วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 22:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2011, 09:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2011, 15:36
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ผมเลิกกับน้องคนหนึ่ง ซึ่งเราทำงานที่เดียวกัน แต่ด้วยเหตุผลหลายประการทำให้เราต้องเลิกกัน ปัญหาก็คือ ตอนนี้ทำใจยากมาก เพราะความรัก ความผูกพันธ์ที่มี มันมากเหลือเกินเพราะตอนคบกันผมทุ่มทุกอย่างและยอมทำทุกอย่าง ตอนนี้ก็ต้องทำงาน ติดต่อ และคุยกันเกือบทุกวัน

ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่า ไม่รู้จะทำงานไปเพื่ออะไร ไม่รู้จะมีชีวิตไปเพื่ออะไร ผมรู้นะครับว่าเป็นเพียงความรู้สึกชั่วคราว พยายามอ่านหนังสือหลายเล่มเพื่อช่วย แต่ก็ยังไม่หลุดพ้น อาจเป็นเพราะยังต้องเจอกันเรื่อย ๆ และผมยังปล่อยวางไม่ได้ เวลาเจออะไรเก่า ๆ เช่น สถานที่เก่า ๆ เรื่องราวเก่า ๆ เพลงเก่า ๆ มันก็จะสะกิตใจให้คิดเรื่องเก่า ๆ อยากจะกลับไปเหมือนเดิม แต่ก็รู้อีกว่า มันจะเป็นแค่ความสุขชั่วคราว เพราะสุดท้ายก็จะกลับมาทุกข์ใจอีก ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตให้พ้นไปวัน ๆ ให้รอดไปวัน ๆ แต่เป็นแบบนี้ไม่สุขใจเลยครับ

ผม search เจอเว็บนี้และได้อ่านหลายกระทู้ คิดว่า หลายท่านน่าจะช่วยได้ ผมจึงอยากขอความรู้ว่า จะทำยังไงดีให้พ้นทุกข์ตรงนี้ไปได้ อยากจะลืมน้องคนนี้ ไม่อยากห่วง ไม่อยากคิดถึง อยากปล่อยเขาไป ให้เขามีความสุข...และผมก็อยากจะมีเป้าหมายในชีวิต อยากจะมีความสุุขกับตัวเองอีกครั้ง...

ขอบคุณล่วงหน้านะครับ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2011, 11:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเลิกกับคนรักแล้ว รู้สึกเคว้งคว้างไม่อยากมีชีวิตอยู่ ถึงอยู่ก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร เพื่อใคร

ไหนๆก็ไหนแล้ว ไม่มองย้อนกลับไปที่เจ้าของชีวิตเราคือพ่อแม่ที่บ้านดูล่ะ สองท่านนั่นล่ะเจ้าของชีวิตเราแท้ๆเลย นำไปคืนท่าน เพราะท่านป้อนข้าวป้อนน้ำมาแต่ต้นจนเติบใหญ่จนมีอะไรต่ออะไรอย่างทุกวันนี้ได้

แฟนเราไม่ได้อุ้มท้องไม่ได้ป้อนข้าวป้อนน้ำเรามาสะหน่อย แล้วไงเอาไปมอบให้เขาสะหมดล่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2011, 13:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2011, 15:36
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากครับ คุณกรัชกาย

ข้อนี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองจมอยู่ในบ่อทุกข์ มองอะไรไม่ชัด พยายามคิดเหมือนกันว่า พ่อแม่่เรารักเรามาก สิ่งนี้ทำให้ผมไม่คิิดสั้น บางครั้งก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่เหมือนกัน... แต่ก็ไม่คิดไปไกลกว่านี้ครับ

จริง ๆ ตอนนี้ดีขึ้นกว่าช่วงวันแรก ๆ ที่เจอปัญหา แต่ก็ยังไม่หายขาดครับ รู้เหมือนกันว่า ใจเราเองที่ทำให้เราทุกข์ เหมือนกำลังทำร้ายตัวเองด้วยใจตัวเอง เมื่อไหร่ตัดได้ ปล่อยวางได้ ก็จะสุขเอง... รู้ทฤษฎีครับ แต่ปฏิบัติทำไม่ได้...

พอจะมีแนวความคิด หรือ วิธีฝึกจิต ให้เข้มแข็งกว่านี้ไหมครับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2011, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


joeyboy2 เขียน:

วิธีฝึกจิต ให้เข้มแข็งกว่านี้ไหมครับ?


วิธีฝึกฝึกอบรมจิตที่กระทู้นี้ครับ

viewtopic.php?f=27&t=38940&p=267360#p267360


นำไปใช้ได้เลย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2011, 13:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2011, 15:36
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบ คุณกรัชกาย

กำลังอ่านอยู่พอดีครับ เริ่มลองใช้แล้ววันนี้ครับ...คิดหนอๆๆๆๆๆๆ...เห็นหนอๆๆๆๆๆๆ....
เริ่มได้ผลบ้างแล้วครับ

อีกเรื่องที่อยากจะขอความรู้ก็คือ ผมสับสนกับคำสอนที่บอกให้ปล่อยวาง ไม่ยึดติด แต่เราก็มีหน้าที่การงานต้องทำ หมายความว่า เราไม่ต้องใส่ใจมากกับงานเราหรือเปล่า ทำให้ผ่าน ๆ ไปก็พอ เพราะถ้าทุ่มมาก ก็เหมือนไม่ปล่อยวาง ผมเป็นคนทุ่มเทและจริงจังมาก ทั้งเรื่องงานและเรื่องความรัก พอเจอปัญหาความรัก ก็เลยเจอปัญหาเรื่องงานด้วย ถ้าเราปล่อยวางทุกอย่างทั้งเรื่องคนรัก และเรื่องงาน แล้วเราจะใช้ชีวิตเพื่ออะไร...สรุปว่า เราควรจะใช้ชีวิตในการทำงานยังไงให้มีความสุขครับ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2011, 15:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


joeyboy2 เขียน:

อีกเรื่องที่อยากจะขอความรู้ก็คือ

ผมสับสนกับคำสอนที่บอกให้ปล่อยวาง ไม่ยึดติด แต่เราก็มีหน้าที่การงานต้องทำ
หมายความว่า เราไม่ต้องใส่ใจมากกับงานเราหรือเปล่า ทำให้ผ่าน ๆ ไปก็พอ เพราะถ้าทุ่มมาก ก็เหมือนไม่ปล่อยวาง

ผมเป็นคนทุ่มเทและจริงจังมาก ทั้งเรื่องงานและเรื่องความรัก พอเจอปัญหาความรัก ก็เลยเจอปัญหาเรื่องงานด้วย
ถ้าเราปล่อยวางทุกอย่างทั้งเรื่องคนรัก และเรื่องงาน แล้วเราจะใช้ชีวิตเพื่ออะไร...

สรุปว่า เราควรจะใช้ชีวิตในการทำงานยังไงให้มีความสุขครับ...


ตอบท่อนสุดท้ายก่อนที่ว่า

สรุปว่า เราควรจะใช้ชีวิตในการทำงานยังไงให้มีความสุข

เราจะใช้ชีวิตกับงานยังไงให้มีความสุขใช่ไหม ใช้หลักอิทธิบาทครับ

สาระของการสร้างสมาธิ ตามหลักอิทธิบาท ก็ คือเอางาน สิ่งที่ทำ หรือจุดหมายที่ต้องการ
เป็นอารมณ์ของจิตแล้ว ปลุกเร้าระดม ฉันทะ วิริยะ จิตตะ หรือ วิมังสาเข้าหนุน สมาธิก็เกิดขึ้นและมีกำลังแข็งกล้า ช่วยให้ทำงานอย่างมีความสุข และบรรลุผลสำเร็จด้วยดี

โดยนัยนี้ ในการปฏิบัติธรรมก็ดี
ในการเล่าเรียนศึกษา หรือ ประกอบกิจการงานอื่นใดก็ดี
เมื่อต้องการสมาธิ เพื่อให้กิจที่ทำนั้น ดำเนินไปอย่างได้ผลดี
ก็พึงปลุกเร้าและชักจูงอิทธิบาท 4 อย่างนี้ ให้เกิดเป็นองค์ธรรมเด่นนำขึ้นสักข้อหนึ่ง
แล้วสมาธิความสุขสบายใจ และการทำงานที่ได้ผล ก็เป็นอันหวังได้เป็นอย่างมากว่าจะเกิดมีตามมาเอง
พร้อมกันนั้น การฝึกสมาธิ หรือ การปฏิบัติธรรมส่วนหนึ่งก็จะเกิดมีขึ้นในห้องเรียน ในบ้าน ในทุ่งนา
ในที่ทำงาน และ ในสถานที่ทุกๆ แห่ง



ศึกษาแนวทางลิงค์นี้ครับ

viewtopic.php?f=2&t=20241&p=140628#p140628

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2011, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


joeyboy2 เขียน:
ผมเป็นคนทุ่มเทและจริงจังมาก ทั้งเรื่องงานและเรื่องความรัก พอเจอปัญหาความรัก ก็เลยเจอปัญหาเรื่องงานด้วย ถ้าเราปล่อยวางทุกอย่างทั้งเรื่องคนรัก และเรื่องงาน แล้วเราจะใช้ชีวิตเพื่ออะไร


เรื่องปล่อยวางยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่พอสมควร คือ เข้าใจกันว่า ปล่อยวาง ทิ้งความรับผิดชอบ คือ ไม่เอาอะไรเลย ทิ้งงาน ทิ้งผัวทิ้งเมียทิ้งครอบครัว ฯลฯ ผิดครับ

แต่ตอนนี้ฟังเพลง "รักเอย" ก่อน เดี๋ยวว่ากรัชกายตัวปลอม :b32:

ญ.
http://daraoke.gmember.com/idxplaymv.do ... 502&page=1

ช.
http://www.youtube.com/watch?v=XGKw0BYou5E

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2011, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำสอนเกี่ยวกับด้านการงานดูคำสอนนี้ประกอบด้วย


ความสุขอันชอบธรรมที่คฤหัสถ์ควรมี

หลักนี้ เรียกง่ายๆว่า ความสุขของคฤหัสถ์ 4 ประการ ดังพุทธพจน์ที่ตรัสแก่อนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า

“ดูกรคหบดี ความสุข 4 ประการนี้ เป็นสิ่งที่คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ควรได้ควรถึงอยู่เรื่อยๆ ตามกาล ตามสมัย ความสุข 4 ประการนั้น คือ อัตถิสุข โภคสุข อนณสุข อนวัชชสุข

1. อัตถิสุข (สุขเกิดจากความมีทรัพย์) เป็นไฉน ?

คือ กุลบุตรมีโภคะอันหามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สะสมขึ้นได้ด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอย่อมได้ความสุข ได้ความโสมนัสว่า เรามีโภคะที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สะสมขึ้นได้ด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม นี้เรียกว่า อัตถิสุข

2. โภคสุข (สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์บริโภค) เป็นไฉน ?

คือ กุลบุตรกินใช้ และทำสิ่งดีงามเป็นบุญทั้งหลาย ด้วยโภคะที่หามาได้ด้วยความหมั่นเพียร สะสมขึ้นได้ด้วยกำลังแขน อย่างอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เธอย่อมได้ความสุข ได้ความโสมนัสว่า โภคะที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร...ได้มาโดยธรรม เราได้กินใช้ และได้ทำสิ่งดีงาม อันเป็นบุญทั้งหลาย นี้เรียกว่า โภคสุข

3. อนณสุข (สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้) เป็นไฉน ? คือ กุลบุตรไม่เป็นหนี้สินไรๆ ของใครๆเลย ไม่ว่าน้อยหรือมาก นี้เรียกว่า อนณสุข

4. อนวัชชสุข (สุขเกิดจากความประพฤติสุจริตไร้โทษ) เป็นไฉนๆ

คือ อริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรมไม่มีโทษ ประกอบด้วยวจีกรรมไม่มีโทษ ประกอบด้วยมโนกรรมไม่มีโทษ เธอย่อมได้ความสุข ได้ความโสมนัสว่า เราเป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรมไม่มีโทษ ประกอบด้วยวจีกรรมไม่มีโทษ ประกอบด้วยมโนกรรมไม่มีโทษ นี้เรียกว่า อนวัชชสุข


ตัวอย่างที่ยกมานี้จะเห็นว่า พระพุทธเจ้ามิใช่สอน ให้ทิ้งหน้าที่การงาน (ปล่อยวางอย่างที่พวกเราเข้าใจ) แต่กลับสอนให้มีความขยันหมั่นเพียรรับผิดชอบการงานที่ทำ

ดูต่ออีกหน่อยที่

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=1031.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2011, 16:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์ใดใดก็ไม่เที่ยงครับ เกิดและดับ เกิดและดับอยู่เช่นนั้นเองตามเหตุและปัจจัย
ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และทุกข์ ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
สิ่งเหล่านี้เรียกว่าโลกธรรมเพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่คู่กับโลก และเป็นสิ่งที่ต้องแตกสลายไป

จิตใจที่เข้มแข็งคือจิตที่ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งที่น่าใคร่และไม่น่าใคร่เหล่านั้นเพราะเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์แปรปรวนไปเป็นธรรมดา แต่ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ขอเพียงแต่ระลึกรู้ด้วยสติอันประกอบด้วยปัญญาอยู่เนื่องๆ ว่าใดใดในโลกก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เกิดขึ้นเสื่อมและดับไป อยู่เช่นนั้นเอง ไม่เป็นไปโดยประการอื่น :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2011, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อีกเรื่องที่อยากจะขอความรู้ก็คือ ผมสับสนกับคำสอนที่บอกให้ปล่อยวาง ไม่ยึดติด


คุณสับสนคำพูดคำสอนที่บอกว่า "ให้ปล่อยวาง ไม่ยึดติดถือมั่น" นะครับ

คำพูดนั้นมาจากบาลีประโยคนี้ "สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย" แปลว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น หรือสิ่งทั้งปวงไม่อาจยึดมั่นไว้ได้

(อภินิเวส เป็นไวพจน์หนึ่งของอุปาทาน)

นั่นเป็นเพียงรูปศัพท์ที่นิยมพูดกันเท่านั้น ยังไม่ชัวร์
หากต้องการจะปล่อยวาง ไม่ยึดติดได้จริงแท้ โดยจิตใจไม่มีแง่งอน หรือหลอกตนเอง เราต้องรู้เห็นสภาวะจิตที่ยึดติดถิอมั่นก่อน (คือเห็นโทษเห็นภัยของอุปาทาน) เห็นเมื่อไหร่นิพพิทาเกิดก็ปล่อยวางเองเมื่อนั้น แต่ถ้ายังไม่รู้เห็นตามเป็นจริง เพียงพูดๆกันไปท่านว่า "เป็นความยึดมั่นในความไม่ยึดมั่น"

ไม่รู้จะพอเข้าใจไหมครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2011, 01:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


เอาใจอยู่กับปัจจุบัน..ใกล้ๆตัวให้มากที่สุด
ทำงานอยู่...ก็เอาใจจรดจ่ออยู่กับงานที่ทำ
หากแว่บไปคิดถึงหน้าของน้องคนนั้น
ก็ให้ผลัดกับตัวเองว่า...เสร็จงานตรงนี้ก่อน
แล้วค่อยคิด....

หากว่างจากงาน...กำลังกินข้าวอยู่ ก็ให้คิดถึงกับข้าว
คิดถึงอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า...พิจารณาดูว่ามีอะไรบ้าง
กินเพื่ออะไร?....หากเราไม่กินข้าวมื้อนี้ เราจะเป็นอย่างไร?
หาเหตุคิดเรื่องที่ใกล้ๆตัวไปเรื่อยๆ....เมื่อใดที่แว่บคิดถึง "เขา"
ก็ให้ผลัดกับตัวเองว่า....เดี๋ยวค่อยคิด ไม่ต้องขัดขืนหากใจจะคิด
เพียงแต่ขอผลัดผ่อนไว้ก่อน....

หากทำอย่างที่ว่าแล้ว...ยังกระสับกระส่ายอยู่....ก็ใช้วิธีใหม่
อยากคิด...ก็คิดไป อยากร้องไห้ก็ร้องไป....อยากเศร้าเสียใจ
ก็เสียไป....ดูซิว่าอารมณ์แบบนี้จะยังคงอยู่กับเราตลอดไป
ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า?

เคยทำแล้วดีขึ้น....ลองดูนะค่ะ.... :b4: :b4:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2011, 09:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2011, 15:36
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากครับ คุณกรัชกาย สำหรับธรรมะ และแนวทางดี ๆ ผมเห็นด้วยเกี่ยวกับปรัชญาการทำงานครับ คิดว่าคงจะเอามาประยุกต์เพื่อให้เกิดความสุขกับการทำงาน...คงใช้เวลา....

เมื่อวานก็นอนทั้งวันครับ พยายามหลบ พยายามระลึก "คิดหนอๆๆๆๆ" แต่ก็ต้องระลึกทั้งวันเลย รู้สึกจะจมอยู่กับมันเกินไป...เฮ้อ....

ได้ไปอ่านในกระทู้บางกระทู้ ก็เห็นด้วย ที่ตอนนี้ผมจะคิดว่า ไม่มีอะไรทุกข์กว่านี้อีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่เมื่อ 4 ปีก่อน ผมก็เคยทุกข์ใจกับเรื่องบางเรื่องจนเคยคิดว่า ไม่มีอะไรทุกข์กว่าเรื่องนั้นอีกแล้ว เวลาผ่านมา 2-3 ปี ผมก็หายทุกข์ไปแล้ว วันนี้หวังว่าิสิ่งที่กำลังทุกข์ใจจะจางหายไปเหมือนเรื่องในอดีต....

ขอบคุณ คุณ taktay ที่แนะนำครับ ผมก็คิดเหมือนกัน บางทีห้ามเกินไปก็ยิ่งคิด ที่ผ่านมาก็ปล่อยให้คิดบ้าง แต่พอคิดมากไปก็พยายามหยุดมัน จะลองใช้วิธีผลัดไปก่อน บวกกับ อินทร์สังวร น่าจะได้ผล ซักวันมันต้องดีขึ้น....

มีสิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรทำยังไง คือ เราควรจะหลบ หรือเผชิญหน้า ผมควรจะหลบน้องเขาตลอดไปจนจิตใจเข้มแข็งก่อน หรือ ควรจะเผชิญหน้า ให้ชินชาไป...ใครเคยมีประสบการณ์เรื่องนี้พอจะบอกผลดี ผลเสีย และผลลัพธ์ ได้ไหมครับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2011, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 09:31
โพสต์: 292

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ค่อยเก่งเรื่องธรรมะนะคะ
แต่ก็ได้ธรรมะและธรรมจักรนี่แหละช่วยขัดเกลาจนดีขึ้นมาได้
คุณโชคดีมากที่ได้มาเจอเว็บนี้และบุคคลที่ให้คำแนะนำกับคุณ
ดิฉันในวันเก่าก่อนผ่านมาเจอเว็บนี้เช่นเดียวกับคุณ อาการเหมือนคุณ
ทุกวันนี้ดีขึ้นจนเกือบจะลืมความรู้สึกเจ็บปวดเช่นนั้นแล้ว
ส่วนตัววิธีที่ใช้ได้ผลกับตัวเองมากที่สุดคือวิธีที่พี่ทักทายแนะนำค่ะ
อยากคิดก็ปล่อยให้คิดให้เต็มที่ ตั้งอกตั้งใจคิดไปเลย
อยากร้องไ้ห้ก็ปล่อยให้ร้องให้เต็มที่ พิจารณาด้วยว่าตัวเองจะร้องได้กี่ชั่วโมง
สุดท้ายพอตั้งใจคิดจริงๆ กลับมีแวบไปคิดเรื่องอื่น ดึงตัวเองกลับมาคิดเรื่องที่เจ็บปวดอีก
ก็แวบไปคิดเรื่องอื่นอีก จึงได้ผลว่า มันเป็นเช่นนี้หนอ ที่เขาเรียกว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป


อ้างคำพูด:
มีสิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรทำยังไง คือ เราควรจะหลบ หรือเผชิญหน้า ผมควรจะหลบน้องเขาตลอดไปจนจิตใจเข้มแข็งก่อน หรือ ควรจะเผชิญหน้า ให้ชินชาไป...ใครเคยมีประสบการณ์เรื่องนี้พอจะบอกผลดี ผลเสีย และผลลัพธ์ ได้ไหมครับ?


ส่วนตัวดิฉันเองต้องบอกว่าไม่ว่าจะเป็นทุกข์ จะรู้สึกแย่ขนาดไหน ก็ได้เจอกับเขากลับเป็นสิ่งที่ดิฉันต้องการมาก โทรหาทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าต้องได้เจอกับคำพูดที่ทำให้เราแย่ลงกว่าเก่า แต่ก็ยังทำ...
พอเริ่มทำใจได้มากขึ้น สมองกับหัวใจเริ่มทำงานเข้าขากัน ก็ได้มติเอกฉันท์กับตัวเองว่า
จะอยากเจอเขาทำไมให้สับสน ให้เศร้า ให้ทุกข์อีก แบบนี้ก็ดีแล้ว ไม่เห็น ไม่ทุกข์
จะอยากโทรหาเขาทำไมให้เขาพูดอะไรให้เราเสียใจ หมั่นบอกตัวเองเช่นนี้บ่อยๆ
ก็ลดก็ถอยความอยากเจอ อยากโทรหาเขาลงได้เยอะเลย จนทุกวันนี้ไม่อยากเสียเวลาทำแบบนั้นอีกแล้ว
ส่วนคุณฯ หากยังไม่แน่ใจว่าจิตใจจะเข้มแข็งพอก็น่าจะหลีกเลี่ยงไปเสียก่อนสักระยะนะคะ หากคิดว่าจิตใจตัวเองเข้มแข็งดีแล้วว่ากันอีกครั้งดีกว่า เป็นกำลังใจให้นะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2011, 15:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2011, 15:36
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบคุณ ปริตา

ก่อนอื่นขอบคุณมาก ๆ นะครับ สำหรับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้ฟังจากคนอื่นว่าเขาผ่านมาได้ เราก็พอมีความหวังบ้าง

ผมก็ไม่เ่ก่งธรรมะเช่นกัน และที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญมาก จนมาเจอความทุกข์ ก็เลยต้องคิดใหม่...

ตอบตามตรงว่า ช่วงนี้ตัดขาดเลยไม่ได้ อึดอัดมาก ยังแอบคิด คงเหมือนพวกติดยาเสพติดครับ บางทีถ้าบังคับเิกินไปก็อึดอัด ลงแดงได้ ปัญหาผมคือ อยู่ใกล้กันเกือบทุกวัน ไม่เหมือนคนอื่น ที่อยู่กันคนละที่ ก็เลยตัดขาด 100% ยากมาก

จะลองดูครับ ปล่อยให้คิดบ้าง และเลี่ยงบ้าง หวังว่า เวลาจะช่วยทำให้มันจางลงไปเองได้ หวังว่าจะเป็นเหมือนเรื่องอื่น ๆ และเหมือนคนอื่น ๆ ที่ผ่่านมาแล้ว...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2011, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


หนีอะไรก็หนีได้....แต่หนีความคิดของตัวเองไม่มีวันหนีพ้น
ยิ่งไม่เห็นหน้า ยิ่งคิดถึง.....ทำทุกอย่างให้เป็นปกติ...เจอก็ดี ไม่เจอก็ดี
สังเกตุความรู้สึกของตัวเองไปเรื่อยๆ...ดูว่า....เจอทุกวัน...เจ็บทุกวัน
ความเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้น หรือลดน้อยถอยลง คงที่หรือเปล่า?
ถือโอกาสใช้ความทุกข์ในตอนนี้ พิจารณาธรรม...ไม่ต้องฝืนความรู้สึก
ดูไปเรื่อย เสียใจก็รู้ว่ากำลังเสียใจ ปวดใจก็รู้ว่ากำลังปวดใจ
อะไรที่ทำให้เสียใจปวดใจ?...ใครที่ทำให้ปวดใจและเสียใจ
ได้คำตอบให้กับตัวเองเมื่อใด....ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนแปลงเอง
โชคดีนะค่ะ

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 19 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร