วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 06:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2011, 14:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.พ. 2011, 13:27
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


เรา ๒ คนอายุใกล้จะเกีษยณไม่คิดว่าจะมาพบเรื่องแบบไม่คิดฝัน ก่อนหน้าเกิดเรื่องเรายังช่วยกันต่อเติมบ้านวางโครงการต่อเติมบ้านตามที่เราอยากให้เป็นจะได้ใช้ตอนเกษียณ เรื่องมาเกิดชัดเมื่อ3เดือนที่ผ่านมา เขาหาเรื่องทะเลาะ ออกจากบ้านรุ่งเช้า เขามาขอหย่าหน้าดำเครียดฉันไม่ให้หย่าเพราะผิดปกติและรวดเร็วเกินไป จนเขาบอกว่าเขามีผู้หญิงอีกคน ฉันก็บอกว่าฉันรับได้เพราะรักเขาและคิดว่าไม่ใช่ตัวตนที่เขาพูด ฉันไม่เคยคิดว่าเรื่องมนต์ดำจะมี แต่เมื่อหาหมอคน หมอพระ ก็พูดตรงกันแม้แต่คนที่อยู่ห่างกันก็บอกเบาะแสให้ดิฉันจนรู้ว่าเป็นจริงตรงกัน มีคนเมตตาให้คำแนะนำหลายประการ ฉันก็ยังไม่สบายใจเป็นทุกข์ที่สามีหลง หญ ทั้งอายุต่างกับฉันเพียง 5 ปี ความประพฤติเท่าที่ทราบคือมากชาย แต่สามีกลับช่วยเหลือเขาบอกว่าต้องรับผิดชอบเขาและลูกติด รวมทั้งให้ความสะดวกใช้หน้าที่การงานสนับสนุนหล่อนอีก ทุกวันนี้ฉันทำได้คือสวดมนต์ทั้งเช้าเย็น สวดอิติปิโส สวดพาหุง มหากาฯอะไรที่คนแนะนำก็สวด บางวันก็สบายใจแต่ถ้าวันไหนเจอเรื่องสะกิดใจเช่น ดิฉันทำงานพัฒนาสังคมให้ชาวบ้านมีครอบครัวอบอุ่น มันสะท้อนในอก เพราะ หญ คนนี้สามีก็สนับสนุนโครงการครอบครัวผาสุกให้กับหล่อนด้วย แค่ครอบครัวตัวเองประสบความร้าวฉาน มีความรุนแรงในครอบครัวมาตลอดแต่ก็อดทนอดกลั้นมาครั้งนี้เจ็บปวดหัวใจมาก ระหว่างเขียนนี้ก็น้ำตาอดไหลไม่ได้ อยากให้มีคนเข้าใจว่าดิฉันต่างหากที่ถูกรังแก แต่สามีพูดเหมือนฉันทอดทิ้งเขา..ที่ว่าเขาโดนของเพราะตอนแรกเขาไม่อยากพูดอะไรยืนยันจะหย่าอย่างเดียว แต่เมื่อให้ดื่มน้ำมนต์เขาก็เริ่มพูดดีขึ้นจะเป็นอย่างนี้หากได้อยู่กับดิฉัน 1-2 วัน แต่เมื่อกลับเข้าบ้านเขาจะต้องรีบไปบ้านนั้นโดยบอกว่าต้องไปก่อนมืด 6โมง ยิ่งถ้า หญ โทรมาเขาแทบรีบออกไปทันที ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ถ้าอยู่ที่อื่นต่างจังหวัด หญ โทรมาเขาจะพูดกันเป็นชั่วโมง ระยะนี้ หญ อ้างมีงานต้องต่อเติมบ้านเขาก็ไม่กลับมาบ้านดิฉันเลย แต่คงไปทำงานด้วยกัน เขาห้ามไม่ให้ดิฉันบอกกล่าวกับใคร แต่คนเขาก็สังเกตุได้เพราะดิฉันทำงานไม่มีสมาธิเลย ...ขอกลังใจและคำแนะนำบ้าง ดิฉันอยากให้กระทรวง.ดิฉันเข้มงวดเรื่องนี้แต่ดูจะไม่มีใครใส่ใจได้แต่บอกให้เราใจเย็น ดิฉันเย็นที่สุดแล้ว แต่คิดถึงบ้านเมืองว่าทำไมเป็นเรื่องที่ไม่ผิดศีลเลยหรือ และนิยมกันมากทุกวันนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2011, 16:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 08:25
โพสต์: 326


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue เข้ามาเป็นกำลังใจให้ค่ะ ทุกอย่างเป็นสมมติ ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา อย่ากังวล ทำจิตใจให้สบาย (แม้นจะทำยากสักแค่ไหน) อดทนไว้ ๆ แล้ววันหนึ่งที่เราข้ามผ่านไปได้จะดีเอง :b8: :b8: :b29: ค่ะ

:b41: รักตัวเองให้มากนะคะ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนมากที่สุดค่ะ นี่คือความจริงที่พระองค์ตรัสค่ะ :b41:

.....................................................
สุดปลายฟ้า... เชื่อมั่นและสัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ผู้รู้แจ้ง เห็นจริง ยึดถือพระองค์เป็นสรณะ อย่างไม่มีสิ่งใดเหนือกว่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2011, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ขอกลังใจและคำแนะนำบ้าง ดิฉันอยากให้กระทรวง.ดิฉันเข้มงวดเรื่องนี้
แต่ดูจะไม่มีใครใส่ใจได้แต่บอกให้เราใจเย็น ดิฉันเย็นที่สุดแล้ว
แต่คิดถึงบ้านเมืองว่าทำไมเป็นเรื่องที่ไม่ผิดศีลเลยหรือ
และนิยมกันมากทุกวันนี้


คงไม่มีหน่วยงานไหนที่จะสามารถขจัดปัญหาโลกแตกนี้ไปได้
ตราบใดที่คนเรายังหลงใหลได้ปลื้มอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลภ โกรธ หลงอยู่
มีแต่ตัวเราเองนั่นแหละที่จะเป็นที่พึ่งแห่งตน

จะห้ามใครๆ ไม่ให้ทำผิด หรือจะให้ใครๆทำตามที่ใจเราปรารถนา ที่เห็นว่าถูกว่าควร
คงเป็นไปได้ยาก....สิ่งที่จะทำให้เราทุกข์น้อย..มิใช่อยู่ที่การขจัดมนต์ดำ หรือความ
พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงพวกเขา แต่ควรเปลี่ยนแปลงตัวเราเอง...ยอมรับว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น และกำลังดำเนินอยู่นี่ เป็นไปตามเหตุและปัจจัยเป็นไป
ตามกฎแห่งธรรมชาติ...ไม่ว่าจะจากกันในวันนี้หรือวันไหนๆ...ก็ต้องจากกันอยู่ดี..... :b4: :b4:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2011, 23:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=23359

เพิ่งจะเห็นกระทู้นี้เมื่อตอนกลางวัน ลองแวะไปดูก็ได้ค่ะ เผื่อมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์
ขอให้ใจเย็นๆ นะคะ เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในไม่ช้า หากตั้งมั่นอยู่ในธรรม

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2011, 07:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.พ. 2011, 13:27
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณในคำแนะนำทั้งปวง บางวัน บางครั้ง แม้จะสวดมนต์ทุกวันเช้าเย็นแต่ยังไม่หลุดพ้นกระมังถึงว้าวุ่นใจ ยิ่งวันไหนที่เขาบอกว่าจะทำโน่นนี่ด้วยแต่แล้วก็เงียบไปติดต่อไม่ได้ ทำให้รุ่มร้อน เป็นที่นิสัยใจร้อนของเราด้วยกระมัง เมื่อก่อนเมื่อติดต่อเขาไม่ได้จะขับรถไปถึงที่ทำงานทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นถึงติดต่อไม่ได้ แต่เวลานี้ได้แต่เฝ้ารอเพราะยังยึดติดเนอะ ทั้งๆรู้แต่อยู่ระหว่างปล่อยวาง มันเป็นอารมณ์ที่วูบขึ้นมาแล้วสะท้อนหัวใจน่ะ ยิ่งรู้จากหลายท่าน หลายคนว่าเขาโดนมนต์ดำก็วิตกเป็นห่วงเขา(ตัวกุ ของกู หรือเปล่า)และเกรงจะมาลามปามถึงสิ่งที่เราสร้างมาด้วยกันจะเป็นของ ญ นั้น ทุกหมอบอกเหมือนกันว่าหวังมาเอาสมบัติที่คิดว่าเขามีมาก
วันมาฆะเขาได้แต่โทรมาบอกว่ามาไม่ได้ แต่ให้เราทำบุญแทน ก็ยังดีที่เขาพูดเช่นนี้ เราไปไหนจะภาวนาเผื่อเขา และภาวนาบอกพระว่าเรามากับเขามาไหว้พระด้วยกัน..เป็นถึงขนาดนี้นะเราเนี่ย...เพราะอยู่กันมา 20 กว่าปีไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอจนผู้คนอิจฉาว่าคู่นี้รักกันดี เป็นพี่ๆที่น้องๆนับถือเพราะผ่านปัญหามาเยอะเป็นที่ปรึกษาให้น้องได้ ตอนนี้ตัวเองมีโจทย์ต้องแก้อีกแล้ว...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2011, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


ตั้งสตินะโยม คนเราอยู่ในโลกใบนี้ไม่เคยมีใคร ได้รับจดหมายแจ้งเตือนล่วงหน้า ว่าจะต้องประสบกับความทุกข์ ต้องพลัดพรากเสียใจ ต้องสูญเสียคนรัก ของรัก ไม่เคยมีจดหมายมาถึง จนเราสามารถตั้งสติระวังตัวระวังใจไว้ได้ มันก็ย่อมเป็นธรรมดาที่เราจะ แทบลมทั้งยืน ฝืนยิ้มต่อไปไม่ได้ ปรับตัวไม่ทัน ทั้งเจ็บและอายคนอื่น

การสวดมนต์ถ้าได้รู้ความหมาย สวดจนเสียงมันดังกลบความคิดวน ๆ เวียน ๆ ในใจ มันทำให้อวัยวะภายในมันทำงาน จากหายใจติด ๆ ขัด อาจทำให้ได้ออกกำลังบริหารอวัยวะภายในไปในตัว ยิ่งได้อรรถได้ธรรมได้ความหมายในการสวดด้วยแล้ว ก็จะช่วยให้เป็นเครื่องอยู่ของสติ คือสติมาจดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ไหว้พระ ไม่ไปโกรธเกลียดพยาบาทใครขึ้นมา หรือตำหนิติโทษตนเอง หรือสนใจความคิดคนอื่นที่จะคิดกับเราเรื่องของเรา

ถึงน้ำตาจะหมด และทะลักออกมาอีก กี่ครั้งเป็นธรรมดาแน่นอนที่ ความฟุ้งซ่านสับสนต่าง ๆ ความเศร้าโศกเสียใจจะมาเป็นเพื่อนเพิ่มความทุกข์ความเหงาให้กับเราตลอดเวลา แต่เมื่อไหร่ที่เรามีสติและปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ความทุกข์หรือว่ามรสุมใหญ่สีดำนี้ ก็จะปราศจากไปจากชีวิตจิตใจเรา เมื่อยิ่งได้ปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงขึ้นมา หนทางมีอยู่ หากพอมีบุญวาสนาอยู่บ้างไม่นานก็ล่วงความทุกข์นี้ลงไปได้

ตั้งแต่หลับจนตื่น คนทุกคนบนโลกใบนี้ก็ถูกมนต์ดำสีขาว ที่เรียกว่าความสุข ลาภ ยศ สรรเสริญ ติดตามเราเชิดชูทำให้เราหลงเราพอใจในสิ่งต่าง ๆ การแวดล้อมด้วยความรู้สึกที่ดีที่พอใจ แล้วสำคัญมั่นหมายว่ามันมีอยู่จริง สมบัติข้าวของเงินทอง วิมานหรือบ้านในฝัน ใครสักคนก็พอที่ได้รักและรักเรา พระท่านว่านี้เป็นความ เมาอย่างหนึ่งในชีวิต เมาว่าชีวิตมันยืนยาว ความจริงแล้ว หากใครบางคนกำลังขาดสติกำลังทุกข์ อาจคิดสั้นเพราะคิดว่ามีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายเพราะชีวิตขาดใครคนนั้นไม่ได้ขึ้นมา

มันจึงเป็นมนต์ดำสีขาว เพราะความไม่รู้ พระท่านว่า ความเกิดแก่เจ็บตายนี่เป็นทุกข์ แต่มีคนอยู่มากกว่ามากสักแค่ไหนที่ ถูกมนต์ดำสีขาวหลอกให้หลงอยู่ ยังมีความเมาในความมีความเป็น นั่นคือประมาทคิดว่าจักไม่ตาย ไม่เคยมีมรณสติประกอบอยู่กับจิตกับใจ นั่นทำให้เรื่องที่เกิดขึ้น ในยามต้องพลัดพรากกับหลงลืมไปว่าจะไม่พลัดพราก ยามเจ็บจะไม่มี ยามแก่จะไม่ตาย จิตใจเลยมากและเต็มไปด้วยความยึดถือ เป็นเหตุเป็นผลของการต้องสะกดของมนต์ดำสีขาว ที่เข้าไปยึดถือเอาไว้ ว่าทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างมันจะเป็นอย่างที่เราอยากให้มันเป็น

แต่ในทางกลับกัน พระท่านสอนว่า ไม่มีอะไรเป็นของ ๆ เราสักอย่าง มาตัวเปล่าแล้วก็ต้องไปตัวเปล่า ๆ ขนาดตัวเราเองยังบังคับให้ไม่ทุกข์ ขอให้มีความสุข ให้อายุอย่าได้ล่วงเลยไปกว่านี้ อย่าได้ให้เกิดหรือต้องประสบกับความทุกข์เลย พระท่านสอนเรื่องความทุกข์ เพื่อให้รู้จักผลของความทุกข์ ให้รู้จักเหตุแห่งทุกข์ เพราะความปรารถนาให้มันเป็นไปตามความต้องการและมันไม่เป็นไปตามความต้องการ

ทุกข์และสมุทัยนี่เองคือเหตุและผลแห่งทุกข์ คือชีวิต คือกายใจ คือความรู้สึกนึกคิดของเรา คือผลของความทุกข์ มนต์ดำสีขาว ความอยากมีอยากได้อยากเป็นแล้วมันไม่เป็น (ภาวตัณหา) ความไม่อยากมี ไม่อยากได้ไม่อยากเป็นแล้วมันไม่เป็นไปตามต้องการ(วิภาวตัณหา) ความยึดมั่นถือมั่น ในตัณหานี่เองคือสมุทัย สาเหตุแห่งทุกข์

หนทางดับทุกข์ คือการมีศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเป็นการนำพุทธธรรม ขับไล่ปัดเป่ามนต์ดำสีขาว และมนต์ดำสีดำ ให้หายไปจากชีวิต เมื่อเราเริ่มปรับตัวปรับใจ แต่เป็นธรรมดาที่ นิวรณ์กิเลสจะมาคอยอยู่เป็นเพื่อน นี่คือมนต์ดำสีดำ ที่พลัดเปลียนหน้าตากันมาแวะเวียนเยี่ยมเรา ความพยาบาท ความหดหู่ซึมเศร้า เศร้าโศกเสียใจ หมดกำลังใจ ท้อแท้สิ้นหวัง ความฟุ้งซ่านรำคาญใจเดือดร้อนใจ ความกังวลสับสน ความลังเลใจต่าง ๆ ในชีวิต นี่คือมนต์ดำสีดำที่เกิดขึ้นกับทุกข์ชีวิตของทุก ๆ คนที่ขาด ศีล สมาธิ ปัญญา

เพราะเมื่อความไม่เที่ยง ความทุกข์ปรากฏเกิดขึ้นในชีวิต มีแต่พระธรรม และข้อปฏิบัติเหล่านี้เท่านั้นจะช่วยบุคคลผู้นั้นหลุดพ้นจากทุกข์ได้ ศีลคือการสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อยเป็นปกติ ส่วนใจนั้นต้องอาสัยสมาธิ ทำให้เป็นปกติด้วยการอบรมจิตใจ คอยมีสติระลึกรู้ ระลึกถึงความตายที่จักมีแก่เรา และคนที่เรารัก แม้คนที่เราเกลียดคนที่เราไม่ชอบใจ แม้แต่เราเองก็มีที่สุดจุดหมายคือความตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

การเฝ้าคอยกังวลรอคอยหา หวังให้ใครมาทั้งที่เขาก็เป็น คนที่มีความทุกข์ ต้องเกิดแก่เจ็บและตายเหมือน ๆ กันกับเรา จะมีประโยชน์อะไร หากนี่เป็นวิบากที่เราเคยไปเอาของ ๆ ใครมาในอดีต อาจถึงเวลาที่กรรมจะสนอง และยอมรับความจริงว่ากรรมมีจริง ไม่มัวมาเสียเวลาเกิดตาย ทุกข์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ให้กิเลสมันหลอกกิเลสตบหน้าย่ำยีจิตใจเราวนเวียนอย่างนี้มาหลายภาพหลายชาติ ไม่ขยาดไม่เข็ด จะให้เป็นเวรเป็นกรรมต่อกันเพื่ออะไร

อย่าไปกังวลกับสายตาคนอื่น อย่าได้กังวลสนใจ นั่นจะทำให้ยิ่งทุกข์ ควรอยู่กับปัจจุบัน ยอมรับความจริงได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะสบายใจได้เร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น ก็ในเมื่อเราห้ามเหตุการณ์อย่างนี้ให้เกิดขึ้นไม่ได้ ห้ามคนของเรา หญ คนนั้นเราก็ห้ามไม่ได้ (เว้นไว้แต่จดทะเบียนมีผลตามกฏหมาย ให้กฏหมายจัดการ) ก็มีแต่การหันกลับมา มาทำให้จิตใจเรามันเต็มทาน ศีล ภาวนา แสวงหาความสุขความหลุดพ้น จากมนต์ดำสีขาว และสีดำเสียให้สิ้นซาก เพื่อใจจะได้พ้นทุกข์พ้นโศกกลับมามีชีวิตอยู่กับปัจจุบันและตามความเป็นจริง ยิ้มได้และเป็นสุขได้ เพราะปล่อยและวาง ขอให้ผ่านพ้นวิบากที่หลงเหลือนี่ไปให้ได้ พุทธฏีกายินดีเป็นกัลยาณมิตรให้ เจริญพร
รูปภาพ


Credit image by:
http://www.nanagarden.com/%E0%B8%9A%E0% ... 804-4.html

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 03:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.พ. 2011, 13:27
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


นมัสการ และขอขอบพระคุณท่าน ที่ชี้ทางสว่างให้ เพิ่งได้อ่านแนวคิดเกี่ยวกับทุกข์ สมุทัย นิโรธมรรค ในแนวที่พระอธิบายเอง แต่ก่อนอ่านแต่ในตำรา ข้าราชการบางคนก็ยกมาอ้างใช้งานหาเหตุหาผล แต่พฤติกรรมที่แสดงออกยังเป็นกิเลศตัณหายศถาบรรดาศักดิ์ เรื่องราวของดิฉันก็คงเป็นบทเรียนหนึ่งจากกรรมเก่า จะพยายามครองสติ และใช้พระธรรม ตามที่ท่านแนะนำ ค่ะ ยอมรับว่าทุกวันนี้สวดมนต์ และพยายามฝึกสมาธิ ในหนังสือสวดมนต์มีวิธีสมาธิง่ายๆ จะพยายาม และ ขอคำแนะนำจากท่านว่าฝึกสมาธิเราทำได้ทุกอิริยาบทใช่ไหม ดิฉันรู้สึกว่ายังนั่งไม่เป็น แต่ตอนนอนจะพยายามฝึกลมหายใจและพูดยุบหนอพองหนอตามจังหวะลมหายใจก็หลับไปได้ (แม้จะตื่นทุกชั่วโมง)พร้อมฟังเทปชินนะบัญชรฉบับแปล ได้ฟังทราบว่ามีความหมายอย่างไร นมัสการขอบพระคุณอีกครั้งและขอบคุณทุกคำแนะ กำลังใจที่ให้ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 12:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนา สติสามารถอบรมทำให้เจริญได้ตลอดเวลาด้วยเจตนา การรู้สึกตัวว่าไม่มีสมาธิ ทำไม่เป็น ก็เท่ากับได้สติได้สมาธิในการรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง หรือเป็นการทำความรู้สึกตัวในอริยบถตามที่โยมถามถึงนั่นเองครับ พระท่านเรียกกันว่า เจริญสติสัมปชัญญะ หนึ่งในสติปัฏฐาน ๔ (การมีสติกำหนดอยู่ที่ฐานกาย(เห็นชัดเห็นรูปร่างกายในขณะปัจจุบัน ยืน เดิน นั่ง นอน[ดูท้องพองยุบ]มีหนอไม่มีหนอกำกับก็ได้) เห็นเวทนาชัด(ความรู้สึกสุขหนอ,ทุกข์หนอ,เฉยๆ พูดกำกับไม่กำกับก็ได้) จิต (ความนึกคิดปรุงแต่ง,ความรู้อารมณ์,คิดหนอ ๆ ) ธรรม (สภาพรูปธรรมคือร่างกาย สภาพนามธรรมคือจิตใจทั้งสองส่วน [เวทนา,จิต])

ถ้าคอยกำหนดมีสติอยู่ใน ๔ ฐานนี้ก็เรียกว่าคุณโยมได้อบรม สติปัฏฐานอยู่ในทุกอริยบถแล้วละครับ มีข้อสังเกตุให้กลับไปศึกษาพิจารณาว่า เวลารู้ที่ท้องพองยุบ เวลารู้ที่การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของร่างกาย บางคนจะหายฟุ้งซ่าน สติจอจ่ออยู่กับ ฐานกาย บางคราวระงับความปรุงแต่งของเวทนา และจิตในแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ มีสติกี่มากน้อย มีมากก็ระงับได้ไวได้เร็ว มีน้อยก็ช้าต้องกำหนดอาศัยเวลานานกว่า

แปลว่าถ้าอยู่ที่ฐานกลายปลอดภัย พระท่านเปรียบจิตนี้ไวเหมือนลิงปีนป่ายไปตามกิ่งไม้แต่ละกิ่งรวดเร็ว สารพัดสาระพันที่จะคิดนึกวุ่นวายไป พอสติอยู่ที่ฐานกาย เห็นท้องพองยุบ เห็นการขยับเคลื่อนไหวในจังหวะในอริยบถต่าง ๆ ลิง(อารมณ์ที่ปรุงแต่งจิต)ถูกเชือกคือสติมัดเอาไว้แล้ว ถูกสติจับอยู่ในหลักในฐาน นั่นก็คือการคอยรู้กาย

[[[ในสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก ในพระอภิธรรม ท่านเปรียบว่า จิตไม่ขึ้นวิถีที่ระลึกหรือจดจำในสภาพว่าฉันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เขาทำแบบนั้นแบบนี้ เพิกถอนสัญญาโลก ๆ ที่ชักนำไปสู่ทุกข์ ให้หมุนออกโดยการดูกายดูจิตเข้าไปข้างใน จนเห็นทุกข์เหตุแห่งทุกข์ ตามความเห็นก่อนที่แสดงไปเป็นการอบรมอริยมรรค]]]

ถ้าลิงมีกำลังมาก เชือกหรือสติเส้นเล็กมีกำลังน้อย อารมณ์ปรุงแต่งขึ้นมาแล้วเราไม่กำหนดสติ ให้อยู่กับฐานกาย เห็นว่ากายกำลัง ยืน เดิน นั่ง นอน หรืออยู่ในอริยบถย่อย ๆ ต่าง ๆ ตามลักษณะที่ปรากฏในปัจจุบัน ลิงก็จะกระตุกเชือกขาด วิ่งหายไปในป่าแห่งทุกข์ โหนกิ่งนั้นกิ่งนี้ไปตามเรื่องตามราวของมัน

เมื่อเรามีสติมากกว่า อารมณ์ที่ปรุงแต่งจิต มีเชือกเส้นใหญ่กว่าตัวลิง ก็แน่นอนว่า จิตใจจะลดความทุรนทุรายลงไป ได้ชั่วครั้งชั่วคราว ที่นี้จากความเห็นก่อนเรื่องมนต์ดำสีขาว ก็จะทำให้เราชะล่าใจ ถดถอยสติลงไป เราไม่เข้มงวดกวดขันในตนเอง ลิงมันก็จะถือโอกาสกัดเชือกให้ขาด พอปัญหาต่าง ๆ ประดังเข้ามา เรานึกว่าจะดึงมันอยู่ปรากฏว่า มันค่อย ๆ กัดเชือกโดยเราไม่รู้ตัว แปลว่าถ้าเรายังไม่ฝึกไม่สอนมัน เอาแต่มัดมัน มันก็จะเป็นอยู่อย่างนี้

พอเราอบรมสติปัฏฐาน ดูกาย มีฐานกายคอยเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัย มาพัฒนาฐานต่อไปคือ การฝึกรู้ ฝึกเห็น มีสติระลึกรู้ เรียกว่าเห็นอาการปรุงแต่งของจิต หรืออารมณ์ที่ปรากฏขึ้นมาในแต่ละขณะ ที่ปรากฏขึ้นในจิตใจนั่นเอง เบื้องต้นมีสติสัมปชัญญะกำหนดรู้ กายในทุกอริยาบถอยู่ทุก ๆ ขณะ คราวนี้ก็ทุกข์ขณะที่ จิตใจมันพลิก มันปรุงแต่ง มันคิดนึก เผลอ รู้ เผลอ รู้ รู้สึกตัวอยู่ตลอดว่า ใจกำลังสุขหรือทุกข์ จิตกำลังถูกอารมณ์ปรุงแต่ง คิดนึกอะไร [ข้อควรระมัดระวังคือ เห็นใจกำลังรู้สึก หรือจิตกำลังคิดนึก สักแต่เพียงเท่านั้น ไม่ใช่รู้และอินไปกับใจ ไม่ใช่รู้และจมลงไปในเรื่องที่คิด ] เบื่องต้นเมื่อกำหนดฐาน กายชัด เห็นเป็นสักแต่เพียงก้อนเนื้อ ร่างกาย เห็นเหมือนใครคนหนึ่งที่เราไม่เคยเห็นมาตลอดชีวิต กำลังทำอะไร นั่นแหละ รู้ชัดเห็นชัด

เมื่อเห็นอย่างโดยประจักษ์ชัดเจนแล้ว สติก็จะมั่นคงเพียงพอที่จะเห็นลักษณะต่อ ๆ ไปของ เวทนา(ความรู้สึก สุข,ทุกข์,เฉย ๆ) จิต(อารมณ์ปรุงแต่งจิต,ความคิด,ความรู้อารมณ์) ธรรม (สภาพของรูปธรรมนามธรรม) ตามความเป็นจริง พอจิตใจกลับมาเป็นปกติ ไม่หลงมนต์ดำสีดำ คือ นิวรณ์ทั้ง ๕ [(กามฉันทะ๑ รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่พอใจชอบใจติดใจ มนต์ดำสีขาว) ๒ พยาบาท ความขัดเคืองผูกโกรธ ๓ ถีนมิทธะ ความท้อแท้ หดหู่ ซึม โศกเศร้าเสียใจ อาลัยอาวรณ์ ๔ อุธัทจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านซัดส่ายในอารมณ์ ๕ วิจิกิจฉา ลังเลใจ ปักใจเลือกอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งไม่ได้ ] เมื่อจิตพ้นนิวรณ์ตามกำลังสมาธิกำลังปัญญาบ้าง จิตก็จะสามารถพัฒนารู้แจ้งอริยสัจธรรม เห็นความจริงของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ใน กาย เวทนา จิต ธรรม ที่ประกอบเป็นตัวตนบุคคลของบุคคลทั้งหลายในโลกนี้ได้ตามความเป็นจริง พ้นเพราะละความเห็นผิดไปโดยลำดับเจริญพร



ศีล = สัมมากัมมันตะ(การงานชอบ) ๑ สัมมาอาชีวะ(เลี้ยงชีพชอบ) ๑ สัมมาวาจา(วาจาชอบ) ๑
สมาธิ = สัมมาวายามะ(ความเพียรชอบ) ๑ สัมมาสติ (สติปัฏฐาน ๔ หรือสติชอบ) ๑ สัมมาสมาธิ (ความตั้งมั่นชอบ) ๑
ปัญญา = สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) ๑ สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ ได้แก่ ไม่คิดเรื่องกาม เรื่องพยาบาท เรื่อง เบียดเบียน) ๑



รูปภาพ


Credit image by :
http://www.vcharkarn.com

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 16:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.พ. 2011, 13:27
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


นมัสการและขอบพระคุณท่านยิ่งค่ะ
วันนี้เข้ามาแวะเวียนดูคำแนะนำดีๆเป็นเพื่อนสติ แม้ว่าต้องพยายามทำความเข้าใจด้วยการอ่านหลายๆครั้ง เป็นภาษาที่ไม่ค่อยถนัดแบบเดียวกับตอนอ่านบทสวดและคาถาต่างๆ ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2011, 07:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2011, 10:52
โพสต์: 256

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มาเป็นกำลังใจให้นะคะ ขอให้มีสติและตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม อาจจะเคยทำกรรมร่วมกันมา

การสวดมนต์ภาวนาก็คงช่วยได้บ้างในระดับหนึ่ง พยายามปล่อยวางอย่าไปยึดมั่นถือมั่น พูดง่าย

แต่คงทำยาก แต่ก็ขอภาวนาให้คุณมีสติตั้งมั่นเจริญสติสัมปชัญญะและก้าวผ่านทุกอุปสรรคไปได้ด้วยดี

:b8: :b8: :b8:

ไม่มีใครทำให้เราสุขหรือทุกข์ได้ตลอดเวลา ถ้าใจเราไม่ยินยอม

เอาใจช่วยนะคะ ไม่สบายใจอะไรก็เข้ามาอ่านและระบายได้ตลอดนะคะ ทุกคนในบอร์ดนี้เป็นเพื่อนคุณ

:b41: :b45:

.....................................................
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร ไม่ต้อง อ้อนวอน ขอพร กะใคร ให้กวน
พรที่ ให้กัน ผันผวน เป็นเหมือน ลมหวน อวลไป อวลมา อย่าหลง
พรทำ ดีเอง มั่นคง วันคืน ยืนยง ซื่อตรง ต่อผู้ รู้ทำ
อยากรวย ด้วยพร เพียรบำ - เพ็ญบุญ กุศลนำ ให้ถูก ให้พอ ต่อตน
ทุกคน เกิดมา เป็นคน ชั่วดี มีจน เป็นผล แห่งกรรม ทำเอง
ถือธรรม เชื่อกรรม ยำเยง บาปชั่ว กลัวเกรง ทำแต่ กรรมดี ทวีพรฯ

ท่านพุทธทาสภิกขุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2011, 07:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.พ. 2011, 13:27
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้เกือบสวดชินนะบัญชรได้ขึ้นใจแล้วค่ะ สามีคงไปๆมาแต่ไปน่ะ ๗๐%
ความคืบหน้าเรื่องมนต์ ในที่สุดเราก็ได้พบคนที่รับทำของให้ ญ ทั้ง๒ คน มีพระเป็นอาจารย์ พระบอกเราเองว่าคนนั้นคือศิษย์ ไม่ทราบเป็นพระประเภทไหนที่อยู่กับเมรุเลย ทำทีเลี้ยงผี มีโลงตั้ง ๒ โลงแต่งตัวเป็นหญิง(ข้างตลาดเทศบาลอำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์) มีคนไปหากันแยะ ถามไถ่ไปมาพระบอกว่า ญ นี้มาหาบ่อยครั้ง คนในตำบลนั้นก็มาหาขอของกันมาก พระบอกว่าให้ไปแทบทุกคน แต่เราไม่ได้ให้พระนี้ทำอะไร แถมยังรู้สึกกลัวว่าจะทำอะไรใส่เราอีก เราได้คุยกับพระว่าคนที่ทำของใส่ผัวเขานี้ไม่บาปหรือ พระว่าไม่บาป คนทำก็ได้ตังค์ พระท่านใดอ่านเรื่องนี้ช่วยอธิบายด้วย พระแบบนี้จะตกนรกไหม กรมไหน กระทรวงไหนดูแลและจัดการพระนอกรีตบ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2011, 23:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ถ้าเราตั้งมั่นอยู่ในศิลธรรมอันดี รักษาศิลห้าให้ครบถ้วน บริบูรณ์
ไม่ว่าไสยศาสตร์ มนต์ดำ พญามารหรืออสูรกายที่ไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้

พระที่เกลือกกลั้วมัวเมาอยู่กับเรื่องพวกนี้ อย่าถามเลยว่าผิด บาปหรือไม่
คนที่ใช้ผ้าไตร จีวรมาคลุมกาย เพื่อลาภ สักการะ ใช้คำว่า"พระ"มาหากิน
ไม่ต้องสงสัยว่า ประตูอบายจะเปิดรอรับหรือไม่?

ไม่ว่าจะเป็นผู้จ้าง...ผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำ คงมีเหตุ
มีปัจจัยร่วมกันมา....เราเองที่ต้องเข้ามาสู่วงโคจรนี้
ก็คงเคยสร้างเหตุต่อกันมา

หากเชื่อในเรื่องของบาปบุญคุณโทษ.....ก็มั่นชักจูงเขาให้เขาวัด
ทำบุญ พาไปหาพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ฟังเทศน์ ฟังธรรมะจาก
ปากท่าน....อาจจะพอช่วยได้

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ :b4: :b4:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2011, 09:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2011, 10:58
โพสต์: 6


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นกำลังใจให้เสมอครับ ทุกปัญหามันต้องผ่านไปได้ ผมก็เป็นอีกคนที่มีปัญหาก็จะทำให้มันผ่านไปให้ได้มากที่สุด


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร