วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ชี วิ ต กั บ ค ว า ม รั ก
ท่านเขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย)

ท่านรองอธิการบดี ท่านคณาจารย์
และนักศึกษาผู้ที่สนใจในหัวข้อของธรรมบรรยายทั้งหลาย

หัวข้อบรรยายในวันนี้
คงทำความแปลกใจให้แก่ท่านผู้ฟังบ้างไม่มากก็น้อย
ถ้าว่าหัวข้อนี้บรรยายโดยผู้ที่เป็นฆราวาส
ก็คงจะไม่น่าแปลกประหลาดอะไร

แต่ถ้าผู้บรรยายเป็นบรรพชิต
หัวข้อ “ชีวิตกับความรัก”
ก็คงจะเป็นเรื่องแปลกๆ อยู่

ข้อนี้ขอทำความเข้าใจกับท่านผู้ฟังสักเล็กน้อยก่อนว่า

สิ่งที่เรียกว่า ความรัก นั้น มักไปปะปนกับสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์
เพราะไปหลงเข้าใจว่าความรักกับกามารมณ์เป็นเรื่องเดียวกัน


ซึ่งที่จริงเรื่องทางเพศนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญอยู่เหมือนกันในชีวิตของมนุษย์
ในที่นี้ขอนำท่านมาสู่เรื่องความรักที่เหนือหรืออิสระจากกามารมณ์
ซึ่งดูเหมือนว่าไม่ค่อนมีใครเชื่อเสียแล้วในโลกปัจจุบัน

เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำความแปลกใจให้ท่านบ้างเล็กน้อย
ในหัวข้อนี้ที่ถูกพูดโดยบรรพชิต

แต่ถ้าท่านทั้งหลายทราบว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่แล้ว
บางทีท่านจะรู้โดยตนเองว่า ผู้ที่เป็นบรรพชิตนั่นแหละ
คือผู้ที่กำลังแสวงหาความรักที่แท้จริง


ขอให้ตั้งต้นที่ชีวิตในปัจจุบันของมนุษย์เรา ในสังคมที่กำลังสับสน
เราจะพบความจริงในชีวิตว่า เรากำลังว้าเหว่ และบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย
ไม่มีสัตว์โลกใดว้าเหว่เท่ามนุษย์ จริงอยู่เราเห็นความรื่นเริงในหมู่มนุษย์
การร้องรำทำเพลง เต้นรำ หัวร่อสนุกสนาน แต่มีความว้าเหว่อย่างลึกซึ้ง

และมนุษย์กำลังรอคอยอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะมาเติมเต็มตัวเองให้เต็ม
เพราะมนุษย์ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองนั้นยังพร่อง และกำลังรอคอย
สำหรับบางคนอาจจะรอความร่ำรวย หรือรอเงิน หรือรอเกียรติยศ
แต่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกคนต้องการสรณะหรือที่พึ่ง
ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นชาย หรือเป็นหญิง

ทุกคนยังรู้สึกว่าตนเองพร่องหรือรอคอย
ความว้าเหว่ท่ามกลางการรอคอยนั่นแหละเกาะกินใจมนุษย์อยู่
แต่มนุษย์ฉลาดพอที่จะกลบเกลื่อนความว้าเหว่นี้ไว้ด้วยท่าทีอื่น


รูปภาพ

แต่แม้กระนั้นก็ดี ทุกคนจะต้องได้ยินเสียงกระซิบภายในตัวเองว่า
เรากำลังคอยสิ่งที่จะมาเติมเต็ม และแท้จริง
สิ่งที่รอคอยนั่นแหละคือความรัก
เรากำลังต้องการความรักเพื่อเติมชีวิตที่พร่องนี้ให้เต็ม
และการรอคอยโหยหาที่จะเติมให้เต็มนั่นแหละ
คือการแสวงหาความรักหรือที่พึ่ง

แต่สิ่งที่เรียกว่าความรัก
แม้ว่าจะเข้าใจที่พึ่งนั้นในระดับไหนก็ตามแต่สิ่งที่เรียกว่าความรัก
จะกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

การรอคอยของมนุษย์เพื่อจะให้ถึงวันเต็มเปี่ยมนั้นเอง
ได้ส่งผลเป็นความโศกเศร้าซึมในขณะที่รอ
หรือไม่ก็ให้เต็มไปด้วยความหวัง
และความหวังซึ่งจะมาถึงพร้อมกับรสหวานของชีวิต


เรารู้สึกว่า เราต้องการใครสักคนหนึ่งมาช่วยปลอบประโลมในขณะที่เราเศร้าโศก
หรือมาช่วยรื่นเริงเมื่อเราประสบโชค
เราต้องการจะร่วมกันบันเทิงกับเพื่อนมนุษย์หรือใครคนหนึ่งที่เข้าใจเรามากที่สุด

แต่เรามักจะไม่ค่อยคิดว่าเมื่อคนนั้นเข้าใจเราแล้ว
เราพยายามเข้าใจเขาให้มากที่สุดด้วย
ด้วยเหตุนี้ การแสวงหาความรักจึงเป็นปมที่สำคัญมาก
โดยเหตุที่ว่า เรากำลังแสวงหาคนอื่นมาสนับสนุนตัว
และเพื่อจะได้รักเขา ซึ่งเป็นเพียงผลตอบ หลังจากที่เขารักเรา

เมื่อเป็นเช่นนั้นการแสวงหาความรักหรือสรณะเช่นนั้นเป็นการลงทุน
มันมีข้อแม้ว่า ถ้าเธอไม่รักฉัน ฉันก็ไม่รักเธอ
ข้อนี้เราจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นความรักที่แท้จริงไม่ได้

เราต้องการใครสักคนหนึ่งมางอนง้อเรา
เราอาจจะเรียกมันว่า นี้เป็นท่าทีหรือลีลาของความรัก ที่จริงนั้นไม่ใช่

ความรักจะต้องไม่หมายถึงการพร่องอยู่ข้างใน
แล้วเพื่อจะหาตัวบุคคลอื่นมาเติมให้เต็ม
ความรักจะต้องหมายถึงความเต็มเปี่ยมและล้นออกไปสู่ผู้อื่น


เพราะฉะนั้นเองความรักจะต้องหมายถึง “การให้”
ไม่ได้หมายถึงการเรียกร้องเลย
ถ้าว่าเป็นการเรียกร้อง นั่นมิใช่ความรัก
แต่เป็นการขาดความรักอย่างรุ่นแรง
แล้วจะรักใครที่ไหนได้และจะรักใครเป็นได้เล่า


รูปภาพ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ฉะนั้นคนที่ว้าเหว่ ถึงแม้เขาจะต้องการความรัก
เขาจะเป็นนักรักไม่ได้


เพราะฉะนั้น จะต้องถามตนเองว่า
พร้อมแล้วหรือที่จะรักใคร พร้อมแล้วหรือที่จะรัก

แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าทุกคนที่เกิดมาในลู่กรีฑาแห่งชีวิตนี้กำลังว้าเหว่
กระสับกระส่ายระหกระเหิน ด้วยค่านิยมแข่งดี
หรือด้วยอะไรๆ สารพัดแวดล้อมเราอยู่
ทั้งๆ ที่เราไม่รู้ว่าความรักคืออะไร ไม่รู้จักความหมายของชีวิต
ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งแก่แล้วก็ตายไป

แต่มนุษย์เราก็ได้วิ่งฝ่าหมอกของชีวิตมา
แล้วกระทำทั้งถูกทั้งผิดต่อความรักและโหยหามันเสมอ
เราไม่รู้ว่าความรักคืออะไร ทั้งๆที่เรามีลูกหลานหลายคนแล้ว
เราไม่รู้ว่าชีวิตมีความหมายอะไร แต่เราใกล้ความตายเข้าไปทุกทีๆ

แม้กระนั้นทั้งๆ ที่มนุษย์ ไม่รู้ว่าเขากำลังต้องการอะไร และแสวงหาอะไร
แต่วิถีธรรมชาติสำหรับเด็กหนุ่มสาวของเราเพื่อเขาจะได้เรียนรู้
นั่นก็คือ ให้พวกเขาชิมรสแห่งพระธรรมผ่านทางความรัก


ความรักนั่นแหละคือพระธรรม
ความรักในที่นี้หมายถึงการหยุดกระวนกระวาย ระหกระเหิน
และสิ้นสุดความวิตกกังวลใดๆ


พระพุทธองค์ตรัสว่า

ความหวังกังวลนั้นหาใช่อะไรอื่นไม่ นั่นคือพระนิพพาน
ด้วยความสิ้นกังวล นั่นแหละคือความรัก


แม้พวกเขาจะเป็นคนกักขฬะอีกทั้งก้าวร้าวไม่ใส่ใจกับศาสนธรรม
หรือความรักใดๆ ทั้งสิ้นในแง่ของศาสนา
แต่ในที่สุดเขาเหล่านั้น จะต้องพบกับความรัก

และในวันที่พวกเขาพบกับความรักแรก
ความรู้สึกถึงความลิงโลดในใจ ความวิตกกังวลในชีวิต
เรื่องอดีตหรืออนาคตดูเหมือนจะปลาสนาการไปสิ้น
ความเศร้า ความโศกซึมหายไป ความว้าเหว่ไม่มีเหลือ
ความรู้สึกนี้เป็นอาการที่คนหนุ่มสาวสดุดความรู้สึกอันสูงสุดเข้า
พวกเขาได้ชิมรสของสิ่งหนึ่ง คือความรู้สึกที่กระวนกระวาย
เมื่อได้รับความรักตอบ แต่นั่นคือความเต็ม หรือความอิ่มใจชั่วคราว

ในท่ามกลางความสับสนเหนื่อยหน่าย
ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาทำให้หัวใจของเราชุ่มชื่นก็คือ ความรัก


รูปภาพ

และสิ่งที่เรียกว่าความรักนี่แหละ
พวกเราทั้งหมดกำลังแสวงหา
และแม้แต่บรรพชิตก็กำลังแสวงหาอยู่
แต่ต่างระดับ ต่างความหมาย ต่างความลึกซึ้ง เท่านั้นเอง

ความรักนั้นเป็นต้นเหตุแห่งความบันดาลใจทั้งมวล
มันอาจจูงใจให้มนุษย์กระทำประโยชน์ให้มนุษยชาติ
อย่างชนิดที่มนุษย์จะลืมท่านผู้นั้นไม่ลง


ความรักบรรดาลใจให้คนหนุ่มสาวที่เคยกักขฬะ
กลายเป็นคนสุภาพอ่อนโยน
ทำให้ก่อเกิดศิลปะอันวิจิตรงดงามอย่าง ทัชมาฮาล
ที่ กษัตริย์ชาห์ เจสัน ได้สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์ของชายาของพระองค์

และเมื่อคนหนุ่มสาวเริ่มต้นรักกัน
ความกักขฬะหยาบคายของเขาหายไป
ความรู้สึกเห็นใจคนชราที่ต้องยืนบนรถเมล์มาแทนที่
และเขาจะทนไม่ได้เพราะความรัก เขาต้องลุกให้คนชรา
หรือคนที่อ่อนแอกว่านั่งแทนที่เขาด้วยความรู้สึกที่โยงใยกับคู่รักของเขาเอง

ด้วยเหตุนี้ ความรักนี้
เป็นการเปลี่ยนแปลงคนหนุ่มเด็กสาวทั้งหลายไปในทางกุศลได้
เพราะฉะนั้นความรักนั่นแหละคือ ธรรมะ
และ ธรรมะนั่นแหละคือความรัก
แต่ว่ามันยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ยิ่งๆ ขึ้นในวิถีแห่งรัก


ที่ว่าความรักเป็นเหตุแห่งความบันดาลใจ
ให้เกิดเรื่องราวอันใหญ่หลวงในโลกนี้
และเบื้องหลังของการสำนึกเปลี่ยนนิสัยสันดาน

รูปภาพ

แต่เบื้องหลังของประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ก็ย่อมมีความรักและความเกลียดชังซ่อนอยู่ข้างหลังเสมอไป
เพราะว่าความรักนั้นมันยังไม่ใช่ความจิรังยั่งยืน
ความรักที่หญิงรักชาย หรือชายรักหญิงนั้น
มันเป็นความรู้สึกอันเนื่องกับอารมณ์ชั่วแล่นเท่านั้นเอง


ถ้าผู้นั้นไม่อาจรู้ธรรมะที่สูงกว่านั้นได้แล้ว
ความรักชนิดนั้นมักกลายกลับมาเป็นความชังหรือเกิดโทษก็เป็นได้


ดูเหตุการณ์หลังจาก กษัตริย์ชาห์ เจฮัน
ได้สร้างอนุสรณ์หลังจากรักอันยิ่งใหญ่นั้นแล้ว
พระราชโอรสโอรังเซฟต้องจับพระราชบิดามากักขังไว้

เพราะความรักของพระองค์นั้นเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว
เห็นแก่ความรัก เห็นแก่ความรู้สึกของตนเอง
โดยไม่รักอีกสิ่งหนึ่งคือ มวลมนุษย์
หรือแม้แต่ประชาชนของตนเองที่เป็นดั่งลูกๆ ของพระองค์
เป็นเหตุเศรษฐกิจของประเทศทรุดโทรมลง
เพราะการทุ่มเงินสร้าง ทัชมาฮาล เพียงเพื่อเป็นอนุสรณ์รัก


ความรักนั้นมีคุณค่า แต่มองอีกแง่หนึ่งมันมีโทษ

รูปภาพ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
อย่าทำสัตว์สังขารให้เป็นสิ่งรัก
เพราะว่าความพลัดพรากจากสิ่งรักเป็นความต่ำทราม


ความรักนั้นเป็นสิ่งดี
แต่ความพลัดพรากจากสิ่งรักนั้นเป็นความทรามของชีวิต


คือมันจะเป็นความระหกระเหิน เจ็บปวด
มันเป็นทุกข์เป็นโทษของความรัก
เช่นเดียวกับความสุขเมื่อมันพลัดพราก
หรือว่าสุขหรือรักนั้นจางลง โทษมักจะสำแดงออกมา
แล้วมันจะกลายเป็นความเกลียดชัง ชิงชัง

ฉะนั้น ฝ่ายหนึ่งที่เคยลูบไล้ประคับประคองซึ่งกันและกัน
มันจะกลายเป็นมือที่ตบหน้าเอาได้
เมื่อรักมันแปรไปเป็นชัง ความรักจะกลายเป็นความเกลียดชังได้หรือ

แต่เราได้พบความจริงไม่ใช่หรือว่า ในช่วงหนึ่งที่รักกันดี
แต่อีกวาระหนึ่งมันกลับเป็นความเกลียด
นี่อะไรกันเล่าทั้งความรักและความชังพันกันอยู่จนดูสับสน

สิ่งที่เรียกว่าความรักนั้น มันตกอยู่ใต้อำนาจของ ไตรลักษณ์
คือความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


ถ้าว่าความรักถูกเห็นในลักษณะเช่นนี้
ท่านคงจะรู้ด้วยตัวของท่านเองว่า
สิ่งที่เรียกว่ารักนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว

รูปภาพ

คนจะรักกันได้ จะต้องตัดสินใจ
และจะต้องอาศัยความกล้าหาญ กำลังใจ
และสติปัญญาไม่ใช่น้อยเลย
ในการที่จะรักใครสักคนหนึ่งและคนทั่วไปคิดว่า


เมื่อเราจะรักกัน ไม่เห็นเกี่ยวกับความกล้าหาญ กำลังใจและปัญญา

เขาไม่รู้ว่าความรักนั้น
ที่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องเดียวกับสมาธิและวิปัสสนา


ความรักคือปีติสุขของสมาธิ
และในสมาธิความรักกรุณาจะปรากฎให้เห็น
ถ้ารักด้วยอำนาจแห่งความโง่เขลา อ่อนแอและฟุ้งซ่านแล้ว
ความรักนั้นคือการสะสมอุปสรรคและเป็นความทุกข์ในที่สุด

ความรักเป็นอาการปรุงแต่งของจิตใจ
จริงอยู่ เมื่อเรารัก มันปรุ่งแต่งไปในแง่ของความซาบซ่าน อิ่มเอิบ
แต่สักระยะหนึ่งมันจางลง และเราต้องปรุงขึ้นเรื่อย
แล้วเราจะต้องปรุ่งขึ้นอีก


เมื่อนานเข้า เราจะระอาต่อจิตใจของเราเอง
ที่ถูกกระตุ้นให้รัก หวงแหนเป็นห่วง
เราคิดว่าความรักคือความภาคภูมิใจ
คราวนี้เป็นความเข้าใจผิดที่ร้ายกาจ

ความรักแท้ไม่ใช่ความถูกใจ
แต่ความรักจริงนั้นคือความถูกต้อง


ความถูกใจนั่นแหละ มันทำให้ใจฟูขึ้นและเพราะความถูกใจ
มันจึงทำให้ใจฟูขึ้นและเพราะความถูกใจ
มันจึงทำให้ขัดใจได้ด้วยเมื่อไม่ได้ดังใจ

แต่ความรักจริงต้องหมายถึงความถูกต้อง
ความถูกต้องในที่นี้หมายความว่า
ถูกต้องตามจริยธรรมคุณงามความดี


เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะต้องคำนึงว่าเมื่อเกิดความรัก
เรากำลังถูกกำหนดให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง
เพราะฉะนั้นเมื่อรู้สึกว่าถูกกำหนดให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง
เราจะรับสถานะแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไรกัน

รูปภาพ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 10:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

เมื่อชายหญิงรักกัน
เขาพร้อมแล้วหรือที่จะรับความเปลี่ยนแปลงจากสถานะ
ที่เคยเป็นชีวิตเดี่ยวมาเป็นชีวิตคู่
ซึ่งจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน เขาพร้อมแล้วหรือไม่


ข้อนี้ทำให้เราต้องใคร่ครวญถึง
ความหมายของความรักให้ลึกซึ้ง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจ, เกิดสติปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
เราน่าจะตั้งต้นถามคล้อยตามบทกวีของ เชคสเปียร์ ที่ว่า

ความเอ๋ยความรัก
เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มจำเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ
หรือเริ่มในสมองตรองจงดี

แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง
อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที
อย่าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี
ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย ฯ


เป็นเพียงข้อเสนอแนะของกวี ให้ท่านทั้งหลายรับฟังว่า
ความรักเกิดขึ้นอย่างไรมันเริ่มที่ใจหรือสมอง
ความรู้สึกหรือความคิด
มันถูกถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูความรักไว้ได้อย่างไร

รูปภาพ

สิ่งที่เรียกว่าความรักโดยทั่วไปนั้น
ดูๆ มันไม่คอยจะมีเหตุผล
ถ้ามีเหตุผลแล้วลองตอบคำถามนี้ดูว่าทำไมคนรูปสวย
ชายก็ได้หญิงก็ได้ ไปรักคู่ที่ขี้เหร่

แต่มันต้องมีอีกสิ่งหนึ่ง คือความบันดาลใจ
ความที่ฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง
บังเกิดความเชื่อมั่นและหายว้าเหว่ลงไปได้

สำหรับความรักที่มาเสริมอหังการของตัวนั้น
ไม่อาจจัดเป็นความรักแท้
เราอาจจะเรียกหญิงหรือชายที่เข้ามาผูกพันกับเรานั้นว่า ศรีภรรยาหรือสามี


แต่ที่จริงแล้วอาจจะเพียงเป็นผู้บำเรอ
เพื่อจะได้แผ่ขยายอำนาจของอหังการก็เป็นได้
ความที่ปราศจากธรรมะ ไม่อาจจะเป็นความรักที่แท้จริงได้

เราพบความจริงว่า ชีวิตคนปัจจุบันนี้
ถึงแม้ว่าจะมีสภาพที่เรียกกันว่าความเจริญก้าวหน้า
และมีความคิดทางปรัชญาของชีวิตอันสูงส่ง
แต่มนุษย์กลับพบความสำเร็จในชีวิตคู่น้อยลง


ครั้นเหลียวไปดูปู่ย่าตายายของเรา
กลับประสบความสำเร็จในชีวิตคู่อย่างลึกซึ้ง
ความสำเร็จนี้วัดกันที่ตรงไหน


ถ้าวัดกันที่หญิงชายคู่นั้น
ไปคู่กันในงานบอลล์ ในงานค็อกเทล งานปาร์ตี้
ว่านั่นคือความสำเร็จของชีวิตคู่ นั่นอาจเป็นมารยาสาไถยก็ได้

รูปภาพ

ดัง เฮมิงเวย์ ล้อเลียนชีวิตของชาวอเมริกันไว้ในเรื่องสั้นของเขาเรื่องหนึ่งว่า

หญิงชาย ๒ คู่ที่แต่งงานกันแล้ว
นั่งรถไฟไปขบวนเดียวกันอยู่คนละตู้
สามีภรรยาทั้งคู่ต่างทะเลาะกันไปตลอดทาง
ด่ากันไปด่ากันมา โทษกันไปโทษกันมา
เมื่อถึงเวลาอาหาร ต้องลุกไปที่ตู้เสบียง

พอไปถึง เจอกันเข้า หญิงชาย
หญิงชายทั้ง ๒ คู่ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน
ต่างคู่ต่างมีมารยาสาไถย
สามีต่างก็ยกมือโอบไหล่ภรรยาของตน
ภรรยาก็แสร้งยิ้มแย้ม ทำเป็นร่าเริงบีบเค้นเสียงหัวเราะ
เพื่อลวงเพื่อนว่าเราสำเร็จในคู่ชีวิต

เมื่อกินอาหารเสร็จ ยิ้มแย้มหัวเราะกัน
เสร็จแล้วกลับไปนั่งที่ตู้ของตัวๆ ต่างคู่ต่างก็ทะเลาะกันต่อ

นี่คือเรื่องราวของชีวิตที่เราพยายามที่จะลวงกันและกัน
ว่านี่คือการประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ของเรา


ที่จริงมันมีเพียงรูปแบบและพยายามที่จะมีมารยาสาไถย
ดูเหมือนว่าพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดีนั่น
ดูเหมือนว่าชีวิตทางบ้านหาดีไปกว่าผู้มีสุขภาพจิตไม่ดีเลย
แต่ดูเหมือนเที่ยวสอนเพื่อนอยู่ทั้งเมืองว่าชีวิตควรจะเป็นอย่างนี้
ควรจะมีสุขภาพจิตอย่างนั้น

แต่พอกลับมาถึงบ้านของตัวเอง
ก็ทะเลาะกับสามีหรือทะเลาะกับคนใช้
หรือถึงขนาดเกลียดชัง อาฆาตพยาบาทอิจฉากันก็มี
นี่สุขภาพจิตเสื่อมเอามากทีเดียว

เพราะฉะนั้นขอให้เลี้ยวดูความสำคัญของชีวิตคู่ของบรรพบุรุษของเราให้ดี
ที่เราบ่นว่าเป็นคนครึคระนั่นแหละ
แก่เฒ่าเข้า ท่านจูงมือกันไป สามีเดินหน้า ภรรยาเดินหลัง
ไปวัดและหลังจากชีวิตกามารมณ์มันจืดลง
มันเหลือแต่เมตตาปรานีกันและกัน เหมือนพี่ชายกับน้องสาว


รูปภาพ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

คราวนี้ขอให้ดูว่า ปรัชญาระบบไหนประสบความสำเร็จในชีวิตคู่

เราก็พบว่าความสำเร็จที่เขาเอามาพูดกันนั้น
เป็นความสำเร็จที่เขาเอามาพูดกันนั้น
เป็นความสำเร็จจอมปลอม

แต่จะพบว่าย่าทวดของเราประสบความสำเร็จจริง
โดยที่ว่าท่านอาจจะไม่มีปรัชญาของความรัก
ท่านก็ถูกจับให้แต่งงานกันชนิดคลุมถุงชน
ไม่รู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ ถูกจับให้แต่งงานกัน
แล้วค่อยๆ รักเห็นใจกันไปเอง
เพราะต่างฝ่ายต่างมีธรรมะ มีคุณธรรมประจำใจ

ฉะนั้น ความรักมันเกิดที่ไหน เกิดที่ตาเห็น
เมื่อแรกพบหรือว่ามันเกิดเพราะคุณธรรมกันแน่
ข้อนี้ถ้าท่านระลึกถึงพระพุทธองค์แล้ว
บางทีอาจจะคิดอะไรขึ้นมาได้

พระพุทธองค์ท่านตรัสเรื่องบุพเพสันนิวาส

ท่านตรัสว่า

ความรักที่แท้จริงนั้น
ต้องเหมือนกับดอกอุบลกับน้ำ
ดอกบัวกับน้ำมีส่วนสัมพันธ์กัน
น้ำลึกเท่าใด สายบัวก็มีส่วนสูงขึ้นเท่านั้น ควบคู่กันไป


รูปภาพ

จึงมีภาษิตว่า

สามีเป็นที่ปรากฎแห่งภรรยา ควันเป็นที่ปรากฎแห่งไฟ
พระราชาเป็นที่ปรากฎแห่งแว่นแคว้น
สามีเป็นที่ปรากฎแห่งภรรยาหมายความว่า ต้องได้สัดได้ส่วน
ต้องมี ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา
ต้องมีอะไรๆ ที่จะต้องมีความรู้สึกเข้าอกเข้าใจกัน


ตอนนี้ขอสรุปทีหนึ่งก่อนว่า

ความรักที่แท้จริงนั้นจะต้องไม่ได้หมายถึงความถูกใจ
เพราะความถูกใจของคนทั่วไปนั้นมันเป็นการเสริมอหังการของตัว


และถ้าไม่ถูกใจ มือที่เคยเช็ดน้ำตาให้
กลับเป็นมือที่ทำให้น้ำตาร่วง
เสียงที่เคยปลอบประโลมให้หายเศร้า
กลับยิ่งทำให้โศกหรือเจ็บใจช้ำใจซ้ำเข้าไปอีก

เพราะว่าความรักชนิดนั้นด้วยการลดอหังการลง
ด้วยการรับใช้ไม่ใช่ด้วยการเสนอเรียกร้องให้ผู้อื่นรับใช้


รูปภาพ

ตัวความรู้สึกรักนั้นไม่ใช่แต่เพียงแต่ตาได้เห็น
ก็ชอบหูได้ยินเสียงเพราะๆ ก็รัก
หรือมีทิฏฐิเหมือนเราในเรื่อง
การมีความรุนแรงทางการเมืองชนิดล้างผลาญเหมือนกัน
เราก็ชอบ แต่เป็นช่วงยาวนานแห่งความประทับใจ

และการแต่งงาน หรือชีวิตคู่
จะไม่ห่างจากโบสถ์ห่างธรรมะออกไปทุกทีๆ

แต่เดิมนั้น หญิงชายจะรักกัน
เขาต้องไปหาพระ เพื่อเป็นสักขีพยาน
ต้องมีการอธิษฐานใจ ต้องมีการหมั้น
มีการลองน้ำใจกันดู ทดสอบกันดูและมีอะไรมากมาย
เพื่อเป็นหลักประกันบางทีอาจจะหมั้นกันตั้งแต่เด็ก
ให้ฝ่ายพ่อแม่ของแต่ละฝ่ายฝึกฝนนักกีฬารักของตัว
ที่จะลงวิ่งในลู่กรีฑาแห่งชีวิต

หาไม่เช่นนั้นแล้ว ชีวิตที่ปราศจากการถูกฝึกฝนมาอย่างถูกต้อง
จะกลับกลายเป็นลงสนามเพื่อประหัตประหารซึ่งกันและกัน
เพราะว่าความรักที่ถูกเข้าใจผิด
ว่าเป็นเพียงเรื่องเพศกลับกลายเป็นเรื่องกามารมณ์ไปโดยถ่ายเดียว


ว่าไปแล้วกามารมณ์นั้นหาใช่อะไรอื่นไม่
มันอาจกลายเป็นการประทุษร้ายซึ่งกันและกันด้วยอวัยวะเพศของตัว
กามนี้เป็นเรื่องประทุษร้ายซึ่งกันและกันโดยสมัครใจ
แล้วก็มีรสแห่งกาม หรือสินบน หรือค่าจ้างของธรรมชาติ
เป็นเครื่องล่อเท่านั้นเอง

กามารมณ์นี้ถ้าไม่มีรสของมันแล้ว
ไม่มีใครทำ มันเจ็บปวดมืดมัว เร่าร้อน
เพราะฉะนั้นเมื่อธรรมชาติต้องการให้มนุษย์ยังเผ่าพันธุ์ไว้
จึงจ้างหรือให้สินบนด้วยอัสสาทะ คือรสอร่อยของมัน


ถ้าไม่มีสินบน มนุษย์จะไม่ทำหน้าที่นั้น
และมนุษย์เริ่มคดโกง หักหลังต่อนายจ้างของตัว
ความต้องการตักตวงรสอร่อยจากเนื้อหนังซึ่งกันและกันอย่างเดียวนั้น
ไม่เป็นการกระทำที่เป็นอริยะ
ทั้งอาจนำไปสู่หายนะได้ในที่สุดแม้ว่าความรักยังเกี่ยวข้องกับเนื้อหนัง
จะต้องเกี่ยวข้องด้วยความรู้ที่ถูกต้อง

คือต้องมี วิปัสสนา ต้องรู้จักธรรมะ
และรู้ว่าเนื้อหนังหรือเรื่องเพศนั้นมันเป็นของชั่วคราว
และแม้เป็นของชั่วคราวนี้แหละ


รูปภาพ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ถ้าทำผิด มันจะกลับกลายเป็นอุปสรรคของความรัก
และจะทำให้ความรักกลายเป็นอื่นไปได้
และไม่อาจจะจบลงด้วยความกรุณาได้

บรรพบุรุษของเรา ที่ท่านได้ประสบความสำร็จในชีวิต
ก็เนื่องด้วยวัฒนธรรมที่ดีงาม


ก็คือว่า พระสงฆ์องค์เจ้าต่างๆ
ช่วยแวดล้อมให้ชีวิตของคนเหล่านั้นเกี่ยวข้อง
และออกจากเรื่องเพศอย่างถูกต้อง
ไม่เช่นนั้นมันเป็นอันตราย

เขามีระเบียบกฎเกณฑ์ วันพระ วันโกน เขาจะไม่ยุ่งเรื่องเพศกัน
วันพระวันโกน เรื่องเนื้อหนังต้องหยุด
และเปิดโอกาสให้ในวันอื่น
และในวันอื่นๆ ยังมีวันสำคัญๆ ทางศาสนาอีกมาก

เรื่องเพศนั้นไม่กี่ปีมันก็จบ
เพราะว่ามันเป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งชั่วระยะเวลาหนึ่งนั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้นจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจกามารมณ์ให้ดี เมื่อทดใช้ถูกต้อง

ความผูกพันที่เคยเป็นเรื่องเนื้อหนังก็ต้องเปลี่ยนเป็นเมตตาไปในที่สุด

ดังนั้น เมื่อกามเหือดแห้งไปจากดวงตาของผู้ชรา
มันก็เหลือแต่ความเป็นพี่ชายกับน้องสาว
แล้วก็จูงมือกันไปวัดวา

ไม่มีเรื่องไม่มีราว ชนิดที่จะต้องเอาปืนยิงขมับกัน
หรือผูกคอตายประท้วงประชดกันและกัน
เหมือนที่เราอ่านข่าวหนังสือพิมพ์บ่อยๆ
ถึงเรื่องราวของหนุ่มสาวที่เรียนมามากๆ โดยไม่รู้จักชีวิต
หรือคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต

คราวนี้ขอชี้ไปถึงสิ่งที่เรียกว่า อหังการของความรัก
ดูเหมือนว่าเราจะลืมกำหนดมัน


เช่น ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่า ท่านรักลูก หรือรักเพื่อน
หรือรักภรรยา รักสามีของตัว
ท่านมิใช่กำลังรักตัวเองโดยผ่านหรือขอยืมมือคนนั้นสนับสนุนดอกหรือ

ถ้าพ่อแม่รักลูก แน่ใจหรือไม่ว่าที่รักลูกนั้น
มิได้รักเพื่อเสริมหังการของตัวเอง

สมมุติว่า ลูกชายลูกสาวของคุณแม่คุณพ่อทั้งหลายที่นั่งอยู่นี้
เป็นคนหัวอ่อนคณิตศาสตร์
และคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกได้ดีในทางนั้น
เพราะยึดว่านั้นจะเป็นฐานกำลังให้ได้มาซึ่งเงินหรือเกียรติของตระกูล

เมื่อลูกสนองความอยากของพ่อแม่ไม่ได้ กลุ้มใจหรือไม่เล่า
เราเคี่ยวเข็ญแก่ให้เรียนเพื่อช่วยให้พ่อแม่ได้มีหน้ามีตาในสังคมหรือมาเล่า

รูปภาพ

ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งนั้นมิใช่ความรัก
มันเป็นความรักตัวเอง โดยยืมมือลูก
เมื่อพลาดจากลูก มองหน้าลูกไม่ติดก็ไปหวังที่หลาน


และความรักเช่นนั้นมันเป็นความเห็นแก่ตัวที่ร้ายกาจ
ส่วนความรักที่แท้จริงไม่เป็นเช่นนั้น
ไม่ว่าลูกจะเป็นคนโง่หรือฉลาด
คุณแม่จะต้องมีความเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ
ที่จะกรุณาไม่หวังให้มาเสริมอหังการของตัว

มารดาที่มีความรักที่แท้จริง
มิได้หวังอะไรนอกจากความอยู่รอดปลอดภัยของลูก
เพราะอำนาจของความกรุณา
อยากเห็นลูกประสบสุขสันติจึงเกื้อกูล

มันเป็นหน้าที่อันดีงามของบุตรในการอนุเคราะห์ตอบแทนบุณคุณ
หรือสนองตอบต่อความหวังของบิดามารดา
เพราะนั่นมันเป็นหน้าที่ของผู้มีความกตัญญูรู้คุณ
คนที่จะต้องกระทำให้เหมาะให้ควร


ชาวต่างประเทศเคยวิจารณ์ประเทศนี้ด้วยว่าหนักด้วยเรื่องคอรัปชั่น
และว่าในเมืองไทยนี้มีรัฐมนตรีตำแหน่งละ ๒ คนเสมอ
คือ รัฐมนตรีและภรรยาของรัฐมนตรี
แลส่วนหลังนั้นเองเป็นเหตุกระตุ้นให้เกิดคอรัปชั่น

คอรัปชั่นที่ไหนมี ขอให้นึกว่าต้องมีเรื่องอำนาจและกามอยู่ข้างหลังเสมอไป
เป็นแรงผลักดันให้แสวงหาประโยชน์อย่างผิดๆ


เมื่อเป็นเช่นนี้เอง ฝ่ายภรรยาอาจจะหนุนให้สามีคดโกง
เพื่อเสริมอหังการของภรรยา
ที่ใคร่จะใส่แหวนเพชรเพื่อจะได้เฉิดฉายไปในงานปาร์ตี้
อวดอหังการ-มมังการ คือประกวดตัวตน-ของตนในงานเต้นรำ
ให้ได้ทำอะไรชนิดที่เด่นมีหน้ามีตา
ทั้งๆ ที่กลับมาถึงบ้านก็เหนื่อยหอบ อ่อนเพลีย และเพิ่มพูนกิเลสเข้าทุกวัน

รูปภาพ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 11:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

นี่เองคือเรื่องราวที่ต้องทำความเข้าใจ
เพราะไม่เช่นนั้นสิ่งที่เรียกว่าความรักมันจะกลายเป็นรักกันเพื่อความวินาศ
ความรักเช่นนี้มันคือการฝากความหายนะไว้ให้แก่กันและกัน
และในที่สุดชีวิตรักจะจบลงด้วยความโศก

เหมือนพุทธภาษิตว่า

เปมโต ชายเต โสโก, เปมโต ชายเต ภยํ,
เปมโต วิปฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก, กุโต ภยํ


ความรักทำให้เกิดความโศก ความรักนั่นแหละทำให้เกิดความกลัว
(คือกลัวจะพลัดพรากจากความรัก)
ผู้ที่หลุดพ้นจากความรัก ความโศกย่อมไม่มี


เมื่อเป็นเช่นนั้น ความกลัวจะมีแต่ที่ไหนเล่า

ศัพท์ที่แปลว่าความรักในนี้
คือคำว่า เปม หรือ เปรม หมายถึงอำนาจของความรักด้วยเสน่หา
ด้วยความยึดถือห่วงแหน คือฉันทะราคา


มันมีเรื่องที่น่าสังเกตตรงที่ว่า พระพุทธองค์ตรัสว่า

ผู้ใดสันดานยังไม่ขาดจากกามราคะ
คือความรักชนิดนั้น ผู้นั้นจะสะดุ้งหวาดเสียวเมื่ออยู่ที่เปลี่ยว
และกลัวต่อการอยู่คนเดียว หวาดเสี่ยวที่จะใช้ชีวิตเดี่ยว


ท่านทั้งหลายล้วนเป็นนักศึกษาทันสมัย ไม่มีความเชื่อเรื่องผี
แต่พอไปที่เปลี่ยวก็เกิดขนพอง แล้วกลัวทั้งๆ ที่ไม่เชื่อเรื่องผี

หญิงชาวบ้านเมื่อสมัยเป็นสาว

เมื่อสมัยยังมีกามราคะ ทั้งเชื่อทั้งกลัวผี
แต่พอแก่เฒ่า ความเชื่อที่ว่าผีมีก็ยังมี แต่ไม่กลัว เดินในที่เปลี่ยวๆ ได้

หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเคยได้เห็นว่า
เมื่อราคะมันจืดลงความกลัวมันหายไปได้
ทั้งๆยังเชื่อว่ามีผี แต่มันก็กล้าเดินได้ในที่เปลี่ยว

นี่คือความหมายที่ว่า

ถ้ารัก แล้วจะต้องกลัว
อย่างน้อยกลัวจะพลัดพรากจากสิ่งที่มันไปเสวยรสเข้าฉะนั้นเอง


รูปภาพ

ขณะที่ท่านมีลูก และกำลังเชยชมลูก
ให้ลูกเต้นอยู่บนอก ฟ้อนรำอยู่นั้น ความกลัวก็แฝงเร้นอยู่
และอาจทำให้ช็อคจนได้ในสักวันหนึ่ง เมื่อสิ่งนั้นพลัดพรากไป

ความรักที่แท้จริงจะต้องไม่หมายถึงการเข้าไปผูกพันชนิดนั้น
แต่พลังของความรักที่แท้จริง
จะต้องหมายถึงการร่วมกันและกันในอิสรภาพ
หรือยังกันและกันในอิสรภาพ
ปลดปล่อยกันและกันจากการยึดติด และความกลัวต่างๆ


หมายความว่าความรักนั้นยังมีอยู่ยังมีชีวิตคู่ซึ่งให้อิสรภาพซึ่งกันและกัน
ให้ต่างฝ่ายต่างได้มีเวลาแห่งสันติสุข
มีเวลาในทางศาสนกิจของตน
และผูกพันรักกันด้วยสายสัมพันธ์ คือ ธรรมะ


อันเป็นเครื่องปลดเปลื้องความขุ่นเคืองทั้งปวงให้ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง

เหมือนกวีท่านหนึ่งกล่าวไว้อย่างน่าฟังที่เดียวว่า

ขอให้หญิงชายคู่รักทั้งหลายนั้นเป็นเสมือนสานพิณที่อยู่คนละสายอย่างสงบเงียบ
แต่ร่วมบรรเลงเพลงเดียวกันได้อย่างไพเราะ


ข้อนี้ดูจะเป็นข้อคิดที่น่าสนใจไม่น้อย
เราพบความจริงว่า แม้เพื่อนต่อเพื่อนก็เถอะสนิทกันมาก
สักเดี๋ยวหนึ่งจะแตกกันเหมือนสายพิณที่มาขอดเกี่ยวกันเข้า เสียงจึงไม่ไพเราะ
เพราะมันร่วมกันด้วยอำนาจของผลประโยชน์

เรารักกันเพียงเพื่อจะได้เกลียดคนที่สามด้วยกันก็อาจมีได้
เรามาสนิทสนมกัน ก็เพียงเพื่อจะร่วมกันนินทาเพื่อนคนที่สาม
เพราะฉะนั้นได้เพื่อนคนหนึ่งก็เพิ่มศัตรูคนหนึ่ง
และได้เพื่อนอีกคนหนึ่งก็เพิ่มศัตรูอีกคนหนึ่งโดยไม่ทันรู้ตัว

เรามักจะรักกันชนิดนี้ และเราจะรักกันจนตายไปด้วยกัน
เพราะว่าความรักชนิดนั้นมันเป็นการเสริมอหังการซึ่งกันและกัน


ส่วนความรักที่แท้จริงต้องหมายถึงการปลดปล่อย เสียสละซึ่งกันและกัน
ต้องอุทิศความปรารถนาดีต่อกัน
เหมือนที่พระพุทธองค์เมตตาต่อพระอานนท์
และเป็นกัลยาณมิตรซึ่งกันและกันโดยธรรม
และก่อเกิดคุณูปการต่อโลกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


รูปภาพ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2009, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ความรักที่แท้จริงต้องหมายถึง
การตักตวงรสอร่อยจากทางเนื้อหนังจากกันและกันจริงอยู่
หนุ่มสาวต้องผ่านการเย้ายวนชวนผูกพันนั้น
แต่จำเป็นต้องผ่านให้รวดเร็ว
และด้วยความรู้ที่ถูกต้องในคุณและโทษของมันว่ามีค่าแค่ไหน เท่าใด
เพื่อว่าให้มันเหลือแต่ความรักแท้จริงในภายหลัง


คือความกรุณาและเมตตาซึ่งกันและกัน
และการให้อิสรภาพนั้นหมายถึงว่าให้อิสรภาพ
เพื่อให้คู่รักแต่ละคู่สามีภรรยาของตัวได้มี “ชู้” คู่รักทุกคนต้องแสวงหา “ชู้”

เพราะ “ชู้” คนนั้นจะช่วยให้ท่านทั้งหลาย
รักกันอย่างแท้จริง และ “ชู้รัก” เช่นนั้นคือ พระธรรม
ให้หญิงชายทุกคนรีบแสวงหาอิสรภาพร่วมกัน
แล้วจะทะนุถนอมความรักไว้ด้วยกันได้

ทำอย่างไรเราจะทำให้ธรรมะ
ได้คุ้มครองปกปักรักษาชีวิตคู่ของหญิงชายไว้ได้
ก็หมายความว่าเราต้องรู้จักการคลี่คลายความยึดถือ
และงอกงามไปสู่ความบริสุทธิ์เบิกบานด้วยกัน


หญิงชายจะต้องประกอบกามกิจอย่างไร
มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ทุกคนพึงรู้
ความเห็นชัดเจนว่าเรื่องเพศแยกจากวัดไม่ได้

ถ้าขืนแยกเรื่องสำคัญที่สุดที่ทุกคนพึ่งรู้
ความชัดเจนว่าเรื่องเพศแยกจากวัดไม่ได้
ถ้าขืนแยก เรื่องกามารมณ์
จะแผ่ขยายความอนาจารยิ่งขึ้น โสโครกลามกยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนั้น การประกอบกามกิจ
กิจกรรมทางเพศจะต้องกระทำด้วยความรู้ด้วยสติปัญญาเท่านั้น
ไม่ตอบสนองอวิชชาแต่เป็นไปเพื่อสันติธรรม และจริยธรรม

คือ ธรรมปฏิปทาที่จะทำให้ถึงซึ่งสันติสุขของผู้ครองเรือนครองคู่
หาไม่แล้วก็เว้นขาดจากกามแบบ “ชักสะพาน” เจริญสมณธรรมเต็มรูป


ที่กล่าวแล้วนี้ ไม่ใช่เรื่องการสอนเพศศึกษา
ซึ่งนั่นอาจถูกมองว่า เป็นเพียงการชี้โพรงให้กระรอก

แต่เรื่องเพศศึกษาในกรณีที่ว่านี้
หมายความว่าจะกระทำกับมันอย่างไร
จึงจะได้รับกามที่ประณีต
และเพื่อผ่านมันไปได้อย่างรวดเร็วที่สุด

คำว่ากามประณีตนั้นมีความหมายพิเศษ
ถ้ามันเป็นอย่างหยาบโลนมันจะไม่รู้จบแล้ว
มันจะเวียนไปเวียนมา วกไปวกมา


แม้จะมีสามีภรรยาที่สวยที่งามขนาดไหน
มันก็วกไปหาคนอื่นได้
ไม่อาจสันโดษในภรรยาหรือสามีของตน

เพราะฉะนั้น
เราจะต้องเลื่อนมาพิจารณากามประณีตนั่นคืออย่างไร
นี้เป็นเรื่องสำคัญ

การที่ประณีตนั้น จะต้องหมายถึงว่า ทำให้เกิดปีติ
และเป็นเหตุให้สันโดษในภรรยาหรือสามีของตัว
นั่นคือ จำกัดลงไปเพื่อจะมีชีวิตรักเพียงชีวิตเดียวในโลกนี้
เพื่อจะได้แต่งงานกับ “ชู้” ของตัวในโลกแห่งพระธรรมหรือสวรรค์


รูปภาพ

บรรดา มหากาพย์มหาภารตยุทธ์ ก็ดี รามายณะ ก็ดี จะต้องแต่งเช่นนี้

พระรามกับสีดาแต่งงานกันทีหนึ่งบนพื้นโลก
ครั้งสุดท้ายได้แต่งงานอีกครั้งหนึ่งหน้าพระสยัมภูวญาณ
แต่ไม่ใช่พระรามแต่งกับสีดา
ทั้งพระรามและสีดาแต่งกับสยัมภูญาณ
และนั่นคือการได้เห็นชู้รักของหญิงชายทั้งหลาย
ตามนัยแห่งอุปมาของมหากาพย์
เพราะนั่นคือญาณรู้เห็นเป็นเองในสรรพสิ่ง
นั่นคือการเห็นธรรมอันเกิดเมตตาคุณอันใหญ่หลวง


ความรักเช่นนี้เป็นสิ่งไม่มีอะไรเหนือกว่า
ถ้าไม่มีความเช่นนี้โลกจักอยู่ไม่รอด จักเต็มไปด้วยอันตราย
ชีวิตนี้ปราศจากความรักไม่ได้

ความรักเป็นเรื่องยิ่งใหญ่
ผู้ไม่มีความรักย่อมปราศจากที่พึ่ง
เป็นคนใจทมิฬ กักขฬะโหดร้าย เห็นแก่ตัว มักได้
พร้อมเสมอที่จะให้ร้ายผู้อื่น รักตัวเอง หลงตัวเอง และเบียดเบียนผู้อื่น

แต่ว่าบางคนต้องแต่งงาน ๒ ครั้ง
แต่บางคนแต่งงานครั้งเดียวกับพระธรรม
เพราะฉะนั้นเอง ผู้ที่ไม่รักไม่แต่งกับใครเลย
ก็เป็นคนว่างเปล่าเสียจริงๆ


เพราะหากรักด้วยความเห็นแก่ตัว
แล้วมันหนีไม่พ้นจากการเบียดเบียนผู้อื่น
และจำกัดอิสระของตนเองและผู้อื่นให้แคบเข้า

รูปภาพ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2009, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

เพราะฉะนั้นเอง แม้รักทางเพศ
ก็จะต้องรู้จักมันว่า อะไรคือเป้าหมาย อะไรคือสาระของเพศ


บางคนอาจจะตอบแบบโต้แย้งว่า
ไม่เห็นจะต้องมีเป้าหมายอะไร
เราต้องการจะกำจัดอารมณ์เก็บกดในร่างกาย
แต่ขอให้สังเกตว่าสิ่งนั้นมันเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย
แต่มนุษย์ไปสร้างอะไรมากกว่านั้น
บางทีไม่ได้ถูกกระตุ้นทางกายแต่อุปทานในกามมีอยู่

เพราะฉะนั้นชายชราอายุตั้ง ๙๐
ยังชอบกามารมณ์ทั้งที่ร่างกายไม่อำนวยแล้ว
นี่คือกามุปาทานไขว่คว้าหากามมาบำเรอตน

อะไรเล่าคือเป้าหมายของกามคุณ

ขอตอบว่า ปีติอันเกิดแต่รส คือ คุณแห่งกาม
ส่วนโทษแห่งกามคือความมีสาระไม่มากเป็นไปอย่างปกปิด
และก่อแรงเสียดทานได้ง่ายเมื่อไม่ได้ดังปรารถนา
และเป็นความซ้ำซากแล้วๆ เล่าๆ อยู่กับการกระทำที่มีคุณน้อย


แต่ทุกข์อันเป็นผลเนื่องกับกามนั้นมีมาก
ผ่านวิกฤตการณ์นั้นไปตามความประสงค์ของธรรมชาติเพียงชั่วคราว
จนกว่าจะหมุนมาครบวงจร
ของความปรารถนาอีกครั้งหนึ่งนั่นแหละ จึงจะทำกันอีก


เพราะฉะนั้น เมื่อหลังจากคลายอารมณ์ของความเก็บกด
เจ็บปวดกระวนกระวายในเนื้อในตัวแล้ว
มันก็คลี่คลายลงและเกิดปีติสงบรำงับชั่วครั้งชั่วคราว ปีติที่เป็นไปชั่วคราว
และถ้าการประกอบกิจกรรมทางเพศไม่ให้ปีติ
กิจกรรมนั้นเป็นการประทุษร้ายซึ่งกันและกัน และจะเพิ่มความทุกข์ยิ่งขึ้น
คู่รักจะกลายเป็นคู่แค้นขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว
เพราะมันไม่ได้บรรลุเป้าหมายดังใจปรารถนา

รูปภาพ

ปีติเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

ปีตินั้นเกิดจากศรัทธาและกลายเป็นความพอใจ
อิ่มใจและปีติจะปราณีตหรือหยาบนั้นขึ้นอยู่กับ ศีล
คือความรู้สึกที่ตัวเองได้ทำถูกต่อสำนึกแห่งมโนธรรม
คือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวคนบางคนจึงเลือกที่จะไม่มีคู่

แต่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างเบาสบายชนิดไม่เป็นบ้า
หรือเสียสติวิกลวิการไปกับความลุ่มหลงกาม
เพราะบอกเลิกหรือไม่ใส่ใจกาม ทั้งนี้เพราะได้เสวยผลของมันเสีย
แทนที่จะต้องผ่านในบทบาทคือเสวยปีติในการงาน


ผู้คงแก่การเรียนบางคน ไม่สนใจในเรื่องเพศ
มัวเข้าห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์อยู่เพลิดเพลิน
เพราะมันให้ปีติเมื่อได้ประสบผลสำเร็จแห่งการงานนั้น

เมื่อปีติเกิด กายรำงับ เมื่อกายรำงับนั้น
หมายถึงว่า ความกระตุ้น กระวนกระวายของเนื้อหนังสิ้นสุดลง
เพราะฉะนั้นกามารมณ์จะเป็นสิ่งไม่จำเป็น

หรือยิ่งเป็นนักบุญที่ผ่านเรื่องสมาธิ เรื่องฌานสมาบัติด้วยแล้ว
จะเห็นกามารมณ์เป็นของรุ่มร่าม
จนไม่อยากไปเสียเวลากับมันหรือไม่ใส่ใจเอาเลยทีเดียว
กามรังแต่จะทำความยุ่งยากให้


รูปภาพ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2009, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

เรื่องราวของอาจารย์เซ็นมีว่า
ท่านข้าหลวงอยากจะทดสอบพระอาจารย์ของตน
ซึ่งเป็นภิกษุในพุทธศาสนา

ท่านทั้งหลายคงจะทราบว่า

เมื่อชาวญี่ปุ่น อาบน้ำเข้าต้องเปลือยกายทั้งหญิงทั้งชาย
ท่านข้าหลวงจึงวางอุบายนิมนต์อาจารย์มาที่บ้านเพื่อถวายภัตตาหาร
ก่อนภัตตาหารก็ให้ไปสรงน้ำในห้องน้ำ
ซึ่งได้เห็นเด็กสาวเปลือยกายในห้องน้ำนั้น
พร้อมกับสั่งเสียเสร็จ ว่าให้เด็กสาวทำอย่างไรๆ
เพื่อจะให้รู้กันทีว่า อาจารย์ของท่านยังมีความรู้สึกชนิดนั้นอยู่อีกหรือไม่

เด็กสาวก็พร้อมเสมอที่จะทำตามคำสั่งของข้าหลวง

เมื่ออาจารย์องค์นั้นเข้าไปสรงน้ำ เปลือยกายทั้งคู่
เด็กสาวก็มาปรนนิบัติ หลวงพ่อก็ไปปรนนิบัติ
คืออาบน้ำเช็ดถูขี้ไคลไปเรื่อย

ครั้นอาบน้ำเสร็จ หลวงพ่อก็เอ่ยขึ้นว่า

ขอบใจนะแม่หนู ที่ทำความรำคาญให้หลวงพ่อไม่น้อยเลย

แล้วท่านก็ออกมา เมื่อท่านข้าหลวงสอบถามเด็กสาว

เด็กสาวก็เล่าให้ฟังด้วยความฉุนเฉียวในความไม่ใยดีต่อเรื่องเช่นนั้น
ท่านข้าหลวงถึงกับกราบแทบเท้าของหลวงพ่อองค์นั้นด้วยความคารวะ
เพราะว่าผู้ที่เป็นบรรพชิตไม่ใยดีในกามนั้น
กลับเข้าไปสู่ผลหรือเป้าหมาย

รูปภาพ

คือปีติ เมื่อเกิดปีติ กามราคะก็ระงับไป เหือดแห้งไป
เพราะฉะนั้นเมื่อไปทำอะไรเข้า
ชนิดไม่เกิดปีติในกิจกรรมใดๆ
แม้จะไม่เกี่ยวกับกิจกรรมระหว่างเพศ
มันก็ต้องเก็บกดชนิดที่จะผลักดันเป็นอารมณ์ร้าย

หญิงโสเภณีผู้น่าสงสาร มักจะเป็นเหตุเกิดเรื่องราวอาชญากรรม
อย่ามองหญิงโสเภณีในแง่ของคนที่สำส่อนไปทั้งหมด
หรือมองในแง่เป้นคนที่น่าดูแคลนเหยียบหยาม

ขอจงเห็นใจเธอเหล่านั้นผู้จองจำต้องแสวงหาผิดๆ
เพราะความจำเป็นก็เป็นไปได้
ถ้าได้เงินพอดำรงชีวิตได้
ใครบ้างเล่าที่จะไปทนทำสิ่งที่ปราศจากปีติเช่นนั้น ปีติซึ่งกันและกัน

รูปภาพ

ผู้ใดที่ได้รับกามารมณ์ที่ประณีต
จะต้องมีบรรยากาศแห่งชีวิตคู่นั้น ศักดิ์สิทธิ์
หมายความว่า ให้เกิดบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์
คารวะซึ่งกันและกัน ไม่หยาบโลน


พราหมณ์ในสมัยโบราณนั้น
แม้จะมีภรรยา แต่ก็มิใช่มีเพียงเพื่อแสวงหาเพศรส


พราหมณ์จะสั่งภรรยาเหล่านั้นว่า
เมื่อใดเจ้ามีรอบเดือน ครบกำหนดที่พึ่งมีบุตรได้ จงมาบอกเรา
เพราะว่าก่อนหน้านั้น
พราหมณ์จะชักประคำเพ่งภาวนาถึงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
ไม่ใส่ใจเรื่องเพศรส

พราหมณ์นั้นประกอบกามกิจเพียงเพื่อจะให้มีทายาทสืบสกุล
เมื่อมีทายาท ก่อเกิดปีติที่มีลูก
ความปรารถนาของมนุษย์นี้นอกเหนือจากเพศรสแล้ว
ยังต้องการทายาททางธรรม
ผู้จะมาดำรงวงศ์ตระกูลหรือวิชาความรู้ด้วยการคุมกำเนิดอะไรเหล่านี้
อาจจะย้อนวิกฤตการณ์ทางจิตใจให้แก่มนุษย์ได้

แต่หากเราย้อนไปคุมกำหนัดโดยหลักธรรม
แล้วมันจะคุมกำเนิดให้เอง
โดยไม่ต้องเกรงวิกฤตที่จะพึงเกิดจากการกำเนิดทางกาย


เครื่องมือที่คุมกำหนัดนั้นคือ
การปฏิบัติธรรมเจริญภาวนา ไม่ต้องไปคุมกำเนิด
แล้วก็ไม่ผิดปกตินั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าบรรยากาศ
ที่จะทำให้เกิดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นในชีวิตคู่


หมายความว่าต้องไม่ให้เรื่องเพศเป็นไปอย่างพร่ำเพรื่อหรือหยาบโลน
ต้องสร้างบรรยากาศแห่งชีวิตคู่ด้วยความคารวะซึ่งกันและกัน
ให้ศักดิ์สิทธิ์ปีหนึ่งว่า

สามีนั้นคือพระอิศวร ภรรยาเหมือนอุมาเทวี

กามารมณ์ระหว่างเพศคู่จึงเป็นไปในความคารวะ
ทั้งเป็นการบวงสรวงบูชาพระเจ้าไปตามความเชื่อของศาสนิกนั้นๆ


รูปภาพ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2009, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2008, 01:41
โพสต์: 128


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากเลยนะคะคุณกุหลาบสีชา สำหรับบทความดีๆคะ :b20:
ขออนุญาตนำไปลงเพื่อเป็นธรรมทานที่เวปธรรมะอื่นด้วยนะคะ อนุโมทนานะคะ สาธุคะ :b18:

.....................................................
มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2009, 01:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ยินดีอย่างยิ่งค่ะ :b1:

คุณ chill สามารถนำไปเป็นธรรมทานในเวปธรรมะอื่นๆได้
ตั้งแต่วันที่ ๑๔ กุมภา นี้ เป็นต้นไปค่ะ


เนื่องจากบทความนี้
จะได้รับการโพสต์ขึ้นบอร์ดธรรมจักรอย่างสมบูรณ์ภายในวันดังกล่าวค่ะ

อานิสงส์ผลบุญใดทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการเผยแพร่บทความนี้
ขอน้อมมอบให้แด่ "ท่านเขมานันทะ" ด้วยจิตคารวะยิ่ง :b8: :b20:

ขออนุโมทนาและขอขอบคุณที่นำไปเผยแพร่ต่อด้วยเช่นกันค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2009, 01:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

บรรพบุรุษของไทยมีสิ่งนี้อยู่
จึงวางจารีตประเพณีไว้อย่างลึกซึ้ง
และเรียกมันว่า ประเวณี


ด้วยเหตุนี้ หมายความว่าก่อนที่จะมีกามกิจนั้น
จะต้องทำตามพิธีกรรมหรือประเพณีทางศาสนา
เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น
ไม่ให้โน้มไปสู่ความมัวเมา
และใช่ว่าสามีจะพึงทำอย่างไรกับภรรยาตัวก็ได้
อย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านไม่เห็นด้วย

พระพุทธเจ้าท่านจำแนกสามีภรรยาไว้หลายแบบ อย่างน้อย แบบ

คือ ภรรยาชนิดเป็นผู้ฆ่า, ภรรยาแบบโจร,
ภรรยาแบบดุจพี่สาวหรือน้องสาว, ภรรยาดุจแม่,
ภรรยาเพื่อนหรือสหาย, ภรรยาทาส, ภรรยาเจ้านาย


แต่แบบที่พระพุทธองค์ท่านชี้ไว้และน่าสนใจก็คือ

ภรรยาสามีที่เป็นสหายซึ่งกันและกัน
คือ ผู้ร่วมทาง เพื่อให้ถึงซึ่งจุดหมายปลายทางอันชื่อว่า ปรมัตถ์ธรรม
หรือบรมธรรมของตัวทั้งคู่ นั้นก็คือความรักที่แท้จริง
จะทำให้ทั้งคู่ ทั้งสามีภรรยาบรรลุถึงซึ่งความรักอันยั่งยืน
มีเมตตากรุณาต่อกันตราบสิ้นลมหายใจ
อีกทั้งแผ่ขยายความสุขสงบไปสู่สังคมและโลกในที่สุด


รูปภาพ

คงเคยได้ยินได้ฟังมาว่า

เมตตากรุณา เป็นธรรมค้ำจุนโลก
โลกที่ ปราศจากเมตตาธรรมนั้นย่อมวินาศ


สำหรับชาวพุทธนั้นต้องน้อมนำความรู้สึกนึกคิด
ไปในทางเมตตากันและกันเสมอ


กิจกรรมทางเพศที่ต่างมุ่งหวังตักตวงรสอร่อยจากกันและกัน
มันจะจบลงบนความเศร้าโศก
เพราะสิ่งนั้นมันเป็นงูพิษมันดูเหมือนดอกไม้ที่วางอยู่บนรังงูเห่า

เมื่อคนมุ่งเข้าไปตะครุบรสอร่อยของกาม
ก็ลืมดูเจ้างูซึ่งกำลังแผ่พังพานอยู่แล้ว
มันก็ฉกเอาโดยไม่ทันรู้ตัว นี่คือโทษอันต่ำทรามของกาม
ก็แหละเมื่อกามมันจืดชืดเข้าอีก

ชายหรือหญิงก็จะเริ่มส่ายหน้าสิ่งใหม่เพื่อบำบัดความกระวนกระวาย
ชายที่มีชู้หรือหญิงที่มีการกระทำผิดประเวณีจึงเกิดขึ้น

อย่าโทษว่าชายนั้นโลเล
หรือหญิงนั้นมักมากสำส่อนเลย

ขอได้โปรดเห็นใจความอ่อนแอและความย่อหย่อนต่อคุณธรรม
ความปราศจากความรู้ในการระงับความกระวนกระวาย
ไหนเลยจะทรมานไหว

ผู้ที่รู้จริงต่อความทุกข์นั้นย่อมมีเมตตา
อีกทั้งเข้าใจไม่ปรักปรำเหยียบย่ำซ้ำเติม


รูปภาพ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2009, 01:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ความรักจะต้องหมายถึงความเห็นใจสงสาร
เมตตาและรู้เงื่อนปัญหาของกันและกัน
ต่างว่าสามีภรรยาคนใดคนหนึ่งมีคุณธรรมสูง
เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นไปแล้ว
ท่านก็ยังอาจเกื้อกูลภรรยาหรือสามีทั้งนี้ด้วยอำนาจของความกรุณา


ข้อนี้ไม่ใช่ว่าเอาเอง เรื่องราวในพระไตรปิฎกมีอยู่เกลือนไป

เช่น นางวิสาขา เป็นต้น
ซึ่งสามีเป็นปุถุชนแต่นางเองเป็นพระโสดาบัน
เป็นอริยบุคคลยังต้องทำหน้าที่ของภรรยาด้วยอำนาจของเมตตาต่อสามี
ความเมตตาที่แท้จริงนั้น เกิดจากความเข้าอกเข้าใจนั่นเอง
และความเข้าใจ หมายความว่า ต้องเข้าใจว่าเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำ

ต่างว่าเราเห็นหญิง คนหนึ่งแต่งตัวอุจาดยั่วยวน น่าเกลียด

ความรู้สึกจะเกิดขึ้น ๒ ประการสำหรับคนทั่วไป
จิตหนึ่งก็แล่นปราดไปทางเกิดกามราคะ
เมื่อเห็นหญิงหรือชายไปเปลือยหรือแต่งสั้น
ที่มุ่งอวดเนื้อหนังหรือไม่ก็อาจจะเกิดไปทางเกลียด ขยะแขยง
อันผู้นั้นไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักละอายสิ่งที่ควรละอาย
สองประเด็นนี้เนื่องมาจากไม่เข้าใจ

ถ้าสมมติว่าเราเกิดไปรู้เบื้องหลังที่มา
แห่งการถูกล่อลวงให้กระทำตามแฟชั่นนิยมนั้น
ผู้นั้นน่าสงสาร ถูกล่อให้แต่งตัวหรือเปลือยร่างยั่วยวน

เมื่อระลึกได้มันจะเกิดความเวทนาสงสาร
และความที่จะเกิดโกรธหรือเกลียดหรือเกิดราคะ ก็ระงับลง
เมื่อเข้าใจก็จะเห็นใจเมื่อเห็นใจก็จะหายเคือง
เมื่อหายเคืองแล้วกรุณาก็จะเกิด

ชีวิตคู่ จำเป็นจะต้องมี ๒ บรรยากาศนั้นก็คือ
ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์และเมตตา


รูปภาพ

ข้อนี้ใช่ว่าจะพึงเป็นเฉพาะคู่รักอย่างโลกย์ๆ เท่านั้น
แม้การประพฤติธรรมชั้นสูงเป็น ปรมัตถ์ ก็ต้องมี ๒ สิ่งนี้เหมือนกัน
เพื่อรักษาบรรยากาศของชีวิตให้ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์อยู่เรื่อยไป
ด้วยการพยายามทำความเข้าใจสิ่งทั้งปวง
มองธรรมชาติทั้งภายนอกและภายในอย่างเข้าใจ
มีเมตตากรุณาต่อชีวิตทั้งหมด เผื่อแผ่ถึง ต้นไม้ สรรพสัตว์
ไม่หลงใหลด้วยอำนาจราคะ ที่จะได้จะมีจะเป็น


การเรียกร้องต้องการจากธรรมชาติจางไปราคะเหือดแห้งไป
ความเมตตาปราณีเจือจานปรากฎขึ้นเอง

แม้รดน้ำต้นไม้ก็กระทำด้วยอำนาจของความเมตตาล้วนๆ
หรือให้อาหารแมวด้วยความเมตตา
ไม่ได้ให้ด้วยอำนาจของราคะที่จะให้แมวมาเคล้าเคลีย

หรือให้ของผู้อื่น ก็เพียงเพื่อให้สายตาของผู้รับเหล่านั้น
มองเราอย่างซื่อเหมือนบ่าวมองนาย
และจะได้ทวงบุณคุณคืนในวันหลัง
อย่างนั้นเป็นเมตตาด้วยอำนาจของราคะ
เมตตาหวังประโยชน์ตอบแทน

เมตตายังเป็นฐานมั่นคงของสุนทรียภาพ
นั่นคือการเห็นความงามของชีวิต


เมื่อเห็นความงามของชีวิต จะเริ่มเข้าใจความรัก
ความงามของชีวิตไม่ใช่ความงามของธรรมชาติชั้นผิวเปลือก

เช่นว่า ดอกกุหลาบสวยๆ และน่าดู
เมื่อนำมาปักอยู่ในแจกกันความงาม
ไม่ได้หมายเพียงกลบทถ้อยคำที่กวีเพ้อฝันพรรณนาไว้ด้วยวรรณศิลป์

ความงามไม่ได้หมายถึง
ท่วงท่านกกำลังกางปีกถลาบินหรือหมอกยามเช้า
หรือน้ำค้างที่กำลังหยด

สิ่งนั้นจะมีความงามได้ก็ต่อเมื่อใจบริสุทธิ์
ถ้าใจนี้ไม่บริสุทธิ์ ว้าวุ่นด้วยกิเลส สิ่งนั้น หางามไม่


รูปภาพ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2009, 01:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ความงามอย่างลึกซึ้งนั้นจะเปิดเผยสาระผ่านความจริง
และบางกรณี ในความเสมือนน่าชังของความจริง
ความงามก็ปรากฏแจ้งได้


พระพุทธองค์จึงตรัสว่า

สุภาธาตุเกิดจากอสุภาธาตุ

ท่านนึงจะได้ยินเรื่องการเพ่งซากศพ
ฟังแล้วน่าเกลียดน่าขยะแขยง

แต่ผลของการเพ่งอสุภะนั้น
คือการสัมผัสความจริงของชีวิตที่ลึกกว่า
ต่างว่าท่านเป็นสถาปนิก หรือศิลปิน ชอบงาม
ชอบแต่งตัวดี ชอบความสะอาด ชอบกลิ่นหอม
นั้นก็คือ ท่านรังเกียจสิ่งสกปรก

ถ้าไปที่ไหนที่มีกลิ่นไม่ดีก็อุดจมูก
แล้วชีวิตจะเริ่มแคบเข้า แคบเข้า แคบเข้า
เพราะได้ปิดวงล้อมตัวเองด้วยสุภาธาตุ
คือธาตุงามอันเป็นมุสา

แต่ผู้ที่พบหรือ เพ่งในด้านอสุภะ คือความไม่งาม
จิตเริ่มเป็น อิสระ


เห็นความงามในความจริงของธรรมชาติ
เห็นความงามของชีวิตที่มีทั้งทุกข์และสุข
เห็นความงามของชีวิต ที่มันทั้งเจ็บปวด และทั้งปลาบปลื้ม


และความรู้เรื่องในพระอริยสัจนี้
จะเป็นธรณีประตูของความรักอย่างอิสระและเป็นอริยะ


คราวนี้มาถึงสิ่งที่เรียกว่า รัก รักนั้นเป็นฉันใด
ที่ว่ารักแท้จริงๆนั้น มันคืออย่างไรกันแน่


รูปภาพ

รักจริงนั้นจะหมายถึง การลดตัวตนลงอย่างไรแน่
เมื่อรักก็อย่าเอาแต่รักเอาแต่หลงรักลูก
รักเพื่อน หรือรักหญิง รักชาย

จำเป็นต้องฝึกสมาธิ หรือเพ่งพินิจ
หรือต้องทำกัมมัฏฐาน เพื่อให้เกิดวิปัสสนา
หรือความเข้าใจอย่างลึกกล่าวได้ว่า

เมื่อรักก็จำต้องใฝ่ปัญญาในอริยสัจ
และยังจิตให้แน่วแน่ไม่โลเล
เพราะคนอ่อนแอนั้นรักใครไม่เป็น
คนที่จิตใจโลเลนั้นใครจะรักลง
และจะรักใครลงอย่างมากก็รักแบบฉาบฉวย


ขึ้นรถเมล์ทีก็รักคนหนึ่ง ลงรถเมล์ก็รักอีกคนหนึ่ง
นี่คือความวุ่นวายซัดส่ายของจิต

และคนชนิดนั้นก็คือคนที่จิตขาดสมาธิแล้วจะรักใครไม่ได้
แม้แต่จะรักลูกของตนเองก็ไม่ได้
เพราะหงุดหงิดจิตขาดสมาธิ
ลูกจะกลายเป็นเสี้ยนหนามในชีวิต
ไม่ต้องเอ่ยถึงรักเพื่อนมนุษย์

รูปภาพ

(มีต่อ)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร