไปอยู่ใต้ร่มเงาของวัดแล้ว ทำให้ไม่คิดอะไรเพราะไม่มีสิ่งมากระทบ
เหมือนการที่เราหนีปัญหาก็ดูจะมีความจริงอยู่ส่วนหนึ่งค่ะ
เพราะบรรยากาศในวัดย่อมสงบเย็นช่วยเกื้อกูลจิตเรา
มีกำแพงวัดเป็นปราการ
ลดความรุนแรงจากการไหลปะทะเข้ามาของกระแสกิเลสอันเชี่ยวกรากภายนอก

แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม ถ้าจิตเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน
คอยพะวงคว้านหาคล้อยตามภาพในอดีต แม้ยามเผลอสติเพียงชั่วพริบตา
ก็พร้อมที่จะกระเทือนไหวปรุงแต่งไปตามสิ่งที่มากระทบอยู่ตลอดเวลาแล้ว
ทุกข์ก็บังเกิดขึ้นได้ทุกแห่งหน

เมื่อทราบว่า จิตเราขาดกำลังที่จะต้านทาน
ยังมีความอ่อนไหว อ่อนแอ ต่อสิ่งกระทบแม้เพียงเล็กน้อย
ก็พึงป้องกันเหตุอันจะเกิดเสีย

ปิดช่องทางอันจะทำให้ทุกข์กำเริบ สิ่งใดที่พึงเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยง
ไม่จดจ้องมอง ไม่รับรู้รับฟัง เรื่องราวของเขาโดยไม่จำเป็น ยุติจิตที่สอดส่ายค้นหา
ไม่ให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เป็นประตูให้ทุกข์คืบคลานเข้ามา

ทุกครั้งที่เผลอไผล ก็รีบดึงสติของตัวเองกลับมา
หายใจเข้าออกแรงๆ ให้รู้ตัวโดยไว
ถามตัวเองว่า เรากำลังทำอะไรอยู่
ถ้ารู้สึกว่าจิตฟุ้งซ่านเกินระงับ ก็เอนตัวพักบนเก้าอี้ แล้วหลับตาลง
ค่อยๆ ผ่อนคลาย หายใจเข้าช้าๆ และผ่อนลมหายใจออก
มีสติรู้อยู่ที่ลมหายใจของเรา รู้ว่า เรากำลังหายใจเข้า ออก
มีลมผ่านเข้าออกทางช่องจมูก
สักพักหนึ่งจิตเราก็สงบระงับ เบาสบายขึ้น

จะเห็นว่า เรายังมีลมหายใจ หายใจเองได้อยู่
แม้ไม่มีเขา ก็ไม่ได้ทำให้ลมหายใจของเราหมดไป
ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะนำชีวิต อนาคต
และความสุขทั้งมวลของเราไปฝากไว้กับผู้ชายคนหนึ่ง
ซึ่งเป็นเพียงคนรักในอดีตทำไม
ปัจจุบัน เขาไม่ใช่คนรักของเรา ไม่ใช่สามีของเราแล้ว ไม่ใช่ผู้ที่เราควรไปอาลัยหา

ก่อนหน้าที่มาจะเป็นสามีเรา เขาก็เป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
ซึ่งครั้งนั้นเราก็มีชีวิตของเราอยู่มาได้ด้วยลมหายใจตัวเอง และมีชีวิตที่เป็นปกติสุข

แล้วทำไมเราจะอยู่ต่อไปไม่ได้?

การเป็นสามีภรรยา ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีวันพรากจาก
เพราะอย่างไรในวันหนึ่งข้างหน้า
เขาและเราเมื่อหมดลมหายใจ ต่างก็ต้องแยกย้ายกันไปตามทางของตน
เราไม่อาจยื้อยุดฉุดมือเขาไว้ได้ แม้แต่หญิงคนใหม่ของเขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน
หญิงคนนั้นก็มีโอกาสอยู่กับเขาแค่ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็ไม่รู้เลยว่าจะยาวนานเพียงใด
เพราะมัจจุราชไม่ได้บอกกล่าวแก่ใครล่วงหน้า ทุกอย่างเป็นตามกรรมของแต่ละคน

เรื่องของเขา ชีวิตของเขา กรรมของเขา เราไม่ควรไปให้ความสนใจแบกรับ

เราพึงทำกิจของเราให้พร้อม ไปสู่สถานที่ที่มีโอกาสสร้างกุศล
หมั่นเพียรสร้างหยอดกระปุกบุญ แม้เพียงครั้งละเล็กน้อย
เต็มเสบียงกุศลของเราให้เต็ม และหมั่นระลึกกรรมดีที่ได้เคยกระทำมาให้บ่อยขึ้น

ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีทางออกเสมอ
ปัญหาทุกอย่างย่อมมีวันสิ้นสุด ขอเพียงเรามีกำลังใจไม่ท้อถอยในการสร้างกรรมดีค่ะ

โดย mayrin
http://www.dlitemag.com/index.php?optio ... &Itemid=59
http://www.star4life.com/forum/index.php?topic=1685.0


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 56 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร