วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 02:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2015, 06:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11391769_698931896903111_6635816461083810317_n.jpg
11391769_698931896903111_6635816461083810317_n.jpg [ 58.96 KiB | เปิดดู 3361 ครั้ง ]
เจ้าชายสิทธัตถะออกบวช

:b1: ขณะนั้นวสวัตตีมารมายืนขวางทางเสด็จ กล่าวว่า สิทธัตถะ นับแต่นี้ ๗ วัน
สมบัติจักรพรรดิจะปรากฏแก่ท่าน ท่านจงกลับไปเสวยสมบัติจักรพรรดิเถิดท่าน
เจ้าชายตอบว่า เราไม่ต้องการราชสมบัติ เราจักเป็นพระพุทธเจ้า ท่านจงหลีกไป
มารกล่าวว่า นับแต่นี้ไปเราจะหาโอกาส ทำลายความประสงค์ของท่านให้จงได้

:b19: เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จผ่านมาถึงแม่น้ำสายหนึ่ง ตรัสถามนายฉันนะว่า
แม่น้ำนี้ซื่ออะไร นายฉันทูลว่าแม่น้ำนี้ชื่อ อโนมา จึงกระตุ้นให้สัญญาม้ากัณฐกะ
ได้กระโดดข้ามแม่น้ำ แล้วเสด็จลงจากหลังม้าประยืนที่หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำอโนมา

:b5: เจ้าชายสิทธัตถะดำริว่า ผมของเราอย่างนี้ไม่ควรแก่เพศบรรพชิตเลย
จึงใช้พระขรรด์ตัด พระเมาลี (มวยผม) จนเหลือพระเกศายาวเพียง ๒ องคุลี
พระมัสสุ (หนวด) ก็มีพอประมาณ จากนั้นทรงรวบพระเมาลี อธิษฐานว่า
ถ้าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าขอให้ผมตั้งอยู่ในอากาศ ถ้าไม่สามารถตรัสรู้ได้
ก็ขอให้ตกลงมายังพื้นดิน แล้วเหวี่ยงขึ้นไป พระเกศาลอยขึ้นไปในอากาศ
ท้าวสักกเทวราชนำผอบมาลองรับ นำไปประดิษฐานไว้ในจุฬามณี ณ ภพดาวดึงส์

:b27: พระโพธิสัตว์ดำริอีกว่า อาภรณ์ที่สวมใส่อยู่นี้มีค่ามาก ไม่ควรแก่สมณเพศ
ครั้งนั้น ฆฏิการพรหมซึ่งเป็นสหายของพระองค์ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า
ได้นำบริขาร ๘ คือ จีวร สังฆาฏิ สบง บาตร มีด เข็มพร้อมด้าย รัประคต และกระบอกกลองน้ำ
มาถวาย เจ้าชายสิทธัตถะทรงครองผ้าถือเพศเป็นบรรพชิต แล้วโยนภูษาทรงขึ้นไปในอากาศ
ฆฏิการพรหมรับไว้แล้วนำไปบรรจุในทุสสเจดีย์ พรหมโลก

:b19: จากนั้นเจ้าชายสิทธัตถะตรัสสั่งให้นายฉันนะนำพระขรรค์ เครื่องประดับ และม้ากัณฐกะ
กลับกรุงกบิลพัสดุ์ กัณฐกะได้ยินดังนั้น บังเกิดความอาลัย พอละสายตาจากพระโพธิสัตว์
ล้มลงขาดใจตายทันที ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีนามว่า กัณฐกะเทพบุตร
นายฉันนะจำต้องเดินกลับกรุงกบิลพัสดุ์แต่เพียงลำพัง

พระพุทธเจ้าครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่มที่ ๙ ภาค ๒ หน้ ๗๑๑-๗๑๗

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2015, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11401052_699956373467330_2580437901850638496_n.jpg
11401052_699956373467330_2580437901850638496_n.jpg [ 60.97 KiB | เปิดดู 3353 ครั้ง ]
เสด็จกรุงราชคฤห์

:b8: เจ้าชายสิทธัตถะทรงยับยั้งอยู่ที่ อนุปิยอัมพวัน ซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา
เป็นเวลา ๗ วัน ด้วยความสุขอันเกิดจากบรรพชา จากนั้น เสด็จดำเนินด้วยพระบาท
สิ้นระยะทาง ๓๐ โยชน์ เข้าสู่กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ เที่ยวบิณบาตรไปตามลำดับเรือน
ชาวเมืองพากันตื่นเต้นเมื่อได้เจอนักบวชรูปงาม กำลังเดินบิณฑบาตไปตามถนน
ด้วยอากัปกิริยาที่สำรวม เหล่าบุรุษได้นำความกราบทูลพระเจ้าพิมพิสาร

cool พระราชาประทับอยู่บนประสาท ทอดพระเนตรเห็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ด้วยความอัศจรรย์พระทัยยิ่ง รับสั่งให้ราชบุตรตามไปดู ตรัสว่า ในขณะออกจากเมือง
หากเป็นเทวดาก็จะเหาะไป หากเป็นอมนุษย์ก้จะหายตัวไป หากเป็นพญานาคก็จะดำดินไป
หากเป็นมนุษย์ก็จะเที่ยวแสวงหาสถานที่เพื่อบริโภคอาหาร

grin ฝ่ายเจ้าชายสิทธัตถะดำริว่า อาหารบิณฑบาตมีเท่านี้ เพียงพอที่จะฉัน
เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปได้แล้ว จึงเสด็จออกจากพระนครไปประทับนั่งที่ร่มเงา
ของภูเขา ปัณฑวะเพื่อเสวยภัตตาหาร ด้วยอาการสำรวม

Kiss พวกราชบุรุษติดตามไปจนถึงเชิงเขาปัณฑวะ เห็นพระโพธิสัตวกำลังประทับ
นั่งเสวยภัตตาหาร จึงนำความมากราบทูลพระราชา พระเจ้าพิมพิสารรีบเสด็จออกไปทันที
ปฏิสันถารกันพอสมควรแล้ส พระราชาตรัสถึงนามและตระกูลของพระโพธิสัตว์
ทรงทราบว่าพระองค์คือเจ้าชายสิทธัตถะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ จึงพอพระทัยโสมนัส
ทรงเชื้อเชิญให้อยู่ครองราชสมบัติในกรุงราชคฤห์ร่วมกัน

:b15: พระโพธิสัตว์ตรัสว่า มหาบพิตร อาตมาภาพปรารถนาที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
แต่เพียงอย่างเดียว พระเจ้าพิมพิสารอ้อนวอนด้วยประการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ทรงเห็นพระโพธิสัตว์
มีพระทัยเด็ดเดี่ยวเช่นนั้นจึงตรัสว่า หากพระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้แล้ว ขอให้เสด็จมาแคว้นหม่อมฉันด้วย

พระพุทธเจ้าครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่มที่ ๙ ภาค ๒ หน้า ๗๑๑-๗๑๗

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2015, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11391659_700625966733704_8591645136258576396_n.jpg
11391659_700625966733704_8591645136258576396_n.jpg [ 46.77 KiB | เปิดดู 3341 ครั้ง ]
ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา

:b38: เจ้าชายสิทธัตถะรับคำของพระราชาพิมพิสารแล้ว เสด็จดำเนินต่อไปยังสำนัก
ของอาฬารดาบสกกลามโคตร และอุททกดาบสรามบุตร เรียนสมาบัติ ๘ จนจบแล้ว
ทรงดำหริว่าการปฏิบัติทั้งสองแห่งนี้ ก็ยังมิใช่ทางแห่งการหลุดพ้น จึงเสด็จไปอุรุเวลาเสนานิคม
ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงบำเพ็ญเพียรด้วยอุบายวิธีต่างๆ ท้ายที่สุดทรงทรมานตนเอง
ด้วยการเสวยข้าววันละเมล็ดบ้าง ไม่เสวยติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันบ้าง จนร่างกายสูบผอม
บ้างครั้งถึงกับเป็นลมหมดสติ

:b37: เวลานั้นบุตรพราหมที่ทำนายพระลักษณะ ๔ คน และโกญฑัญญะพราหมณ์
รวมเป็น ๕ คนด้วย เรียกกันว่าปัญจวัคคีย์ หลังจากทราบข่าวเจ้าชายสิทธัตถะผนวชแล้ว
ได้บวชตามคำสั่งของบิดา เที่ยวภิกขาจารไปยังคาม นิคมเมืองต่างๆได้มาพบกับพระโพธิสัตว์
ที่อุรุเวลาเสนานิคม จึงพากันอยู้อุปฐากพระโพธิสัตว์ด้วยความหวังว่า เมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสรู้
เราจักได้อยู่ในสำนักของพระพุทธเจ้า ตามประสงค์ของพราหมณ์ผู้เป็นบิดา

:b43: เจ้าชายสิทธัตถะทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยวิธีการต่างๆ ถึง ๖ ปี ก็ยังไม่เห็นทาง
ที่จะหลุดพ้น ทรงดำริว่าจะกลับมาเสวยพระกระยาหารอย่างเดิม เพื่อให้ร่างกายมีกำลัง
คงจะมีปัญญาที่จะหาความหลุดพ้นได้ ตัดสินใจแล้วเสด็จออกบิณฑบาตดังที่ได้กระทำมา
หลังจากที่ได้เสวยพระกระยาหารแล้ว พระวรกายก็กลับมีพระฉวีผุดผ่องดุจทองเช่นเดิม

:b53: เหล่าปัญจวัคคีย์เห็นดังนั้น คิดว่าพระโพธิสัตว์นี้แม้จะทำทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ ปี
ก็ยังไม่อาจตรัสรู้ได้ แต่บัดนี้กลับมาบริโภคอาหารอีก จะตรัสรู้ได้อย่างไรพระโพธิสัตว์นี้
คลายจากความเพียร เวียนกลับสู่ความมักมากเสียแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะอุปฐาก
อีกต่อไป จึงพากันละทิ้งพระโพธิสัตว์ให้อยู่ลำพัง ต่างถือเอาบริขารของตนเดินทางไป
ยังอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี

พระพุทธเจ้าครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่มที่ ๙ ภาค ๒ หน้า ๗๑๗-๗๑๙

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2015, 06:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11425767_700843163378651_8360617023824920254_n.jpg
11425767_700843163378651_8360617023824920254_n.jpg [ 58.27 KiB | เปิดดู 3341 ครั้ง ]
นางสุชาดาถวายข้าวปายาส

:b11: คืนก่อนตรัสรู้ พระโพธิสัตว์มีความฝัน ๕ ประการ เมื่อพิจารณาแล้ว
มั่นพระทัยว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ครั้นเวลาใกล้รุ่ง
เสด็จมาประทับ ณ โคนต้นไทรต้นหนึ่ง เพื่อรอบิณบาต

:b1: กล่าวถึง นางสุชาดา ธิดาของเสนานิกุฎุมพี ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
เมื่รุ่นสาวนางได้อธิษฐานต่อเทวดา ณ ต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราว่า หากข้าพเจ้า
ได้ไปสู่สกุลที่่มีชาติเสมอกัน ๑ ได้บุตรชายคนแรก ๑ จะถวายข้าวปายาสแก่ท่าน
เวลาผ่านไป นางมีครอบครัวและได้มีบุตรชายคนแรก สมประสงค์ทั้งสองประการ
เมื่อได้โอกาสกลับมายังอุรุเวลาเสนานิคม นางจึงคิดจะกระทำพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน ๖

:b27: เช้าวันนั้น ขณะที่นางกำลังหุงข้าวปายาส ได้สั่งให้นางทาสีออกไป
ทำความสะอาดบริเวณต้นไทรเพื่อจะกระทำพิธี ทาสีออกไปเห็นพระโพธิสัตว์
ประทับนั่งอยู่ที่โคนต้นไทรนั้น มีรัศมีสว่างไสว จึงรีบกลับมาบอกนางสุชาดา

:b39: นางสุชาดาฟังแล้วคิดว่า วันนี้เทวดาคงลงมารับพลีกรรมด้วยตนเองเป็นแน่
บังเกิดปิติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง รีบนำถาดทองบรรจุข้าวปายาสจนเต็ม ครอบด้วยถาดทอง
อีกใบหนึ่ง ใช้ผ้าขาวสะอาดคลุม ยกถาดนั้นเทินไว้บนศรีษะ มือถือคณโฑน้ำ
รีบออกไปยังต้นไทรโดยเร็ว

:b16: นางเห็นพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ ก็ยิ่งเกิดความปิติ น้อมกายเข้าไปถวายถาดข้าวปายาส
พร้อมทั้งคณโฑน้ำ กล่าวว่า ขอท่านจงรับพลีกรรมที่นำมาถวายนี้เถิด ความหวังของดิฉัน
สำเร็จแล้ว ฉันใด แม้ความหวังของท่านก็จงสำเร็จ ฉะนั้น นางสุชาดาถวายข้าวปายาส
พร้อมทั้งถาดทองซึ่งมีราคาตั้งแสนแล้วหลีกไป

พระพุทธเจ้าครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ หน้า ๗๑๙-๗๒๐

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2015, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11393172_701056903357277_7313581311581728503_n.jpg
11393172_701056903357277_7313581311581728503_n.jpg [ 53.19 KiB | เปิดดู 3334 ครั้ง ]
ทรงลอยถาดอธิษฐาน

:b17: พระโพธิสัตว์ลุกจากที่ประทับนั่ง กระทำประทักษิณต้นไทรแล้วทรงถือถาดนั้น
เสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่ท่าน้ำชื่อ สุปติิฏฐิตะ วางถาดลงสด็จลงสรงสนานเสร็จแล้ว
เสด็จมาที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งรงแบ่งข้าวปายาสเป็น ๔๙ ก้อน ก้อนหนึ่งมีประมาณเท่าจาวตาล
แล้วเสวย (อรรถกถากล่าวว่า ข้าวปายาสทั้งหมดนี้เป็นอาหารมื้อสุดท้ายก่อนตรัสรู้
ได้เป็นอาหารอยู่ ๔๙ วัน สำหรับพระโพธิสัตว์ผู้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ขณะที่ประทับ
ณ สัตตมหาสถาน แห่งละ ๗ วันรวมเป็นเวลา ๔๙ วัน)

:b4: พระโพธิสัตว์เสวยเสร็จแล้ว เสด็จไปณริมฝั่งน้ำทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราจัก
ได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้ ถาดทองจงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป หากมิได้เป็นถาดนี้จงลอย
ไปตามกระแสน้ำ แล้วทรงวางถาดทองลงบนกระแสน้ำ ถาดนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำ
ขึ้นไปจนถึงวังน้ำวนแห่งหนึ่ง แล้วจมลงสู่ท้องน้ำ

:b20: พระโพธิสัตว์เสด็จกลับมาประทับอยู่ในป่าไม้สาละ ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ขณะนั้นสาละกำลังออกดอกบานสะพรั่ง จนเวลาเย็นจึงเสด็จดำเนินไปยังต้นโพธิชื่อ
อัสสัตถะ อันเป็นสถานที่ประทับเพื่อการตรัสรู้

:b27: ขณะนั้นคนตัดหญ้าชื่อ โสตถิยะ หาบหญ้าเดินสวนมา คิดว่าบรรพชิต
รูปนี้คงต้องการที่นั่ง จึงถวายหญ้ากุสะ(หญ้าคา) ๘ กำ พระองค์ทรงรับ และอนุโมทนา
แล้วทรงเสด็จไปยังต้นโพธิด้านทิศตะวันออก กระทำประทักษิณต้นโพธิ
ทรงลาดหญ้าคา ๘ กำลงบนพื้นดิน ทันใดนั้น หญ้าคากลายเป็นรัตนะบัลลังก์ขึ้นมารองรับ
พระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์ ทรงตั้งมหาปณิธาน (ความตั้งใจมั่นอันยิ่งใหญ่)ว่า

แม้เลือดและเนื้อในกายของเราจะเหือดแห้งไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตาม
หากเรายังมิได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาน เราจะไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้

พระพุทธเจ้าครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ หน้า ๗๑๙-๗๒๐

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2015, 07:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




10672374_701326863330281_3508924231156231144_n.jpg
10672374_701326863330281_3508924231156231144_n.jpg [ 52 KiB | เปิดดู 3327 ครั้ง ]
ผจญกับพญามาร

:b11: ระหว่างนั้น วสวัตตีมารที่คอยติดตามขัดขวาง ทราบความประสงค์ของพระโพธิสัตว์
ตั้งใจจะทำลายไม่ให้สำเร็จตามความปรารถนา จึงนำกองทัพมารเข้ามาจู่โจม พระโพธิสัตว์
ผู้ประทับ ณ โคนโพธิพฤกษ์ทุกทิศทาง พญามารขี่ช้างคีรีเมล์ตัวสูงใหญ่ปรี่เข้ามา เสียงโห่ร้อง
ของกองทัพมารเหมือแผ่นดินทรุด จนไม่มีผู้ใดสามารถดำรงอยู่ในที่นั้นได้ ท้าวสักกเทวราช
หนีไปยืนที่ขอบจักรวาล ท้าวมหาพรหมเสด็จขึ้นไปยังพรหมโลก แม้พญากาฬนาคราชก็ดำดิน
ลงไปอยู่ในนาคพิภพ เหลือแต่พระโพธิสัตว์ประทับนั่งอยู่บนรัตนะบัลลังก์นั้นอยู่เพียงผู้เดียว

:b1: แต่วสวัตตีมาร ก็ไม่สามารถจะทำให้พระโพธิสัตว์ตกพระทัยหนีไปได้
แม้ด้วยฤทธิ์ของมารทั้ง ๙ ประการ คือ ลม ฝน ก้อนหิน เครื่องประหาร ถ่านไฟ
เถ้ารึง (กองเถ้าที่ไม่มีถ่านไฟแต่ก็ยังร้อนระอุอยู่) ทราย โคลน และความมืด

:b33: พญามารเมื่อไม่สามารถเอาชนะได้ ขึ้งโกรธมาก บังคับหมู่พลมารว่าพวกเจ้า
จะหยุดอยู่ใย จงทำให้สิทธัตถะให้ไม่เป็นสิทธัตถะ ทำให้สิทธัตถะหนีไปให้จงได้
ส่วนตนเองนั่งอยู่บนคอช้างคีรีเมขล์ ถือจักราวุธเข้าไปใกล้แล้วกล่าวว่า
สิทธัตถะท่านจงลุกขึ้น บัลลังก์นี้ไม่ควรแก่ท่าน บัลลังก์นี้ควรแก่เรา

:b19: พระโพธิสัตว์ตรัสว่า บัลลังก์นี้เป็นบัลลังก์ที่ตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
ผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว ดังนั้นบัลลังก์นี้ไม่ควรแก่ท่าน พญามารอดกลั้นกำลังแห่งความโกรธ
ไว้ไม่ได้ จึงขว้างจักราวุธใส่พระโพธิสัตว์ จักราวุธนั้นคมมากสามารถตัดเสาหินให้ขาด
ไปได้เสมือนตัดหน่อไม้ไผ่ แต่ขณะนั้นจักราวุธกลับกลายเป็นเพดานดอกไม้ตั้งอยู่เบื้องบน
เหล่ามารจึงพากันปล่อยก้อนหินใหญ่ให้กลิ้งมาดังห่าฝน ด้วยหวังว่าจะให้พระโพธิสัตว์ลุกหนีไป
แต่ก้อนหินเหล่านั้นก็กลายเป็นดอกไม้ตกลงมายังภาคพื้นดินอีก บรรดเทวดาทั้งหลายที่หนีไปยืน
อยู่ขอบจักวาลต่างเฝ้าแลดูและคิดกันว่า เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงกระทำอย่างไรหนอ

พระพุทธเจ้าครั้งเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ หน้า ๗๒๐-๗๒๕

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2015, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11393221_702172256579075_2484990009716233145_n.jpg
11393221_702172256579075_2484990009716233145_n.jpg [ 60.38 KiB | เปิดดู 3306 ครั้ง ]
ทรงชนะพญามาร

:b43: พญามารถามว่า สิทธัตถะ ในกาลที่ท่านให้ทาน ผู้ใดเป็นสักขีพยาน พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
ในที่นี้เราไม่มีผู้ใดซึ่งมีจิตใจจะเป็นสักขีพยานให้ได้ ทานที่เราให้แล้วในอัตภาพอื่นจงยกไว้
เอาแต่เพีบงทานที่ให้ในอัตภาพที่เป็นพระเวสสันดร เราได้ให้ สัตตสดกมหาทาน ปฐพีอันหนาทึบนี้
แม้จะไม่มีจิตใจ ก็เป็นสักขีพยานแก่เราได้ ตรัสดังนี้แล้วทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาชี้ลงตรงมหาปฐพี

:b38: (ในปฐมสมโพธิกถากล่าวไว้ว่า ทันใดนั้นนางพระธรณีผุดขึ้นมาจากพื้นดินยืนอยู่
เฉพาะพระพักตร์กล่าวว่า ข้าแต่มหาบุรุษ ข้าพระองค์ทราบดีถึงทานที่พระองค์สั่งสมมาตั้งแต่ต้น
ด้วยทักษิโณทกที่พระองค์หลั่งลงเหนือปฐพีนั้น ตกลงมาเปียกชุ่มอยู่ในมวยผมของข้าพระองค์
มากมายจนประมาณมิได้ ว่าแล้วก็บิดน้ำออกจากมวยผม น้ำมากมายท่วมท้นเสนามาร
ทั้งหลายให้ลอยไปถึงมหาสมุทร)

:b41: ช้างคิริเมขล์มิอาจยืนอยู่ได้ ทรุดตัวคู้เข่าลง พญามารที่นั่งบนคอช้าง
พลัดตกลงมายังพื้นดิน ขณะเดียวกัน อสนีบาตเปรี้ยงลงมา มหาเมฆก็ร้องครืนครั่นภูเขา
จะถล่มทลาย มหาสาครก็ปั่นป่วนกัมปนาท ทั่วจักราลเกิดโกลาหลสะท้านสะเทือน
พลมารทีเหลือตกใจต่างพากันทิ้งศัตราวุธ หนีไปทุกทิศจนหมดสิ้น

:b35: พญามารเห็นดังนั้นก็อัศจรรย์ใจ ด้วยความครั่นคร้ามในพระเดชานุภาพ
ของพระโพธิสัตว์ หนีกลับไปยังปรนิมมิตวสวัตตี อันเทวสถานของตน
ประนมมือนมัสการกล่าวคำสรรเสริญพระโพธิสัตว์ว่า

บุคคลในโลกและเทวโลก ที่จะเสมอด้วยสิทธัตถะไม่มี
พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้า จักขนสัตว์ผู้ชาญฉลาด
ให้ข้ามพ้นวัฏฏสงสาร บรรลุพระนิพพานในครั้งนี้แน่นอน


(ปฐมสมโพธิกถา กล่าวว่า ด้วยอำนาจการกล่าวสรรเสริญคุณของพระโพธสัตว์
ในครั้งนี้พญามารจักได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณในกาลภายหน้า)

เหตุการณ์เริ่มตั้งแต่ประสูติ จนกระทั่งชนะมาร
ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ อวิทูเรนิทาน หน้า ๘๐-๑๒๔

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2015, 06:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11425110_702448516551449_5452360945261946665_n.jpg
11425110_702448516551449_5452360945261946665_n.jpg [ 72.76 KiB | เปิดดู 3301 ครั้ง ]
ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ

:b29: เมื่อพญามารและเสนามารหลบไปแล้ว เหล่าเทวดาชื่นชมแซ่ซ้องสาธุการ
สรรเสริญพระโพธิสัตว์ว่า พระสิทธัตถะเป็นมนุษย์ยังชนะเทพบตรหมู่มารได้
พระโพธิสัตว์นี้จักเป็นศาสดาของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลายแน่นอน

:b28: ขณะพระอาทิตย์ยังไม่อัสดง พระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์ด้วย
พระทัยอันมั่นคง จิตเป็นสมาธิตั้งมั่นไม่หวั่นไหว จวบจนราตรีกาล

:b53: ยามแรก เกิดปัญญาหยั่งรู้ถึงชาติที่เคยเกิดมาแต่ก่อน (ระลึกชาติได้)
:b45: ยามที่สอง เกิดปัญญาหยั่งรู้การตายการเกิดของสัตว์ทั้งหลาย (ตาทิพย์)
:b51: ยามสุดท้าย เกิดปัญญาหยั่งรู้ในธรรมที่สิ้นไปแห่งกิเลสทั้งหลาย (ตรัสรู้)

พระโพธิสัตว์ได้บรรลุธรรมตามลำดับ และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในยามสุดท้ายแห่งราตรีของวันเพ็ญ เดือน ๖ ด้วยประการฉะนี้

:b35: หลังการตรัสรู้ พระพุทธองค์ประทับนั่งอยู่ ณ บัลลังก์นั้นอีก ๗ วัน
ทรงพิจารณาธรรมที่ทำให้สิ้นไปแห่งกิเลสทั้งหลาย ทบทวนกลับไปกลับมา
ได้ทราบชัดว่าถึงธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งเหตุ ได้ทราบชัดว่าความสิ้นไปแห่งเหตุ
เป็นทางให้ถึงความหลุดพ้นคือพระนิพพาน ได้ทราบชัดทางที่จะปฏิบัติให้ถึงพระนิพพาน

:b41: ทรงเปล่งอุทานว่า เมื่อใดผู้มีความเพียร ได้รู้ถึงธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งเหตุ
ได้รู้ถึงความสิ้นไปแห่งกิเลส ได้รู้ถึงทางที่ปฏิบัติให้ถึงความดับไปแห่งกิเลส ชื่อว่าพระนิพพาน
เมื่อนั้น ผู้นั้นชื่อว่ากำจัดมารและเสนามารเสียได้ ดุจดวงอาทิตย์ส่องโลกให้สว่างไสว ฉะนั้น

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
นับตั้งแต่บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ณ โพธิบัลลังก์ ตราบจนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๑ สันติเกมหานิทาน หน้า ๑๒๔-๑๕๓

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2015, 06:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11257015_702996843163283_5181915881869371371_n.jpg
11257015_702996843163283_5181915881869371371_n.jpg [ 79.06 KiB | เปิดดู 3289 ครั้ง ]
สัตตมหาสถาน
สถานที่ประทับหลังจากตรัสรู้ ๗ แห่ง

:b38: สัปดาห์ที่ ๑ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บัลลังก์ที่โคนต้นโพธิ์ พิจารณา
ธรรมที่บรรลุแล้วทวนกลับไปกลับมา ตลอด ๗ วัน สถานที่นี้ชื่อว่า โพธิบังลังก์

:b37: สัปดาห์ที่ ๒ ประทับยืนทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เยื้องจากบัลลังก์เล็กน้อย
ทอดพระเนตรดูบัลลังก์และต้นโพธิ์ อันเป็นสถานที่บรรลุผลแห่งบารมี
ที่ทรงบำเพ็ญมาตลอด ๗ วัน สถานที่นี้ชื่อว่า อนิมิสเจดีย์

:b36: สัปดาห์ที่ ๓ ทรงเนรมิตที่เดินจงกรมระหว่างโพธิบัลลังก์กับอนิมิสเจดีย์ จากทิศตะวันออก
ไปทิศตะวันตก เสด็จเดินจงกรมตลอด ๗ วัน สถานที่นี้ชื่อว่า รัตนจงกรรมเจดีย์

:b35: สัปดาห์ที่ ๔ เทวดาทั้งหลายเนรมิตเรือนแก้ว ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจากต้นโพธิ์
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งพิจารณาพระอภิธรรม คือธรรมชั้นสูงตลอด ๗ วัน สถานที่นั้นชื่อว่า
รัตนฆรเจดีย์

:b39: สัปดาห์ที่ ๕ เสด็จจากรัตนฆรเจดีย์ไปยังต้น อชปาลนิโครธ (ต้นไทร) ซึ่งอยู่ทาง
ทิศตะวันออกของต้นโพธิ์ ประทับนั่งลงพิจารณาธรรม ณ ที่นี้ ธิดาพญามารอาสาบิดาเข้ามายั่วยวน
พระพุทธองค์ด้วยวิธีการต่างๆ แต่ไม่สามารถทำให้พระองค์หวั่นไหวได้ ไม่สนพระทัยที่จะลืม
พระเนตรดู ทรงยับยั้งอยู่ ณ ที่นี้ตลอด ๗ วัน

:b43: สัปดาห์ที่ ๖ เสด็จไปประทับยังโคนต้น มุจลินท์ (ต้นจิก) ณ ที่นั้นฝนตกพรำมีลมหนาวตลอด ๗ วัน
พญามุจลินทนานาคราชได้เข้ามาแผ่ขนดรอบพระวรกาย ๗ รอบ แผ่พังพานใหญ่เหนือ
พระเศียรของพระพุทธองค์ ให้พ้นจากลมหนาว เหลือบยุง และสัตว์เลื้อยคลาน เมื่อปราศจากฝนแล้ว
จึงคลายขนดจากพระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า จำแลงเป็นมาณพเข้ามาถวายนมัสการพระพุทธองค์

:b45: สัปดาห์ที่ ๗ เสด็จไปประทับที่ต้น ราชายตนะ (ต้นเกด) เสวยสุขอันเกิดจาก
ความหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส ตลอด ๗ วัน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2015, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




10922600_704085533054414_4631725527388853970_n.jpg
10922600_704085533054414_4631725527388853970_n.jpg [ 59.39 KiB | เปิดดู 3270 ครั้ง ]
อุบาสกคู่แรกในพระพุทธศาสนา

:b1: วันรุ่งขึ้น ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ ณ โคนต้นไม้ราชายตนะ
พาณิชสองคนชื่อ ตปุสสธ และ ภัลลิกะ เดินทางจากอุกกลชนบทจะเข้าไปค้าขายในเมือง
ด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม เทวดาผู้เคยเป็นญาติในชาติก่อนมาบอกข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นี้เพิ่งตรัสรู้ ขณะนี้ประทับอยู่ที่โคนไม้ราชายตนะ ท่านทั้งสองจงไปถวายอาหารบิณบาตเถิด
การได้บูชาพระพุทธองค์แรกตรัสรู้ จะเป็นประโยชน์และความสุขแก่ท่านทั้งสองตลอดกาลนาน

:b12: สองพาณิชจึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ น้อมถวายสัตตุก้อน สัตตุผง (ข้าวตู)
พระองค์ทรงรับด้วยบาตรที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ นำมาถวาย เสวยแล้วอนุโมทนา

:b16: พาณิชทั้งสองเกิดความเลื่อมใส ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าพระเจ้าทั้งสอง
ขอถึงซึ่งพระพุทธ และพระธรรมเป็นสรณะ ขอพระองค์โปรดถือว่าข้าพระองค์เป็นอุบาสก
นับตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป

ตปุสสะ และภัลลิกะ จึงชื่อว่าเป็นอุบาสกคู่แรกในพระศาสนานี้

:b8: ในพระวินัยปิฏกกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประทานเกศธาตุแก่ตปุสสะ และภัลลิกะ
พาณิชทั้งสองดีใจมาก บรรจุเกศธาตุไว้ในผอบทองคำ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเดินทางต่อไป
นำเอาพระเกศธาตุไปบรรจุในพระเจดีย์ที่เมือง อสิตัญชนะ อันเป็นบ้านเกิดของตน

ทรงดำริเรื่องการแสดงธรรม

:b27: เมื่อพาณิชทั้งสองหลีกไปแล้ว พระบรมศาสดาเสด็จจากราชายตนะ ไปยังอชปาลนิโครธอีก
ณ ที่นี้ บังเกิดปริวิตกว่า ธรรมที่เราบรรลุนี้ สุขุมลุ่มลึก ประณีตยากแก่เหล่าสัตว์ที่ถูกอวิชชาครอบงำ
จะรู้แจ้งด้วยปัญญาของตนเองได้ หากแสดงแล้วสัตว์เหล่านี้รู้ไม่ทั่วถึง ธรรมนั้นก็จะไม่เป็นประโยชน์
แก่โลก ทรงพิจารณาดังนี้แล้วพระทัยก็น้อมไปในทางที่จะไม่แสดงธรรมที่พระองค์ตรัสรู้

(พระวินัยปิฎก มหาวรรค พรหมยาจนกถา
กล่าวว่า ความวิปริวิตกนี้เกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
ขณะที่ประทับนั่ง ณ ต้นอชปาลนิโครธเท่านั้น)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2015, 06:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11062807_704708216325479_4987479904591944815_n.jpg
11062807_704708216325479_4987479904591944815_n.jpg [ 59.72 KiB | เปิดดู 3258 ครั้ง ]
ท้าวมหาพรหมทูลอาราธนาให้แสดงธรรม

:b15: ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม ทราบความดำริของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
จะไม่แสดงธรรมแก่สัตว์โลก จึงนำ ท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมารดี
ท้าวปรินิมมิตตวสวัตตี และท้าวมหาพรหม
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทูลอาราธนาขอให้พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเพราะสัตว์โลกที่มีปัญญายังมีอยู่

:b29: พระผู้มีพระภาคเเจ้าสดับรับคำอาราธนาแล้ว ทรงพิจารณาสัตว์โลกด้วยพุทธจักขุ
ได้เห็นสัตว์ทั้งหลายบางพวกสอนให้รู้ง่าย บางพวกสอนให้รู้ได้ยาก เปรียบเหมือนบัวสี่เหล่า
บางดอกเพิ่งออกจากเง่า ก็ตกเป็นอาหารของสัตว์ในท้องน้ำ บางพวกเจริญแล้วแต่ยังอยู่ภายใต้ผืนน้ำ
บางพวกโผล่ขึ้นมาบนผืนน้ำแล้ว บางดกก็โผล่พ้นิวน้ำพร้อมที่จะบานเมื่อได้รับแสงตะวัน
ครั้นพิจารณาดังนี้แล้ว จึงรับคำอาราธนาของเหล่าพรหมทั้งหลาย

การแสดงธรรมครั้งแรก

:b23: พระบรมศาสดารับคำอาราธนาของท้าวมหาพรหมแล้ว ทรงพิจารณาว่าจะแสดง
ธรรมกัณฑ์แรกแก่ผู้ใด ระลึกถึง อาฬารดาบส และ อุททกดาบส ที่พระองค์เคยเข้าไปศึกษา
ในตอนแรก ก็ทราบว่าทั้งสองได้สิ้นชีวิตแล้ว จึงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ คือ โกณฑัญญะ
วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ
ที่เคยดูแลอุปฐากพระองค์เมื่อครั้งบำเพ็ญเพียร
ณ อุรุเวลาเสนานิคม ด้วยหวังจะรู้ธรรมตาม ซึ่งในระยะนั้นปัญจวัคคีย์ไม่เข้าใจความดำหริ
ของพระโพธิสัตว์ ที่มาเสวยอาหารเหมือนเดิม เข้าใจว่าพระองค์คลายความเพียรเสียแล้ว
ต่างก็พาละทิ้งพระโพธิสัตว์ไว้แต่ลำพัง พากันเดินทงไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี

:b41: เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ทรงทราบว่าขณะนี้อยู่ที่กรุงพาราณสี
เช้าจึงเสด็จจากอุรุเวลาเสนานิคม เดินทางถึงอิสิปตนมฤคทายวัน ในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง
(วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2015, 06:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11243719_705991366197164_8373522590108512493_n.jpg
11243719_705991366197164_8373522590108512493_n.jpg [ 60.72 KiB | เปิดดู 3244 ครั้ง ]
ปัญจวัคคีย์

:b14: พระพุทธองค์เสด็จดำเนินไปยังกรุงพาราณสี เป็นระยะทาง ๑๘ โยชน์ทรงพบกับ
อุปกชีวกระหว่างทาง อุปกชีวกทูลถามว่า อาวุโส อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ท่านบวชอุทิศผู้ใด
ใครเป็นศาสดาของท่าน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ศาสดาของเราไม่มี เราตรัสรู้โดยชอบเอง
เราเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ
จักไปยังแคว้นกาสี เพื่อประกาศพระธรรมให้เป็นไป

:b17: พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดังนี้แล้ว อุปกชีวกทูลว่า ท่านควรได้ซื่อว่า อนันตชิน
คือผู้ชนะไม่มีที่สิ้นสุด อุปกชีวกกล่าวดังนั้นแล้วก็แยกทางหลีกไป

:b10: เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึงอิสิปตนมฤคทายวัน ปัญจวัคคีย์แลเห็นแต่ไกล
นัดหมายกันว่าเราจะไม่อภิวาท ไม่พึงลุกขึ้นต้อนรับไม่พึงรับบาตร ครั้นพระพุทธองค์เสด็จมาใกล้
ปัญจวัคคีย์เห็นพระวรกายของพระองค์ผ่องใส ลืมสัญญาที่พูดกันไว้ ต่างลุกขึ้นต้อนรับ
รูปหนึ่งรับบาตร รูปหนึ่งปูอาสนะ รูปหนึ่งจัดหาน้ำล้างพระบาท รูปหนึ่งจัดตั้งตั่งรองพระบาท
รูปหนึ่งนำผ้าเช็ดพระบาทเข้าไปถวาย

:b34: พระพุทธองค์ประทับนั่งบนอาสนะแล้ว ตรัสกับปัญจวัคคีย์ว่า พวกเธอทั้งหลาย
เราได้พบธรรมที่ดับกิเลสและกองทุกข์ได้แล้ว เราจะแสดงธรรมนั้นแก่เธอ พวกเธอเมื่อฟัง
และปฏิบัติตามแล้ว ไม่นานจักเข้าใจธรรมนั้นแจ่มแจ้งด้วยปัญญาของเธอเอง


:b15: ปัญจวัคคีย์ทูลคัดค้านว่า ครั้งก่อนที่พระองค์บำเพ็ญเพียรถึงที่สุดแล้ว ก็ยังไม่สามารถ
บรรลุธรรมได้ บัดนี้พระองค์คลายจากความเพียรแล้ว เหตุใดจึงตรัสว่าได้พบธรรมที่ดับกิเลสและกองทุกข์ได้

:b35: พระพุทธองค์ตรัสว่า พวกเธอทั้งหลาย เราไม่ได้คลายจากความเพียร ไม่ไดเวียนกลับ
มาเพื่อความมักมาก ดังที่พวกเธอเข้าใจ เรายังมีความมั่นคงในการแสวงหาพระนิพพาน บัดนี้ เราได้
รู้แจ้งธรรมนั้นแล้วด้วยปัญญาของตนเองโดยชอบ
เราจะแสดงธรรมนั้นแก่เธอ ถ้าพวกเธอปฏิบัติ
ตามนั้นแล้ว ไม่นานเท่าไรนักเธอจะเข้าใจธรรมนั้นแจ่มแจ้งด้วยปัญญาของเธอเองเช่นกัน

:b48: พระพุทธองค์ตรัสย้ำเช่นนี้ถึง ๓ ครั้ง ปัญจวัคคีย์จึงยอมที่จะรับฟัง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2015, 16:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11226055_706164866179814_4392160065480556634_n.jpg
11226055_706164866179814_4392160065480556634_n.jpg [ 65.25 KiB | เปิดดู 3234 ครั้ง ]
เทศนากัณฑ์แรก ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

:b8: พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมกัณฑ์แรกชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
ในวันอาสาฬหปุรณมี วันเพ็ญ เดือน ๘ แก่ปัญจวัคคีย์ ตรัสสอนว่า การดำเนินชีวิต
ของภิกษุจะต้องดำเนินไปในทางสายกลาง อันเป็นธรรมของพระอริยะ คือไม่ประพฤติตน
ให้สุขเกินไป ไม่เบียดเบียนให้ลำบากเกินไป ทางสายกลางนั้น คือ
ความเห็นชอบ ความดำริชอบ กล่าววาจาชอบ ทำการงานชอบ
เลี้ยงชีวิตชอบ ทำเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งมั่นชอบ


อริยสัจจ์ ๔

:b29: ลำดับจากนั้น ทรงแสดงอริยสัจธรรม ๔ ประการ ซึ่งเป็นธรรมที่พระองค์ตรัสรู้
ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง คือ
:b43: ทุกขอริยสัจจ์ ความทุกข์อันเกิดจากการเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศก
ความร่ำไรรำพัน ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นของรัก เป็นต้น
:b48: ทุกขสมุทยอริยสัจจ์ ความโลภ ความอยากได้ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ความอยากได้ในภพ ความอยากได้ในความดับสูญ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดความทุกข์
:b38: ทุกขนิโรธอริยสัจจ์ การขจัดความอยากได้ ความขจัดความโลภเสียได้ โดยไม่ให้เกิดขึ้นอีก
การดับต้นเหตุ การดับต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์เสียได้
:b45: ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา การปฏิบัติทางสายกลาง ได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ
กล่าววาจาชอบ ทำการงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ ทำเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งมั่นชอบ
ซึ่งท่านเรียกว่า อริยมรรค อันเป็นทางไปสู่การปฏิบัติให้ดำเนินไปสู่ความหลุดพ้น
จากความทุกข์ในวัฏฏะ ที่ชื่อว่า นิพพาน

อริยสัจจ์ คือ ความจริงอันประเสริฐ เป็นธรรมสำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา
อริยบุคคล คือ บุคคลที่บรรลุธรรมอันประเสริฐในพระพุทธศาสนา
อริยมรรค คือ ทางสายกลาง ซึ่งเป็นทางที่นำผู้ปฏิบัติไปสู่ความสิ้นทุกข์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2015, 07:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




11169953_707087926087508_5339180095210269320_n.jpg
11169953_707087926087508_5339180095210269320_n.jpg [ 64.12 KiB | เปิดดู 3218 ครั้ง ]
พระรัตนตรัย

:b17: ขณะที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ปัญจวัคคีย์น้อมจิตพิจารณา
ไปตามคำสอน โกณฑัณญะ ได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นอริยะบุคคลแล้ว ทูลขอบวช
พระพุทธองค์ประทาน เอหิภิกขุอุปสัมปทา ตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว
เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งกองทุกข์โดยชอบ
พร้อมกับพระดำรัสตรัสของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า โกณฑัณญะก็อยู่ในสภาพของพระภิกษุทันที เป็นผู้ปลงผมและหนวด
มีบริขาร ๘ พร้อม คือ ไตรจีวร บาตร มีด เข็ม ประคตเอว ผ้ากรองน้ำ สำรวมอิริยาบทยืน
ถวายบังโคมพระบรมศาสดาอยู่

พระอัญญาโกณฑัณญะ

จึงได้ชื่อว่า เป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า วันนั้น เป็นวันที่
พระรัตนะทั้งสามบังเกิดขึ้นในโลก คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ
:b29: วันต่อมา พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทแก่ปัญจวัคคีย์ที่เหลือ วัปปะ ภัทิยะ
มหานามะ และอัสสชิ
ได้บรรลุโสดาปัตติผลโดยลำดับ ทูลขอบวช พระพุทธองค์ทรงประทาน
เอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยนัยเดียวกัน

อนัตตลักขณสูตร

:b18: หลังจากพระปัญจวัคคีย์ได้บรรลุธรรมขั้นแรกแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดง อนัตตลักขณสูตร
ตรัสสอนพระปัญจวัคคีย์ให้พิจารณาเห็นสภาวธรรมทั้งปวงตามความเป็นจริงว่า
สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็น อนัตตา อริยสาวกเมื่อได้ได้ฟังน้อมจิตพิจารณาให้เห็นธรรมตามความเป็นจริงแล้ว
ย่อมเกิดความเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายก็สิ้นความอยากได้ เมื่อสิ้นความอยากได้ จิตก็หลุดพ้นจากกิเลส

:b35: จบพระธรรมเทศนา พระปัญจวัคคีย์ทั้งหมดได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

ครั้งนั้นมีพระอรหันต์เกิดขึ้นแล้ว ๖ องค์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2015, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8123


 ข้อมูลส่วนตัว




10420231_707960242666943_4689992959584158009_n.jpg
10420231_707960242666943_4689992959584158009_n.jpg [ 67.24 KiB | เปิดดู 3196 ครั้ง ]
ยสกุลบุตร

:b38: ครั้งนั้น ในกรุงพาราณสี มีบุตรเศรษฐี ชื่อ ยสะ เกิดมีความเบื่อหน่ายในสุขที่สมบูรณ์
พรั่งพร้อมทุกอย่าง อยู่ในประสาท ๓ ฤดู เปล่งอุทานว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ
แล้วสวมรองเท้าลงจากปราสาทในเวลาใกล้รุ่ง เดินทางไปยัง อิสิปตนมฤคทายวัน

:b37: ขณะนั้นพระพุทธเจ้าตื่นบรรทมแล้ว เสด็จเดินจงกลมอยู่ ณ ที่แจ้ง ทอดพระเนตรเห็น
ยสกุลบุตรเดินมาแต่ไกล จึงเสด็จจากที่จงกรมประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ยสกุลบุตร
เปล่งอุทานว่า ที่นี่วุ่นวายวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ

:b48: พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ยสะ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง นั่งลงเถิด
เราจะเเสดงธรรมแก่เธอ
ยสกุลบุตรนั่งลงเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
อนุปุพพิกถา คือ เรื่อง ทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม และอานิสงส์ของการออกบวช
แล้วทรงแสดงอริยสัจ ๔ ยสกุลบุตรบรรลุธรรมขั้นแรกเป็น พระโสดาบันบุคคล

:b53: ครั้นรุ่งเช้า บิดามารดไม่พบยสกุลบุตรบนปราสาท ให้คนออกตามหา
บิดาเดินตามไปจนถึงอิสิปตนมฤคทายวัน ขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมแก่บิดา
ยสะพิจารณาตามธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ได้บรรลุเป็น พระอรหันต์
แล้วทูลขอบวช พระพุทธองค์ทรงประทาน เอหิภิกขุอุปสัมปทา

:b46: ภายหลังมารดาและอดีตภรรยาของพระยสะ ก็ได้บรรลุธรรมแสดงตน
เป็นอุบาสิกา ผู้ถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต ทั้งสองคนจึงได้เป็น
อุบาสิกาคู่แรกในพระศาสนาที่กล่าวอ้างพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

:b45: ต่อมา สหายของพระยสะ รวม ๕๔ คน ทราบข่าวการบวชของพระยสะ
จึงขอเข้ามาบวชด้วย พระผู้มีพระภาคเจ้าประทานบวชด้วย เอหิภิกขุอุปสัมปทา
ทรงโอวาทแก่พระภิกษุเหล่านั้น ทุกองค์ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

ครั้งนั้นมีพระอรหันต์บังเกิดขึ้นแล้ว ๖๑ องค์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร