วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 05:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2010, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ค. 2010, 21:17
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รบกวนขอคำปรึกษาด้วยค่ะ

แต่งงานมาจะยี่สิบปีแล้ว มีลูกสาวหนึ่งคน สามีอายุห้าสิบกว่าปี
เป็นข้าราชการระดับค่อนข้างสูง มีเงิน มีอำนาจ มีบารมี
ทำงานเก่งหาตัวจับยาก และมีเสน่ห์สำหรับผู้หญิง

ส่วนดิฉัน 46 ปี ทำธุรกิจส่วนตัวค่ะ

ที่ผ่านมา ที่ทำงานเค้าจะไม่ได้มีลูกน้องสาว ๆ มีผู้หญิงน้อยมาก นับคนได้
และไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาเท่าไหร่

แต่ตอนนี้มีสาว ๆ เข้ามาพร้อม ๆ กันเกือบยี่สิบคน
ทุกคนอยู่ในความดูแลของสามีระยะหนึ่งก่อนแยกย้ายไปตามแผนก
แต่ก็ยังอยู่ในที่ทำงานเดียวกัน

ดิฉันเองไม่เคยเห็นเด็กสาว ๆ เหล่านั้น (อายุยี่สิบเศษๆ)

เมื่อเช้าเราคุยกันเรื่องครอบครัว ค่อนข้างเกี่ยวกับความมั่นใจของชีวิตคู่
สุดท้ายสามีบอกว่า ให้เชื่อเถอะว่าเขาเป็นคนดี รักดิฉัน รักลูก และเราจะแก่ไปด้วยกัน
ก็ดีใจมากค่ะ เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเค้ารักเรา

แต่ก่อนเค้าจะขึ้นรถไป สิ่งที่ได้ฟังแล้วทำให้ดิฉันรู้สึกปวดใจคือ

ถึงจะมีลูกน้องผู้หญิง แต่พวกนั้นรุ่นลูกทั้งนั้น เค้าไม่จริงจังด้วยแน่นอน แค่เจ๊าะแจ๊ะสนุกสนาน

คือรู้สึกว่ารับไม่ได้ค่ะ ว่าทำไมต้องไปเจ๊าะแจ๊ะสนุกสนานกับลูกน้อง ทำไมไม่ทำแค่งาน

ดิฉันรู้สึกว่า ยิ่งเรามีหน้าที่การงานสูง ยิ่งต้องระมัดระวังในการวางตัวให้ห่างจากเรื่องพวกนี้

และรู้สึกว่า หากเราไม่คิดจริงจังกับใคร ก็ไม่ควรไปให้ความสนิทสนม เพียงเพราะสนุกสนาน

รบกวนปรึกษาค่ะว่า.....


1. ในสังคมข้าราชการ การที่หัวหน้าเจ๊าะแจ๊ะสนุกสนานกับลูกน้องสาว ๆ นี้เป็นเรื่องปกติหรือปล่าวคะ
คือฟังดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่ดิฉันน่าจะดีใจด้วยซ้ำที่เค้าไม่คิดจริงจัง

2. การเจ๊าะแจ๊ะสนุกสนานนี้ ดิฉันก็ยังไม่ได้ถามสามีว่า มีขอบเขตประมาณไหน

การที่ดิฉันรับไม่ได้กับพฤติกรรมนี้ ...ผิดปกติมั๊ยคะ
แล้วเราทำอะไรอย่างอื่นได้มากกว่า "ทำใจ" มั๊ยคะ
ดิฉันบอกเค้าแล้วว่า หากเค้าเอ็นดูใครเป็นพิเศษ ดิฉันยินดีหย่าให้ เพราะก็ถือว่าทุกอย่างไม่เที่ยง
หากเค้าไม่ได้ยินดีในเรา ก็ปล่อยไป เรื่องลูกไม่เป็นปัญหาค่ะ

อย่างหนึ่งที่คิดได้คือ เราจะได้ถือเป็นโอกาสใช้ชีวิตในส่วนที่เราอยากใช้ แต่ไม่เคยทำเพราะเกรงใจสามี เช่น ดิฉันชอบฟังเพลง ชวนสามีไปก็ยังไม่เคยได้ไป รอมาเลยยี่สิบปีแล้ว ก็ว่าจะเลิกรอและไปฟังเองคนเดียว เป็นต้น

3. ในทางศีลธรรม เจ๊าะแจ๊ะระดับไหนจึงจะมัวหมองคะ
คือถ้าเป็นการคุยกันแบบหัวหน้าลูกน้องในบรรยากาศสนุกสนาน ดิฉันไม่มีปัญหา
แต่ถึงกับส่ง sms เบิร์ดเดย์ตอนเที่ยงคืน หรือกระเป๋าตังค์หายก็โทรหา
ดิฉันรู้สึกว่ามันใกล้กันมากไปหน่อยอ่ะค่ะ

แล้วเมื่อไม่จริงจัง ถ้าลูกน้องสาวเป็นทุกข์เพราะอกหัก สามีจะบาปมั๊ยคะ
ปกติสามีจะเคร่งครัดและปฏิบัติธรรมค่ะ ขึ้นรถก็จะฟังแต่ธรรมะ


ขอขอบคุณในความกรุณาของสมาชิกทุกท่านนะคะ


แก้ไขล่าสุดโดย เว็บมาสเตอร์ เมื่อ 05 พ.ค. 2010, 15:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2010, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 02:08
โพสต์: 65

ชื่อเล่น: ชาเขียว
อายุ: 24

 ข้อมูลส่วนตัว


เท่าที่อ่านดู คุณบุษบงกช ก็ถือได้ว่ามีความคิดความอ่าน และเข้มแข็งดีนะ
สิ่งที่ทำได้มากกว่า ทำใจ ก็คือ ดูใจ จ๊ะ
ดูใจไปเรื่อย ว่ามันคิด มันทำอะไร แล้วได้อะไร
เราไม่สามารถบังคับใจสามีได้ แม้กระทั่งใจตัวเราเองก็ยังไม่สามารถบังคับได้เลยจ๊ะ
ใจมันก็ไปของมันเรื่อยเปื่อย อยู่ที่เราจะตามมันทันได้ดีแค่ไหน
ใจล่องลอยไป เราไม่เคยใส่ใจไม่เคยดู ไม่เคยตาม ก็เหมือนปล่อยชีวิตไปวันๆ
ถ้าเราพยายามตามมัน ก็เหมือนได้ใช้ชีวิตอย่างถูกต้องขึ้นมาบ้างแล้ว
เมื่อไหรที่เรา ตามใจตัวเองทัน เมื่อนั้นถือได้ว่าเราได้ใช้ชีวิต ได้อย่างสมบูรณ์เลยจ๊ะ

สิ่งที่ทำให้เรา ปวดใจ ทรมานใจ ทุกข์ใจ ล้วนแล้วเกิดมาจากการที่เราไม่ใส่ใจ
ไม่ดูใจ และไปบังคับจิตใจของตนเอง ยิ่งเราบังคับ มันยิ่งคับแค้น
แต่ถ้าเราไม่บังคับ จะทำยังไงล่ะ ใจมันถึงจะรักดี ไม่ปวดใจ ไม่ทรมานใจ ไม่ทุกข์ใจ
ควรทำดีให้ใจเห็นบ่อยๆ เมื่อเห็นบ่อยๆใจเขาจะทำของเขาเองอัตโนมัติ
เรามีหน้าที่แค่เลือกสิ่งที่ดี หรือสิ่งที่ไม่ดี ให้ใจเขาเลือกเท่านั้นเอง
ทำไม่ดีบ่อยๆ ใจซึ้มซับบ่อยๆ ใจก็ถูกความไม่ดีครอบงำ ส่วนเราก็ตกอยู่ในอำนาจของใจ
ที่ถูกความไม่ดีครอบงำอีกที ความปวดใจ ทรมานใจ ทุกข์ใจ ก็ตามมาไม่ขาดสาย

ขอเป็นกำลังใจให้จ๊ะ :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2010, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตให้ความเห็นตามกำลังปัญญาค่ะ

อ้างคำพูด:
1. ในสังคมข้าราชการ การที่หัวหน้าเจ๊าะแจ๊ะสนุกสนานกับลูกน้องสาว ๆ นี้เป็นเรื่องปกติหรือปล่าวคะคือฟังดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่ดิฉันน่าจะดีใจด้วยซ้ำที่เค้าไม่คิดจริงจัง


ในแวดวงใดๆก็ตามหัวหน้าไม่ควรเจ๊าะแจ๊ะกับลูกน้องสาวทั้งนั้นค่ะ สามีคุณอยู่ในตำแหน่งสูงแล้วคงไม่ทำมังคะเพราะเกียรติมันค้ำคอ เขาน่าจะหยอกล้อกับคุณเล่นมากกว่าค่ะ และเด็กๆที่เข้ามาใหม่น่าจะเกรงใจสามีคุณจนหงอเลยค่ะ อย่าเพิ่งวิตกไปค่ะ

อ้างคำพูด:
2. การเจ๊าะแจ๊ะสนุกสนานนี้ ดิฉันก็ยังไม่ได้ถามสามีว่า มีขอบเขตประมาณไหน


อย่างที่ว่ามาข้างบนค่ะว่าอย่าเพิ่งตื่นตูม คุณพิจารณาสามีคุณก่อนดีกว่าว่านิสัยเขาจะเป็นไปอย่างนั้นได้มั้ย อย่าลืมว่าหน้าที่การงานของเขามัวหมองไม่ดีนะคะ เขาจะกล้าเสี่ยงเหรอ

อ้างคำพูด:
การที่ดิฉันรับไม่ได้กับพฤติกรรมนี้ ...ผิดปกติมั๊ยคะ


ไม่ผิดปกติค่ะ เป็นธรรมดาสามีภรรยา หญิงมักระแวงในขณะที่ชายมักปากพร่อย ไม่ได้ลืมคิดถึงใจกันและกันแต่เจตนาของการพูดถูกเข้าใจผิดน่ะค่ะ เพราะฉะนั้นใจเย็นๆสังเกตท่าทีของสามีคุณก่อน

อ้างคำพูด:
แล้วเราทำอะไรอย่าง อื่นได้มากกว่า "ทำใจ" มั๊ยคะ ดิฉันบอกเค้าแล้วว่า หากเค้าเอ็นดูใครเป็นพิเศษ ดิฉันยินดีหย่าให้ เพราะก็ถือว่าทุกอย่างไม่เที่ยง หากเค้าไม่ได้ยินดีในเรา ก็ปล่อยไป เรื่องลูกไม่เป็นปัญหาค่ะ


คุณตื่นตูมเกินไปนะคะ ปัญหามีทางแก้สิคะคุยกันก่อน จุฬาภินันท์ว่าสามีคุณยังไม่คิดจะทำอะไรเลย กิริยาเอ็นดูลูกน้องอาจเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ได้ค่ะ อย่าชี้โพรงให้กระรอกซึ่งจุฬาภินันท์ว่ามันจะทำให้เขารำคาญ และเมื่อรำคาญจากทางบ้านแล้วมีเด็กๆมันอยากแจ๊ะโอกาสก็จะมาเลย แบบนี้ไม่ดีค่ะ ย้ำว่าใจเย็นไว้ก่อน สังเกตนะคะไม่ใช่จับผิด สังเกตท่าทีของสามีคุณโดยการพูดคุยตามปกติ คุณย่อมรู้จักสามีของคุณดีค่ะ ถ้าเขาเปลี่ยนไปค่อยหันหน้าถกกันค่ะ

อ้างคำพูด:
อย่างหนึ่งที่คิดได้คือ เราจะได้ถือเป็นโอกาสใช้ชีวิตในส่วนที่เราอยากใช้ แต่ไม่เคยทำเพราะเกรงใจสามี เช่น ดิฉันชอบฟังเพลง ชวนสามีไปก็ยังไม่เคยได้ไป รอมาเลยยี่สิบปีแล้ว ก็ว่าจะเลิกรอและไปฟังเองคนเดียว เป็นต้น


คุณคิดไปถึงขั้นที่สามแล้วทั้งที่ขั้นที่หนึ่งยังไม่ได้เริ่มเลย ย้ำอีกครั้งว่าอย่าตื่นตูม ให้เกียรติสามีคุณด้วย ถ้าจุฬาภินันท์เป็นสามีคุณจุฬาภินันท์ไม่ทำอะไรในที่ทำงานแน่ค่ะ อย่างว่าแหละค่ะ ตำแหน่งมันค้ำคอและเรื่องพวกนี้ถ้ามีแล้วปากคนจะทำให้เรื่องลามค่ะ


อ้างคำพูด:
3. ในทางศีลธรรม เจ๊าะแจ๊ะระดับไหนจึงจะมัวหมองคะ
คือถ้าเป็นการคุยกันแบบหัวหน้าลูก น้องในบรรยากาศสนุกสนาน ดิฉันไม่มีปัญหา
แต่ถึงกับส่ง sms เบิร์ดเดย์ตอนเที่ยงคืน หรือกระเป๋าตังค์หายก็โทรหา
ดิฉันรู้สึกว่า มันใกล้กันมากไปหน่อยอ่ะค่ะ


ในทางศีลธรรมเจ๊าะแจ๊ะแบบไหนก็บาปทั้งนั้นค่ะ การจะไม่บาปก็เห็นจะมีทางเดียวคือเจ้านายเอ็นดูลูกน้องอย่างจริงใจ แต่ต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่าผู้ชายก็คือผู้ชาย เห็นอะไรสดใสสดสวยย่อมสนใจเป็นธรรมดา สำคัญที่ว่าเขาไม่ทำให้เกิดการกระทำเป็นพอค่ะ แบบนี้เรียกได้ว่ายังอยู่ในหลักศีลธรรมอยู่

แต่ถึงขั้นเอสเอ็มเอสก็ให้ฟันธงไปได้เลยว่าสาวเจ้าตั้งใจหลอกใช้ แต่จุฬาภินันท์ก็เชื่ออีกว่าสามีของคุณไม่โง่และเลยวัยจะทำแบบนั้น สามีคุณรักหน้าที่การงานเกินกว่าจะยอมให้มาเสียกับเรื่องคาวๆนะคะ

อ้างคำพูด:
แล้วเมื่อไม่จริงจัง ถ้าลูกน้องสาวเป็นทุกข์เพราะอกหัก สามีจะบาปมั๊ยคะ
ปกติสามีจะเคร่งครัด และปฏิบัติธรรมค่ะ ขึ้นรถก็จะฟังแต่ธรรมะ


นั่นไงคะ ถ้าจะมีการพูดคุยกันก็คงเป็นการแนะนำในฐานะหัวหน้าลูกน้อง นอกจากลูกน้องจะใจกล้าหน้าด้านจริงๆสามีคุณคงห่างออกมาค่ะ เชื่อใจคนใหล้ตัวเราไว้ก่อนดีกว่าค่ะ อย่าให้จุดเล็กๆลามไปใหญ่โตเพราะความระแวงเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ค. 2010, 23:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


แค่คำว่า "เจ๊าะแจ๊ะ"
สร้างคำถามได้มากมายขนาดนี้เลยหรือ? :b1:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แต่งงานมาจะยี่สิบปีแล้ว มีลูกสาวหนึ่งคน สามีอายุห้าสิบกว่าปี
เป็นข้าราชการระดับค่อนข้างสูง มีเงิน มีอำนาจ มีบารมี
ทำงานเก่งหาตัวจับยาก และมีเสน่ห์สำหรับผู้หญิง

ส่วนดิฉัน 46 ปี ทำธุรกิจส่วนตัวค่ะ


ยินดีด้วยครับในสิ่งดีที่คุณมีและได้มาเพราะอำนาจของบุญกุศลที่เคยทำมาไว้ก่อนแล้ว smiley :b4:

อ้างคำพูด:
ที่ผ่านมา ที่ทำงานเค้าจะไม่ได้มีลูกน้องสาวๆ มีผู้หญิงน้อยมาก นับคนได้
และไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาเท่าไหร่

แต่ ตอนนี้มีสาว ๆ เข้ามาพร้อม ๆ กันเกือบยี่สิบคน
ทุกคนอยู่ในความดูแลของสามีระยะหนึ่งก่อนแยกย้ายไปตามแผนก
แต่ก็ยังอยู่ในที่ทำงานเดียวกัน

ดิฉันเองไม่เคยเห็นเด็กสาว ๆ เหล่านั้น (อายุยี่สิบเศษๆ)


นี่คือชนวนจุดประกายความหวั่นไหวหวาดระแวง ให้ตั้งขึ้นฉับพลันทันที ด้วยอำนาจความคุ้นชินของกิเลสคือความโลภ และโทสะคือริษยา ..

โลภมาในรูปของตัณหาที่ติดยึดในสามีด้วยความรัก เลยอุปาทานว่านี่คือคน"ของเรา"...เมื่อหวงแหนก็คอยสอดส่องระแวดระวังจนเกิดหวาดระแวงเมื่อมีสิ่งแวดล้อมที่ไม่น่าไว้ใจเกิดขึ้น จิตใจย่ิอมฟุ้งไปไม่หยุดหย่อน หาความสงบมิได้เลย เพราะถูกอำนาจกิเลสลากถูให้ปรุงแต่งไปโดยประการต่างๆ...

เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆที่ยิ่งมี"ของดี"ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ ความหวงและตระหนี่ก็ยิ่งมากขึ้นเป็นลำดับ..คุณเองได้บุญสนับสนุนมาให้ได้สิ่งดีมาคือสามีผู้มีคุณสมบัติที่น่าปรารถนาแก่สาวทั้งหลาย..ความยึดติดย่อมมากขึ้น..ความหวั่นไหวและหวาดระแวงย่อมตั้งขึ้นเหมือนคลื่นที่ปรากฏ ระลอกแล้วระลอกเล่า ..จริงอยู่ หากสิ่งดีๆนั้นเป็นสิ่งของ ไม่มีชีวิตจิตใจ เราอาจเก็บงำไว้ได้ในที่ปลอดภัย แต่กระนั้น มันก็ย่อมแตกหักทำลายไปได้ตามกาลเวลา แต่สิ่งดีที่มีอยู่เป็นคนที่มีชีวิตจิตใจ เราจะป้องกันไม่ให้เสียไปได้หรือ..? ใครทำได้ช่วยแนะนำหน่อยเถิด ...

อำนาจของตัณหานี้ยังเป็นปัจจัยชักนำโทสะให้ตามมา คือการริษยาในหญิงที่เข้ามาร่วมงานกับสามีซึ่งมีอายุน้อยกว่า ก็เมื่อเปรียบเทียบกับตนเองผู้มีวัยล่วงเลยไปแล้ว ย่อมเห็นความจริงว่า ความแก่ชราได้ทำให้รูปของตนเสื่อมไปแล้วจากความงามอันจะสามารถรัดรึงใจชายได้ สู้สาวๆผู้ยังเยาว์วัยมิได้เลย ทั้งๆที่ยังไม่เห็นพวกเขาเหล่านั้น ใจก็ตกไปสู่ความหวาดกลัวเสียแล้ว นี้คือความสามารถในการปรุงแต่งของจิตอันเป็นของพิศดารยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในจักรวาล...

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า สิ่งใดจะวิจิตรเท่าจิตแล้ว ในโลกนี้ ไม่มีเลย..

เมื่อตั้งจิตไว้ผิดเสียแล้ว การกระทำ พูดและคิดที่ตามมาจะถูกได้อย่างไร เพราะจิตนั้นเป็นใหญ่ เป็นประธานในที่ทั้งปวง..

อ้างคำพูด:
เมื่อเช้าเราคุยกันเรื่องครอบครัว ค่อนข้างเกี่ยวกับความมั่นใจของชีวิตคู่
สุดท้ายสามีบอกว่า ให้เชื่อเถอะว่าเขาเป็นคนดี รักดิฉัน รักลูก และเราจะแก่ไปด้วยกัน


เมื่อสามีรับรองเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่อาจสบายใจได้อย่างเต็มใจ? เพราะอำนาจความหวาดระแวงมีมากจนปิดกั้นไว้เสียจนหมด จึงไม่อาจถือเอาได้ว่่าคำพูดของสามีเป็นสาระ...แต่กลับไปให้สาระแก่ความระแวง...แล้วก็ทุรนร้อนในอกทุกๆวัน...ใครกันที่ทำเราได้เช่นนี้?

เพราะความไม่รู้นั่นเอง จึงเกิดความกลัวและหวาดระแวง ...
เหมือนคนที่เดินไปในที่มืด เห็นเชือกขดอยู่บนทางเดิน เมื่อเห็นเข้าก็เข้าใจว่าเป็นงู เพราะความหวาดกลัวมีอยู่ ก็เชื่อไปว่านั่นคืองู .. รุ่งเช้าเดินผ่านมาใหม่ คราวนี้เห็นว่าเป็นเชือก ความกลัวย่อมหมดไป..

จึงพึงเข้าใจว่า เรื่องราวในความจริงกับสิ่งที่กลัวนั้น บ่อยครั้งเป็นคนละเรื่องกัน..

อ้างคำพูด:
ก็ดีใจมากค่ะ เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเค้ารักเรา


ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะเพิ่งรู้สึกในเวลาที่ความหวาดระแวงเกิดขึ้นกระมัง เพราะหากรู้สึกมานานแล้วคงอึดอัดขัดเคืองจนไม่อาจดำเนินชีวิตคู่มาถึงป่านนี้แน่..คนเรา หากไม่มีหลักพึ่งทางใจอย่างใดอย่างหนึ่ง จะอยู่ร่วมกับคนที่ไม่รักตน คงยากลำบากเต็มที..

อ้างคำพูด:
แต่ก่อนเค้าจะขึ้นรถไป สิ่งที่ได้ฟังแล้วทำให้ดิฉันรู้สึกปวดใจคือ

ถึงจะมีลูกน้องผู้หญิง แต่พวกนั้นรุ่นลูกทั้งนั้น เค้าไม่จริงจังด้วยแน่นอน แค่เจ๊าะแจ๊ะสนุกสนาน


คำนี้อาจหมายถึงการพูดคุยธรรมดาเท่านั้น หากต้องการทราบความหมายที่แท้จริง พึงสอบถามคนพูดว่าครอบคลุมอย่างไรบ้าง อย่าคลำหาสุ่มเดาความเอาเอง เรามีสิทธิ์ที่จะทำความกระจ่างให้เกิดขึ้นได้ในระหว่างคู่ของเรา เพราะการร่วมชีวิตกัน หากมีข้อปิดบังกันอยู่ ก็ไม่ทราบว่าจะมาอยู่ด้วยกันเพื่ออะไร..การอยู่คู่มิใช่การอยู่เพื่อเสพกามอย่างเดียว เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่จำต้องมาร่วมคู่กันหรอก ..แต่หมายถึงการร่วมทุกข์สุข ไม่มีความลับต่อกัน สามารถคุยกันได้ ด้วยเหตุผล..เพื่อความสุขร่วมกัน..แต่สิ่งนี้จะเป็นไปได้ ก็ด้วยคุณสมบัติของคู่ที่สมดุลย์กัน ทั้งในด้านศรัทธา ปัญญาและศีล..พึงพิจารณาดูว่า เราและเขาต่างกันมากไหม...

อีกประการหนึ่ง เราก็เป็นผู้มีวัยวุฒิกันแล้ว ย่อมควรที่จะ สามารถพูดคุยกันได้อย่างคนมีวุฒิภาวะ ไม่ใช่เด็กหรือวัยรุ่นที่คุยกันด้วยอารมณ์เป็นเหตุ..การสอบถามก็ต้องทำด้วยความแยบคาย มิให้ดูเหมือนกำลังสอบปากคำผู้ต้องหา..เพราะทันทีที่ใครเริ่มรู้สึกว่าตนกำลังถูกคุมคามให้เข้ามุม เขาจะโต้กลับมาด้วยอาการไม่เป็นมิตร..อาจพูดขึ้นมาทำนองว่า "เอ เจ๊าะเเจ๊ะนี่มันหมายถึงยังไงนะพ่อ แม่เองไม่คุ้นศัพท์สมัยใหม่เลยนะ เด็กๆเขาก็พูดกัน .." แล้วค่อยตะล่อมถามถึงการเจ๊าะเเจ๊ะ ของเขาว่าเป็นอย่างไร..ด้วยท่าทีผ่อนคลาย .. เมื่อได้ความหมายแล้ว ก็ได้ความกระจ่าง และทราบท่าทีของสามี เพื่อการเตรียมพร้อมเมื่อจำเป็นต่อไป..

อ้างคำพูด:
คือรู้สึกว่ารับไม่ได้ค่ะ ว่าทำไมต้องไปเจ๊าะแจ๊ะสนุกสนานกับลูกน้อง ทำไมไม่ทำแค่งาน


คือถ้าจะบอกตรงๆก็ต้องกราบขออภัยที่อาจทำให้คุณขัดใจว่า.. คุณไม่มีหน้าที่จะไม่ยอมรับพฤติกรรมของใครๆ ..ไม่มีหน้าที่..ไม่ช่กงการอะไรๆของคุณ ที่จะไปกะเกณฑ์บังคับบัญชาคนอื่นๆให้ต้องทำและเป็นอย่างที่คุณต้องการ เพราะคุณทำไม่ได้และไม่ควรทำ นี่คือเหตุที่ลากจูงคุณให้อยู่กับความทุกข์ไม่หยุดหย่อน..ถามว่า ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ คุณสามารถกำหนดบัญชาอะไรๆจนได้ทุกอย่างตาม"ต้องการ"ของตนทุกอย่าง ทุกครั้ง ตลอดเวลาใหม ..?

ถ้าคุณทำได้ ทำไมคุณจึงมาทุกข์ในบัดนี้เล่า?..นั่นแสดงว่าคุณไม่มีอำนาจจริง เพราะทุกสิ่งคือการประชุมรวมตัวก่อตัวกันของ"เหตุปัจจัย" ที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครๆ แม้แต่พระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมกว่าใครๆด้วยคุณและฤทธิ์ก็ทำไม่ได้..

คุณไม่คิดหรือว่าการทำงานอย่างเดียวโดยไม่พูดคุยกับใคร เขาจะมีความสุขเพลิดเพลินไม่เครียดเลย..สุขภาพจิตดีเยี่ยม เท่าที่รู้มา คนประเภทนี้เข้าพบหมอโรคจิตมากมายนับไม่ถ้วน ..คุณต้องการสามีที่มีโรคจิตเพราะความเครียดหรือ แค่คิดถึงความต้องการของคุณ ผมยังเครียดแทนแล้วครับ..หรือคุณใช้วีธีนี้ในการทำงานของคุณอยู่? วันๆทำแต่งานไม่พูดคุยกะใครเลย เช่นนั้นหรือ.. :b5:

เมื่อใดทีุ่คุณตั้งเงื่อนไขใดๆขึ้นมา จะเป็นอะไรก็ตาม เมื่อนั้นความเครียดจะตามมาทันที..เพราะเงื่อนไขนำมาซึ่งความคาดหวัง..จริงอยู่ในบางเรื่องต้องมีกรอบคือเงื่อนไข แต่จุดหมายคือความสุขและประโยชน์ร่วมกัน..เมื่อไรที่ตั้งเงื่อนไขเพราะเอากิเลสของตนนำหน้า เพื่อตนเองไม่คิดถึงคนอื่น ความเดือดร้อนก็อยู่ใกล้ๆกันนั่นแหละ..

อ้างคำพูด:
ดิฉันรู้สึกว่า ยิ่งเรามีหน้าที่การงานสูง ยิ่งต้องระมัดระวังในการวางตัวให้ห่างจากเรื่องพวกนี้

และรู้สึกว่า หากเราไม่คิดจริงจังกับใคร ก็ไม่ควรไปให้ความสนิทสนม เพียงเพราะสนุกสนาน


ความรู้สึกของคุณไม่ใช่ข้อสรุปตัดสินว่าอะไรคือสิ่งถูกหรือผิด เพราะไม่ใช่กฏสากลในธรรมชาติ แต่เกิดจากความพอใจชอบใจของตนเองเท่านั้น..เท่าที่ทราบ หากระดับสูงทำตัวเย็นชา ก็อาจสร้างศัตรูกับระดับต่ำ เป็นเหตุให้เกิดการกลั่นแกล้งจองล้างกันจนพินาศไปข้างหนึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นจนชินตา อยากให้สามีทำงานในวงล้อมศัตรูหรือครับ..

อ้างคำพูด:
การที่ดิฉันรับไม่ได้กับพฤติกรรมนี้ ...ผิดปกติมั๊ยคะ


ตอบว่า ผิดปกติมาก..

อ้างคำพูด:
แล้วเราทำอะไรอย่างอื่นได้มากกว่า "ทำใจ" มั๊ยคะ


ได้ครับ คือเริ่มศึกษาพระธรรมอย่างจริงจังเสียในบัดนี้ เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา ซึ่งไม่มีในลัทธิอื่นๆในโลก..เพราะมีปัญญา จึงไม่ต้อง"ทำใจ"แต่ยอมรับความจริงเพราะรู้เหตุที่มาและผลที่เกิดว่าคือขบวนการทางธรรมชาติเท่านั้น ไม่หลงนึกคิดไปเพื่อทำร้ายทำลายตนเองด้วยบาปกรรมอันตนไม่เคยรู้มาก่อน..ขอให้ทราบว่าพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่ของง่ายที่ใครๆจะเข้าหาได้ เฉพาะผู้ที่มีบุญเก่าอันไม่ธรรมดาเท่านั้นจึงจะพบเจอเเละศรัทธาได้ นอกนั้นก็ไม่ใช่ฐานะที่จะเข้าถึงได้เลย..

เฉพาะพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอนให้ออกจากวัฏฏะทุกข์ได้จริง..การฟังธรรมหรือศึกษาพระธรรมจึงเป็นของยากแก่ผู้ไม่มีบุญเก่ามาสนับสนุนให้ต่อยอดได้..จึงต้องตกไปในลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เลือกหน้าศาสดาแล้วๆเล่าๆในสังสารวัฏอันหาที่สุดมิได้ดังนี้แล..

อ้างคำพูด:
ดิฉันบอกเค้าแล้วว่า หากเค้าเอ็นดูใครเป็นพิเศษ ดิฉันยินดีหย่าให้ เพราะก็ถือว่าทุกอย่างไม่เที่ยง หากเค้าไม่ได้ยินดีในเรา ก็ปล่อยไป เรื่องลูกไม่เป็นปัญหาค่ะ


เมื่อมีความกล้าหาญประกาศเจตนารมณ์นี้แล้ว ก็ดูเหมือนว่าคุณเข้าใจสัจจธรรมข้อไม่เที่ยงบ้างแล้ว..จึงพึงสำทับตนให้ "วาง" สิ่งที่ยึดอยู่ไม่แบกไว้อีก พร้อมเสมอที่จะเดินตัวปลิวออกไปเมื่อสิ่งที่คาดไว้เป็นจริง..เมื่อเตรียมใจและตัวพร้อมเช่นนี้ ก็น่าจะเบาและสบายตัว ใยจึงมาทุกข์ใจปล่อยเวลาไปกับความหวาดระแวงเล่า..? ชีวิตนี้ไม่นานหนอก็ต้องปิดม่านลาโรงกันไปแล้ว ต่างคนต่างไปตามกรรมของตนนั่นแหละ..ใยไม่ขวนขวายทำประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม จะได้มีเสบียงเพื่อเดินทางต่อไป ถ้าไม่เตรียมเลย ทางข้างหน้าท่าจะกันดารยิ่งแล้ว..

รักเขาก็ทุกข์เช่นนี้ ใยไม่รักตนเอง ทำสิ่งเป็นประโยชน์แก่ตนเสียเถิด สิ่งนั้นคืออะไร คือบุญกิริยาวัตถุ๑๐ การศึกษาพระธรรมเพื่อปัญญาอันเป็นทางเดียวที่สามารถพาตนพ้นทุกข์ได้ทั้งในปัจจุบัน ในภพหน้าและในที่สุด ได้เวลาแล้วที่จะประพฤติศีล ไม่ต้องรอจนถูกเขาหามไปตั้งไว้บนศาลาในวัดให้พระมาสวดให้ศีล..ถึงตอนนั้น หูก็อาจไปได้ยินเสียงไม่น่าปรารถนาในอบายหรือนรก หากปล่อยใจทำบาปด้วยความหึงหวงหวาดระแวงอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้...

เวลาี่ที่คาดหมายว่าจะไปตระเวณฟังเพลงนั้น ถ้าแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อไปฟังธรรมก็จะเป็นความรักตนอย่างที่สุด เพราะเพลงนั้น นอกจากไม่พาตนไปสวรรค์แล้วกลับมีโทษพาไปตรงข้ามได้ ส่วนพระธรรมนั้น มีผลติดตามคุ้มครองตนไปอีกนานในภพหน้า นอกจากว่าจะเป็ผู้เข้าถึงมิจฉาทิฏฐิพร้อมดิ่งจนถอนไม่ได้ก็จะคิดว่าเกิดมาชาติเดียวก็จบแล้ว อย่างนี้ก็น่าสงสารครับ..

เรื่องบาปของสามีไม่ต้องใส่ใจให้รกสมอง เพราะไม่มีผลกับเรา ถ้าเขาบาปก็ไปนรกคนเดียว เราทำบุญไว้ก็ไปอีกทางหนึ่ง กรรมนั้นใครทำใครได้รับเอง ทำแทนกันไม่ได้แน่ครับ..

เสียอะไรเสียได้ แต่ใจอย่าให้เสียครับ..


ขอให้พ้นทุกข์ไวๆ ครับ :b46: :b47: :b48:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 05 พ.ค. 2010, 16:10, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 17:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สองประเด่นที่จะบอก ถาม แนะนำ สำหรับ จขกท นะครับ
ทุกวันนี้คุณเบื่อทุกข์หรือยัง? คุณต้องการสุขสงบสุขหรือไม่?
-สำหรับไม่เบื่อทุกข์ ก็คอยจับผิดถูก สามีคุณ จะไปเจ๊าะแจ๊ะใครพาดสายตาไม่ได้ ใช้ชีวิตแบบเดิมไป หาเหตุหาผลไปเรื่อย ตั้งต่อตั้งตน ไปเรื่อยๆ รับรองทุกข์แน่นอน จนอิ่ม พอใจแน่แท้
-ไม่ต้องการที่ทุกข์ยากลำบากใจนั้นนี้ คุณก็ควรก็ปลงซะ....ไม่ปลงจะเสียใจ..... เขาไปเจ๊าะแจ๊ะ อะไรก็ช่างเขา อีกไม่นานสังขาร ความชรา มรณะกาลก็มาถึง ใยเราจะต้องมาจมปลักกับเรื่องแค่นี้ด้วย ควรไม่อะไรกับอะไรเขาได้แล้ว ได้เวลาที่เราควรที่จะมีที่เพิ่งทางใจอันประเสริฐได้แล้ว น้อมจิตใจศึกษาธรรมะ เครื่องดับกิเลส ทุกข์ทางใจดีกว่า ดีกว่าเอาเวลาไปเป็นผู้ตรวจการ คอยจับถูกจับผิดสามี แล้วชีวิตก็นับวันมอดหม้อยไปเรื่อยเลย ไม่ก่อเกิดประโยชน์ใดๆเลย ขอให้ตื่นเถิดจากการตอกย้ำชีวิตนั้นนี้ ว่าเรา ของเรา เพราะแท้จริงไม่ใช่ของใครๆเลย

ขอเชิญศึกษาธรรมบรรลุฉลับพลัน จบโลก จบธรรม จบกรรม การปฏิบัติ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม จ.เลย ที่บอร์ดสนทนาทั่วไปขอรับ หรือ http://www.rombodhidharma.com/

ขอให้ท่านมีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 12:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 21:51
โพสต์: 48

โฮมเพจ: http://pimclick.hi5.com
แนวปฏิบัติ: พุทโธ
ชื่อเล่น: PiM
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สู้ๆๆนะคะขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ

อย่าคิดมากนะคะ เข้าใจอยู่ว่าเราก็ต้องรักและหึงหวงสามีของเรา

แต่บางทีเราคงไม่สามารถบังคับใจของคนได้หรอกค่ะ

ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้าคิดมากก็หาอะไรทำยามว่างนะคะ สุ้ๆๆค่ะ :b8:

.....................................................
สุขทุกข์อยู่ที่ใจมิใช่หรือ ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุกใส
ถ้าไม่ถือก็เป็นสุขไม่ทุกข์ใจ เราอยากได้ความสุขหรือทุกข์นา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 15:37
โพสต์: 112

ชื่อเล่น: ดอกพุทธ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฟังดู เค้าก็รักคุณและลูกนะคะ ยังไงก็ไม่ทิ้งกัน

แต่เรื่องสาวๆ คงเพราะมีมาใกล้ให้ดู ให้เป็น หรืออาจจะให้ชม
ผู้ชายน่ะค่ะ ถึงแม้จะมั่นคงยังไง ก็แพ้ใกล้ชิดอยู่ดี

ต้องระวังด้วยนะคะ ถ้าเค้าทำจริง ก็ผิดศีลอยู่ค่ะ
และปัญหาอาจจะเกิดตามมาภายหลัง

ขอให้คุณทำใจให้หนักแน่นนะคะ และคอยดึงเค้าให้กลับมาเหมือนเดิม
เป็นกำลังใจให้นะคะ :b4: :b4:

.....................................................
หลอมจิตบรรจง สู่แสงแห่งธรรม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร