วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2015, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร
วัดถ้ำผาปล่อง
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่


:b46: รวมคำสอน “หลวงปู่สิม พุทธาจาโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=42673


อันว่าพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ไม่ใช่ของจะได้มาง่ายๆ
การบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ
อย่างว่าแผ่นดินที่เรามาเกิดอยู่นี้ ให้ชื่อว่า "ภัทรกัป"
ตั้งแต่ตั้งแผ่นดินนี้มามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มาตรัสรู้ในโลก ๔ พระองค์กับพระพุทธเจ้าของเรา พระเจ้าโคดมนี้
ยังเหลืออยู่อีกองค์หนึ่ง พระศรีอาริยเมตไตโยโพธิสัตว์
องค์นั้นมาตรัสก็เป็นอันว่าหมด
หมดสิ้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มาตรัสในแผ่นดินนี้


เมื่อแผ่นดินนี้แตกสลายไปด้วยไฟบ้างด้วยลมบ้าง
จึงจะตั้งแผ่นดินขึ้นมาใหม่ การตั้งแผ่นดินขึ้นมาใหม่นั้น
จะมีพระพุทธเจ้าก็ได้ ไม่มีก็ได้ สุดแท้แต่ว่าผู้บำเพ็ญแก่กล้า
สามารถมาตรัสได้ก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสในแผ่นดินต่อไป

ในแผ่นดินนี้เราได้เกิดมาในศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดม
พระองค์บำเพ็ญมา ๔ อสงไขย แสนมหากัป
คำว่า"๔ อสงไขย แสนมหากัป" นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

พระพุทธเจ้าของเราปรารถนามา บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนามา
บารมีแก่กล้าขนาดถ้าจะเอาเป็นพระอรหันต์ เข้าสู่พระนิพพาน
ก็บารมีพอได้เป็นพระอรหันต์จะเห็นได้ว่าในคราวที่พระพุทธเจ้าทีปังกร
คือ ในแผ่นดินอื่นข้างหลังโน้นนาน พระพุทธเจ้าของเรานี้เป็นดาบส

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2015, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็น "สุเมธดาบส" ได้มาฟังธรรมพระพุทธเจ้าทีปังกร
ได้ทำบุญสุนทาน มีบริวาร ๕๐๐ ส่วนบริวารของพระองค์ ดาบสทั้ง ๕๐๐ นั้น
พอฟังธรรมพระพุทธเจ้าทีปังกรจบลงไปก็ได้เป็นพระอรหันต์ดับขันธ์เข้าสู่นฤพาน
ตามเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรไปแล้ว ส่วนสุเมธดาบส..พระพุทธเจ้าของเรา
ทั้งท่านบารมีแก่พอจะไปนิพพานได้แล้วแต่พระองค์ท่านก็ไม่ไป
จะบำเพ็ญจนให้ได้เป็น "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" พระองค์หนึ่ง

เหมือนพระพุทธเจ้าทีปังกรนั้น ตกลงก็ไม่ได้สำเร็จอะไร

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรท่านเล็งญาณ
ดูแล้วว่าสุเมธดาบสยังคา "โพธิญาณ" อยู่ ไปไม่ได้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรก็เล็งญาณอดีต อนาคต ปัจจุบัน..ทั่วถึงแล้ว
ก็ตรัสบอกแก่สุเมธดาบส..พระพุทธเจ้าของเรากำลังบำเพ็ญอยู่ว่า

สุเมธดาบส..ที่เธอมีความปรารถนา
จะให้ได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น..เป็นไปได้..
นับตั้งแต่บัดนี้ไป ๔ อสงไขย แสนมหากัป


๔ อสงไขยแสนมหากัปนี้..มานับหลังจากได้รับ
คำพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร

ไม่ใช่นับมาแต่สุเมธดาบสบำเพ็ญเองนั้น ไม่ได้นับโน้น
นับเอาเวลานี้ เวลา "ลัทธพยากรณ์" ๔ อสงไขยก็จะได้มาตรัสรู้
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีนามมีโคตรทุกสิ่งทุกอย่าง

สุเมธดาบสพระพุทธเจ้าก็ดีอกดีใจ ถ้ามีปีกเหมือนนกก็จะบินน่ะ..บ่ท้อบ่ถอย
ไม่ง่วงเหงาหาวนอนเหมือนพวกเราทั้งหลาย เพราะได้ลัทธพยากรณ์
การที่จะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ลำพังผู้โพธิสัตว์
จะบำเพ็ญมานานก็ตามถ้ายังไม่ได้ "ลัทธพยากรณ์" ก็ยังเป็นไปไม่ได้

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2015, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


จะเห็นได้ว่า ที่ใกล้ที่สุดก็คือ "หลวงปู่มั่น" ของเรา
"อาจารย์มั่น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่สมัยนี้
เมื่อพระพุทธเจ้าของเราพระเจ้าโคดมนี้นะมาตรัสรู้ในโลก คือในอินเดีย
หลวงปู่มั่นเรานี้ก็เป็นคนชั้นกลางอยู่เมืองกุรุราช* เป็นญาติเป็นโยมอยู่
ได้เห็นได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า..เกิดศรัทธา อยากบำเพ็ญ
เพื่อให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาล..ว่าอย่างนั้น

คือเมืองกุรุราชนี้พระพุทธเจ้าของเราไปตรัส
ไปแสดง "มหาสติปัฏฐานสูตร"
สูตรยาวๆท่านพิมพ์ไว้สมัยนี้ผู้ไม่มีความเพียรก็ท่องไม่จบล่ะ


*กุรุชนบท ปัจจุบันอยู่ในกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของประเทศอินเดีย


หลวงปู่มั่นก็ตั้งใจตั้งแต่วาระนั้นมา
จะเอาให้ได้ เป็น "พระพุทธเจ้า" ให้ได้

มีอะไรมาก็ทำบุญทำทานเก็บทำพร้อมเพรียงกันทั้งลูกทั้งเมีย
เวลานั้นยังไม่ได้เป็นนักบวช ตั้งใจเพื่อจะให้ได้เป็น "พระพุทธเจ้า"
เพราะว่าได้เห็น "รัศมี ๖ ประการ" ของพระพุทธเจ้าสวยงาม
และรูปร่างท่าทางพระพุทธเจ้าก็เรียกว่า มี "ปุริสสลักษณะ"
ลักษณะเล็ก ๘๐ ลักษณะใหญ่เรียกว่า ๓๒
ก็เกิดความอยากเกิดตัณหาจะเอาให้ได้
ตั้งใจบำเพ็ญภายใน ๒,๔๐๐ กว่าปี จนมาเกิดถึงอุบลราชธานี

มาบวช มาเรียน มาภาวนาจนอินทรีย์บารมีแก่กล้าจึงมาระลึกได้ว่า
เออ..การที่จะเป็น "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" นั้นกินเวลานาน
ก็เลยเลิกล้มการที่จะเอาให้เป็นพระพุทธเจ้า ขอภาวนาไปถึงนิพพานก็เอาแล้ว
ก็เลยหยุดที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นี่แหละ..ถ้าหากว่ามีแต่ตัวคนเดียวมันล้มละลายกันได้
แต่ถ้าได้ "ลัทธพยากรณ์" จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
เลิกล้มไม่ได้ ตายเป็นตายต้องสู้ ถ้าปรารถนาคนเดียวแล้วล้มละลายได้


อันนั้นให้เราทุกคนเห็นว่า
กว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาตรัสรู้ในโลก
ยังมีพระธรรมคำสอนไว้ถึงห้าพันปี พวกเราทั้งหลายก็ยังเกิดมาทันอยู่
อันนี้ชื่อว่าเป็นบุญเป็นกุศลอันสำคัญยิ่งอันหนึ่งที่เราไม่ควรประมาท
ถ้าเราประมาทมัวเมา ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัยคำสอนพระพุทธเจ้า
อาจจะไปข้างหน้าไม่มีที่สิ้นสุดก็เป็นได้ แต่ถ้าเราไม่ประมาท
ตั้งใจบำเพ็ญทาน รักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐, ๒๒๗
เจริญภาวนาไม่ท้อถอย เอาชีวิตเป็นแดนสุดท้าย
ถ้าบุญบารมีเก่าเราบำเพ็ญมามากพอ บารมีใหม่บำเพ็ญเพิ่มเติมเข้า
ก็อาจจะไปถึงซึ่งนิพพานตามเสด็จพระพุทธเจ้าก็ได้

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2015, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


ฉะนั้นอย่ามาทำใจให้ท้อแท้อ่อนแอ จงพากันตื่นขึ้นลุกขึ้น
บำเพ็ญภาวนาให้เต็มที่ โดยเฉพาะคือว่าพรรษานี้
เป็นพรรษาที่เราท่านทั้งหลายได้มาอยู่อาศัยในถ้ำผาปล่อง
ชั่วระยะนี้ก็ให้ตั้งอกตั้งใจ เจริญภาวนา ไม่เฉพาะแต่เวลานี้
แม้เราอยู่ที่ไหนไปที่ไหนก็ให้ตั้งต้นทำเรื่อยไป

เพราะบุญกุศลที่เราทำ ไม่ทอดธุระ ไม่ละทิ้ง..อันนั้นแหละ
เป็นนิสัย เป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไป แปลว่าไม่ทิ้ง "ทาน ศีล ภาวนา"
รวมจิตรวมใจให้มีกำลังแก่กล้าสามารถขึ้นไปโดยลำดับๆ

การปฏิบัติบูชาภาวนาในทางพุทธศาสนานั้น
เราจะคิดพึ่งผู้อื่นนั้นไม่ค่อยจะได้มากมายนัก
ให้คิดพึ่งตัวเราเอง เราเองต้องทำบุญให้ทาน
เราเองต้องรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ให้บริสุทธิ์
เมื่อเราบวชเป็นเณรก็ศีลเณรให้บริสุทธิ์
เมื่อบวชเป็นผ้าขาวนางชีพราหมณีก็รักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์
ไม่ได้บวชก็ตาม รักษาศีล ๕ แม้เรามีศีล ๕ อยู่ในกาย วาจา จิตของเรา
ก็มีทางที่จะเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ภัยในโลก ในวัฏสงสารได้
ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ ใจที่เราตั้งในขณะนี้ย่อมเป็นนิสัยปัจจัย
แม้เราจะตายจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม


การเกิดการตายเป็นธรรมดาของสังขาร บุญบารมีที่เราบำเพ็ญมา
บำเพ็ญอยู่ จะบำเพ็ญต่อไป...อันนี้สำคัญกว่าชีวิต
ชีวิตนั้นเอาแน่นอนไม่ได้ มันจะแตกดับทำลายตายเมื่อใดเวลาใดเราก็ห้ามไม่ได้
แต่ทาน ศีล ภาวนา ในจิตใจของเรานั้นเราต้องทำเอง ปฏิบัติเอง

บำเพ็ญให้ได้ให้ถึงตามสติกำลัง ความพากเพียรพยายาม
ความอดความทนของเราอีกทีหนึ่ง เปรียบอุปมาเหมือนอย่างว่า
คนเราที่เกิดมาในโลกนี้เมื่อเราเกิดมาเป็นเด็กเป็นคนหนุ่ม
"วิชาว่ายน้ำ" เราจะไม่หัดไม่ได้ เวลาตกน้ำเราก็ตายเพราะไม่ได้หัดวิชาว่ายน้ำ
วิชาว่ายน้ำนี้แหละเป็นเหมือนกับว่า "บุญบารมี"
ที่เราบำเพ็ญในทาน ในศีล ในภาวนา มารวมอยู่ที่ตัวบุคคลผู้นั้น
บุคคลผู้นั้นได้ฝึกหัดฝึกซ้อมวิธีว่ายน้ำ เวลาไปเรือไปแพหรือมีอะไรเกิดขึ้น
เกิดเรือล่ม แพจม บุคคลผู้นั้นจะไม่ตาย เพราะเรือล่มแพจม
เพราะเขาฝึกวิชาว่ายน้ำไว้ คนนั้นจะลอยน้ำได้ ไม่ตาย ฝั่งที่ไหนเขาลอยข้ามไปได้
เปรียบเหมือนเรามีทาน มีศีล มีภาวนา อยู่ที่กาย วาจา จิตของเราอยู่ทุกลมหายใจ

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2015, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ย่อท้อในการจะบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ให้ก้าวหน้า
เหมือนบุคคลที่ว่ายน้ำเก่ง เรือล่ม แพจมเมื่อใดก็ลอยน้ำได้
ปลอดภัยอันตรายไม่ต้องไปร้องขอให้คนอื่นช่วย ตัวเองช่วยตัวเอง
มือทั้งสอง แขนทั้งสอง ขาทั้งสอง ตัวเรามีใจครองว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรสาครได้

คือ ความตั้งใจมั่นในการตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา ไม่ให้จิตใจท้อถอย
แม้จะยังไม่ได้ไม่ถึงก็เพียรพยายาม คนเราทุกคนต้องอาศัยความเพียร
ความหมั่น ความขยันฝึกฝนอบรมจิตใจของตนให้สงบระงับตั้งมั่นลงไปได้

ที่ท่านให้นั่งขัดสมาธิเพชรบ้าง นั่งบริกรรมภาวนาบ้าง นึกพุทโธบ้าง
นึกถึงมรณภัยคือความตายบ้าง ในสมถกรรมฐาน ๔๐ ประการข้อใดข้อหนึ่ง
หรือทั้งหมดทั้งมวลก็ได้ เอามานึกมาเจริญไว้ในจิตในใจ
ไม่ให้จิตใจเราตกต่ำต้อยด้อยปัญญา ให้มีสติให้มาก มีสมาธิตั้งมั่น ให้มั่นคง
จึงมีปัญญาญาณ เลิกละกิเลสความโกรธ โลภ หลง ในตัวในใจออกไปให้ได้

ผู้นั้นก็เหมือนกับว่าว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร คำว่า มหาสมุทรทะเล
หมายถึงว่า คนเราเกิดมามันตกอยู่ในมหาสมุทร คือว่า "ความสมมติ"
เกิดในตระกูลพ่อใดแม่ใดเขาก็สมมติว่า เป็นลูกเป็นหลานของตระกูลนั้น
ของคนบ้านนั้น ของตำบลนั้น ของอำเภอนั้น ของจังหวัดนั้น ของประเทศนั้น
ของศาสนานั้นๆ ที่เขานับถือมา ล้วนแล้วแต่ มหาสมุทร คือว่า สมมตินิยม
แต่งตั้ง ผูกมัดรัดรึงให้จิตใจของเราข้องอยู่เป็นอยู่

เราจะต้องแก้ไขสมมติต่างๆ ฝึกหัดทั้งมือทั้งเท้าทั้งกายวาจาจิต
..ว่ายออกจากมหาสมุทรสาคร ไม่ให้จิตมาติดมาข้องมายินดี
พอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฐฐัพพะธัมมารมณ์
ในมนุษโลก เทวโลก ในพรหมโลก ในเปตาโลก ในยมโลก
ในสิ่งเหล่านี้ไม่ให้มันมาเกี่ยวเกาะกังวล จิตใจเราให้มีความกล้าหาญ
สามารถอาจหาญเด็ดเดี่ยว เลิกละกิเลสความโกรธในใจให้เบาบางหมดสิ้นไป
เลิกละกิเลสความโลภความอยากได้ในใจของเราให้เบาบางหมดสิ้นไป
เลิกละความหลงอวิชชาตัณหากิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด
ให้หมดให้สิ้นไปในหัวใจของเราทุกคน


เมื่อเราทุกคนตั้งจิตเจตนาอย่างนี้ในหัวใจเต็มที่แล้ว
ก็ได้ชื่อว่าไม่เป็นของยากไม่เป็นของเหลือวิสัย
อยู่ในวิสัยทุกคนจะต้องทำได้ปฏิบัติได้ ไม่ยาก ความยุ่งยากย่อมหายไป
เมื่อเราภาวนาตั้งใจมั่น ไม่หวั่นไหวไปตามกิเลสกาม วัตถุกาม
ไม่ปล่อยให้อำนาจฝ่ายต่ำมาทับถมจิตใจ จิตใจสูง สูงส่ง คือว่า สูงขึ้น
ไม่ยอมคิดไปตามอำนาจกิเลสราคะ โทสะ โมหะ
นั่นแหล่ะเรียกว่า จิตใจสูง จิตใจไม่หลงใหลอยู่ข้องอยู่ในยศ
ในลาภ ในหน้าในตา ในชื่อในเสียง ในสมมตินิยมต่างๆ

ไม่ให้มาลุ่มหลงมัวเมาในการกินการนอนสนุกเฮฮาภาษามนุษย์
เอาจิตใจของเราให้รู้แจ้งเห็นจริงว่า ชีวิตของเราที่เกิดมาแล้ว
"มรณภัย" คือ ความตายนั้น มันใกล้เข้ามา ขยับเข้ามาหาตัวเราอยู่ทุกเวลา
มรณํ เม ภวิสฺสติ ความตายใกล้เข้ามา เราจะมานิ่งนอนใจเฉยอยู่ไม่ได้
เราจะต้องลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้กิเลสมาร สังขารมารเหล่านี้

ไม่ให้มาทับถมจิตใจของเรา ใจของเราให้ขาวสะอาดเหมือนผ้าใหม่ผ้าขาว
ธรรมดาผ้าขาวผ้าใหม่ ใครเห็นก็สะอาดตา ไม่เปื้อนเปรอะเลอะเทอะ
ได้แก่ จิตใจของเราขาวสะอาด มุ่งต่อพระนิพพาน

นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุข
นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ นิพพานเลิกละกิเลสจนสูญสิ้นไป
จนมีความสุขในจิตในใจ นิพพานไม่ใช่สุขกาย นิพพานเป็นสุขใจ
ใจมีความสุข ใจไม่ทุกข์ เรียกว่าเป็น "ใจนิพพาน"
ร่างกายสังขารนี้มีชรา-ความแก่ มีพยาธิ-ความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา
ผลที่สุด..แก่ก็ตาย ไม่แก่ก็ตาย เมื่อถึงเวลาแตกดับตายมันก็ตายไป
"จิตใจ" ไม่ได้ตายไปตามรูปร่างกาย เหตุนั้นใจไม่ตาย ใจให้ภาวนา
ใจไม่แก่ ใจให้ภาวนา ใจไม่เจ็บอย่าไปเจ็บตามรูปร่างกาย
ให้ใจนั้นน่ะตั้งมั่นอยู่ในจิตในใจอยู่ภายในตัว ให้สูงกว่าร่างกายสังขาร

ร่างกายสังขารเจ็บไข้ได้ป่วยก็ให้เห็นว่า ร่างกายเขาไม่สบายต่างหากจิตเราเป็นผู้สบาย
ภาวนาอยู่ในหัวใจทุกลมหายใจเข้าออก ตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม
ในทางพระพุทธศาสนานี้ให้เต็มที่เต็มทางในใจของเราทุกคน

ตัวเองต้องพึ่งตัวเอง เรียกว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน
โกหิ นาโถ ปโร สิยา บุคคลจะมาเป็นที่พึ่งของเราจริงจังไม่ได้

เราต้องทำเราต้องปฏิบัติ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ,๒๒๗ เราต้องรักษา
การเจริญภาวนา เราต้องทำประกอบทุกวันทุกคืน เผลอเมื่อใดไม่ได้
เราต้องตั้งใจขึ้นมาใหม่ เอาจนไม่พลั้งไม่เผลอ ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน
จิตใจตั้งมั่นในธรรมะปฏิบัติ

เมื่อจิตใจดวงนี้มีศรัทธาแก่กล้าสามารถเต็มที่แล้ว อะไรๆต้องรวมมาสู่จิตใจของเราทุกคนนั้นเอง
อย่าได้มีความท้อแท้อ่อนแอ มรรคผลนิพพานไม่ใช่อยู่ท้องฟ้า ป่าหิมพานต์อื่น
หากมีอยู่ที่กาย ที่วาจา ที่จิตที่ใจ ที่หนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ ที่ลมหายใจเข้าออกอยู่นี้เอง

มีอยู่ที่นี้ เรามาสังวรระวังรักษาภาวนาอยู่ตรงนี้ ให้จิตใจตรงนี้มีความอดความทนความพากความเพียร
ให้มีความเพียรพยายาม ไม่ให้จิตใจละทิ้งการปฏิบัติบูชา บำเพ็ญอยู่ตลอดเวลา
ตราบใดที่ยังมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในโลก เราก็จะบำเพ็ญบารมีของเราต่อไป
จนข้ามพ้นได้เหมือนพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลาย ข้ามทุกข์ข้ามพ้นไปแล้ว
ท่านทำปฏิบัติทั้งภาวนาละกิเลส ท่านไม่ยึดหน้าถือตา ไม่ยึดตัวถือตน ไม่ยึดเรายึดของของเรา
ท่านมีความตั้งใจมั่นไม่หวั่นไหวจึงได้บรรลุคุณธรรมอันพิเศษ ละกิเลสให้สิ้นไปในสมัยครั้งพุทธกาล

แม้สมัยนี้ถ้าเราตั้งใจแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะมาเป็นอุปสรรค นี่ใจเราไม่มีอุปสรรค
สิ่งต่างๆจะมาเป็นอุปสรรคไม่ได้ จึงให้พากันตั้งอกตั้งใจ ปฏิบัติบูชาภาวนา
จิตใจอย่าได้ง่วงเหงาหาวนอน มีความแช่มชื่นในธรรมะปฏิบัติ
เมื่อใจของเราไม่ง่วงเหงาหาวนอน มีธรรมปีติ ปีติยินดีในธรรมะปฏิบัติ
ย่อมมีความแกล้วกล้าสามารถอาจหาญในตัวในใจของเราได้ทุกเวลา
ยืนก็ภาวนาได้ เดินก็ภาวนาได้ นั่งก็ภาวนาได้ นอนยังไม่หลับก็ภาวนาได้
ทุกอิริยาบถยืนเดินนั่งนอนทุกลมหายใจเข้าออก ภาวนาได้อยู่เสมอ
นี่แหละเป็นทางหนึ่งที่จะดำเนินเดินไปสู่ความพ้นทุกข์ภัยในวัฏสงสาร
เมื่อว่าเราท่านทั้งหลาย พากันได้ยินได้ฟังแล้วก็ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
ปฏิบัติบูชาภาวนาก้าวไป ก็จะมีแต่ความสุขความเจริญในทางพระพุทธศาสนา


ดังแสดงมาก็สมควรแก่กาลเวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้



.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ต.ค. 2016, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร