ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ทักท้วงใจให้ไกลทุกข์ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=30625 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Bwitch [ 04 เม.ย. 2010, 18:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | ทักท้วงใจให้ไกลทุกข์ |
ในเวียดนามมีเรื่องเล่าว่า ชายคนหนึ่งแต่งงานได้ไม่นาน ก็ถูกเกณฑ์ไปทำสงคราม จึงต้องทิ้งภรรยาสาวเอาไว้ เขาหายไป ๓ ปีไม่ส่งข่าวมาเลย เมื่อกลับมาบ้าน ภรรยาก็ดีใจ สามีจึงให้ภรรยาไปซื้อของมาเซ่นไหว้บรรพบุรุษตามประเพณี ระหว่างที่ภรรยาเข้าไปในตลาด ชายคนนั้นก็เดินเข้าบ้าน เจอเด็กอายุ ๓ ขวบ เด็กถามว่าเป็นใคร ชายหนุ่มก็บอกว่า “ฉันเป็นพ่อของหนูไง” เด็กบอก “ลุงไม่ใช่พ่อหนู พ่อหนูมาที่บ้านทุกคืนเลย ทุกคืนแม่จะคุยกับพ่อแล้วก็ร้องไห้ แม่นั่งพ่อก็นั่งด้วย แม่นอนพ่อก็นอนด้วย” พอได้ฟังอย่างนี้ชายหนุ่มก็ขุ่นเคืองขึ้นมาทันที ความรู้สึกต่อภรรยาของตัวเองเปลี่ยนไปทันที เมื่อภรรยากลับมาจากตลาด ชายหนุ่มก็แสดงทีท่าเฉยชามึนตึงไม่พูดด้วย เมื่อทำการเซ่นไหว้บรรพบุรุษเสร็จ ก็เก็บเสื่อเลย ไม่ยอมให้ภรรยายเซ่นไหว้ด้วย ภรรยาตกใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผู้ชายก็ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เดินหายเข้าไปในหมู่บ้าน เอาแต่ร่ำสุรา สามวันสามคืนไม่กลับมาเลย ภรรยาเสียใจร้องห่มร้องไห้ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์เฝ้าคอยสามีมาตลอด แต่ทำไมถึงกระทำกับตนอย่างนั้น ราวกับว่าตัวเองไม่มีอยู่ในโลก เธอทนสภาพเช่นนี้ไม่ได้ ในที่สุดก็โดดน้ำตาย ชายหนุ่มกลับมาทำพิธีศพภรรยา ตอนเย็นก็กลับมาบ้าน พอจุดตะเกียง ลูกชายก็ตะโกนออกมาว่า “นี่ไงพ่อ” แล้วเด็กก็ชี้ไปที่เงาของพ่อบนกำแพง เด็กพูดต่อว่า “พ่อมาทุกคืนอย่างนี้แหละ แม่คุยกับพ่อทุกคืน ร้องไห้ด้วย ถ้าแม่นั่งพ่อก็นั่ง ถ้าแม่นอนพ่อก็นอน” ถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงก็คือว่า ภรรยาของเขาร้องไห้กับเงาของตัวเองทุกคืน ด้วยความคิดถึงสามี แล้ววันหนึ่งลูกสงสัยขึ้นมาว่าพ่อของตัวอยู่ไหน แม่จึงชี้ไปที่เงาบนกำแพงแล้วบอกว่า “นี่ไงพ่อของลูก” เด็กก็พาซื่อ เข้าใจว่าเงาบนกำแพงนั้นเป็นพ่อของตัวจริง ๆ ทั้งภรรยาและสามีต่างรักกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน แต่ทำไมเรื่องนี้จึงจบลงด้วยความเศร้า นั่นก็เพราะชายหนุ่มปักใจเชื่อความคิดของตน พอได้ยินคำพูดของเด็กซึ่งไร้เดียงสา ก็สรุปทันทีว่าภรรยาของตัวมีชู้ ดูจากลักษณะอาการที่ลูกเล่า มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น จะมีใครที่ไหนมาหาภรรยาของตนทุกคืน นอกจากชายชู้ เขาเชื่อว่าภรรยามีชู้เพราะลักษณะอาการมันน่าจะเป็นอย่างนั้น ว่าโดยตรรกะก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นเพราะชายหนุ่มด่วนสรุป โดยไม่รู้จักท้วงความคิดของตัวเองบ้าง ว่าความจริงอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองคิดก็ได้ แต่เมื่อสรุปและเชื่อความคิดอย่างนั้น ก็ทำให้เห็นภรรยาของตัวเป็นคนเลวทันที ที่จริงเรื่องนี้อาจไม่จบอย่างนั้น หากชายหนุ่มพยายามหาความจริง เช่น สอบถามภรรยาของตัวว่าอะไรเป็นอะไร แต่เป็นเพราะปากหนัก จึงทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ถ้ามีสติเราจะทักท้วงความคิดของตัวเองว่า อย่าเพิ่งสรุปอย่างนั้น คนที่มีสติ รู้ทันความคิด เขาจะไม่เชื่อความคิดของตัวเองง่ายๆ เพราะรู้ว่า ความคิดเป็นสิ่งที่วางใจไม่ได้ เวลาเราเจริญสติ จะรู้ดีว่าความคิดมันหลอกเราเก่งแค่ไหน คิดเป็นตุเป็นตะ น่าเชื่อถือ แต่บางทีก็ตีตนไปก่อนไข้ ถ้าเรารู้จักความคิดของเราดีพอ เราจะไม่ด่วนสรุป ไม่รีบตัดสินอะไรง่าย ๆ สติจะช่วยทักท้วงหรือตักเตือนให้ช้าก่อน เพราะประสบการณ์หลายๆ ครั้งสอนเราว่า เมื่อด่วนสรุปแล้วมักจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้น สิ่งที่เราคิดว่าแน่นอนแล้ว แต่ความจริงเป็นตรงกันข้าม ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เราไม่ด่วนสรุปหรือเชื่ออะไรง่าย ๆ แม้แต่ความคิดของตัวเอง สติช่วยให้เราระลึกถึงกาลามสูตรข้อที่ว่า อย่าเชื่อเพราะรูปลักษณะมันน่าจะเป็นอย่างนั้น ความเป็นจริงอาจจะเป็นอีกอย่างซึ่งเรานึกไม่ถึงก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรามีสติเราจะไม่ด่วนสรุปอะไรง่าย โดยเฉพาะการสรุปไปในทางที่เป็นโทษกับตัวเองหรือเป็นภัยแก่ผู้อื่น ลองดูเถอะว่า กี่ครั้งกี่หนแล้วที่พอเราด่วนสรุปไปแล้วทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ และคนอื่นก็เดือดร้อนด้วย กี่ครั้งแล้วที่ เราด่วนสรุปเพราะรูปลักษณะมันชวนให้เชื่อว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เคยเจอไหม นัดกันแล้วไม่มาตามนัด เลยโกรธ หาว่าเขาโกหกเรา ไม่ให้ความสำคัญกับเรา เสร็จแล้วใจก็หวนไปคิดและขุดเอาเรื่องเก่าๆ ที่ไม่ดีของเขาออกมา เช่น มาสายเป็นประจำ พูดจาเชื่อถือไม่ได้ ไม่รับผิดชอบงานการ ฯลฯ ถ้าเรามีความคิดแบบนี้ขึ้นมา น่าจะท้วงเอาไว้ก่อน เพราะเขาอาจจะมาแต่ยังมาไม่ถึง หรืออาจจะมาแล้วแต่ว่าไปรอคนละประตู หรืออาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อน เช่น นัดกันสี่โมงเย็น แต่เขามาสี่โมงเช้า หรืออาจจะมาแล้วแต่เกิดอุบัติเหตุ หรือพ่อแม่เกิดป่วยกะทันหัน มีสาเหตุสารพัดที่ทำให้เขาไม่สามารถมาพบเรา ณ เวลานั้น หรือตรงจุดนั้นได้ แต่เรากลับปักใจว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้เรื่องอย่างเดียว สุดท้ายก็พบว่าความจริงเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ที่จริงถ้าสติของเรารวดเร็วฉับไว เราจะทักท้วงได้ดีขึ้นและลึกขึ้น ได้ดีขึ้น เวลามีคนมาด่าหรือตำหนิเรา ถ้าไม่มีสติ เราจะเป็นทุกข์ทันที เพราะใจจะสำคัญมั่นหมายว่า “ฉันถูกด่า” หรืออาจะนึกต่อไปว่า “ทำไมถึงมาด่าฉัน” แต่ถ้ามีสติ มันจะท้วงขึ้นมาเลย “ทำไมฉันถึงทุกข์เพราะลมปากเขา” เคยไหม เราเคยให้สติมาทักท้วงบ้างไหมว่า ทำไมถึงต้องทุกข์เพราะลมปากเขา เราได้แต่บ่นว่าทำไมเขามาด่าฉัน ทำไมไม่เห็นความดีของฉัน แต่เราเคยถามตัวเราเองบ้างหรือเปล่าว่า ทำไมฉันถึงทุกข์เพียงเพราะลมปากของเขา บางทีก็บ่นเสียใจว่า “เขาไม่เข้าใจฉันเลยๆ” ถ้าเรามีสติเราจะถามตัวเองใหม่ว่า “แล้วฉันเข้าใจเขาบ้างหรือเปล่า” ถ้าเรามีสติและปัญญาที่แคล่วคล่องฉับไว เมื่อประสบเหตุการณ์ไม่น่าพอใจ นอกจากจะไม่ทุกข์ คือเฉย ๆ หรือเสมอตัว คือไม่ทุกข์ เรายังสามารถทำให้มันกลายเป็นบวกขึ้นมา หรือเกิดเป็นประโยชน์ต่อจิตใจ เรียกว่ามีกำไรเกิดขึ้น อย่างคนที่เป็นมะเร็ง บางคนนอกจากจะไม่ทุกข์ที่เป็นมะเร็งแล้ว ยังรู้สึกโชคดีที่เป็นมะเร็ง ส่วนคนที่ประสบความพลัดพรากสูญเสีย นอกจากจะไม่ทุกข์เพราะถือว่าธรรมดาแล้ว ยังได้บทเรียนสอนใจ เกิดปัญญา เข้าใจธรรมะ นี่เรียกว่าได้กำไร คือได้ประโยชน์ เราต้องรู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นคุณให้ได้ พระพุทธองค์เคยตรัสว่า คนฉลาดได้ประโยชน์จากศัตรูมากกว่าที่คนเขลาได้จากมิตร ถ้าความทุกข์เหมือนกับศัตรู เราก็พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ความทุกข์ให้ประโยชน์แก่คนฉลาด มากกว่าที่คนเขลาจะได้จากความสุข สำหรับผู้ที่มีปัญญาแล้ว สามารถจะได้ประโยชน์จากศัตรูหรือความทุกข์ได้มาก เช่น เวลาศัตรูมาด่ามาว่า มองให้ดี ก็จะเห็นตัวเราในอีกแง่หนึ่ง ซึ่งมักจะมองไม่เห็น เพราะศัตรูชอบเอาแง่ที่ไม่ดีของเรามาแฉ ในขณะที่เพื่อนๆ มองไม่เห็นหรือไม่กล้าพูดเพราะเกรงใจ กลัวมิตรภาพจะสั่นคลอน แต่ศัตรูเขาไม่แคร์ จึงเอาส่วนที่ไม่ดีของเราออกมาแฉ ประโยชน์ที่เราจะได้ก็คือ เราได้เห็นความจริงอีกด้านหนึ่งของเรา จริงอยู่ส่วนที่ไม่จริงก็คงมีอยู่ เราก็ต้องรู้จักตัดออกไป แต่อันไหนที่เป็นความจริง แม้จะเป็นด้านลบ ก็ควรเอามาพิจารณาเพื่อแก้ไขปรับปรุงตัวเอง ด้วยวิธีนี้ชีวิตของเราจึงจะเจริญงอกงามได้ ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ |
เจ้าของ: | nuttida [ 04 เม.ย. 2010, 19:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทักท้วงใจให้ไกลทุกข์ |
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับบทความดี ๆ |
เจ้าของ: | Wylsmith [ 04 เม.ย. 2010, 20:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทักท้วงใจให้ไกลทุกข์ |
เป็นบทความที่ดีมาก เข้าใจง่าย ครับ สาธุ |
เจ้าของ: | tidkumlaa [ 07 เม.ย. 2010, 13:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทักท้วงใจให้ไกลทุกข์ |
อ่านแล้วรู้ซึ้งเลยครับ ขอบคุณมากครับ |
เจ้าของ: | คิดดี ทำดี พูดดี [ 08 เม.ย. 2010, 23:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ทักท้วงใจให้ไกลทุกข์ |
[ ถ้าเรามีสติและปัญญาที่แคล่วคล่องฉับไว เมื่อประสบเหตุการณ์ไม่น่าพอใจ นอกจากจะไม่ทุกข์ คือเฉย ๆ หรือเสมอตัว คือไม่ทุกข์ เรายังสามารถทำให้มันกลายเป็นบวกขึ้นมา หรือเกิดเป็นประโยชน์ต่อจิตใจ เรียกว่ามีกำไรเกิดขึ้น อย่างคนที่เป็นมะเร็ง บางคนนอกจากจะไม่ทุกข์ที่เป็นมะเร็งแล้ว ยังรู้สึกโชคดีที่เป็นมะเร็ง ส่วนคนที่ประสบความพลัดพรากสูญเสีย นอกจากจะไม่ทุกข์เพราะถือว่าธรรมดาแล้ว ยังได้บทเรียนสอนใจ เกิดปัญญา เข้าใจธรรมะ นี่เรียกว่าได้กำไร คือได้ประโยชน์ เราต้องรู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นคุณให้ได้ พระพุทธองค์เคยตรัสว่า คนฉลาดได้ประโยชน์จากศัตรูมากกว่าที่คนเขลาได้จากมิตร ถ้าความทุกข์เหมือนกับศัตรู เราก็พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ความทุกข์ให้ประโยชน์แก่คนฉลาด มากกว่าที่คนเขลาจะได้จากความสุข สำหรับผู้ที่มีปัญญาแล้ว สามารถจะได้ประโยชน์จากศัตรูหรือความทุกข์ได้มาก เช่น เวลาศัตรูมาด่ามาว่า มองให้ดี ก็จะเห็นตัวเราในอีกแง่หนึ่ง ซึ่งมักจะมองไม่เห็น เพราะศัตรูชอบเอาแง่ที่ไม่ดีของเรามาแฉ ในขณะที่เพื่อนๆ มองไม่เห็นหรือไม่กล้าพูดเพราะเกรงใจ กลัวมิตรภาพจะสั่นคลอน แต่ศัตรูเขาไม่แคร์ จึงเอาส่วนที่ไม่ดีของเราออกมาแฉ ประโยชน์ที่เราจะได้ก็คือ เราได้เห็นความจริงอีกด้านหนึ่งของเรา จริงอยู่ส่วนที่ไม่จริงก็คงมีอยู่ เราก็ต้องรู้จักตัดออกไป แต่อันไหนที่เป็นความจริง แม้จะเป็นด้านลบ ก็ควรเอามาพิจารณาเพื่อแก้ไขปรับปรุงตัวเอง ด้วยวิธีนี้ชีวิตของเราจึงจะเจริญงอกงามได้ อนุโมทนากับบทความดีดีค่ะ ได้แง่คิดค่ะ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |