วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 10:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2011, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ย. 2010, 12:12
โพสต์: 45

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านเจอในเว็บสนุก..(www.sanook.com) เลยอยากให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ญาติธรรมทั้งหลายได้อ่านด้วยค่ะ

ขอ Copy จากเว็บสนุกเลยนะค่ะ
นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล หรือ ดีเจอ้อย หลายคนรู้จักผู้หญิงคนนี้ในหลากหลายบทบาท ทั้งดีเจคลื่นกรีนเวฟ นักจัดรายการ "CLUB FRIDAY' และนักเขียน ที่มีสไตล์การจัดรายการได้อย่างน่ารักและทำให้คนฟังรู้สึกอบอุ่น และมีความเข้าใจเรื่องความรักได้เป็นอย่างดี จนคนตั้งให้เธอเป็น กูรูเรื่องความรัก แต่ใครจะรู้บ้างว่ากูรูด้านความรักอย่างเธอกลับไม่เชื่อเรื่องความรัก...






"เราจะบอกเสมอถ้าโลกนี้จะสอนความไม่แน่นอนให้มนุษย์จะสอนผ่านความรัก เพราะฉะนั้นข้างหน้าเราไม่มีโอกาสรู้ แล้วบังเอิญงานที่ทำอยู่คือคลับ ฟรายเดย์ มันมีโอกาสได้เห็นความอ่อนแอในเรื่องความรักของหลายๆ คน บางคนดูแลใจกันมาเป็น 10 ปีพอแต่งงานแป๊บเดียวเลิก เฮ้ย...แล้วใน 10 ปีนั้นคุณไม่เห็นจริงๆ เลยหรือว่าอะไรคือสิ่งเรารับกันไม่ได้ อาจจะเห็นแต่คิดว่าแต่งงานน่าจะเปลี่ยนได้ หรือบางคนเป็นคู่รักที่รักกันมากแต่อยู่ๆ เลิกกันเพราะสามีไปมีคนอื่น ความไม่แน่นอนมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา วันที่เขาบอกรักกับวันที่เขาบอกเลิกมันคนละวันกัน สิ่งที่อยู่ในใจเสมอคือโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนในเรื่องความรัก เราไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไรแต่ถ้าวันนี้ยังเป็นระยะเวลาของเราสองคนจงดูแลกันและทำให้ดีที่สุด


ถ้าวันหนึ่งอนาคตไม่ได้เป็นอย่างนี้ อย่างน้อยในความทรงจำที่ดีต่อกันน่าจะมีเราอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นเราไม่เคยเชื่อว่าความรักมันแน่นอน ไม่ได้อคติแต่เราเรียนรู้ว่าคนเราถ้าไม่หมดอายุรักก็หมดอายุขัย บางคนรักกันมากแต่ตายจากกันเพราะอุบัติเหตุ เสียใจมั้ยเสียใจเพราะหมดอายุขัย บางคนแข็งแรงกันทั้งคู่แต่หมดอายุรักก็ต้องจากกันไป เราไม่มีโอกาสรู้เลยว่าข้างหน้าจะเจออะไร หรืออะไรทำให้เรารู้ได้ว่าเราจะอยู่กับคนนี้ได้นานแค่ไหน มันเป็นการสอนเราเลยว่า เวลาที่คนงอนกันเนี่ยอย่าทิ้งระยะเวลานานเพราะเราไม่แน่ใจจริงๆ ว่าเราจะมีโอกาสได้ง้อกันหรือเปล่า เพราะฉะนั้นทำให้ดีที่สุดวันนี้แล้วก็ดูแลกันไป"


มักจะมีคำคมหรือคำพูดสวยๆ จนสำนักพิมพ์ต้องเอามารวมเล่ม "อ่านแล้วขอกอด"
"หลายคนชอบถาม เราพูดประโยคเหล่านี้ได้ยังไง ทำไมเราคิดประโยคเหล่านี้ได้ยังไง เชื่อมั้ยว่ามันเป็นคำถามที่ตอบยากจริงๆ นะ ซึ่งเราตอบไม่ได้จริงๆ ว่ามาจากไหน บางทีมันมาจากอัตโนมัติ ถามว่าเป็นคนอ่านหนังสือเยอะมั้ย เราเป็นคนเขียนหนังสือที่นิสัยไม่ดีที่อ่านหนังสือน้อยมากแต่ชอบอ่านอะไรเล็กๆ น้อยๆ ชอบสังเกตคนชอบคุยกับคน ชอบคุยว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้ แล้วอยู่ๆ ก็จะเกิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ อาจจะชอบภาษาไทยที่มีความคล้องจอง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราใช้คำคล้องจองเราจะจำแม่น


หนังสือ "อ่านแล้วขอกอด" เป็นคำคมจริงๆ เพราะมีคนมาติดต่อขอเอาไปรวมเป็นเล่ม เราก็ตลกมากคนจะอ่านหรือมันเป็นประโยคลอยๆ แต่เขาบอกตอนนี้คนอ่านหนังสือสั้นลง หยิบแล้วเปิดอ่านโดนเลย เราบอกงั้นก็ได้แต่ขอราคาถูกนะ เนื่องจากกรุงเทพฯ ปีนี้เขาจะทำเป็นมหานครแห่งการอ่าน ประเทศใกล้ๆ เรา เช่น สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย อ่านหนังสือปีละ 60 เล่มแต่เมืองไทยอ่านปีละ 2 เล่ม และมีคนพูดว่าที่อ่านน้อยลงเพราะแพง เราเลยคิดว่าถ้าเราลองทำหนังสือเล่มเล็กๆ และเป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิตของหลายๆ คน เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเจอหนังสือเล่มแรกเราจะอ่านเล่มต่อไป เลยคิดว่าหนังสือเล่มนี้มันจะเป็นหนังสือเล่มแรกของหลายๆ คนเราจะดีใจมาก"


มุมมองหรือวิธีคิดในการให้คำแนะนำเรื่องความรัก
"วิธีคิดมันเกิดจากการสะสม มาจากรอบตัว เหมือนบางคนไม่มีแขนแต่ทำไมเขาหัวเราะได้ดังกว่าคนมีแขนเพราะเขาเริ่มรู้สึกว่าไม่มีแขนก็ไม่เป็นไรอาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ฉันก็อยู่ได้ เพราะฉะนั้นมันเลยสอนในชีวิตว่าบางทีชีวิตอาจจะไม่ได้ดีสมบูรณ์แบบเหมือนทุกคน แต่เรารู้สึกพอแล้วกับสิ่งที่เรามี เราอาจจะมีความสุขกว่าคนที่มีอะไรสมบูรณ์แบบแต่ไม่พอก็ได้ และเคยมีคนฟังพูดว่าเราโชคดีนะได้มีบทเรียนชีวิตเล่มใหญ่ๆ ทุกวันเลย จริงๆ คนฟังที่โทร.มาเล่าเรื่องให้ฟัง เราก็โอ้โฮ...มีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อน มันเป็นแบบนี้เลยหรือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าเก็บไว้มันตายไปกับเราจะเสียดาย ไหนเราลองเอาไปเล่าต่อสิ เผื่อเรื่องที่เป็นประโยชน์จะทำให้เราคิดได้จะช่วยทำให้คนอื่นคิดได้ด้วย"


เป็นคนคิดดีมองโลกในแง่บวก
"ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นเพราะเงื่อนไขในชีวิตเราเยอะ เจอแต่เรื่องแย่ๆ มาตลอด แม้กระทั่งมีความรักก็มีรักระยะไกล มีชีวิตคู่ยังเป็นชีวิตระยะไกล คบกับแฟนมา 7 ปี แต่งงานกันก็ยังต้องอยู่คนละที่ เจอกันเดือนละครั้ง เพราะต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ แฟนค้าขายส่งออกต้นไม้อยู่ที่แม่สอด จ.ตาก แต่งานที่เรารักอยู่ที่นี่ คนอื่นสามารถทำงานที่ตัวเองรักเคียงข้างคนที่เรารัก แต่เราไม่สามารถทำงานที่เรารักเคียงข้างคนที่เรารักได้ เพราะเขาต้องดูแลแม่และพี่สาวที่ป่วย ส่วนเราเป็นหลักของครอบครัวเรา เลยคุยกันว่าอยู่กันแบบนี้ไปก่อน เพื่อเราจะหาเวลาหรือช่วงโอกาสเป็นครอบครัวจริงๆ"


เวลาที่ตัวเองมีปัญหาแก้ยังไง
"ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาที่เราง้องแง้งงี่เง่าตามสไตล์ผู้หญิงทั่วไป ถามว่าเรากับสามีอยู่ไกลกันเข้าใจได้มั้ยก็เข้าใจได้ แต่บางเรื่องก็ทำไมเราต้องไกลขนาดนี้ทำไมไม่อย่างนั้น คือบางทีในคลับ ฟรายเดย์ คนจะบอกว่าพี่อ้อยช่วยหนูได้มากเลยค่ะ จริงๆ อยากจะบอกว่าคนที่โทร.เข้ามาก็ช่วยพี่อ้อยเยอะค่ะ เพราะเราฟังปัญหาคนอื่นเราจะยิ่งรู้สึกว่าคนอื่นเจอเรื่องหนักเนาะเขายังรอดเลย เขาไม่เห็นท้อง่ายเลย เราเจอเรื่องแค่นี้ทำเป็นท้อซะแล้ว มันเป็นลักษณะแบบนี้มากกว่า ไม่ได้แปลว่าฟังคนอื่นทุกข์ทรมานใจแล้วเราดีใจนะ แต่หมายถึงว่าฟังคนอื่นทุกข์แล้วเขารอดเรารู้สึกเขารอดได้เราก็ต้องรอดได้เหมือนกัน"


ชีวิตถึงถึงจุดคุ้มทุน
"เราเป็นผู้หญิงต้นทุนต่ำ รู้สึกชีวิตของตัวเองถึงจุดคุ้มทุนไปแล้ว เราเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้มีอะไรตั้งแต่ต้น ไม่ได้มีฐานะการงานที่ดี ไม่ได้มีอะไรที่ดี พอวันหนึ่งเราได้ทำงานที่ตัวเองรัก เราสามารถช่วยเหลือคนที่เรารักในครอบครัวได้มันถึงจุดคุ้มทุนแล้ว เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ทุกสิ่งที่ทำเพื่อโบนัสแล้ว บางคนส่งเอสเอ็มเอสเข้ามาบอกวันนี้วันเกิดเศร้าจังเลยไม่มีใครจำได้เลย ไม่รู้แหละเราโทร.กลับนะ ต่อให้เขาไม่ได้ออกอากาศด้วยซ้ำแต่เราอยากให้เขารู้สึกดีกับวันเกิด รู้สึกอยากทำให้เขา"


ปรัชญาในการดำเนินชีวิต
"ทำวันนี้ให้ดีที่สุดทั้งเรื่องงาน ชีวิต ชีวิตครอบครัว มันบอกเราแบบนี้ว่าวันนี้เท่านั้นที่เป็นของเรา ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ถ้าพรุ่งนี้มันจะไม่ดีเท่าวันนี้ อย่างน้อยเราได้ทำดีที่สุดแล้ว วันนี้ภูมิใจกับคนที่ไม่เคยคาดหวังอะไรกับชีวิต ตอนแรกแค่คาดหวังให้เรียบจบก่อนจนได้ทำงานจนวันนี้เราได้ดูแลคนที่เรารักอย่างเต็มที่"


มุมมองความรักของเด็กวัยรุ่นสมัยนี้
"มันก็จะเติบโตกันไปตามยุคตามสมัยและตามการสื่อสาร ยุคนี้ต้องยอมรับว่าการสื่อสารมันง่ายเหลือเกิน แต่ทำไมคนเรากลับเหงาง่ายทั้งที่การสื่อสารมันง่าย ดูจอคอมพิวเตอร์ได้ไม่มีใครไม่เล่นเฟซบุ๊กไม่มีใครไม่เล่นทวิตเตอร์ เรากำลังจะพูดว่าเราอยากมีโลกส่วนตัว เมื่อก่อนไดอารี่ยังห้ามอ่าน ปัจจุบันรู้สึกยังไงก็แปะในเฟซบุ๊กหมด กำลังจะเข้าห้องน้ำค่ะ เรื่องแค่นี้ต้องบอกในเฟซบุ๊กด้วยเลยหรือ ทำไมเราถึงเหงากันง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นเราเองอาจจะเหงา คิดว่าตัวเองเหงาพยายามหาเหตุผลให้เราทำไม่ดี ก็เหงาค่ะพี่ มีแฟนไม่มีเวลาให้หนูเลยไปคบกับอีกคนหนึ่งแต่คนนั้นเขามีภรรยาแล้วนะคะ เอ้า...ทำไมเดี๋ยวนี้คนเราซีเรียสกับเรื่องแบบนี้น้อยลงมาก ทำไมน้องไม่ซีเรียสเหรอคะ เขามีภรรยาแล้ว หนูไม่คิดอะไรมากค่ะ ก็จะบอกว่าคิดมากบ้างก็ได้ค่ะ


คือเด็กยุคนี้ดูชิลล์ซะจนชิลล์ไปกับทุกเรื่อง แต่พอชิลล์ไปกับทุกเรื่องปั๊บปัญหาก็ตามให้แก้แบบไม่ชิลล์ การที่เราเห็นมีคนทำแท้งเยอะมากเพราะเราเห็นว่าชิลล์ๆ ค่ะไม่มีอะไรค่ะ ก็รักค่ะก็อยู่ด้วยกัน พอท้องเขาบอกให้ไปเอาออกก็ไปเอาออกค่ะ คือชีวิตมันง่ายไป ทุกคนดูถือสากับเรื่องแบบนี้น้อยลง แต่จริงๆ ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก"


ได้ทำบุญโดยไม่รู้ตัวกับการช่วยเหลือคน
"เราคิดว่าอย่างน้อยไม่รู้สิทำเพราะคิดว่าทำเพื่อการขอบคุณสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตแบบไม่เคยคิดมาก่อน อย่างที่บอกถึงวันนี้ได้โดยที่เราไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ได้ยังไง เพราะฉะนั้นเราทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยคนอื่นเป็นการขอบคุณทุกสิ่งที่ทำให้เราได้สิ่งดีๆ ในวันนี้แล้วกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าขอบคุณอะไรอยู่ แต่เราจะขอบคุณแล้วกัน และจะช่วยอันนั้นช่วยอันนี้ ถ้าอันไหนช่วยได้ช่วยเลย ถือว่าชีวิตเราประสบความสำเร็จเกินกว่าสิ่งที่ตัวเองเคยอยากได้ แต่สิ่งที่อยากได้มากกว่าความสำเร็จในวันนี้ที่รู้สึกว่าตัวเองมีคือความสุขแล้วกัน มันเป็นความสุขที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก แค่คนในครอบครัวดูแลตัวเองมีสุขภาพที่แข็งแรงดีใจแล้ว แค่สามีวันนี้เราเคยรู้สึกดีต่อกันยังไงแม้โจทย์จะยากแค่ไหนเรายังบอกว่าเรารู้สึกดีต่อกันแค่ไหนได้ทุกวันก็ดีใจที่สุดแล้วค่ะ"


คำแนะนำสำหรับน้องๆ ที่อยากเป็นดีเจ
"มีเด็กรุ่นใหม่อยากเป็นดีเจเยอะมาก แต่เรื่องของความเป็นตัวเอง บางคนรู้สึกอยากเป็นดีเจแบบนี้ เราอยากตลกทั้งที่ตัวเองอาจไม่ใช่คนตลกก็ได้ หลายคนพยายามเป็นดีเจอย่างที่ตัวเองอยากจะให้ตัวเองเป็น แต่ไม่ค้นพบตัวเองว่าในที่สุดแล้วเราเป็นดีเจแบบไหนกันแน่ เข้าใจว่าเวลาที่เราอยากเป็นอาชีพนี้ก็ต้องหาไอดอลของแต่ละคน แต่อยากจะบอกว่าฟังคนนั้นได้แต่อย่าติด อย่าไปฟังคนนี้คนเดียวเปลี่ยนไปตรงนั้นตรงนี้ คนที่เราฟังแล้วก็ชอบก็ต้องฟังเพื่อตอบตัวเองให้ได้ว่าเราชอบดีเจคนนี้เพราะอะไร หรือคนนี้ไม่ชอบก็ต้องฟังเพื่อตอบตัวเองให้ได้ว่าไม่ชอบคนนี้เพราะอะไร เรื่องบุคลิกก็สำคัญไม่จำเป็นว่าต้องหน้าตาดีหรือสวย แต่ให้เป็นตัวของตัวเอง เส่น่ห์ของเราไม่ได้เกิดจากการสร้าง แค่หาตัวเองให้เจอก่อน ดีเจทุกคนจะมีบุคลิกและเสน่ห์ของตัวเอง"

ที่มา : http://women.sanook.com/ชีวิตแสนสุขของผู้หญิงคิดดี-มองโลกในแง่บวก-นภาพร-ไตรวิทย์วารีกุล-934292.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.พ. 2011, 10:52
โพสต์: 256

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณที่หามาให้อ่านค่ะ คุณ annn


:b8: :b8: :b8: :b45:

.....................................................
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร ไม่ต้อง อ้อนวอน ขอพร กะใคร ให้กวน
พรที่ ให้กัน ผันผวน เป็นเหมือน ลมหวน อวลไป อวลมา อย่าหลง
พรทำ ดีเอง มั่นคง วันคืน ยืนยง ซื่อตรง ต่อผู้ รู้ทำ
อยากรวย ด้วยพร เพียรบำ - เพ็ญบุญ กุศลนำ ให้ถูก ให้พอ ต่อตน
ทุกคน เกิดมา เป็นคน ชั่วดี มีจน เป็นผล แห่งกรรม ทำเอง
ถือธรรม เชื่อกรรม ยำเยง บาปชั่ว กลัวเกรง ทำแต่ กรรมดี ทวีพรฯ

ท่านพุทธทาสภิกขุ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร