วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 22:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 08:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่แรกก็อยากพ้นทุกข์คะ พอคนรักมาง้อก็เลยเปลี่ยนใจ เอาแน่เอานอนไม่ได้คะ เดียวก็มาโอดครวญว่าทุกข์ สักพักก็หายไป ไม่ได้ไปไหนหรอกคะแฟนมาอ้อน เลยใจอ่อน อิอิ :b32: :b28:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2010, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ต.ค. 2010, 14:00
โพสต์: 19

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เบื่อๆ อยากๆ คะ ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2010, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 07:11
โพสต์: 93

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเมตตา การให้อภัยและการให้อโหสิกรรม

เมตตา ความรัก ที่ไม่ประกอบด้วยกาม มุ่งดีปรารถนาดีไม่มีข้อจำกัด แม้แต่คนที่ไม่รู้จักไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อน รวมไปถึงสัตว์ทั้งหลายด้วย การสร้างเมตตานั้น ให้คิดว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ไม่ควรที่จะเบียดเบียนกัน ไม่ควรแย่งชิงของรัก แย่งชิงลาภ ยศ สรรเสริญ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น อนิจจัง ไม่เที่ยงทั้งสิ้น

อนึ่ง เมื่อผู้ใดกระทำกรรมที่ไม่ดี เขายอมต้องได้รับผลของกรรมไม่ดีนั้นในภายหน้าแน่นอน
ตามหลักของกรรม คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราควรซ้ำเติมหรือควรให้ความเมตตา
ความเมตตา คือความเย็น ผู้มีเมตตาจึงเป็นผู้เย็น คนรอบข้างก็เย็น
สัตว์ต่างๆ ก็สัมผัสได้กับความเย็นนี้

การแผ่เมตตา จึงหมายถึงการให้ความเย็นให้กับผู้ที่มีแต่ความร้อนรุ่มในใจ
ผู้มีเมตตาเป็นผู้เย็นก่อน สงบระงับจากอกุศลกรรมต่างๆ ก่อนเสมอ

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก เมตตาจึงยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง จึงสมควรที่จะสร้างให้เกิดมีในตน
เพื่อป้องกันไม่ให้ตน ไปเบียนเบียดทำลายผู้อื่น สัตว์อื่น อันนำมาซึ่งกรรมไม่ดีทั้งมวล

เมื่อมีเมตตา กรุณาคือ ความสงสารก็ตามมา เพราะเมตตาเป็นเหตุ กรุณาเป็นผล
เมตตาและกรุณานี่เอง นำมาซึ่งการให้อภัยให้อโหสิกรรม
ซึ่งเป็นการยกระดับจิตของตนเองให้สูงขึ้น ดีขึ้น

เป็นการฝึกจิตพัฒนาจิต อย่างแท้จริงอีกด้วย

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย นิดหนึ่ง เมื่อ 25 ต.ค. 2010, 08:17, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2010, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 20:10
โพสต์: 70

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนา ด้วยอีกคนคะ ขอความว่าดีแล้วต้องลงมือปฎิบัตจริงด้วย


อนุโมทนาค่ะ :b8: :b8: :b8: พนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2010, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 07:11
โพสต์: 93

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การให้อภัย ไม่ใช่ยอมแพ้ ไม่ใช่เสียเปรียบ

ยอมกันเสียบ้าง ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง การยอมแพ้อาจหมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ การให้อภัย ดูเหมือนว่า เรายอม ไม่ติดใจ ไม่เอาเรื่อง แล้วเขาจะได้กำเริบ ส่วนเราเสียเปรียบ ความจริงแล้วไม่ใช่ เรากำลังบำเพ็ญบารมี คือ "อภัยทาน" อันเป็นทานบารมีที่สูงส่ง

บางคนรักมากหลงมาก เพราะเขาดี ก็ปรารถนาพบกันทุกชาติ หรือต้องการพบกันอีก บางคนก็อธิษฐานไม่ขอพบขอเจอกันอีกและไม่ให้อภัย ผลของการไม่อภัย ก็เหมือนการผูกสิ่งที่เราไม่ชอบไว้กับตัวตลอดเวลา คล้ายๆ ผูกเวร จองเวร ผูกอาฆาตพยาบาท ไม่มีที่สิ้นสุด

ภัยที่เกิดจากผู้อื่น กระทบเราน้อยกว่าภัยที่เราสร้างขึ้นเอง เขาทำร้ายเราก็ขณะหนึ่ง
แต่จิตที่ตั้งไว้ผิดทำลายเราทั้งชีวิต ทั้งชาติภพ


การให้อภัย เป็นการฝึกจิต อบรมจิต เป็นการชำระใจ เป็นการยุติปัญหาต่างๆ เป็นการแสดงกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่การเสียหน้าหรือเสียรู้ ไม่ใช่การได้เปรียบเสียเปรียบ แต่เป็นการชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีออกจากใจ เหมือนล้างภาชนะที่สกปรก ฉันนั้น

การให้อภัยพูดง่ายแต่ทำยาก แม้จะยากเพราะใจไม่อยากทำ ก็ต้องฝืนใจ เพราะเมตตาและการให้อภัย เป็นคุณประโยชน์แก่เรา ป้องกันพยาบาท ความอาฆาตแค้น เป็นความสงบร่มเย็นของเราเอง ไม่ใช่ของใครอื่น

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย นิดหนึ่ง เมื่อ 26 ต.ค. 2010, 08:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2010, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 07:11
โพสต์: 93

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การคิดถึงกฏแห่งกรรม ไม่ใช่การคิดแบบหาทางออกไม่ได้ หรือโยนบาป โดยไม่คิดที่จะแก้ปัญหา การคิดถึงกฏแห่งกรรมเป็นหลักสำคัญ ในการแก้ปัญหาทางใจ ตามหลักพระพุทธศาสนา หลักกรรม กฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ

ปัญหาบางอย่างแก้อยาก แก้ไม่ตก สลัดก็ไม่ออก ไม่มีทางหลบหนีได้ เป็นสิ่งที่เราต้องแบกรับด้วยชีวิต เราต้องพิจารณาย้อนหลังและยอมรับเหตุการณ์นั้นให้ได้ สิ่งหนึ่งที่ควรคิดคือ เรื่องผลกรรมที่เกิดขึ้นจากกรมในอดีต ที่เราไม่ได้ทำให้เป็น "อโหสิกกรม" คือไม่ยอมให้อภัยในชาติที่แล้วและวันนี้สิ่งที่เกิดกับเรา จึงเป็นสิ่งที่สมควรสมเหตุ สมผล

วิธีแก้คือ เราต้องยอมรับความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรานั้นให้ได้ หากคิดได้เช่นนี้ ก็จะทำให้จิตใจเราเยือกเย็นและอ่อนโยนลงได้ ความทุกข์ส่วนใหญ่ มักเกิดจากการไม่ยอมรับความจริงที่เปลี่ยนแปลงไป ความทุกข์ของมนุษย์มักเกิดจากต้องการเปลี่ยนแปลงแต่เปลี่ยนไม่ได้ หรือไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงแต่กลับเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น

อโสิกรรม ก็เช่นเดียวกับ อภัยทาน คือ ยกโทษให้ ไม่เอาโทษในสิ่งที่ล่วงเกินกันมา
เป็นการฝึกอบรมจิต ยกระดับจิตให้ดีขึ้น สูงขึ้น เหมือนกัน


:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย นิดหนึ่ง เมื่อ 27 ต.ค. 2010, 12:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2010, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 07:11
โพสต์: 93

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์นี้มีประจำทุกคน มากบ้างน้อยบ้าง เมื่อเราเป็นทุกข์ ก็ต้องแก้ทุกข์เอง
คนอื่นมาช่วยแก้ไม่ได้ ได้แต่ชี้แนะแนวทางเท่านั้น

ดังพุทธดำรัสที่ว่า
"เราตถาคต ได้แต่ชี้บอกเท่านั้น"


:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2010, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2010, 13:38
โพสต์: 4

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณคุณนิดหนึ่งมาก ๆ ที่ให้แนวคิดที่ดีมาก ๆ กับเพื่อนมนุษย์ ขออนุโมทนาด้วยค่ะ จะจำไว้เป็นแนวทางปฏิบัติยามเกิดทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2010, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 15:01
โพสต์: 408

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณสำหรับข้อความที่ดีมากๆ เลยค่ะ
อ่านแล้วเข้าใจและทำความเข้าใจง่าย
อ่านแล้วคิดตาม ก่อให้เกิดสติ
อนุโมทนาบุญค่ะ

เพชรกล้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2010, 08:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ธ.ค. 2010, 06:57
โพสต์: 50


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นแนวทางที่ดีมากครับ แต่ส่วนใหญ่เพียงมาขอปรับทุกข์ มาขอความเห็นใจเท่านั้น
ไม่ต้องการตัดขาดความรักจริงๆ หรอกครับ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2011, 06:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 เม.ย. 2010, 19:53
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใต้ฟ้าขออนุโมทนากับคุณนิดหนึ่ง และขอนำข้อคิดดี ๆ ที่มีดีทุกข้อไปใช้ในชีวิตด้วยค่ะ โดยเฉพาะการให้อภัย ที่คุณนิดหนึ่งบอกว่าไม่ใช่การเสียหน้า การเสียรู้ การเสียเปรียบ แต่เป็นการชำระล้างจิตใจของเราเองให้สะอาด

ขอให้คุณนิดหนึ่ง นำข้อคิดดี ๆ แบบนี้มาแบ่งปันให้อีกเยอะ ๆ นะคะ ขอบคุณค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พระพุทธเจ้า ตรัสแก่ภิกษุสาวก ถึงเรื่องความรักไว้ว่าความรักเป็นความร้าย
ความรักเป็นสิ่งทารุณและเป็นเครี่องทำลายความสุขของปวงชนทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรักแต่ความรักไม่เคยให้ความสมหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการยิ่งความรักที่ฉาบทาด้วยความเสน่หาด้วยแล้วก็เป็นพิษแก่จิตใจทำให้ทุรนทุราย ดิ้นรนไม่รู้จัจบจักสิ้น ความสุขที่เกิดจากความรักนั้นเหมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง

เธอทั้งหลายอย่าได้พอใจในความรักเลยเมื่อหัวใจยึดถือไว้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้าแต่ทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังก็จะรอเราอยู่

"การไม่มีภรรยา เป็นลาภอันประเสริฐ การไม่มีสามี เป็นลาภอันประเสริฐ"

ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เช่นนี้ เพื่อเตือนว่า ชีวิตคู่มีทุกข์สุขคละเคล้ากันไป


แต่เกือบทุกคู่ ทุกข์จะมากกว่าสุขตามวัย ตามสัญชาตญาณของสัตว์โลกมักแสวงหาชีวิตคู่แล้วก็เกิดความรัก ความผูกพัน ตามมา ความรู้สึกกว่าความรักเป็นสิ่งสวยงามเป็นความสุขอย่างที่สุดนั้น เป็นความรู้สึกของตัณหาเพื่อที่จะได้ความสุขนั้น เหมือนต้องติดหนี้สินมากมาย เพราะเมื่อได้ดำเนินชีวิตคู่ไปแล้วหลายคนรู้สึกว่าตัวเองได้คำนวณผิดพลาดไป ดอกเบี้ยแพง ตั้งใจแก้ตัว พยายามอย่างไรก็ติดลบตลอดมีทุกข์มาก มีสุขน้อย หลายคู่ก็ผิดหวังเหมือนมีหนี้สิน ชดใช้ไม่รู้จักจบจักสิ้น

"...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม...
ไม่มีความยึดมั่นใด ที่จะไม่ก่อให้เกิดทุกข์... "


รูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2011, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2009, 17:12
โพสต์: 246

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:ขออนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ และขอคุณมากค่ะ คุณนิดหนึ่ง ดิฉันกำลังทุกข์เรื่องนี้อยู่ค่ะ
อ่านบทความแล้วทำให้ใจกระจ่างขึ้นอีกลำดับหนึ่งค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2013, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2010, 12:27
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนากับบทความนี้ :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2013, 09:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2012, 15:53
โพสต์: 410


 ข้อมูลส่วนตัว


Bwitch เขียน:
รูปภาพ

พระพุทธเจ้า ตรัสแก่ภิกษุสาวก ถึงเรื่องความรักไว้ว่าความรักเป็นความร้าย
ความรักเป็นสิ่งทารุณและเป็นเครี่องทำลายความสุขของปวงชนทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรักแต่ความรักไม่เคยให้ความสมหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการยิ่งความรักที่ฉาบทาด้วยความเสน่หาด้วยแล้วก็เป็นพิษแก่จิตใจทำให้ทุรนทุราย ดิ้นรนไม่รู้จัจบจักสิ้น ความสุขที่เกิดจากความรักนั้นเหมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง

เธอทั้งหลายอย่าได้พอใจในความรักเลยเมื่อหัวใจยึดถือไว้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้าแต่ทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังก็จะรอเราอยู่

"การไม่มีภรรยา เป็นลาภอันประเสริฐ การไม่มีสามี เป็นลาภอันประเสริฐ"

ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เช่นนี้ เพื่อเตือนว่า ชีวิตคู่มีทุกข์สุขคละเคล้ากันไป


แต่เกือบทุกคู่ ทุกข์จะมากกว่าสุขตามวัย ตามสัญชาตญาณของสัตว์โลกมักแสวงหาชีวิตคู่แล้วก็เกิดความรัก ความผูกพัน ตามมา ความรู้สึกกว่าความรักเป็นสิ่งสวยงามเป็นความสุขอย่างที่สุดนั้น เป็นความรู้สึกของตัณหาเพื่อที่จะได้ความสุขนั้น เหมือนต้องติดหนี้สินมากมาย เพราะเมื่อได้ดำเนินชีวิตคู่ไปแล้วหลายคนรู้สึกว่าตัวเองได้คำนวณผิดพลาดไป ดอกเบี้ยแพง ตั้งใจแก้ตัว พยายามอย่างไรก็ติดลบตลอดมีทุกข์มาก มีสุขน้อย หลายคู่ก็ผิดหวังเหมือนมีหนี้สิน ชดใช้ไม่รู้จักจบจักสิ้น

"...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม...
ไม่มีความยึดมั่นใด ที่จะไม่ก่อให้เกิดทุกข์..."


รูปภาพ




สาธุเจ้าค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร