วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 06:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 01:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๖ ลักษณะพุทธศาสนา - สังขตธรรม
และอสังขตธรรม (๒)
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ความหมายของธาตุในธาตุกรรมฐาน
ได้แสดงลักษณะพุทธศาสนา มาถึงธาตุและสังขาร อัน
เป็นการแสดงสังขตธรรมและอสังขตธรรมด้านวัตถุ
ในเบื้องต้น สังขารสิ่งผสมปรุงแต่งที่กำลังแสดง ยกขึ้น
เป็นตัวอย่างคือรูปกายนี้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
ให้พิจารณาแยกธาตุ อันเรียกว่า ธาตุกรรมฐาน
ในด้านปฏิบัติในสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
หากว่าจะเปรียบรูปกายอันนี้ก็เปรียบเหมือนบ้าน ซึ่ง
เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง คือประกอบขึ้นจากทัพพสัมภาระ
ทั้งหลาย และที่ให้พิจารณาแยกธาตุนั้นก็เหมือนอย่าง
ให้พิจารณาบ้าน แยกออกเป็นทัพพสัมภาระ
ทั้งหลายที่มาประกอบปรุงกันขึ้นเป็นตัวบ้านนั้น
ที่ตรัสสอนให้พิจารณาธาตุกรรมฐาน ก็เพื่อที่จะ
ให้เห็นว่ากายนี้ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา สักแต่ว่า
เป็นธาตุมาประชุมปรุงแต่งกันขึ้น เช่นเดียวกับว่าบ้าน ไม่
ใช่เป็นบ้านเป็นเรือนที่แท้จริง หรือว่าไม่มีบ้าน
ไม่มีเรือนที่แท้จริง มีแต่ทัพพสัมภาระที่มาปรุงกันขึ้นเท่า
นั้น เพื่อที่จะได้ดับความยึดถือรูปกายอันนี้ว่า
เป็นตัวเราของเรา หรือดังที่เรียกกันทั่วๆ ไปว่าไม่
ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ฉะนั้นจึงต้องเข้าใจ
ว่าคำว่าแยกธาตุ ธาตุในทางกรรมฐานนี้จึงมี
ความหมายดังกล่าว แต่ถึงดังนั้น ก็มีความหมายอัน
เป็นที่รวบรวมเข้ามา ดังที่ได้ตรัสแสดงไว้ใน
ธาตุวิภังคสูตร เป็นต้น ที่มีคำอธิบายคำว่าธาตุแต่ละธาตุ
และอาการของกาย ส่วนไหนต้อง
ด้วยลักษณะของธาตุข้อใด ก็จัดเข้าในธาตุข้อนั้น
ปฐวีธาตุ ธาตุดิน
ตั้งต้นแต่ปฐวีธาตุ ธาตุดิน หมายถึงสิ่งที่แข้นแข็งอันมีอยู่
ในกายอันนี้คือ เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน
ตโจ หนัง มังสัง เนื้อ นหารู เอ็น อัฏฐิ กระดูก อัฏฐิมิญชัง
เยื่อในกระดูก วักกัง ไต หทยัง หัวใจ ยกนัง ตับ กิโลมกัง
พังฝืด ปิหกัง ม้าม ปัปผาสัง ปอด อันตัง ไส้ใหญ่
อันตคุณัง สายรัดไส้ อุทริยัง อาหารใหม่ กรีสัง
อาหารเก่า มัตถเกมัตถลุงคัง ขมองในขมองศีรษะ และ
ส่วนอื่นใดที่แข้นแข็งมีอยู่ในกายอันนี้เรียกว่าปฐวีธาตุ
ธาตุดิน
อาโปธาตุ ธาตุน้ำ
ส่วนที่เอิบอาบเหลวบรรดาที่มีอยู่ในกายนี้คือ ปิตตัง น้ำดี
เสมหัง น้ำเสลด ปุพโพ น้ำหนองน้ำเหลือง โลหิตัง
น้ำเลือด เสโท น้ำเหงื่อ เมโท มันข้น วสา มันเหลว เขโฬ
น้ำลาย สิงฆาณิกา น้ำมูก ลสิกา ไขข้อ มุตตัง มูตร
และสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เหลวเอิบอาบบรรดาที่มีอยู่ในกายนี้
รวมเรียกว่าอาโปธาตุ ธาตุน้ำ
เตโชธาตุ ธาตุไฟ
ส่วนที่อบอุ่นที่ร้อนบรรดาที่มีอยู่ในกายนี้คือ
ไฟที่ทำร่างกายให้อบอุ่น ไฟที่เผาร่างกาย
ให้ชำรุดทรุดโทรม ไฟที่ทำร่างกายให้เร่าร้อน และไฟที่
ช่วยในการย่อยอาหารที่กิน ที่ดื่ม ที่เคี้ยว ที่ลิ้ม
และสิ่งที่อบอุ่นที่ทำให้อบอุ่นให้ร้อนบรรดาที่มีอยู่
ในกายนี้ ก็รวมเรียกว่าเตโชธาตุ ธาตุไฟ
วาโยธาตุ ธาตุลม
ส่วนที่พัดไหวบรรดาที่มีอยู่ในกายนี้
ก็คือลมที่พัดขึ้นเบื้องบน ลมที่พัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง
ลมในไส้ ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ลมที่พัดซ่านไป
ทั่วอวัยวะร่างกายทั้งปวง ลมหายใจเข้าลมหายใจออก
ก็รวมเรียกว่าวาโยธาตุ ธาตุลม
อากาสธาตุ ธาตุอากาศหรือช่องว่าง
และอีกธาตุหนึ่งที่มีแสดงไว้ในพระสูตรเช่น
ในธาตุวิภังคสูตร คืออากาสธาตุ ธาตุคืออากาศช่องว่าง
ได้แก่ช่องว่างทั้งปวงบรรดาที่มีอยู่ในกายนี้ คือช่องหู
ช่องจมูก ทวารปากหรือช่องปาก ช่องที่อาหารกลืนลงไป
ช่องที่อาหารที่บริโภคที่ดื่มที่เคี้ยวที่ลิ้มบรรจุอยู่
และช่องที่อาหารขับถ่ายออกไปในภายล่าง และช่องว่าง
อื่นทั้งหมดที่มีอยู่ในกายนี้ ก็เรียกว่าอากาสธาตุ
ธาตุอากาศ
พิจารณาให้เห็นสักแต่ว่าเป็นธาตุ
พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พิจารณาธาตุ ๔
คือธาตุดินน้ำลมไฟ หรือธาตุ ๕
ธาตุดินน้ำไฟลมอากาศคือช่องว่าง ด้วยปัญญา
โดยชอบตามเป็นจริง ว่านั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่
เป็นนั่น นั่นไม่ใช่เป็นตัวตนของเรา คือไม่ใช่ตัวเราของเรา
สักแต่ว่าเป็นธาตุ เพื่อที่จะได้ละความเห็นยึดถือว่า
เป็นตัวเราของเรา ในรูปกายอันนี้
การพิจารณาดั่งนี้เรียกว่าธาตุกรรมฐาน ที่ท่านแสดงว่า
เป็นกรรมฐานที่แก้นิวรณ์ข้อที่ ๕ คือวิจิกิจฉา
ความเคลือบแคลงสงสัย ทั้งนี้เพราะอะไร ก็
เพราะวิจิกิจฉาความเคลือบแคลงสงสัยทั้งหลายนั้น
ก็ตั้งขึ้นที่ตัวเราของเราเป็นข้อสำคัญ เช่นตัวเราของเรา
ในอดีตเป็นใครมาอย่างไรเป็นต้น ตัวเราของเรา
ในอนาคตจะเป็นอย่างไร เป็นอะไรต่อไปเป็นต้น
และตัวเราในปัจจุบันมีหรือไม่มี และเป็นอย่างไรเป็นต้น
ความสงสัยทั้งปวงเหล่านี้เกิดขึ้นจากความเห็นยึดถือขันธ์
๕ ซึ่งสรุปเป็นรูปธรรมนามธรรม
หรือรูปกายนามกายนี้เองว่าเป็นตัวเราของเรา เพราะฉะ
นั้นขันธ์ ๕ จึงได้เรียกว่า อุปาทานขันธ์ แปลว่าขันธ์
เป็นที่ยึดถือ ฉะนั้นเมื่อมาหัดพิจารณาธาตุกรรมฐาน
พิจารณารูปกายอันนี้ซึ่งเป็นส่วนหยาบ เป็นวัตถุ และเป็น
ส่วนสำคัญแห่งความยึดถือว่าสักแต่ว่า
เป็นธาตุมาประกอบกันเข้า ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
อยู่ที่ไหนมีแต่ธาตุมาประกอบกันเข้าเท่านั้น ก็จะทำให้
ความเห็นยึดถือดังกล่าวนี้หายไป ความเห็นยึดถือ
นั้นเรียกว่า อัตตสัญญา
ความสำคัญหมายว่าตัวเราของเรา
เมื่อมาพิจารณาทำธาตุกรรมฐานให้เห็นว่าสักแต่ว่า
เป็นธาตุ ธาตุสัญญา ความสำคัญหมายว่า
เป็นสักแต่ว่าธาตุก็จะปรากฏขึ้น อัตตสัญญา ก็จะหายไป
เมื่อเป็นดั่งนี้ บรรดาความเคลือบแคลงสงสัย
ทั้งหลายที่ตั้งขึ้นบนฐานคือ
ความเห็นยึดถือว่าตัวเราของเราทั้งปวงก็จะหายไปหมด
อันนี้เป็นหลักสำคัญ เพราะความสงสัยเคลือบแคลง
ทั้งปวงนั้น ส่วนสำคัญส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนฐานคือ
ความเห็นยึดถือว่าตัวเราของเรา
ในรูปกายนามกายนี้แหละ ฉะ
นั้นเมื่อมาพิจารณาเห็นสักแต่ว่าเป็นธาตุได้แล้ว
อัตตสัญญาหายไป ธาตุสัญญามาปรากฏขึ้นแทน
อัตตสัญญาหายไป ความสงสัยทั้งปวงที่ตั้งอยู่บน
ความเห็นยึดถือตัวเราของเราก็หายไป จะมี
ความสงสัยต่อไป ก็ความสงสัยที่ตั้งขึ้นบนธาตุนั่นแหละ
แต่ว่าก็เป็นเรื่องของความสงสัยในธรรมซึ่ง
เป็นทางเจริญปัญญา อันจะนำให้ได้ปัญญาที่ยิ่งขึ้นต่อไป
คราวนี้มาจับพิจารณาถึงคำว่าธาตุที่ตรัสสอนไว้
ให้พิจารณา อันเป็นธาตุกรรมฐานนี้ ก็จะเห็นได้ดังที่
ได้กล่าวมาแล้วนั้น คือกล่าวนำมาแล้ว ว่าก็เป็น
ความหมายที่รวมเข้ามาหาส่วนที่เป็นสาระคือแก่นสาร
ดั่งที่มีอธิบาย ว่าส่วนที่แข้นแข็งเรียกว่าปฐวีธาตุ ธาตุดิน
เป็นต้น เพราะฉะนั้นคำว่าธาตุนี้ จึงมีความหมายที่รวม
เข้ามาถึงส่วนที่เป็นสาระแก่นสาร แต่อันที่จริงนั้นก็ยังมิ
ใช่สิ่งที่เป็นสาระแก่นสารอย่างละเอียดทีเดียวในทางวัตถุ
แต่ก็ได้กล่าวแล้ว ว่าที่ได้ตรัสแสดงแยกธาตุดั่งที่มี
ความหมายดังกล่าวนั้นมุ่งที่จะให้ปฏิบัติ
เป็นการแยกธาตุกรรมฐาน เพื่อผลคือความที่จะ
ได้แยกธาตุทางจิตใจ ทำให้บรรลุถึงความสิ้นกิเลส
และกองทุกข์ของจิตใจเป็นประการสำคัญ ซึ่งจะ
ได้กล่าวต่อไปในด้านสังขตธรรม
และอสังขตธรรมทางจิตใจ
ทรงแสดงว่าอากาศไม่มีที่สุด วิญญาณไม่มีที่สุด
ส่วนที่กำลังกล่าวนี้กำลังกล่าวถึงด้านวัตถุ และด้านวัตถุก็
เป็นอันว่าได้มีการแสดงธาตุที่ทำให้เห็นถึง
ความหมายของคำว่าธาตุ คือเป็นที่รวมเป็นส่วนที่
เป็นสาระแก่นสารเป็นอย่างๆ ไปคือเป็นส่วนที่แข้นแข็ง
ส่วนที่เหลวเอิบอาบ ส่วนที่อบอุ่นรุ่มร้อน ส่วนที่พัดไหว
และส่วนที่เป็นช่องว่าง อันส่วนที่
เป็นช่องว่างอันเรียกว่าอากาสธาตุนั้น หมายถึงช่องว่าง
ในร่างกายอันนี้ แต่อันที่จริงนั้น
อากาสธาตุคือช่องว่างนอกกายอันนี้อันเป็น
ส่วนของโลกธาตุมีอยู่เป็นอันมาก ในทางพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงว่าเป็นอนันตะคือไม่มีที่สุด
ได้ตรัสแสดงที่เป็นอนันตะไม่มีที่สุดไว้ ๒ อย่าง
คืออากาศไม่มีที่สุด วิญญาณไม่มีที่สุด
และอากาศคือช่องว่างนี้ไม่ได้หมายถึงธาตุที่มีอยู่
ในอากาศคือช่องว่าง คำที่เราเรียกกันว่าอากาศที่หายใจ
เข้าหายใจออก อันหมายถึงเป็นตัวธาตุละเอียดที่มอง
ไม่เห็นด้วยตา หายใจเข้าหายใจออกเราเรียกว่าอากาศ
อันที่จริงสิ่งที่หายใจ
เข้าหายใจออกที่เราเรียกอากาศดีอากาศเสียนั้นไม่
ใช่ตัวช่องว่าง ถ้าตัวช่องว่างจริงๆ แล้วไม่มีอะไร
ดังที่เราบัญญัติเรียกกันว่า สูงขึ้นไปมากที่ไม่มีลมหายใจ
เข้าลมหายใจออกไม่มีอากาศหายใจเข้าหายใจออก
เป็นบรรยากาศหรืออวกาศเป็นต้นนั้น นั่นก็
เป็นคำที่สมมติเรียกขึ้นมาและก็อาจจะนั่นแหละที่
เป็นช่องว่างจริงๆ ก็ได้ คือไม่มีอะไร แต่ว่าต่ำลงมานี้ที่อยู่
ใกล้โลกเรานี้มีสิ่งที่หายใจได้คือมีอากาศ เราเรียก
กันว่าอย่างนั้น คือขอยืมคำนี้ไปเรียก
เพราะเหตุว่าสิ่งที่เราหายใจนั้นมองไม่เห็น
จึงขอยืมเรียกว่าอากาศ แต่อันที่จริงนั้นไม่ตรงกับ
ความหมายในทางธรรมที่เรียกว่าอากาสธาตุนี้
ความหมายของธรรมในคำว่าอากาสธาตุนี้ มุ่ง
ถึงช่องว่างดังที่กล่าวมาแล้ว เมื่อเป็นช่องว่างดังนี้ ท่านจึง
ไม่แสดงไว้ในธาตุทั่วไป ในธาตุทั่วไปนั้นท่านแสดงไว้
เป็น ๔ เท่านั้น คือ สิ่งที่แข้นแข็ง สิ่งที่เหลวเอิบอาบ
สิ่งที่อบอุ่นรุ่มร้อน และสิ่งที่พัดไหว ซึ่งบรรดาสิ่งทั้ง ๔
เหล่านี้ ก็จะพึงกล่าวได้ว่าเป็นวัตถุทั้งนั้น เป็นวัตถุที่หยาบ
เป็นวัตถุที่ละเอียด หรือเป็นวัตถุที่มีลักษณะต่างๆ กัน
ก็ธาตุเหล่านี้เองที่มาประชุมกันก็
เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง
ทั้งหลายดังที่เรียกว่าสังขารโลก และเมื่อมีวิญญาณธาตุ
เข้าประกอบ เป็นวิญญาณที่ยังมีกิเลสที่
ยังยึดถือเกี่ยวเกาะอยู่ ก็เป็นสัตวโลก สัตวโลกจึง
เป็นตัววิญญาณนั้นเอง ที่ยังมีกิเลสที่ยังยึดถือเกี่ยวเกาะ
อยู่ประกอบกันอยู่ก็เป็นธาตุ ๖ ก็มาเป็นบุคคลนี้ ดังที่ตรัส
ไว้ในธาตุวิภังคสูตร
อธิบายธาตุ และสังขาร
คราวนี้แม้ในวิชาการทางโลก เมื่อรวมเข้ามาแล้วก็
เป็นธาตุและสังขาร ส่วนที่ผสมปรุงแต่งเป็นสังขาร ส่วนที่
เป็นวัตถุซึ่งถูกนำมาผสมปรุงแต่งก็เป็นธาตุ
ดั่งเช่นร่างกายอันนี้เป็นสังขารธาตุ ๔ ที่มาผสมปรุงแต่ง
เป็นร่างกายอันนี้ นั่นก็เป็นธาตุ
คราวนี้มุ่งวิชาการทางโลกที่อาจแยก
ให้ละเอียดออกไปอีก เมื่อยังพบว่าเป็นสิ่งที่ผสมปรุงแต่ง
อยู่ สิ่งใดก็ตาม สิ่งนั้นก็เป็นสังขาร
และสิ่งที่ถูกแยกออกไป
เป็นตัวแก่นสารอันมาผสมปรุงแต่งกันขึ้น สิ่งที่ค้นพบอัน
เป็นตัวแก่นสารนั้นก็เป็นธาตุ และสิ่งที่พบกันว่าเป็นธาตุ
นั้น ครั้นเมื่อความรู้เจริญขึ้น ก็ยังพบว่ายังไม่ใช่ธาตุแท้
ยังเป็นส่วนผสมปรุงแต่งอีก นั่นก็เป็นสังขาร ยังไม่
ใช่ธาตุแท้ และสิ่งที่ได้ค้นพบว่า
เป็นตัวแก่นสารที่ละเอียดที่สุด นั่นก็เป็นธาตุ
และหากว่าต่อไปถ้าได้มีความรู้ พบว่าสิ่งที่เข้าใจว่า
เป็นธาตุนั้นยังเป็นส่วนผสมปรุงแต่งอยู่อีก ก็ยัง
เป็นสังขารอยู่นั่นแหละ ส่วนสิ่งที่
เป็นสาระแก่นสารที่สุดจนถึงไม่สามารถจะแยกอกไป
ได้อีก อันเป็นตัวที่เป็นสาระแก่นสารทีเดียวแยกออกไป
ไม่ได้อีก ถ้าสิ่งนั้นมีจริงๆ นั่นก็เป็นธาตุแท้ ซึ่ง
ในปัจจุบันนี้ก็ได้พบไปโดยลำดับ จนนับว่าละเอียดที่สุด
อันนี้ก็แสดงว่าตรงกับหลักของสังขตธรรม
กับอสังขตธรรม สังขตธรรม
ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งก็คือสังขาร คำว่าธรรมนี้ได้
ทั้งวัตถุได้ทั้งที่ไม่ใช่วัตถุ มีความหมายถึงสิ่งทั้งปวงได้
ทั้งหมด ก็เป็นสังขาร ส่วนสิ่งที่เป็นธาตุ ตัวธาตุที่
เป็นสาระแก่นสารจริงๆ ไม่ได้ถูกปรุงแต่ง เป็นตัวเดิมจริงๆ
ไม่ได้ถูกปรุงแต่งซึ่งนับว่าละเอียดที่สุด อย่างไรก็ตาม นั่น
เป็นตัวธาตุที่เป็นอสังขตธรรม ธรรมที่ปัจจัยมิได้ปรุงแต่ง
ถ้ายังเป็นสังขตธรรมคือสิ่งที่ปรุงแต่งอยู่ที่ประกอบอยู่ ก็
เป็นสังขารทั้งนั้น สิ่งที่ไม่ถูกปรุงแต่งจริงๆ
เป็นตัวเดิมจริงๆ แยกออกไปไม่ได้จริงๆ
ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งจริงๆ เป็นตัวเดิมจริงๆ นั้น
เป็นอสังขตธรรม ดังที่ได้กล่าวมานี้ เป็นสังขตธรรม
และอสังขตธรรมทางวัตถุที่มีอยู่ และพระพุทธเจ้าก็
ได้ตรัสรู้และได้ทรงสั่งสอน แต่ก็ทรงสั่งสอนมุ่ง
ในด้านปฏิบัติกรรมฐานเพื่อให้พ้นทุกข์ ไม่ได้ทรงสั่งสอน
ในด้านทางโลก จึงได้ตรัสสอน
ให้แยกรูปกายอันนี้แยกธาตุออกไปเป็นธาตุ ๔ ธาตุ ๕
๑ กันยายน ๒๕๒๖
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร ในพรรษากาล
๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูถัมภ์
จัดพิมพ์เนื่องในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 01:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๗ ลักษณะพุทธศาสนา - สังขตธรรม
และอสังขตธรรม (๓)
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
รูปกายและนามกาย
ได้แสดงลักษณะพุทธศาสนามาถึงสังขตธรรม
และอสังขตธรรมทางวัตถุ จากนี้จะได้แสดงสังขตธรรม
และอสังขตธรรมทางจิตหรือ วิญญาณธาตุ ดังที่
ได้กล่าวมาแล้วว่าบุรุษสตรีบุคคลทั้งปวง
พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีธาตุ ๖ สำหรับธาตุทางวัตถุ
นั้นก็คือธาตุ ๕ ข้างต้นประกอบกันเป็นรูปกาย ส่วนธาตุที่
๖ คือวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ ก็มาประกอบเข้า วิญญาณธาตุ
นั้นเมื่อมาประกอบเข้ากับรูปกายคือธาตุ ๕ ข้างต้น
ก็ปรากฏเป็น นามกาย ซึ่งเป็นอาการของวิญญาณธาตุ
หรือจิตใจ สำหรับรูปกายคือกองรูปโดยเฉพาะนั้น
เป็นสิ่งที่มีสรีรสัณฐานเป็นวัตถุ และเมื่อมาประกอบกันก็
เป็นสังขาร คือเป็นส่วนผสมปรุงแต่งมาจากธาตุทั้งหลาย
และธาตุนั้นได้แสดง
แล้วว่าทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าแสดงไว้อย่างไร
ได้มุ่งอะไร แต่ก็ได้เป็นต้นฉบับหรือต้นทางที่จะ
ให้มองเห็นได้ ว่าส่วนที่เป็นสังขารคือส่วนผสมปรุงแต่ง
นั้น ที่ปรากฏเป็นรูปกายของทุกๆ คนจะต้องมา
จากสิ่งที่มาผสมปรุงแต่งเข้า และสิ่งนั้นคือธาตุ และธาตุ
นั้นมุ่งถึงส่วนที่เป็นสาระแก่นสาร เช่นปฐวีธาตุ ธาตุดิน
ก็หมายถึงสิ่งที่แข้นแข็งเป็นต้น และสิ่งที่แข้นแข็ง
นั้นเมื่อแยกออกไปอีกๆ ก็ย่อมจะพบละเอียดเข้าๆ ไป
โดยลำดับ จนถึงที่สุด แปลว่าแยกไปอีกไม่ได้ นั่น
เป็นตัวธาตุแท้ดั้งเดิม แต่บัดนี้จะค้นพบหรือยังไม่ทราบ นี้
เป็นด้านวัตถุ ซึ่งด้านวัตถุแม้ที่กล่าวมาแล้วนี้ก็สรุปลงได้
ว่าส่วนที่เป็นสังขารนั้นก็เป็นสังขตธรรม และส่วนที่
เป็นธาตุแท้ก็เป็นอสังขตธรรม เพราะเมื่อแยกออกไปอีก
ไม่ได้ เมื่อมีอยู่ก็แปลว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่ง
เป็นตัวเดิมแท้ๆ ของวัตถุ
คราวนี้มาว่าถึงวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ก็เหมือนกัน
อันวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ ที่มาประกอบอยู่ในกายนี้อันหมาย
ถึงรูปกายอันนี้ ก็ย่อมจะมีตัวเดิมซึ่งเป็นตัวธาตุแท้
และมีตัวอาการซึ่งเป็นสังขารหรือเป็น
ส่วนผสมปรุงแต่งเช่นเดียวกัน บุคคลทุกๆ คน
นั้นย่อมรู้สึกได้หรือว่าจับได้ในส่วนที่เป็นอาการ ดังที่
ได้ตรัสแสดงไว้ในขันธ์ ๕ ที่เป็นส่วนนามกาย คือเวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ
เวทนา
นามข้อที่ ๑ คือเวทนานั้น ได้แก่ความรู้สุขรู้ทุกข์หรือรู้
เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ที่ทุกๆ คนได้มีความรู้สึกอยู่
คำว่าเวทนานั้นมักจะแปลกันว่าเสวยอารมณ์
คือกินอารมณ์หรือว่าเอาสุขทุกข์มาใส่เข้า
ว่าเสวยสุขเสวยทุกข์เสวยเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข
ในเมื่อเสวยสุขทุกคนก็รู้สึกว่าสบายกายสบายใจ
เมื่อเสวยทุกข์ทุกคนก็รู้สึกว่าไม่สบายกายไม่สบายใจ
เมื่อเสวยภาวะเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข
ก็รู้สึกปรกติเฉยๆ ธรรมดา เหมือนอย่างในเมื่อยู่
ในที่มีอากาศเป็นกลางๆ ไม่ร้อนไม่หนาว รู้สึกเฉยๆ
ธรรมดา เหมือนอย่างว่าไม่มีเวทนา แต่ความจริงนั้นมี
คล้ายๆ กับว่าบริโภคอาหารที่มีรสเป็นปรกติธรรมดา ก็
ไม่รู้สึกว่าอร่อย แต่ก็ไม่รู้สึกว่าจืดชืดไม่ชอบรส ซึ่ง
ความจริงก็เคี้ยวอาหาร
และก็กลืนอาหารลงท้องไปเรียกว่ากินเหมือนกัน
แต่เมื่อรสเป็นธรรมดาก็รู้สึกเป็นปรกติธรรมดา อร่อยก็
ไม่ใช่ ไม่อร่อยก็ไม่ใช่ ดั่งนี้คือเวทนาที่เป็นกลางๆ จึง
ได้แบ่งเวทนาเป็น ๓ คือสุขเวทนา ทุกขเวทนา
และอทุกขมสุขเวทนา เวทนาที่ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข
และก็มีแบ่งพิสดารออกไปเป็น ๕ คือสุขเวทนานั้นก็แบ่ง
เป็น ๒ คือสุขเวทนาทางกาย สุขเวทนาทางใจ
ทุกขเวทนานั้นก็แบ่งเป็น ๒ คือทุกขเวทนาทางกาย
ทุกขเวทนาทางใจ ส่วนเวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุข
นั้นเรียกอุเบกขาเวทนา เวทนาที่เป็นกลางๆ ไม่ใช่ทุกข์ไม่
ใช่สุข แบ่งเป็น ๕ เวทนา นี้ก็เป็นอาการของจิต
หรือของธาตุรู้ ซึ่งนับว่าเป็นตัวสังขารคือ
ส่วนผสมปรุงแต่งเหมือนกัน จึงเป็นเวทนาขึ้นมา แต่ว่า
เป็นสังขารอย่างไรนั้นจะยังไม่อธิบาย
สัญญา
นามข้อที่ ๒ คือสัญญา ความรู้จำ ก็คือจำรูป จำเสียง
จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ สิ่งที่กายถูกต้อง
และจำเรื่องราวทางใจ แม้ความรู้จำคือสัญญานี้ก็
เป็นสังขาร คือส่วนผสมปรุงแต่งเหมือนกัน
สังขาร
นามข้อที่ ๓ คือสังขาร ซึ่งเป็นคำที่ซ้ำกันกับคำว่าสังขาร
แต่ว่าสังขารในขันธ์ ๕ นี้ มุ่งถึงสังขารทางใจเท่านั้น คือ
ความคิดปรุงหรือปรุงคิด ก็คิดปรุงหรือปรุงคิดรูปบ้าง
เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง โผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูก
ต้องบ้าง ธัมมะคือเรื่องราวทางใจบ้าง หรือว่าแบ่งสรุปลง
เป็น ๓ คิดดี คิดชั่วหรือคิดไม่ดี และคิดเป็นกลางๆ
อันนี้เรียกว่าสังขาร ได้แก่รู้ปรุงหรือรู้คิด คือคิดปรุง
หรือปรุงคิด อันนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวสังขารโดยตรง คือ
เป็นส่วนผสมปรุงแต่ง
วิญญาณ
นามข้อที่ ๔ คือวิญญาณซึ่งเป็นความรู้ ในเมื่อตา
กับรูปประจวบกันก็รู้รูปคือเห็น ในเมื่อหูกับเสียงประจวบ
กันก็รู้เสียงคือได้ยิน เมื่อจมูกกับกลิ่นประจวบ
กันก็รู้กลิ่นคือทราบกลิ่น เมื่อลิ้นกับรสประจวบ
กันก็รู้รสคือทราบรส เมื่อมโนคือใจ
กับธัมมะคือเรื่องราวประจวบกันก็รู้เรื่อง คือ
ความรู้ที่เราเรียกว่าเห็นรูป ความรู้ที่เราเรียกว่าได้ยิน
หรือฟังคือได้ยินเสียงฟังเสียง
ความรู้ที่เราเรียกว่าทราบคือทราบกลิ่นทราบรสทราบโผฏฐัพพะคือสิ่งที่กายถูก
ต้อง และความรู้ที่เราเรียกว่ารู้หรือคิดคือรู้หรือคิดเรื่อง
ในขณะที่อายตนะภายในอายตนะภายนอกมาประจวบกัน
เข้านี้คือวิญญาณ เป็นวิญญาณในขันธ์ ๕ ไม่ใช่
เป็นวิญญาณในวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ที่กล่าวมาโดยลำดับ
อธิบายทบทวนสังขารและวิญญาณในความหมายต่างกัน
เพราะฉะนั้นมาถึงตอนนี้แล้วจะพบคำที่ซ้ำกัน แต่
ความหมายต่างกันอยู่ ๒ คำ คำหนึ่งก็คือคำว่าสังขาร
ที่พูดมาโดยลำดับตั้งแต่ต้นแล้วว่าสิ่งที่ผสมปรุงแต่ง
นี่คลุมทั้งหมด ทุกอย่างที่ผสมปรุงแต่งเป็นสังขารทั้งนั้น
และมาถึงสังขารอีกคำหนึ่งก็คือสังขารในขันธ์ ๕ ก็หมาย
ถึงผสมปรุงแต่งเหมือนกัน แต่ว่าเฉพาะที่
เป็นทางจิตใจคือคิดปรุงหรือปรุงคิดต่างๆ
อีกคำหนึ่งคือคำว่าวิญญาณ ที่กล่าวมาโดยลำดับนั้น
วิญญาณธาตุ ธาตุรู้ ซึ่งหมายถึงรู้ที่เป็นตัวเดิม
หรือว่าจิตที่เป็นตัวเดิม แต่ว่าวิญญาณในขันธ์ ๕ นี้มุ่ง
ถึงการเห็นการได้ยินเป็นต้นดังกล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น
เมื่อมุ่งอธิบายต่างกันดังนี้ ก็จะพึงเห็นว่าวิญญาณนี้
เป็นวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ หมายถึงรู้ที่เป็นตัวเดิม
ในบุคคลทุกๆ คนนี้มีรู้ที่เป็นตัวเดิมประกอบอยู่
จะนอนหลับหรือว่าจะตื่นหรือว่าสลบไสลไปยัง
ไม่ตายละก็ ตัวรู้ที่เป็นตัวเดิมนี้ยังอยู่
นี้คือตัววิญญาณธาตุ ธาตุรู้ รู้ที่เป็นตัวเดิม ส่วนวิญญาณ
ในขันธ์ ๕ นี้ ถ้าหากว่าตากับรูปไม่มาประจวบกัน
จักขุวิญญาณรู้ทางตาก็ไม่เกิดไม่มี เหมือนอย่างหลับตา
อยู่ไม่ได้ดูอะไรไม่ได้มองอะไร
ยิ่งคนตาบอดก็แปลว่าจักขุวิญญาณไม่มี ทางอื่นก็เหมือน
กัน เช่นว่าหูกับเสียงถ้าไม่มาประจวบกัน
โสตวิญญาณรู้ทางหูก็ไม่มี คนหูหนวกก็ย่อมไม่มีข้อนี้
คนตาบอดหูหนวกนั้นก็แปลว่าไม่มีจักขุวิญญาณ
ไม่มีโสตวิญญาณ จมูกลิ้นกายนั้นก็เหมือนกัน คนที่
เป็นอัมพาตเอาเข็มแทง ก็ไม่เจ็บตรงที่เป็นอัมพาตนั้น
หรือว่าคนที่เขาฉีดยาชาผ่าตัดไม่เจ็บ
ก็แปลว่าดับกายวิญญาณ ดับรู้ทางกายในส่วนนั้น
มโนวิญญาณ ถ้าหากว่ามโนคือใจกับธัมมะคือเรื่องราว
ไม่มาประจวบกัน มโนวิญญาณก็ไม่เกิด
เช่นขณะที่หลับสนิทหรือสลบไสลไปทีเดียว
แต่ว่าแม้คนตาบอดหูหนวกคนที่สลบไสลคนที่ถูกฉีดยาชาดังกล่าวมา
นั้น ตัววิญญาณธาตุที่เป็นธาตุรู้ คือรู้ที่เป็นตัวเดิม ยังอยู่
เขาจึงสะกดจิตที่หัดกันมาแล้วให้คนตาบอดเห็นได้
ในขณะที่จิตถูกสะกดเข้าสู่สภาพที่จะเรียกว่าเป็นสมาธิ
หรือเป็นจิตส่วนลึก ให้รู้สึกเห็น
ได้เหมือนอย่างอาศัยทางประสาทกายส่วนใดส่วนหนึ่ง
เพราะว่ายังมีวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ที่เป็นตัวเดิมคือตัวรู้ รู้ที่
ยังเป็นตัวเดิมอยู่ เพราะฉะ
นั้นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณทั้ง ๔ นี้จึงเป็นความรู้
ซึ่งเป็นสังขารคือส่วนผสมปรุงแต่ง ซึ่งมาจากรู้ที่
เป็นตัวเดิมคือธาตุรู้ เมื่อรู้ที่เป็นตัวเดิมคือธาตุรู้
นั้นมาประกอบกันอยู่กับรูปกาย ซึ่งเป็นธาตุไม่รู้คือ
เป็นวัตถุ แล้วก็ได้ความรู้ที่เป็นตัวอาการทั้ง ๔ นี้
เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ รู้สุขรู้ทุกข์รู้เป็นกลางๆ
ไม่ทุกข์ไม่สุข รู้จำ รู้คิดปรุงปรุงคิด และรู้เห็นรู้ได้ยิน
เป็นต้น ดังที่สามัญชนทุกๆ คนได้อยู่มีอยู่ ความรู้เหล่านี้
เป็นสังขารคือส่วนผสมปรุงแต่งทั้งนั้น ซึ่งมาจากธาตุรู้ที่
เป็นตัวรู้เดิมมาประกอบกันกับรูปกาย
กายมีความหมายอย่างเดียวกับขันธ์
ตรงนี้จะอธิบายคำว่า “กาย” ซึ่งมักจะเข้าใจกันว่าหมาย
ถึงรูปกายอย่างเดียว และบางทีเราก็เรียกรูปกายว่ากาย
เช่นคำว่ากายใจ คำว่ากายในคำว่ากายใจนี้หมายถึงรูป
ใจก็ใจ แต่บางทีคำว่ากายนั้นก็มาใช้กับนามด้วย
เช่นรูปกาย นามกาย คือคำว่ากายนี้แปลว่าประชุม เหมือน
กับคำว่าขันธ์ที่แปลว่ากอง กองก็คือสิ่ง
ทั้งหลายหลายอย่างมากองรวมกัน กายก็แปลว่าประชุม
ก็หมายถึงสิ่งหลายอย่างมาประชุมกัน เพราะฉะ
นั้นคำว่ากายกับคำว่าขันธ์จึงมีความหมายเป็นอย่างเดียว
กัน และอาจใช้ได้ทั้งแก่รูป เรียกว่ารูปกาย ทั้งแก่นาม
เรียกว่านามกาย และคำว่านามนั้นก็บ่งอยู่แล้ว ว่าไม่ใช่รูป
สักแต่ว่าเป็นนาม และคำว่านามนี่แปลว่าอะไรมี
ความหมายอย่างไรจะต้องอธิบายอีกหนหนึ่ง เพราะฉะ
นั้นให้เข้าใจคำว่ากายดั่งนี้ เวลาเรียกว่ารูปกายนามกาย
จะได้ไม่สงสัยคือใช้ได้ทั้งสอง
แปลว่าประชุมแห่งรูปประชุมแห่งนาม
ก็คือกองรูปกองนาม
อุปาทานขันธ์ ขันธ์เป็นที่ยึดถือ
คราวนี้คำที่เรียกโดยมากว่าขันธ์ ๕ นั้น
ขันธ์ก็คือคำว่ากองดั่งที่กล่าวแล้ว รูปขันธ์ ก็คือกองรูป
ก็หมายถึงหลายๆ สิ่งมารวมกันเข้า มากองอยู่เป็นรูป
เวทนาขันธ์ กองเวทนา สัญญาขันธ์ กองสัญญา
สังขารขันธ์ กองสังขาร วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ
ก็หมายความว่าเวทนาก็มีหลายอย่าง
สัญญาก็หลายอย่าง สังขารก็หลายอย่าง
วิญญาณก็หลายอย่าง มากองรวมกันอยู่เป็นกอง
จึงเรียกว่าขันธ์แต่ละข้อ และที่เรียกว่า อุปาทานขันธ์
ขันธ์เป็นที่ยึดถือก็หมายความว่า สัตว์บุคคลทั้งปวง
นั้นย่อมยึดถือขันธ์ทั้ง ๕ นี้ว่า “เอตํ มม” นี่เป็นของเรา “
เอโสหมสฺมิ” เราเป็นนี่ “เอโส เม อตฺตา” นี่
เป็นอัตตาตัวตนของเรา เพราะฉะนั้นขันธ์ทั้ง ๕ นี้
จึงเรียกว่าอุปาทานขันธ์ แปลว่าขันธ์เป็นที่ยึดถือ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ทรงสั่งสอนให้รู้จักสัจ
จะคือความจริง ว่าอันที่จริงนั้นข้อที่บุคคลยึดถือกัน
อยู่ว่าอัตตา คือตัวตนก็ดี อัตตนิยะ คือที่
จะพึงยึดถือว่าตัวตนก็ดี โดยมากนั้นก็เข้าใจ
หรือเห็นว่ารวมๆ กันอยู่ว่านี้แหละตัวเราของเรา เข้าใจ
และเห็นรวมๆ กันอยู่ จึงได้ตรัสแยกออกไป ว่าอันที่จริง
นั้นก็แยกออกไปได้เป็นขันธ์ ๕ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ รูปขันธ์คือกองรูป
นั้นก็เป็นสังขารส่วนผสมปรุงแต่งทั้งนั้น แต่ว่าก็เป็น
ส่วนผสมปรุงแต่งซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา
เหมือนอย่างต้นไม้ก็เป็นส่วนผสมปรุงแต่ง
ก็เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติธรรมดา ที่ว่าธรรมชาติธรรมดา
นั้นก็หมายความว่าเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย
คือเมื่อมีเหตุปัจจัยก็ย่อมเกิดเป็นผลขึ้นมา ธรรมชาติ
ทั้งหลายในโลกก็เป็นอย่างนี้ ซึ่งที่ปรากฏ
เป็นฝนตกแดดออกเป็นผลก็เกิดขึ้นจากเหตุซึ่ง
เป็นธรรมชาติธรรมดา ฟ้าผ่าก็เป็นผลที่เกิดจากเหตุซึ่ง
เป็นธรรมชาติธรรมดา กลางวันกลางคืนเป็นต้นก็เหมือน
กัน โลกธาตุดาวเดือนทั้งหมดก็เหมือนกัน สัตว์บุคคล
ทั้งหมดก็เหมือนกัน และมาเฉพาะจิตใจก็
โดยสิ่งที่เรียกว่าเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเดรัจฉานก็ดี
ย่อมมีธรรมชาติธรรมดาที่ประกอบกันอยู่ ๒
ส่วนดังกล่าวมาแล้ว คือส่วนที่ไม่รู้คือส่วนที่เป็นวัตถุ
ได้แก่ส่วนที่เป็นรูปกาย และส่วนที่เป็นธาตุรู้คือตัวรู้
ส่วนที่ไม่รู้กับส่วนที่รู้มาประกอบกันเข้าก็เป็นมนุษย์
เป็นสัตว์เดรัจฉานต่างๆ มนุษย์นั้นก็มีชาติกำเนิดเกิด
ในครรภ์ สัตว์เดรัจฉานนั้นก็มีชาติกำเนิดต่างๆ เกิด
ในไข่ก็มี เกิดในเถ้าไคลก็มี เกิดในครรภ์อย่างมนุษย์ก็มี
ตลอดไปถึงอีกจำพวกหนึ่งเรียกว่าโอปปาติกะ
คือพวกที่ลอยเกิด ไม่ได้เกิดในครรภ์เกิดในไข่เกิดในเ
ถ้าไคลเหมือนอย่างมนุษย์และเดรัจฉานทั้งหลาย
ได้แก่พวกเทพทั้งหลาย พวกผีทั้งหลาย พวกอสุรกาย
ทั้งหลาย เรียกว่าพวกเทวดามารพรหม เปรตอสุรกาย
นรก อะไรทั้งหมดนี้เป็นพวกโอปปาติกะหรือพวกลอยเกิด
แต่ก็มีกายทิพย์ที่เป็นกายส่วนละเอียด กับมีตัวรู้
หรือมีธาตุรู้ รู้ที่เป็นตัวเดิมอีกเหมือนกันมาประกอบกัน จึง
ได้รวมกันเข้าเรียกว่าสัตวโลก นี้เป็นธรรมชาติธรรมดา
กันมาทั้งนั้น
คราวนี้อย่างภูเขาที่เป็นภูเขาขึ้นมา แม่น้ำเป็นแม่น้ำขึ้นมา
นี้เป็นแต่วัตถุ วัตถุที่ไม่มีรู้ ต้นไม้ทั้งหลายท่านแสดงว่า
เป็นสิ่งที่มีอินทรีย์เดียวคือชีวิตินทรีย์ อินทรีย์คือชีวิต
แต่ก็ไม่นับว่ามีธาตุรู้หรือรู้ที่เป็นตัวเดิม แต่อันที่จริง
นั้นต้นไม้ก็มีตัวรู้เหมือนกัน แต่เรา
ไม่เรียกว่ารู้เหมือนอย่างมนุษย์สัตว์ทั้งหลาย
อย่างต้นไม้บางอย่างไปถูกเข้า ใบจะหุบทันที
เหมือนอย่างมีรู้เหมือนกันหรือเช่นที่เขาทดลองดูแล้ว
ว่าต้นไม้ที่คนหมั่นไปเยี่ยมและคนแผ่เมตตาให้อยู่เสมอๆ
มักจะงอกงามดีกว่าต้นไม้ที่ปล่อยปละละเลยไม่สนใจ
แม้ว่าจะให้น้ำให้อาหารคล้ายๆ กันก็ตาม
ก็เหมือนอย่างว่ารับรู้เหมือนกัน แต่ว่า
ไม่มากจนเรียกว่ามีธาตุรู้หรือที่เรียกว่ารู้ที่เป็นตัวเดิม
คราวนี้ที่จะมาถึงจุดของความรู้ซึ่งเป็นตัวสังขาร กับรู้ที่
เป็นตัวเดิมที่เรียกว่าธาตุรู้ อันจะพึงเรียกได้ว่าวิสังขาร
ความรู้หรือรู้ที่เป็นสิ่งผสมปรุงแต่งนั้นเป็นสังขตธรรม รู้ที่
เป็นตัวเดิมนั้นหรือที่เรียกว่าธาตุรู้นั้นคือที่เป็นธาตุแท้
เรียกว่าอสังขตธรรม แต่คราวนี้ที่จะเป็นสังขตธรรมขึ้นมา
ตลอดจนถึงทำให้ธาตุที่ไม่รู้คือที่เป็นวัตถุ
เป็นสังขตธรรมไปด้วยนั้น ก็
เพราะมีอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ากิเลสเข้ามาผสมปรุงแต่งอยู่
กับความรู้หรือธาตุรู้ดังกล่าวนั้นด้วย
๒ กันยายน ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร ในพรรษากาล
๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูถัมภ์
จัดพิมพ์เนื่องในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 01:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๘ ลักษณะพุทธศาสนา - สังขตธรรม
และอสังขตธรรม (๔)
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ได้แสดงหลักพุทธศาสนามาถึงสังขตธรรม
กับอสังขตธรรม และได้แสดงทางฝ่ายวัตถุมาแล้ว
กำลังแสดงถึงฝ่ายจิตใจ ซึ่งได้กล่าวว่าเป็นธาตุรู้ อันใช้
เป็นภาษาบาลีในพระสูตรหนึ่งว่า วิญญาณธาตุ ธาตุรู้
ซึ่งมาประกอบเข้ากับฝ่ายธาตุที่ไม่รู้ จึง
เป็นสัตว์บุคคลชายหญิงดั่งที่ปรากฏอยู่ และเพราะเหตุที่
ยังมีอีกส่วนหนี่งเข้ามาผสมปรุงแต่งคือส่วนกิเลส วันนี้จะ
ได้ย้ำความบางประการเพื่อให้ชัดขึ้น
สังขตธรรมฝ่ายวัตถุ
พระพุทธเจ้าได้ทรงเป็นพระสัพพัญญู คือเป็นผู้ตรัสรู้
ทั้งหมด ตรัสรู้จบสากลธรรม ธรรมทั้งสิ้น สากลโลก โลก
ทั้งสิ้น อันรวมทั้งสากลสัตวโลก สัตวโลกทั้งสิ้น ดังนั้นจึง
ได้ทรงประมวลทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างทั้งฝ่ายที่เป็นวัตถุ ละ
ทั้งฝ่ายที่ไม่ใช่วัตถุคือจิต เข้าเป็นสังขตธรรม
ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งอย่างหนึ่ง อสังขตธรรม ธรรมที่
ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งอย่างหนึ่ง และสิ่งที่ปรากฏอยู่
ในโลกนี้ที่เป็นฝ่ายวัตถุล้วนๆ ก็มี ๒ อย่างดังกล่าว
นั้นเช่นเดียวกัน ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ว่าเรียกกัน
ถึงสิ่งที่มีปัจจัยปรุงว่าสังขตธรรมว่าสังขาร และสังขาร
นั้นก็คือส่วนผสมปรุงแต่งทั้งหลาย ว่าถึงฝ่ายที่เป็นวัตถุ
เท่านั้น ไม่มีจิตใจเข้าประกอบ ก็เป็นฝ่ายสังขารคือ
ส่วนผสมปรุงแต่ง เอาอะไรมาปรุงแต่ง ปรุงแต่งจากอะไร
ก็จากธาตุทั้งหลายคือส่วนที่เป็นสาระแก่นสาร ซึ่ง
จะกล่าวได้ว่าเป็นตัวเดิม ดังเช่นปรุงแต่งมาจากธาตุทั้ง ๔
ซึ่งได้กล่าวมาแล้วว่าแสดง
ในทางวิปัสสนากรรมฐานสำหรับจัดขึ้นพิจารณาแยกธาตุ
แต่ก็ได้ประโยชน์ตั้งแต่ทางสมถกรรมฐานขึ้นไปด้วย
สิ่งที่แข้นแข็งก็เรียกว่าปฐวีธาตุ ธาตุดิน ที่เหลวเอิบอาบก็
เป็นอาโปธาตุ ธาตุน้ำ ที่อบอุ่นก็เป็นเตโชธาตุ ธาตุไฟ
ที่พัดไหวก็เป็นวาโยธาตุ ธาตุลม และเมื่อทั้ง ๔
นี้มาผสมปรุงแต่งขึ้นเป็นสังขาร เช่นเป็นภูเขา
เป็นก้อนดิน ท่อนไม้ ก็ย่อมมีอากาสธาตุ
ธาตุอากาศคือช่องว่าง อยู่ในสิ่งเหล่านี้อีกด้วย
และนี้คืออากาสธาตุ ช่องว่าง ความจริงในช่องว่างนั้น
ต้องหมายถึงว่าไม่มีอะไร แต่ในทุกสิ่งก็มีช่องว่างอยู่ทั้ง
นั้น อย่างหยาบอย่างละเอียด คราวนี้เมื่อค้นลงไปๆ ถ้า
สามารถจนถึงธาตุที่เป็นอย่างละเอียดที่สุดที่แยกออกไป
ไม่ได้อีก นั่นก็เรียกว่าเป็นต้นเดิม และที่เป็นต้นเดิมนั้น
ก็กล่าวได้ว่าไม่มีปัจจัยอะไรมาปรุง เพราะเมื่อยังมาปรุง
อยู่ก็ยังเป็นสังขารอยู่ จนกว่าจะได้พบ ถ้ามี ส่วนที่
เป็นวัตถุนั้นที่ไม่มีอะไรมาปรุง แยกออกไปไม่ได้อีก
นั่นแหละถึงจะเป็นอสังขตธรรมคือสิ่งที่ไม่มีปัจจัยปรุง
ซึ่งก็น่าจะต้องมีอยู่ แต่จะละเอียดไปอย่างไรหรือ
จะกลายเป็นอะไรไป นั่นก็ไม่ทราบได้ทางด้านวัตถุ
สังขารฝ่ายวัตถุมีเกิดมีดับ
คราวนี้ได้มาถึงต้นไม้ด้วย ว่าต้นไม้นั้นก็มีเกิดมีเติบโต
และก็มีตาย แต่ก็ไม่รับรองว่ามีจิตหรือวิญญาณ
ท่านแสดงไว้ว่ามีอินทรีย์เดียวคือมีชีวิตอินทรีย์
อินทรีย์คือชีวิต และก็ดูเหมือนว่าจะมีความรับสัมผัส
อยู่บ้าง ซึ่งน่าจะคล้ายๆ กับเริ่มจะมีกายประสาท
หรือมีกายประสาทอยู่บ้าง เพราะว่าเมื่อมีชีวิตอินทรีย์
อินทรีย์คือชีวิต อินทรีย์เดียว ก็น่าจะต้องมีประสาท
อยู่บ้าง เช่นว่ากายประสาท ประสาทส่วนกาย
ที่รับสัมผัสหนาวร้อนเป็นต้นได้ เพราะฉะนั้นจึงยังไม่จัด
เป็นสัตว์มีชีวิตที่เข้าในข้อห้ามไม่ให้ฆ่าตามศีลข้อที่ ๑
ปาณาติปาโต ปาณาติปาตาเวรมณี
ปาณาติปาโตก็คือการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง เมื่อ
เป็นศีลก็เป็นเวรมณี คือเว้นจากการทำสัตว์มีชีวิต
ให้ตกล่วง และสัตว์ที่มีชีวิตนี้ท่านใช้คำว่าปาโณ
หรือปาณะ ที่แปลว่าสัตว์ที่มีลมหายใจ มีปาณะ มีปราณ
มีลมปราณ ลมปราณก็คือลมหายใจเข้าลมหายใจออก
ซึ่งในศีลข้อที่ ๑ นี้ก็รับรองว่า อะไรเป็นปาโณ
คือสัตว์มีปราณหรือมีชีวิต เอาถึงบรรดามนุษย์
และสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ทั้งใหญ่ทั้งเล็กตลอดจน
ถึงมดปลวก แต่ว่าไม่ได้รับรองไปจนถึงเชื้อโรค ซึ่ง
ในบัดนี้พบบรรดาเชื้อโรคต่างๆ เป็นต้น
ซึ่งมีอาการเคลื่อนไหวเป็นต้นเหมือนอย่างตัวน้ำ
หรืออะไรที่เป็นชนิดเล็กที่สุด แต่ว่าถ้าจะเป็นสัตว์มีชีวิต
ก็ไม่ได้รับรองเข้าในศีลข้อที่ ๑ นี้ หรือว่าจะไม่ถึง
เป็นปาโณ สัตว์มีปราณมีลมหายใจเข้าออก ก็เป็นอันว่า
ไม่ใช่เข้าจำพวกนี้ เพราะฉะนั้นจึงมีอนุญาตให้ใช้ยาได้
ซึ่งยานี้ก็ใช้ทำลายเชื้อโรคนั่นเอง เพราะฉะ
นั้นบรรดาพวกนี้จึงไม่รับรองว่าเป็นสัตว์มีชีวิต ซึ่งนับเข้า
ในข้อห้ามศีลข้อที่ ๑ เอาแต่ที่ปรากฏทั่วๆ ไปสัตว์
ใหญ่สัตว์เล็กจนถึงมดปลวกลูกน้ำเป็นต้น นี้นับว่า
เป็นสัตว์มีชีวิต เพราะฉะนั้นโลกนี้จึงไม่เล็กลง ดัง
จะพึงเห็นได้ว่า บรรดาสิ่งที่เป็นสังขารนั้น
ซึ่งมีลักษณะแห่งสังขารที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ คือมี
ความเกิดขึ้นปรากฏ มีความเสื่อมสิ้นไปปรากฏ เมื่อยังตั้ง
อยู่มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นปรากฏ
และเมื่อมีความเสื่อมสิ้นไปนั้น เช่นว่าต้นไม้ภูเขา
ต้องสลายไป ต้นไม้ก็ตายไปผุไป ก็เป็นอยู่ดั่งนี้
แล้วก็เกิดขึ้นใหม่ เพราะหากว่าบรรดาสังขารที่มารวมกัน
แล้วก็แตกสลายหรือแยกกันออกไปนั้น
ถ้าหากว่าหมดสิ้นไป โลกก็จะเล็กลงๆ ทุกที แต่นี่ก็ไม่
เล็กลงก็เพราะว่าบรรดาธาตุทั้งหลายไม่ได้สลายไป
เป็นแต่เพียงว่าเมื่อธาตุทั้งหลายมารวมกันเข้าเป็นสังขาร
และเมื่อสังขารแตกสลายธาตุทั้งหลายก็แยกย้ายกันไป
เช่นธาตุที่แข้นแข็งก็ไปเป็นส่วนที่แข้นแข็ง
ธาตุที่เอิบอาบก็ไปเป็นธาตุที่เอิบอาบ อบอุ่นก็ไป
เป็นธาตุอบอุ่น พัดไหวก็ไปเป็นธาตุที่พัดไหว แต่ว่า
ความสำคัญของธาตุเหล่านี้ก็น่าจะรวมกันอยู่ใน
ส่วนที่แข้นแข็ง และมีส่วนอื่นๆ เข้ามาประกอบ จะเล็ก
เท่าไรก็ตามก็แปลว่ายังอยู่ และเมื่อถึงเวลาก็มาประกอบ
กันเข้าเป็นสังขารอีก และเมื่อสังขารแตกสลายก็แยก
กันไปอีก ก็ไปรวมกันอยู่ในโลกธาตุที่เรียกว่า โอกาสโลก
อันนี้นี่เอง ไม่ใช่ไปทางไหน โลกจึงไม่มีเล็กลง
เมื่อรูปกายดับ วิญญาณธาตุเคลื่อนไปตามกรรม
คราวนี้มากล่าวถึงที่มีทั้ง ๒ ส่วนร่วมกัน คือว่าส่วนที่ไม่รู้
กับส่วนที่รู้มาร่วมกันประกอบกัน อันหมายถึงสังขารคือ
ส่วนผสมปรุงแต่งนี่แหละที่ไม่เป็นวัตถุทั้งหมด
หรือวัตถุล้วนๆ แต่ว่ามีธาตุรู้มารวมอยู่ด้วย
ดังเช่นบุรุษบุคคลชายหญิงสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ส่วนที่
เป็นร่างกายหรือรูปกายเป็นส่วนที่ไม่รู้ แต่ว่าส่วนที่
เป็นนามกายคือส่วนที่เป็นจิตใจนี่มีตัวรู้ ก็แปลว่าทั้ง ๒
ส่วนนี้มาประกอบกัน ก็มาเป็นสัตว์โลก คราวนี้ทั้ง ๒
ส่วนที่มาประกอบกันนี้ ว่าถึงส่วนที่ไม่มีตัวรู้คือ
ส่วนรูปกายนั้น ก็เป็นส่วนที่เป็นวัตถุและก็ประกอบมา
จากธาตุที่เป็นวัตถุ เช่นเดียวกับสิ่งที่เป็นวัตถุล้วนๆ
ทั้งหลายเช่นต้นไม้ภูเขาก้อนดินก็มาประกอบกันเข้า
เป็นสังขาร แต่ว่ามีส่วนที่เป็นนามกายหรือนามธรรม
เข้าประกอบ จึงนับว่าเป็นสังขารพิเศษขึ้นไปอีกส่วนหนึ่ง
ในโลกนี้คือมีส่วนที่เป็นธาตุรู้เข้าประกอบ และส่วนที่
เป็นวัตถุก็มาจากธาตุทั้งหลายที่เป็นวัตถุ ส่วนที่
เป็นนามธรรมหรือนามกายคือเป็นความรู้ต่างๆ ดังที่
ได้กล่าวมาแล้ว ก็มาจากตัวรู้ที่
เป็นธาตุรู้ที่เรียกว่าวิญญาณธาตุ เพราะว่าเมื่อส่วนที่
เป็นวัตถุซึ่งมาประกอบกันเป็นรูปกายอันนี้ก็เป็นสังขาร
เมื่อมาจากธาตุทั้งหลายมาประกอบกันเข้าซึ่งเป็นธาตุที่
เป็นวัตถุนั่นแหละ ตัวความรู้ต่างๆ ก็เช่นกัน ก็ต้องมา
จากตัวรู้ที่เป็นธาตุรู้ จึงเป็นอันว่าธาตุที่ไม่มีความรู้ในตัว
หรือธาตุที่ไม่รู้ กับธาตุที่เป็นธาตุรู้มาประกอบกัน ก็
เป็นบุรุษสตรีบุคคลอันเป็นสัตวโลกนี้ และก็ต้องทำความ
เข้าใจเช่นเดียวกัน ว่าส่วนที่เป็นรูปกายนั้นก็
เป็นสิ่งที่มีเกิดมีดับ เข้า
กับลักษณะของสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งดังกล่าวแล้ว
และเมื่อดับก็ไม่หมดสิ้นไปอีกเหมือนกัน
ดังคนเรานี้เมื่อตาย ตัวธาตุรู้ดัง
จะเรียกว่าจิตก็ตามวิญญาณก็ตาม จุติเคลื่อนออกไปแล้ว
ทิ้งร่างกายอันนี้ไว้ ร่างกายอันนี้ก็
เป็นเหมือนอย่างก้อนดินท่อนไม้ไร้วิญญาณ ก็กลายมา
เป็นสังขารที่เป็นวัตถุเหมือนอย่างสังขารที่เป็นวัตถุ
ทั้งหลาย และก็แตกสลายไป ลมก็ดับไป
ธาตุน้ำก็แห้งเหือดหายไป ธาตุไฟก็ดับไป ธาตุที่
เป็นธาตุดินก็เน่าเปื่อยไป แต่ว่าตัวธาตุนั้นก็ไม่หมดสิ้น
ไม่หายไปไหนอีก เพราะฉะ
นั้นเมื่อเกิดขึ้นมาก่อเกิดร่างกายขึ้นมาใหม่ ธาตุเหล่า
นั้นก็มาประกอบกันเข้าใหม่ แต่เมื่อกายอันนี้แตกสลายไป
ธาตุอันนี้ก็แยกย้ายกันไป ก็อยู่ในโอกาสโลกนี่แหละ โลก
จึงไม่เล็กลง เพราะฉะนั้นเมื่อคนตาย
หรือสัตว์ตายเน่าเปื่อยไปหรือว่าเผาไป
ตั้งแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ก็นับไม่ถ้วน โลกก็ไม่เล็กลงก็คง
อยู่เท่านั้นนั่นแหละ และธาตุทั้งหลายก็มารวมกันเข้าใหม่
ก็เป็นสังขารขึ้นมาใหม่ คราวนี้ส่วนจิตก็เหมือนกัน คือ
ความรู้ต่างๆ ที่เป็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็ดับไป
แต่ว่าตัวธาตุรู้ก็ไม่ดับ คือรู้ที่เป็นตัวธาตุก็ไม่ดับ ก็เหมือน
กับวัตถุที่เป็นตัวธาตุนั้นก็ไม่แตกไม่หายไม่หมดไม่สิ้น
ตัวรู้ที่เป็นธาตุรู้ที่มาปรากฏเป็นความรู้ก็เช่นเดียวกัน ตัว
ความรู้ที่เป็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนั้นเป็นสังขาร
เป็นสังขารฝ่ายธาตุรู้ ก็เป็นสิ่งที่มีเกิดมีดับเช่นเดียว
กับสังขารที่เป็นฝ่ายวัตถุ และเมื่อดับในที่สุดแล้ว
ตัวธาตุรู้คือสิ่งที่เป็นตัวธาตุรู้ รู้ที่เป็นตัวธาตุก็ไม่ดับ
ก็เคลื่อนไปตามกรรมดังที่กล่าวมาแล้ว
วิญญาณธาตุอุปบัติหรือจุติเพราะกิเลส
คราวนี้การที่ธาตุส่วนที่เป็นวัตถุกับธาตุที่
เป็นตัวรู้มาประกอบกันอยู่ อาศัยกันอยู่นี้ ก็
เป็นสังขารอีกอย่างหนึ่ง คือเป็นส่วนผสมปรุงแต่ง และก็
ต้องมีเหตุปัจจัยเหมือนกัน ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสรู้พบ
ว่าอะไรเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ธาตุที่เป็นวัตถุกับธาตุที่
เป็นตัวรู้ต้องมาพบกันมาประกอบกัน ดั่งที่ทุกๆ
คนเรานี้ก็มีทั้ง ๒ ส่วนนี่แหละมาประกอบกันอยู่ มา
เป็นสังขารซึ่งมาจากธาตุที่เป็นวัตถุกับสังขารจากธาตุที่
เป็นตัวรู้ แล้วก็สมมติชื่อเรียกกันไปทั้ง
๒ ฝ่ายต่างๆ กัน ทำไมจึงต้องประกอบกัน เมื่อแยกจาก
กันแล้วทำไมไม่แยกจากกันไปเสียเลย ทำไมต้องมาพบ
กันอีกมาประกอบกันอีก และความที่มาประกอบกันอีก
นั้นก็เรียกว่ามาเกิดอีกนั่นเอง
และเมื่อแตกสลายก็แปลว่าเคลื่อนออกไป
เป็นภาษาเรียกฝ่ายที่เป็นธาตุรู้ ตายหรือแตกสลายก็
เป็นภาษาเรียกสำหรับธาตุที่ไม่รู้
คือภาษาเรียกตัวสังขารที่มาจากธาตุที่เป็นวัตถุที่ไม่ใช่
เป็นธาตุรู้ ก็เรียกว่าเกิด และเมื่อแตกสลายก็เรียกว่าตาย
หรือว่าดับ ส่วนที่มาจากธาตุที่เป็นตัวรู้นั้น
ถ้าเกิดก็เรียกว่าอุปบัติ ซึ่งแปลว่าเข้าถึง และเมื่อ
จะไปก็เรียกว่าจุติ คือเคลื่อนไป อันเป็นคำที่มี
ความหมายว่าไม่ตาย ยังมีตัวที่ไม่ตาย และตัวที่
ไม่ตายนี้มาแล้วก็ไป ก็มาอาศัยอยู่ในกายอันนี้ซึ่งมา
จากธาตุที่เป็นวัตถุ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับคือตาย
แต่ตัวที่เป็นธาตุรู้นั้นเป็นตัวที่เข้าถึงมาประกอบ
เป็นสังขารขึ้น
และเมื่อสังขารอันนี้แตกแยกก็เคลื่อนออกไป
เรียกว่าจุติคือเคลื่อนสุดแต่จะตั้งชื่อเรียกกันว่าจิต
ว่าวิญญาณ ว่าสัตว์ ว่าเรา ว่าเขา คราวนี้เมื่อมาประกอบ
กันเข้าเป็นบุรุษสตรีเราเขาดังนี้แล้ว
ก็มีกระบวนการทางร่ายกายทางจิตใจไปตามธรรมชาติธรรมดา
เช่นมีตามีหูมีจมูกมีลิ้นมีกายและมีมโนคือใจประกอบกัน
อยู่ แล้วก็มีรูปมีเสียงมีกลิ่นมีรสมีโผฏฐัพพะ
และมีสิ่งที่ใจรู้ใจคิดเรียกว่าธัมมะ มาประจวบกันอยู่
แล้วก็เกิดเป็นนามธรรม คือ
เป็นนามธรรมที่ว่าตามลำดับตามขันธ์ ๕ ก็
เป็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ รวมทั้งรูปก็
เป็นรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เรียกว่าขันธ์ ๕
ตามที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งก็เป็นธรรมชาติธรรมดา แต่ว่า
ยังมีอีกส่วนหนึ่งเข้ามาผสมปรุงแต่ง
อันเรียกว่ากิเลสที่แปลว่าเครื่องเศร้าหมอง
และกิเลสอันนี้ก็อาศัยขันธ์ ๕ นี้นี่แหละบังเกิดขึ้น
หรือว่าอาศัยรูปกายอาศัยนามกาย
อาศัยรูปนามอันนี้นี่แหละบังเกิดขึ้น
ดังที่มีตรัสเอาไว้ใน ปฏิจจสมุปบาท ธรรมที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้น ว่าเพราะเวทนาเป็นปัจจัยเกิดตัณหา
และตรัสไว้ในพระสูตรอีกพระสูตรหนึ่ง ซึ่งมีใจความว่า
ในเมื่ออาศัยรูปกายและนามกายประกอบกัน
ก็เกิดเวทนาคือความรู้ที่เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลางๆ
ไม่ทุกข์ไม่สุขดังที่ได้กล่าวมาแล้ว คราวนี้เมื่อ
เป็นสุขเวทนา เป็นสุขได้กินสุขได้เสวยสุข ก็เกิด
ความยินดีพอใจ และความยินดีพอใจนี้ก็มาเป็นราคานุสัย
อนุสัยคือราคะ ความติดใจยินดี อนุสัยก็แปลว่านอนจม
คือหมายความว่ายังจมเข้าไปอยู่ในจิตส่วนลึก ติดอยู่
ในจิตส่วนลึก เป็นราคานุสัย อนุสัยเครื่องที่นอนจมอยู่
ในจิตส่วนลึกคือราคะความติดใจยินดี คือยินดีอยู่
ในสุขเวทนานั่นเอง ตลอดจนถึงในสิ่งทั้งหลายที่ทำ
ให้เกิดสุขเวทนาด้วย คราวนี้เมื่อได้รับทุกขเวทนา
ได้กินทุกข์เสวยทุกข์เป็นทุกข์ต่างๆ ก็ไม่ชอบไม่พอใจ
ในตัวทุกข์ด้วย และในสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ด้วย ก็ทำ
ให้บังเกิดปฏิฆานุสัย ปฏิฆะคือ
ความกระทบกระทั่งนอนจมติดอยู่ในจิตส่วนลึก
เมื่อประสบอทุกขมสุขเวทนา เวทนาที่ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข
เมื่อไม่พิจารณาก็เกิดโมหะคือความหลง ก็ทำให้บังเกิด
เป็นอวิชชานุสัย อนุสัยคืออวิชชาคือความไม่รู้
ยังนอนจมติดอยู่ในจิตส่วนลึก เพราะว่าจิตนี้ที่เรียกว่าจิต
คือเรียกตัวรู้ที่เป็นธาตุรู้นั้นว่าจิต ก็เพราะเหตุว่าคิด รู้
เก็บ และวิจิตรคือหลากหลายต่างๆ กันมาตามที่
ได้กล่าวมาแล้ว ฉะนั้นจึงเก็บเอาไว้ เก็บเอาไว้เป็นราคะ
ความติดใจยินดีอยู่ในสุขเวทนาและในสิ่งที่ทำ
ให้เกิดสุขเวทนา เก็บตัวไม่พอใจกระทบกระทั่ง
ในทุกขเวทนาและในสิ่งที่ทำให้เกิดทุกขเวทนา
เก็บเอาอวิชชาคือตัวความไม่รู้อันมีอาการให้หลง
ในเวทนาที่เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทั้งในสิ่งที่ทำ
ให้เกิดเวทนาเช่นนั้น ก็เป็นอวิชชาขึ้นมา อันนี้แหละ
เป็นตัวกิเลสที่เข้ามาประกอบเข้าอีก ก็เป็นสังขารคือ
ส่วนผสมปรุงแต่งเข้าอีก คือว่าปรกติ
นั้นก็มีการผสมปรุงแต่งจากส่วนที่เป็นธาตุวัตถุไม่รู้ กับ
ส่วนที่เป็นธาตุรู้คือตัวรู้ มารวมกันเข้ามา
เป็นบุรุษสตรีบุคคลสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย แล้ว
ยังมีกิเลสเข้ามาปรุงแต่งเข้าอีกส่วนหนึ่งประกอบเข้าอีก
เพราะฉะนั้นจึงเป็นสังขาร คือส่วนผสมปรุงแต่งที่มีกิเลส
เข้าผสมอยู่ด้วย
๔ กันยายน ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร ในพรรษากาล
๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูถัมภ์
จัดพิมพ์เนื่องในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 01:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๑๙ ลักษณะพุทธศาสนา - การรับรู้อารมณ์ของจิต
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ได้แสดงลักษณะพุทธศาสนามาจนถึงกิเลส ที่มีส่วน
เข้ามาผสมปรุงแต่งกายคือรูปกายและจิต ซึ่ง
เป็นสังขตธรรมส่วนหนึ่งของโลก ซึ่งมีส่วนวัตถุกับ
ส่วนจิตเข้าประกอบกัน ก่อนที่จะกล่าว
ถึงเรื่องกิเลสต่อไปจากที่ได้แสดงแล้ว จะได้กล่าว
ถึงกระบวนการของกายและจิตที่
เป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา กับที่มีบุคคลเข้าไปมี
ส่วนปรุงแต่ง และก็จะกล่าวเทียบกับทางฝ่ายวัตถุก่อน
ซึ่งทางฝ่ายวัตถุนั้นก็มีกระบวนการของตนเอง
กับมีกระบวนการที่มีบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้อง
ดั่งเช่นต้นไม้ก็มีทั้ง ๒ อย่าง คือที่
เป็นไปตามสภาพคือภาวะของตนเอง กับที่มีบุคคล
เข้าเกี่ยวข้อง ส่วนที่มีบุคคลเข้าเกี่ยวข้องนั้น
ก็คือการที่บุคคลทำการเพาะหว่านปลูก เช่นทำนา
ทำสวน ก็มีการเพาะหว่านปลูกข้าวและต้นไม้ต่างๆ ตาม
ต้องการ และการให้น้ำการบำรุงต่างๆ การรักษาต่างๆ
เหล่านี้บุคคลเข้าเกี่ยวข้อง กับอีกส่วนหนึ่งที่
เป็นไปตามภาวะของตน ที่เรียกว่าตามสภาพ
คือการที่ต้นไม้เริ่มงอกเป็นต้นขึ้นจากเมล็ด
แล้วก็เติบโตขึ้นไปโดยลำดับ ออกดอกออกผล นี้ต้นไม้
เป็นไปตามภาวะของตนที่เรียกว่าสภาพ
อธิบายความหมายของสภาพกับภาวะ
เพราะฉะนั้นจึงใคร่จะอธิบายคำว่าสภาพ ว่ามา
จากคำว่าสภาวะในภาษาบาลี ไทยเรามา
ใช้ทับศัพท์ว่าสภาพ เอา “ว” เป็น “พ”
แปลตามคำก็แปลว่าภาวะของตัว เพราะฉะนั้นสิ่งที่
จะเรียกว่าสภาพนั้นคือสิ่งที่เป็นไปตามภาวะของตน
ดั่งเช่นสภาพของต้นไม้ดังที่กล่าวมานั้นบุคคลไม่ได้เป็น
ผู้ไปทำ แต่ต้นไม้เขาทำของเขาเองคือเป็นไปเอง
การที่แตกเป็นหน่อขึ้นจากเม็ดแล้วก็เติบโตขึ้นมา มีลำต้น
มีเปลือก มีกิ่ง มีใบ มีผล เป็นต้นเหล่านี้ เขาเป็นไปของ
เขาเอง เรียกว่าเขามีภาวะของเขาเอง
ไปตามภาวะของตนเอง ความเป็นของตนเอง
ภาวะแปลว่าความเป็น ลักษณะดั่งนี้เรียกว่าสภาพ
หรือสภาวะ แต่การที่บุคคลเข้าไปทำเข้าไปตกแต่งนั้น
ไม่เรียกว่าสภาพ แต่อาจเรียกว่าภาวะได้ เช่นว่าการที่
เป็นบ้านเป็นเรือนนี่ไม่ใช่เป็นสภาพ คือมิได้เป็นบ้าน
เป็นเรือนขึ้นมาเอง คนไปตัดเอาไม้มา เอาทัพสัมภาระ
อื่นๆ มาปลูก มาสร้างขึ้น จึงเป็นบ้านเป็นเรือน ฉะ
นั้นบ้านเรือนจึงมิได้เป็นไปตามสภาพ คือไม่
ได้เกิดขึ้นตามสภาพตามภาวะของตน แต่มีคนปรุงแต่ง
ถ้าหากว่าบ้านเรือนเป็นไปเอง
เช่นว่าเราเพียงแต่หาไม้มากองๆ เอาไว้
เอาทัพสัมภาระมากองๆ เอาไว้ แล้วบ้านเรือน
เขามาปรุงของเขาเอง เสาก็ตั้งขึ้นเอง ฝาก็มาประกอบ
กันเอง หลังคาก็มาประกอบกันเอง กระเบื้องก็มุงเอง
ถ้าดั่งนี้จึงจะเป็นสภาพ แต่นี่คนทำทั้งนั้น ส่วนต้นไม้
นั้นคนทำแต่เบื้องต้น คือว่าปลูกหว่านบำรุงรักษา เหล่านี้
เป็นภาวะคือเป็นเรื่องของคน แต่ความที่ต้นไม้แตกขึ้นมา
เป็นต้นไม้ นี้เป็นไปตามภาวะของตน
ของตนก็คือของต้นไม้เอง เป็นไปเองดั่งนี้เรียกว่าสภาพ นี่
เป็นความต่างกันของถ้อยคำที่เรียกว่าสภาพ
หรือเรียกว่าภาวะเฉยๆ
กระบวนการของกาย
คราวนี้ในบุคคลเองก็เหมือนกัน ว่าถึงในส่วนกาย
เอารูปกายเช่นว่าอาหาร คนก็ต้องแสวงหามา แล้วก็
ต้องมาหุงมาต้มมาบริโภค นำเข้าปากเคี้ยวกลืนลงไป
ที่คนทำ แต่เมื่อกลืนลงไปถึงในท้องแล้ว อาหาร
นั้นถูกย่อยแล้วนำไปบำรุงเลี้ยงร่างกาย แล้วเป็น
ส่วนที่ขับถ่ายออกมาเหล่านี้เป็นสภาพคือเป็นไปเอง
ลมหายใจก็คล้ายๆ กับเป็นสภาพ เพราะว่าการหายใจ
เข้าหายใจออกนี้ ก็หายใจไปตามเรื่องของร่างกาย
และลมที่เข้าไปบำรุงเลี้ยงร่างกายอย่างไร
แล้วก็หายใจออกเอาอากาศที่ไม่ดีออกมาอย่างไร นี่ก็
เป็นไปเองตามสภาพตามภาวะของตนของร่างกาย แต่ว่า
ส่วนหนึ่งนั้นบุคคลทำ เช่นว่ามีเจตนาคือความจงใจขึ้นมา
ทำทางกายทำทางวาจาทำทางใจขึ้นมา เป็นกรรม เหล่านี้
ไม่ใช่สภาพ คือว่าคนใช้ร่างกายอันนี้ทำพร้อมทั้งจิตใจ
คราวนี้เมื่อทำเป็นกรรมขึ้นมาแล้ว กรรมและการ
ให้ผลของกรรมนี้เป็นสภาพของกรรมที่เป็นไปเอง เมื่อทำ
เป็นกรรมขึ้นมาแล้ว กรรมและการให้ผลของกรรมนี่
เป็นสภาพของกรรมคือเป็นไปเอง กับมีปัจจัยอื่นๆ
เข้ามาประกอบ นั่นก็สุดแต่จะเป็นอย่างไร อันนี้ก็
จะปรารภกล่าวกันอีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่เพียงยกมา
เป็นตัวอย่างเท่านั้นก่อน
ว่ากระบวนการของสิ่งที่ผสมปรุงแต่งนี้
เมื่อผสมปรุงแต่งขึ้นมาแล้ว ก็
เป็นไปตามสภาพคือภาวะของตนนั้นส่วนหนึ่ง
แล้วก็มีบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้องนั้นอีกส่วนหนึ่ง
ดังเช่นตัวอย่างที่กล่าวนั้น
กระบวนการของจิต
คราวนี้มาถึงกระบวนการของจิต กายและจิตที่อาศัยกัน
อยู่นี้ ก็มีกระบวนการที่เป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา
ส่วนหนึ่ง และที่มีบุคคลเข้าเกี่ยวอีกส่วนหนึ่ง จะว่าถึงที่
เป็นไปตามธรรมชาติธรรมดาดั่งที่เรียกว่าสภาพนั้นก่อน
คือว่าจิตนี้ดังที่ได้กล่าวแล้วก็อาศัยอยู่ในกายนี้ และกาย
นั้นในที่นี้ก็หมายถึงแค่รูปกายก่อน หรือว่าธาตุ ๕ ที่
เป็นฝ่ายรูปหรือฝ่ายวัตถุมารวมกันเข้าจิตก็มุ่ง
ถึงตัววิญญาณธาตุ ธาตุรู้ ที่มาอาศัยอยู่กับกายนี้
ทีนี้เมื่อมาอาศัยกันแล้ว ก็มีกระบวนการที่อาศัย
กันไปตามธรรมชาติธรรมดา อันหมาย
ถึงว่ากายจิตของใครๆ ก็จะต้องเป็นอย่างนั้น คือว่า
ความที่อาศัยกันนี้ ก็ตั้งต้นแต่ที่ตรัสแสดงไว้
ถึงอายตนาภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ ที่ประกอบ
กันที่คู่กัน คำว่าอายตนะนั้นแปลว่าที่ต่อคือต่อกัน
อายตนะภายในก็ได้แก่จักขุคือตา หมายถึงส่วนที่
เป็นจักษุประสาท โสตะคือหู หมายถึงที่เป็นโสตประสาท
ฆานะคือจมูก หมายถึงที่เป็นฆานประสาท ชิวหาคือลิ้น
หมายถึงที่เป็นชิวหาประสาท กายะคือกาย หมายถึงที่
เป็นกายประสาท และมโนคือใจอันเป็นข้อที่ ๖
อายตนะภายนอกก็คือรูปที่คู่กับตา เสียงที่คู่กับหู
กลิ่นที่คู่กับจมูก รสที่คู่กับลิ้น โผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องที่คู่
กับกาย และธัมมะ นี่ก็ใช้คำว่าธัมมะอีกเหมือนกัน
แต่หมายถึงเรื่องราวที่คู่กับมโนคือใจ นี่เป็นการแสดง
ถึงกระบวนการของกายและจิตอาศัยกัน อันนับว่า
เป็นก้าวแรก ก็คือว่าตากับรูปประจวบกัน หู
กับเสียงประจวบกัน จมูกกับกลิ่นประจวบกัน ลิ้น
กับรสประจวบกัน กายกับโผฏฐัพพะประจวบกัน
มโนคือใจและธัมมะคือเรื่องราวประจวบกัน ดังที่ทุกคน
ได้มีอยู่เป็นไปอยู่ และเมื่อมาประจวบกัน
แล้วก็เกิดวิญญาณ กล่าวคือเมื่อตากับรูปประจวบ
กันก็เกิดจักขุวิญญาณ ความรู้ทางตา อันได้แก่เห็น หู
กับเสียงประจวบกันก็เกิดโสตวิญญาณ ความรู้ทางหู คือ
ได้ยิน จมูกกับกลิ่นประจวบกันก็เกิด
ความรู้อันเรียกว่าฆานวิญญาณ ความรู้ทางฆานะคือจมูก
อันได้แก่ทราบกลิ่น ลิ้นกับรสประจวบ
กันก็เกิดชิวหาวิญญาณ คือความรู้ทางลิ้น ได้แก่ทราบรส
กายและโผฏฐัพพะประจวบกันก็เกิดกายวิญญาณ
ความรู้ทางกาย คือทราบสิ่งที่ถูกต้อง มโนคือใจ
กับธัมมะคือเรื่องราวประจวบกันก็เกิด
ความรู้อันเรียกว่ามโนวิญญาณ คือความรู้ทางมโนคือใจ
เมื่อเกิดเป็นวิญญาณ ๖ ขึ้นดั่งนี้แล้ว เมื่อทั้ง ๓
อย่างมาประชุมกันขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก็เกิดสัมผัสสะ
หรือผัสสะ คือว่าเมื่อตากับรูปและจักขุวิญญาณมาประชุม
กัน ก็เกิดจักขุสัมผัสความกระทบทางจักษุ เมื่อหูกับเสียง
และโสตวิญญาณมาประชุมกัน ก็เกิดโสตสัมผัส
ความสัมผัสคือความกระทบทางหู เมื่อจมูกกับกลิ่น
และฆานวิญญาณมาประชุมกัน
ก็เกิดฆานสัมผัสคือสัมผัสทางจมูก เมื่อลิ้นกับรส
และชิวหาวิญญาณมาประชุมกันมาประจวบกัน
ก็เกิดชิวหาสัมผัสคือสัมผัสทางลิ้น เมื่อกายกับโผฏฐัพพะ
และกายวิญญาณทั้ง ๓ นั้น
ก็เกิดกายสัมผัสคือสัมผัสทางกาย เมื่อมโนคือใจ
กับธัมมะคือเรื่องราวและมโนวิญญาณทั้ง ๓ นี้มาประชุม
กัน ก็เกิดมโนสัมผัสคือสัมผัสทางใจ เมื่อมาถึงสัมผัสดั่งนี้
แล้วจึงเกิดเวทนา คือ
เพราะสัมผัสทางตาก็เกิดเวทนาอันเกิดจากสัมผัสทางตา
เรียกว่าจักขุสัมผัสสชาเวทนา และ
เพราะสัมผัสทางหูก็เกิดเวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางหู
เรียกว่าโสตสัมผัสสชาเวทนา
เพราะสัมผัสทางจมูกก็เกิดเวทนาที่เกิด
จากสัมผัสทางจมูก เรียกว่าฆานสัมผัสสชาเวทนา
เพราะสัมผัสทางลิ้นก็เกิดเวทนาที่เกิดจากสัมผัสทางลิ้น
เรียกว่าชิวหาสัมผัสสชาเวทนา
เพราะสัมผัสทางกายก็เกิดเวทนาที่เกิด
จากสัมผัสทางกาย เรียกว่ากายสัมผัสสชาเวทนา
เพราะสัมผัสทางมโนคือใจก็เกิดเวทนาที่เกิด
จากสัมผัสทางใจ เรียกว่ามโนสัมผัสสชาเวทนา
จึงเกิดสัญญาคือความจำได้หมายรู้ซึ่งเกิดถัดมา
จากเวทนานั้น เป็นสัญญาในรูปก็เรียกว่ารูปสัญญา
สัญญาในเสียงก็เรียกว่าสัททสัญญา สัญญา
ในกลิ่นก็เรียกว่าคันธสัญญา สัญญา
ในรสก็เรียกว่ารสสัญญา สัญญา
ในโผฏฐัพพะก็เรียกว่าโผฏฐัพพะสัญญา สัญญา
ในเรื่องราวก็เรียกว่าธัมมสัญญา และก็เกิดสังขารคือ
ความปรุงคิดหรือความคิดปรุงดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็เป็น
ความคิดปรุงหรือความปรุงคิดไปในรูปบ้างในเสียงบ้าง
ในรสบ้างในโผฏฐัพพะบ้างในธัมมะคือเรื่องราวบ้าง เป็น
ความคิดปรุงหรือความปรุงคิดที่
เป็นฝ่ายดีบ้างฝ่ายชั่วบ้าง หรือฝ่ายที่เป็นกลางๆ ไม่ดี
ไม่ชั่วบ้าง และเมื่อคิดปรุงหรือปรุงคิดไปก็รู้ไปด้วยที่รู้
เป็นวิญญาณ ก็เป็นวิญญาณเวียนขึ้นๆ มาอีก เพราะฉะ
นั้นกระบวนการของกายและจิตที่อาศัยกันอยู่จึงเป็นดั่งนี้
ตามที่มีแสดงไว้ตามลำดับในธรรมวิภาคในนวโกวาทนั้น
แล้ว
รูปนามหรือนามรูป
ในเบื้องต้นก็ให้ดูและกำหนดจำไว้ แล้วก็ทำความเข้าใจ
คราวนี้ก็จะได้อธิบายเพิ่มเติมจากที่ท่านวางไว้เป็นแบบดั่ง
นั้น ก็คือว่าในฝ่ายอายตนะภายในภายนอกนั้น ๕
ข้อข้างต้นก็เป็นวัตถุ หรือเป็นรูปกายเป็นรูปขันธ์โดยตรง
ส่วนข้อที่ ๖ คือมโนกับธัมมะคือเรื่องราวนั้น ก็
เป็นสิ่งที่เชื่อมเกี่ยวกันอยู่ในระหว่างรูปซึ่งเป็นวัตถุ
กับจิตที่เป็นฝ่ายทางจิตใจ เหตุฉะนั้นจึงจะสามารถทำ
ให้กายและจิตใจนั้นมาประสานกันได้ มา
เป็นสังขารคือปรุงแต่งด้วยกันได้ และในฝ่ายที่เป็น
ส่วนรูปนั้นก็เป็นรูป ในฝ่ายที่เป็นวิญญาณเป็นสัมผัส
เป็นเวทนาเป็นสัญญาเป็นสังขารแล้วก็กลับมา
เป็นวิญญาณขึ้นอีก นั่นรวมเรียกว่าเป็นนาม ย่อเข้าจึง
เป็นรูปนาม แต่เรียกว่านามไว้ต้นเป็นนามรูป
ตามลำดับที่กล่าวมานี้จะเห็นว่าเรียงลำดับต่างจากขันธ์ ๕
ขันธ์ ๕ นั้นเรียงลำดับว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ แต่ว่าตามที่ได้อธิบาย
ถึงกระบวนการเกิดขึ้นของกายและจิตที่อาศัยกันอยู่
เรียงว่ารูปคืออายตนะทั้ง ๒ แล้วก็วิญญาณ แล้วก็สัมผัส
เวทนา สัญญา สังขาร แล้วก็เวียนมาวิญญาณต่อไป ถ้า
ยังไม่กล่าวถึงวิญญาณที่เวียนต่อไป ก็เอาแค่สังขาร
เพราะฉะนั้นจึงต่างจากขันธ์ ๕ โดยที่ในขันธ์ ๕
นั้นเรียงวิญญาณไว้ท้ายทีเดียว ไม่เรียงวิญญาณเอา
ไว้ต่อจากรูป และไม่ได้แสดงสัมผัส พิจารณาดู
แล้วว่าท่านเรียงขันธ์ ๕ ไว้อย่างนั้น ไม่
ได้มุ่งแสดงตามกระบวนการที่เกิดขึ้นของกระบวนการทางจิตใจ
แต่ว่ามุ่งแสดงขันธ์ ๕ สำหรับ
ให้พิจารณาทางด้านวิปัสสนา คือปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง
คือตรัสสอนให้กำหนดแยกก้อนอันนี้ที่ยึดถือ
กันว่าตัวเราของเราอยู่นี้ออกไป ว่าอันที่จริงนั้นไม่ได้รวม
เป็นก้อนเดียวกันแต่ว่าแยกออกเป็นรูปฝ่ายหนึ่ง
เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณแต่ละฝ่ายเป็น ๕ เพื่อ
ให้พิจารณาเห็นได้ง่าย เพราะว่ารูปนั้นเป็นส่วนหยาบเห็น
ได้ง่าย ตรัสสอนให้พิจารณาก่อน ว่านี่รูป เวทนานั้นก็เป็น
ความที่ปรากฏอาการเป็นทุกข์เป็นสุขหรือเป็นกลางๆ
ไม่ทุกข์ไม่สุขของกายใจ นี่แปลว่าคาบเกี่ยว
อยู่ระหว่างกายและใจ เวทนาทางกายก็มี
เวทนาทางใจก็มี นี่จึงมาเป็นที่ ๒
เพราะเมื่อพบกายก็พบเวทนา คือเมื่อพบรูปก็พบเวทนา
เพราะเวทนาทางรูปมีทางกายมี จึง
ให้จับพิจารณาเวทนาต่อไปเลย แล้วจึงมาสัญญาสังขาร
ซึ่งเป็นอาการทางใจ เพราะว่าสัญญาสังขารทางรูปไม่มี
รูปจำอะไรไม่ได้ รูปคิดอะไรไม่ได้ นั่นต้องใจหรือจิต
แต่ว่ารูปมีเวทนาได้เป็นสุขได้เป็นทุกข์ได้เป็นกลางๆ
ไม่ทุกข์ไม่สุขได้ เพราะฉะนั้นจากเวทนา
จึงมาสัญญาสังขารแล้วก็กลับมาวิญญาณซึ่ง
เป็นตัวที่ละเอียด ก็แปลว่าตรัสเรียบเรียงลำดับ
จากหยาบมาละเอียดก็
เป็นรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ และก็ไม่จำเป็นจะ
ต้องมาพิจารณาตัวสัมผัสซึ่งเป็นตัวสำคัญแต่ก็
เป็นตัวที่แฝงอยู่ในระหว่างของวิญญาณและเวทนา
ต่อเมื่อมาจับพิจารณา
ถึงกระบวนการเกิดทางจิตใจที่อาศัยกาย จึง
ได้ทรงแสดงดังที่กล่าวมาแล้ว เป็นการแสดง
ถึงกระบวนการเกิดทางจิตใจกับร่างกายที่อาศัยกัน
จิตน้อมออกรับอารมณ์ทางทวารทั้ง ๖
คราวนี้มาถึงคำที่ย่อลงว่าเป็นนาม นามนั้นอะไร คำว่านาม
นั้นเรามักจะเข้าใจกันเพียงว่าไม่ใช่รูป
เป็นแต่เพียงชื่อที่เรียก เหมือนอย่างคนที่ชื่อนั้นชื่อนี้
เป็นชื่อที่ไม่มีรูป เป็นสักแต่ว่าชื่อ แต่ว่าความหมายในทาง
ความเกิดขึ้นนั้น คำว่านามแปลว่าน้อม
เหมือนอย่างคำว่านโมแปลว่าความนอบน้อม คำว่านาม
นั้นก็มีมูลธาตุเหมือนกับคำว่านโม คือแปลว่าน้อม
ก็คือว่าอาการที่จิต ที่เป็นตัวธาตุรู้อันอาศัยอยู่ในกาย
ส่วนที่เป็นรูป น้อมออกรู้ รู้โลก คือรู้สิ่งภายนอก
อาศัยอายตนะภายในภายนอกที่ประจวบกัน เพราะว่าจิต
นั้นถ้าหากว่าอายตนะภายในภายนอกยังไม่ประจวบกัน
จิตก็ไม่น้อมออกรู้ และเมื่อไม่น้อมออกรู้ก็เหมือนว่าไม่รู้
ต่อเมื่ออายตนะภายในภายนอกประจวบกัน จิต
จึงน้อมออกรู้ เพราะฉะนั้นจึงเปรียบเหมือนอย่างว่ามีบ้าน
อยู่บ้านหนึ่ง จิตเป็นเจ้าของบ้านอยู่ภายในบ้าน และบ้าน
นั้นมีประตูนอกอยู่ ๕ ประตู ประตูในอยู่ ๑ ประตู เมื่อจิต
จะรู้อะไรในภายนอก ก็จะต้องรู้โดยประตูนอก ๕ ประตู
ประตูใน ๑ ดังกล่าวนั้น โดยที่จิตออกไปรู้ก็ตาม
คือจิตออกประตูออกไปรู้ก็ตาม หรือสิ่งที่จิตรู้นั้น
เข้าประตูมาให้จิตรู้ก็ตาม จิตน้อมออกไปรู้ ฉะนั้นจึงรู้ได้
คือว่าน้อมออกรู้รูปก็ทางประตูตา
น้อมออกไปรู้เสียงก็ทางประตูหู
กลิ่นรสโผฏฐัพพะเรื่องราวก็ทางประตูจมูกประตูลิ้นประตูกายประตูมโนคือใจ
แต่ว่าในขณะที่ยังไม่มีเรื่องอะไรเข้าประตูเข้ามา
จิตก็เหมือนอย่างไม่รู้อะไรและในขณะที่จิตยัง
ไม่รู้อะไรทางประตูดังกล่าวนั้น อันนี้แหละที่เรียกว่า
ภวังคจิต นี้เป็นภาษาในอภิธรรม ภวังคจิตตามศัพท์
ภวังค์แปลว่าองค์ของภพ ภวะ อังคะ แปลว่าองค์ของภพ
เป็นจิตที่ยังไม่ออกรับรู้อะไร เพราะฉะนั้นท่าน
จึงเปรียบเหมือนดังว่าน้ำในมหาสมุทรที่ไม่มีลมก็
ไม่มีคลื่นสงบอยู่เฉยๆ นี้คือภวังคจิต
แต่เมื่อเกิดลมเกิดคลื่นขึ้นมา นั่นก็แปลว่าน้ำที่ออก
จากภาวะปรกติไปสู่ภาวะที่มีคลื่นที่เป็นคลื่นเพราะลม
จิตก็เหมือนกัน เมื่อยังไม่ออกรู้อะไรทางตาทางหู
เป็นต้นดั่งนั้น ก็เป็นภวังคจิต เหมือนอย่างน้ำที่สงบเงียบ
ไม่มีลมไม่มีคลื่น
เพราะเหตุนี้จึงได้เรียกอายตนะภายในทั้ง ๖ ว่าทวาร
เช่นจักขุทวารก็คือประตูตา โสตทวารก็ประตูหู
ฆานทวารก็ประตูจมูก ชิวหาทวารก็ประตูลิ้น
กายทวารก็ประตูกาย มโนทวารก็ประตูใจ
เป็นประตูสำหรับที่จะรับเรื่องเข้าสู่จิต หรือสำหรับจิต
จะออกรับเรื่อง และสิ่งที่เข้าทางทวารทั้ง ๖ นี้จึงเรียกว่า
อารมณ์ คำว่าอารมณ์หมายถึงเรื่อง
เรื่องที่จิตคิดเรื่องที่จิตดำริเรื่องที่จิตหมกมุ่นถึง
ในอภิธรรมเรียกว่า อาลัมพนะ แปลว่าเป็นเครื่องหน่วงจิต
ก็เพราะว่าที่จิตรับเรื่องนั้นคือน้อมออกไปรับเรื่อง
อันหมายความว่าสิ่งที่จิตรับได้นั้นเป็นเพียงแต่เรื่องไม่
ใช่วัตถุ อย่างเช่นว่าเมื่อตากับรูปประจวบกัน รูปที่ตาเห็น
เป็นภูเขา ต้นไม้ บุคคล หรือเป็นอะไรก็ตาม ซึ่งล้วน
เป็นวัตถุ จิตจะรับเอาต้นไม้เอาภู
เขาเอาบุคคลเอาอะไรต่ออะไรเข้ามาในจิตไม่ได้ จิตรับ
ได้แต่เรื่อง คือเมื่อตากับรูปประจวบกัน
จิตก็รับเอาแต่เรื่องของรูปที่
เข้ามาทางจักขุทวารคือประตูตา เพราะฉะนั้น
จึงเรียกว่ารูปารมณ์ อารมณ์คือรูป คือรับอารมณ์คือรูป
เท่านั้นเอง ไม่ใช่รับเอาต้นไม้ภูเขาบุคคลเข้ามา
เสียงก็เหมือนกัน ก็รับแต่เรื่องที่เรียกว่าสัททารมณ์
อารมณ์คือเสียง กลิ่นก็เหมือนกัน เรียกว่าคันธารมณ์
อารมณ์คือกลิ่น รสารมณ์ อารมณ์คือรส โผฏฐัพพารมณ์
อารมณ์คือโผฏฐัพพะ สิ่งที่กายถูกต้อง และธรรมารมณ์
อารมณ์คือเรื่องราวของสิ่งเหล่านั้น จิตรับได้แต่เรื่องที่
เข้ามาทางทวารทั้ง ๖ นั้น และโดยเฉพาะ ๕ ข้อข้างต้น
นั้น สิ่งที่รับล้วนแต่เพียงวัตถุ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
จะเอามาใส่ในจิตไม่ได้ จิตรับแต่เรื่องเข้ามา เพราะฉะนั้น
จึงเรียกว่าอารมณ์ เมื่ออธิบายในแนวที่แสดง
ถึงจิตน้อมออกรับอารมณ์ดั่งนี้ อายตนะภายในทั้ง ๖
จึงเรียกว่าทวารทั้ง ๖ และอายตนะภายนอก ๖
จึงเรียกว่าอารมณ์ ๖ เพื่อให้ชัดขึ้นมาว่า
จิตน้อมออกรับอารมณ์ทั้ง ๖ นั้นทางทวารทั้ง ๖ ก็
ไม่ต่างอะไรจากอายตนะภายในภายนอกนั่นแหละ
แต่ว่ามาเปลี่ยนชื่อเป็นทวาร ๖ เป็นอารมณ์ ๖ ก็โดยมุ่งที่
จะแสดงถึงกระบวนการของจิต ที่น้อมออกรับอารมณ์ทั้ง
๖ นี้ทางทวารทั้ง ๖ รับมาเป็นวิญญาณเป็นสัมผัส
เป็นเวทนาเป็นสัญญาเป็นสังขาร
๕ กันยายน ๒๕๒๗
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร ในพรรษากาล
๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูถัมภ์
จัดพิมพ์เนื่องในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 01:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๐ ลักษณะพุทธศาสนา - การรับรู้อารมณ์ของจิต
(๒)
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
แสดงลักษณะพุทธศาสนาถึงเรื่องอายตนะภาย
ในอายตนะภายนอกสัมพันธ์กับจิตหรือธาตุรู้
ซึ่งมาประกอบกับนามรูป ทวาร อารมณ์ ภวังคจิต
ซึ่งบรรดาชื่อทั้งปวงเหล่านี้ต่างมี
ความหมายตามลักษณะจำเพาะของแต่ละขันธ์
และที่สัมพันธ์กันอยู่ ซึ่งเมื่อไม่เข้าใจก็ดูจะยุ่ง แต่ถ้า
เข้าใจแล้วก็จะไม่ยุ่ง และ
จะทราบกระบวนการของจิตตามลักษณะที่แสดงไว้
ในพุทธศาสนาดีขึ้น
อินทรีย์ หรืออายตนะภายใน หรือทวาร ๖
จะได้กล่าวอธิบายทบทวนบ้าง ต่อไปบ้าง ในข้อที่ควร
จะกล่าว เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
ในกระบวนการของจิตตามทางพุทธศาสนาดีขึ้น จะเริ่ม
ด้วยอายตนาภายในหรือทวาร ๖ ตามที่กล่าวแล้ว โดย
จะเพิ่มชื่อของทั้ง ๖ ข้อนี้ ขึ้นอีกชื่อหนึ่งคือ อินทรีย์
ที่แปลว่าเป็นใหญ่ คือทั้ง ๖ ข้อนี้นอก
จากเรียกชื่อว่าอายตนะ ซึ่งแปลว่าที่ต่อ เรียกชื่อว่าทวาร
ที่แปลว่าประตูหรือช่องทาง
ยังเรียกชื่อว่าอินทรีย์ที่แปลว่าเป็นใหญ่ด้วย
คือจักขุนทรีย์ อินทรีย์คือจักษุหรือตา ชื่อว่าอินทรีย์
เพราะเป็นใหญ่ในการเห็นรูป โสตินทรีย์ อินทรีย์คือหู
ชื่อว่าอินทรีย์เพราะเป็นใหญ่ในการฟังเสียง ฆานินทรีย์
อินทรีย์คือจมูก ชื่อว่าอินทรีย์เพราะเป็นใหญ่
ในการทราบกลิ่น ชิวหินทรีย์ อินทรีย์คือลิ้น ชื่อว่าอินทรีย์
เพราะเป็นใหญ่ในการลิ้มรส กายินทรีย์ อินทรีย์คือกาย
ชื่อว่าอินทรีย์เพราะเป็นใหญ่
ในการทราบโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้อง มนินทรีย์
อินทรีย์คือมนะหรือมโนคือใจ ชื่อว่าอินทรีย์เพราะเป็น
ใหญ่ในการคิดหรือรู้ธัมมะคือเรื่องราว และเป็นใหญ่ใน ๕
ข้อข้างต้นนั้นด้วย คือในการเห็นรูป ในการฟังเสียง
ในการทราบกลิ่น ในการทราบรส ในการทราบสิ่งถูกต้อง
ตามที่อธิบายนี้ มนินทรีย์ อินทรีย์คือมนะหรือมโนคือใจ
จึงเป็นใหญ่ในทางของตนโดยจำเพาะด้วย คือในทางรู้
หรือคิดเรื่องอันเป็นข้อ ๖ และเป็นใหญ่ในแต่ละข้อ ๕
ข้อข้างต้นนั้นด้วย มนินทรีย์ อินทรีย์คือมนะหรือใจ
เป็นอายตนะข้อที่ ๖ และทวารข้อที่ ๖ จึงเป็น
ใหญ่ครอบไปในอายตนะ ๕ ข้อข้างต้น ในทวาร ๕
ข้อข้างต้นนั้นด้วย ในข้อนี้ท่านให้คำอธิบายไว้ว่า
ในขณะที่ตาและรูปประจวบกัน มโนต้องเข้าไปประกอบ
ด้วย จึงจะสำเร็จเป็นการเห็นรูป หูกับเสียงประจวบกัน
มโนจะต้องเข้าไปประกอบด้วย จึงจะสำเร็จการ
ได้ยินเสียง จมูกกับกลิ่นประจวบกัน มโนจะต้อง
เข้าไปประกอบด้วยจึงจะสำเร็จการทราบกลิ่น ลิ้น
กับรสประจวบกัน มโนจะต้องเข้าไปประกอบด้วย จึง
จะสำเร็จการทราบรส กายและสิ่งถูก
ต้องคือโผฏฐัพพะประจวบกัน มโนจะต้องเข้าไปประกอบ
ด้วย จึงจะสำเร็จการทราบสิ่งถูกต้อง ตามนัยนี้มโนต้อง
เข้าไปประกอบด้วยแต่ละข้อทุกข้อ ถ้าไม่มีมโน
เข้าไปประกอบด้วยทุกข้อแล้ว แต่ละข้อนั้นจะไม่สำเร็จ
เป็นการเห็นรูปเป็นต้นได้ และโดยเฉพาะในข้อที่ ๖
มโนก็ประกอบกับธัมมะคือเรื่องราว ก็รู้
และคิดคือเรื่องราวอีก เป็นประการที่ ๖ นั้นด้วย
เพราะฉะนั้นตามอธิบายนี้จึงทำให้ท่าน
ผู้รู้ทางพุทธศาสนาหลายท่าน ซึ่ง
ได้ศึกษาวิชาสรีรวิทยาปัจจุบัน ให้คำอธิบายว่ามโน
ได้แก่มันสมอง แม้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็ประทานคำอธิบาย
ไว้อย่างนี้ ว่ามโนคือมันสมอง ท่าน
ทั้งหลายที่ขึ้นไปดูห้องกรรมฐานที่ตึก ภปร. ซึ่งได้มีแสดง
ถึงประสาททั้ง ๕ เมื่อกระทำหน้าที่เห็นรูปได้ยินเสียง
เป็นต้นนั้น ดำเนินไปอย่างไร คือเมื่อจักขุประสาท
กับรูปมาประจวบกัน จะต้องวิ่งไปถึงมันสมอง
ส่วนที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเห็นรูป จึงจะสำเร็จ
เป็นการเห็นรูป ทางเสียงก็เหมือนกันเมื่อประจวบ
กับโสตประสาท ก็จะวิ่งไปถึงมันสมองที่มีหน้าที่เกี่ยว
กับการได้ยินเสียง จึงจะสำเร็จเป็นการได้ยินเสียง
ทางจมูกทางลิ้นทางกายก็เช่นเดียวกัน เมื่อกลิ่นรส
และสิ่งถูกต้องมาประจวบกับฆานประสาท ชิวหาประสาท
กายประสาท ก็ต้องวิ่งไปถึงมันสมอง ส่วนที่จะ
ให้ทราบกลิ่นทราบรสทราบโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้อง จึง
จะสำเร็จ
เป็นการทราบกลิ่นทราบรสทราบโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูก
ต้อง ฉะนั้นตามระบบสรีรศาสตร์ตามที่กล่าวมานี้ จึง
ต้องมีมันสมองส่วนที่เกี่ยวกับประสาททั้ง ๕ นั้น
เข้ามาประกอบเข้าอีกส่วนหนึ่งด้วย ก็ตรง
กับคำอธิบายของพระอาจารย์และตรง
กับพุทธศาสนาที่ท่านอธิบายไว้ดังกล่าวมาแล้วด้วย
ถึงหน้าที่ของมโนซึ่งเป็นมนินนทรีย์ อินทรีย์คือมโน ซึ่ง
เป็นใหญ่ในการช่วยให้สำเร็จการเห็นรูป การได้ยินเสียง
การทราบกลิ่น การทราบรส การทราบโผฏฐัพพะ
ตลอดจนถึงในหน้าที่เฉพาะของตัวเอง คือรู้คิดเรื่องอัน
เป็นข้อที่ ๖ นั้นก็ตรง
กับระบบของมันสมองตามหลักสรีรศาสตร์ปัจจุบันนี้
ไปดูบนตึก ภปร. นั้นมีแสดงไว้ไปกดปุ่ม ถ้าไฟไม่เสียก็
จะมองเห็นชัด เช่นตอนที่รูปมาประจวบกับจักขุประสาท
แล้วจึงแล่นปราดไปถึงมันสมองจึงจะเห็นรูป และการ
ได้เห็นรูป การได้ยินเสียง การได้ทราบกลิ่น การ
ได้ทราบรส การได้ทราบโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้อง
และการรู้เรื่องหรือคิดเรื่อง นี่แหละคือจักขุวิญญาณ
โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
และมโนวิญญาณ ฉะนั้นหากมีปัญหาว่าเห็นรูปด้วยอะไร
เราพูดตามภาษาสามัญว่า เห็นรูปด้วยจักษุคือดวงตา
แต่เมื่อว่าตามกระบวนจิตแล้ว ต้องตอบว่าเห็นรูป
ด้วยจักขุวิญญาณ ได้ยินเสียงด้วยอะไร ได้ยินเสียง
ด้วยหู ถ้าตอบตากระบวนการของจิตละก็ ต้องตอบว่า
ได้ยินเสียงด้วยโสตวิญญาณ ข้ออื่นก็เหมือนกัน
ทราบกลิ่นด้วยฆานวิญญาณ ทราบรสด้วยชิวหาวิญญาณ
ทราบโผฏฐัพพะด้วยกายวิญญาณ
ทราบเรื่องที่เรียกว่าธัมมะเรื่องราวด้วยมโนวิญญาณดั่งนี้
นี้เป็นการตอบที่ถูกต้องตามกระบวนการของจิต
แต่เราก็พูดตามสามัญว่าเห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู
เป็นต้น
จิตรู้ได้เพราะต่อกับอายตนะภายในภายนอก
คราวนี้ตามที่ได้อธิบายแล้ว ตาหูลิ้นจมูกกายและใจทั้ง ๖
นี้เรียกว่าอายตนะ เพราะเป็นที่ต่อ คือว่าต่อ
กับอายตนะภายนอกที่คู่กัน รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
และธัมมะคือเรื่องราวเป็นอายตนะคือที่ต่อ นอกจากต่อ
กันในระหว่างภายในและภายนอกทั้ง ๒ นี้แล้ว ยัง
เป็นอายตนะของจิต คือธาตุรู้ คือต่อจิตหรือธาตุรู้ จิต
หรือธาตุรู้นั้นต่อกับอายตนะภายในภายนอกทั้ง ๒ นี้
จึงรู้ภายนอกได้ และเรียกว่าทวารแปลว่าช่องหรือประตู
ก็คือเป็นช่องหรือประตูสำหรับที่จิตจะ
ได้รู้อารมณ์คือเรื่อง ดังที่ได้กล่าวอธิบายไว้แล้ว ว่าจิตนั้น
ไม่มีสรีระคือรูปร่างสีสัณฐาน มีคูหาคือกายนี้เป็นที่อาศัย
หรือจะพิจารณาว่ามันสมองนั้น
เป็นที่อาศัยของจิตสำหรับที่จะรู้สิ่งต่างๆ ก็อยู่
ในกะโหลกศีรษะ ก็คล้ายๆ อย่างคูหาคือถ้ำเหมือนกัน แต่
ถ้าพูดทั้งหมดคลุมเสียหมดเลยว่ามีกายนี้
เป็นที่อาศัยอย่างท่านพระอาจารย์ก็ไม่มีผิด
คือจิตรู้อารมณ์คือเรื่องทางทวารทั้ง ๖ ดังที่ได้กล่าวไว้
แล้วในวันก่อนนั้น และในวันก่อนนั้นก็ได้กล่าวแล้วว่า สิ่ง
ทั้งหลายที่ตาได้เห็น ที่หูได้ยิน ที่จมูกที่ลิ้นที่กายได้ทราบ
คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ นั้น เป็นวัตถุทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นจึงเข้าไปอยู่ในจิตไม่ได้ ได้เพียงเห็นเพียง
ได้ยินได้ทราบ จะเอาใส่เข้าไปในจิตไม่ได้เพราะเป็นวัตถุ
เห็นบ้านหลังหนึ่ง จะเอาบ้านหลังนั้นใส่เข้าไปในจิตไม่ได้
ดั่งนี้เป็นต้น แต่ว่าจิตรับได้เพียงเรื่อง เรื่องของสิ่งเหล่านี้
ซึ่งเรียกว่าอารมณ์ เพราะฉะนั้น
จึงมีคำแปลอารมณ์ว่าเรื่องที่จิตคิด เรื่องที่จิตดำริ
เรื่องที่จิตอนุสัยคือหมกมุ่นถึงครุ่นคิดถึงที่เข้ามานอน
เนื่องอยู่ในจิตใจ คือว่าบรรดาเรื่องเหล่านี้ที่จิตคิด
คือว่าคิดแล้วก็แล้วไป ที่จิตดำริคือดำริแล้วก็แล้วไป
ที่จิตอนุสัยคือเก็บเข้ามาไว้ในจิตอีก นอนอยู่ในจิตอีก
เหล่านี้คืออารมณ์ ซึ่งได้กล่าว
แล้วว่าทางอภิธรรมเรียกอาลัมพนะ
แปลว่าเครื่องหน่วงของจิต คือหน่วงคิดนั้นเอง
แต่ทางพระสูตรเรียกว่า อารัมมณะ อารมณ์ ไม่ใช่อารมย์
อารมณ์เหล่านี้ก็มี ๖ ดังที่ได้กล่าว
แล้วตามอายตนะภายนอกทั้ง ๕ ประการ อารมณ์คือรูป
รูปอารมณ์ อารมณ์คือเสียง สัททารมณ์ อารมณ์คือกลิ่น
คันธารมณ์ อารมณ์คือรส รสารมณ์ อารมณ์คือสิ่งถูก
ต้อง โผฏฐัพพารมณ์ อารมณ์คือเรื่องราว ธรรมารมณ์
จิตที่รับอารมณ์คือกิริยาที่จิตรับอารมณ์นี้เอง
เรียกว่านาม ที่แปลว่าน้อมไป
คราวนี้ก็ควรจะอธิบายถึงลักษณะจิตหรือธาตุรู้
ที่ท่านอธิบายไว้ในอภิธรรม ว่าจิตคือธาตุรู้ที่ยังไม่
ได้รับอารมณ์อะไรทางทวารทั้ง ๖ เรียกว่าภวังคจิต ก็
ได้อธิบายแล้วเหมือนกัน แต่มาทบทวนเพราะ
ต้องการชี้แจงให้แจ่มแจ้งขึ้นอีกในที่นี้ ภวังคะ
แปลว่าองค์ของภพ ภพแปลว่าความเป็นความมี
องค์ของภพคือองค์ของความเป็นความมี แต่ว่าตาม
ความหมายนั่น ภวังคจิตคือจิตที่ยังไม่รับอารมณ์ ท่าน
จึงมีตัวอย่างว่าบุรุษนอนหลับอยู่ใต้ต้นมะม่วง
ผลมะม่วงหล่นลงมา คนนอนหลับ
นั้นก็ตื่นขึ้นเอามือคว้ามะม่วงมาบริโภค บริโภคเสร็จ
แล้วก็หลับไปใหม่ จิตที่เป็นภวังคจิต
นั้นเปรียบเหมือนคนนอนหลับ ผลมะม่วงที่หล่นลงมา
นั้นเปรียบเหมือนอารมณ์ที่มากระทบกับทวารทั้ง ๖
คนนอนหลับนั้นตื่นขึ้น ก็เปรียบเหมือนจิตที่เคลื่อนออก
จากภวังค์ และคนนอนหลับ
นั้นเอามือคว้ามะม่วงมาบริโภค ก็เหมือนจิตที่รับอารมณ์
การรับอารมณ์ก็คือการที่จิตบริโภคอารมณ์
เหมือนอย่างคนที่บริโภคผลมะม่วง ครั้งรับอารมณ์
แล้วก็ตกภวังค์ไปใหม่
ก็เหมือนอย่างที่ท่านเปรียบคนคว้ามะม่วงมาบริโภค
แล้วก็หลับไปใหม่ หลับไปใหม่คือว่าจิตที่รับอารมณ์
แล้วก็ตกภวังค์ไปใหม่ ฉะนั้นตามอุปมานี้ จิตที่ยัง
ไม่รับอารมณ์ก็อยู่ในภวังค์เป็นภวังคจิต
ครั้นมีอารมณ์ผ่านทวารทั้ง ๖ เข้ามา ซึ่งน่า
จะอุปมาอีกอย่างหนึ่งเหมือนว่ามีคนมาเคาะประตู
คนนอนหลับอยู่ในบ้าน แล้วก็มีคนมาเคาะประตูดังปังๆ
ก็เปิดประตูออกรับแขกให้เข้ามา จิตก็ออก
จากภวังค์รับอารมณ์ และเมื่อรับอารมณ์เสร็จ
แล้วก็ปิดประตู แล้วหลับไปใหม่ ก็คือตกภวังค์ไปใหม่
มีแขกมาเคาะประตูอีกก็ออกจากภวังค์มารับใหม่
แล้วก็ปิดประตูตกภวังค์ไปใหม่ มีแขกมาเคาะประตูอีก
ก็เปิดประตูรับกันใหม่ ก็ตกภวังค์กันใหม่ ดั่งนี้เพราะฉะ
นั้นจึงต้องให้อุปมาในตอนนี้อีกด้วยว่า
ร่างกายอันนี้เหมือนอย่างว่าบ้านซึ่งมีประตูนอก ๕ ประตู
ประตูใน ๑ ประตู แล้วจึงถึงจิตที่เป็นเจ้าของบ้านอยู่
ในห้องใน ห้องในนั้นมีประตูเดียว ห้องนอกนั้นมีประตู ๕
ประตู ๕ ประตูนั้นคือประตูตาหูจมูกลิ้นกาย
เมื่ออารมณ์คือรูปเข้ามาก็เข้ามาทางประตูตา
แล้วก็มาผ่านประตูมโน แล้วจึงจะถึงจิต หรือจะเปรียบ
ในด้านตรงข้าม คือจิตออกไปทางประตูในคือมโนทวาร
แล้วก็จักขุทวาร รับอารมณ์คือรูป เสียงก็เหมือนกัน
เข้าทางประตูหูแล้วก็มาผ่านประตูหูแล้วก็มาผ่านประตูใจ
หรือมโน แล้วจึงถึงจิต กลิ่นก็ต้องผ่านประตูจมูกแล้วก็
ต้องผ่านประตูใจ แล้วจึงถึงจิต รสก็ต้องผ่านประตูลิ้น
แล้วต้องผ่านประตูใจ แล้วจึงถึงจิต ธัมมะคือเรื่องราว
นั้นก็ผ่านตรงเข้าประตูใจอย่างเดียวแล้วจึงถึงจิต
ที่เปรียบดั่งนี้ก็โดยอธิบายข้างต้น ว่าที่เรียกอินทรีย์ ๖
สำหรับมนินทรีย์ อินทรีย์คือใจอันเป็นข้อที่ ๖ นั้น
มีหน้าที่ครอบหมด หน้าที่ข้างต้นด้วย
และหน้าที่จำเพาะของตนด้วย จึงเปรียบดั่งนี้ เพราะฉะ
นั้นกิริยาที่จิตรับอารมณ์จึงต้องผ่านทวารดั่งนี้
จิตรับอารมณ์ด้วยความรู้หรือน้อมไปรู้
และก็ควรทราบ ว่าอันกิริยาที่จิตรับอารมณ์
นั้นคือรับอย่างไร ก็ตอบว่ารับด้วยความรู้เพราะว่าจิต
นั้นดังที่ได้กล่าวแล้วว่าเป็นธาตุรู้ และมีอรรถคือ
ความหมายว่ารู้หรือคิดอันเป็นลักษณะสำคัญ เพราะฉะ
นั้นวิธีรับอารมณ์ของจิตนั้นก็คือรับด้วยความรู้ แต่ว่า
ความรู้นั้นมีลักษณะต่างๆ กัน ในอภิธรรมนั้นส่วนหนึ่งยัง
ไม่พูดถึง จะพูดถึงแต่นามธรรมในขันธ์ ๕ ที่แสดงไว้
ในทางปฏิบัติทั่วไป ก็คือว่ารับด้วย
ความรู้ที่เรียกว่าวิญญาณ ที่เรียกว่าสัมผัส
ที่เรียกว่าสัญญา ที่เรียกว่าสังขาร
กล่าวคือจิตรับอารมณ์ขั้นแรกคือเป็นวิญญาณ
คือการเห็น การได้ยิน การเห็นรูป การได้ยินเสียง
การทราบกลิ่น การทราบรส การทราบโผฏฐัพพะ
การทราบความรู้หรือคิดเรื่องราว ที่เรียกว่าจักขุวิญญาณ
โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนวิญญาณ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ว่าที่จริงนั้นว่า
กันว่าเห็นรูปด้วยตา แต่ที่จริงนั้นเห็นรูปด้วยจักขุวิญญาณ
เป็นต้น นี่เป็นการรับรู้
การรับอารมณ์ก็คือการรับรู้อารมณ์ความรู้อารมณ์
เป็นขั้นแรกคือวิญญาณ ถ้าหากว่ายังไม่ดับไปเสียในขั้น
นั้น ก็ต่อมาขั้นสัมผัสที่อธิบายมาแล้วเหมือนกัน
ว่าอายตนะภายในอายตนะภายนอกและวิญญาณทั้ง ๓
นั้นมาประชุมกันก็เป็นสัมผัส โดยความก็คือกระทบถึงจิต
นี่เป็นขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ ก็เวทนา คือเป็นความรู้สุขรู้ทุกข์
หรือรู้เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข เมื่อรับรู้ในขั้นวิญญาณ
ก็เลื่อนขึ้นมารับรู้นั้นสัมผัส แล้วก็เลื่อนขึ้นมารับรู้
ในขั้นเวทนา จากนั้นก็รับรู้ในขั้นสัญญาคือรู้จำ
หรือจำหมาย
จำรูปจำเสียงจำกลิ่นจำรสจำโผฏฐัพพะจำเรื่องราว
เป็นต้น แล้วก็เลื่อนขึ้นมารับรู้เป็นเรื่องสังขารคือ
ความคิดปรุงหรือปรุงแต่ง ก็คิดปรุงแต่งไป
ในรูปบ้างเสียงบ้างกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
และธัมมะคือเรื่องราวเหล่านี้ คิดดีบ้างคิดชั่วบ้าง คิด
เป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่วบ้าง ก็เป็นบุญเป็นบาปเป็นกุศล
เป็นอกุศลหรือเป็นกลางๆ มาถึงในขั้นที่เป็นสังขารนี้ รับรู้
ในขั้นสังขารคือคิดปรุงหรือปรุงคิดและตอนนี้แหละ ที่
ในอภิธรรมท่านก็แสดงว่าก็ตกภวังค์กันไปเสียหนหนึ่ง คือ
ในอารมณ์อันหนึ่งนั้น จิตจะออกรับรู้เป็นวิญญาณ
เป็นสัมผัส เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร ในอารมณ์
๑ นั้น แล้วก็ตกภวังค์ แล้วก็มารับอารมณ์เป็นที่ ๒ ใหม่ ที่
๓ ใหม่ ที่ ๔ ใหม่
แต่ว่าบรรดาอารมณ์ที่จิตรับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่ารับมา
ถึงขั้นที่สุดทุกอารมณ์ บางอารมณ์ก็ตกหล่นในระหว่าง
คือเป็นอารมณ์ที่ผิวเผินมากไม่กระทบใจมาก จิตก็
ไม่รับอารมณ์เต็มที่ เหมือนดังว่าคนที่นอนหลับอยู่
ในห้องดังกล่าวนั้นแหละ และมีใครมาเคาะประตูเบาๆ
แผ่วๆ บางทีก็ได้ยินนิดหนึ่งแล้วก็นอนหลับไปใหม่ ไม่ถึง
กับตื่น เสียงนั้นก็ยังไม่ปลุกให้ตื่น
เพียงแต่งัวเงียขึ้นมาหน่อยเท่านั้นแล้วก็หลับไปใหม่
แต่ว่าถ้าเป็นเสียงดังโครมครามเป็นอารมณ์ที่แรงก็ปลุก
ให้ตื่นขึ้นมา ก็รับกันมาจนถึงขั้นสังขารคือคิดปรุง
หรือปรุงคิดต่างๆ จะน้อยหรือมากก็ตามแต่ว่าจะมี
ความผูกพันที่เข้ามาเกี่ยวอีก น้อยหรือมากเพียงไร
แต่ก็ผ่านไป ผ่านไปนั้นคือว่าตกภวังค์ไปใหม่ ดังจะพึงเห็น
ได้ ว่าที่มาจากกุฏิมาถึงที่นี้ หูก็ได้ยินอะไรมากมาย
ตาก็เห็นอะไรมากมาย ก็อาจจะ
ได้กลิ่นทางจมูกหลายอย่าง ลิ้นก็เหมือนกัน กายก็เหมือน
กัน ก็ถูกต้องกับหนาวร้อนแดดลมอะไรต่างๆ
ใจก็คิดต่างๆ เหล่านี้คงจะหลายร้อยเรื่องเหมือนกัน
หลายร้อยสิ่ง
ถ้าไปคิดรายละเอียดของสิ่งที่ประสบพบผ่านตั้งแต่
จากกุฏิมาที่นี่ และก็จะต้องเป็นวิญญาณเป็นต้น
ในอารมณ์คือเรื่องเหล่านั้น ถ้า
เป็นเรื่องที่มากระทบแผ่วเบาและมีความสนใจน้อย ก็
เป็นเรื่องที่ผ่านไปๆ ๆ แปลว่าอาจจะเพียงวิญญาณ เห็น
แล้วก็ผ่านไป ได้ยินแล้วก็ผ่านไป ไม่ขึ้นไป
ถึงสัมผัสกระทบใจเป็นเวทนาเป็นสัญญาเป็นสังขารอะไร
เพราะว่าจะเป็นสังขารคือคิดปรุงหรือปรุงคิดนั้น จะ
ต้องผ่านสัญญา ผ่านเวทนา ผ่านสัมผัส ผ่านวิญญาณ
ถ้ากระทบนิดๆ หน่อยๆ ก็เพียงวิญญาณเท่านั้น
แล้วก็ผ่านไปๆ ๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผ่านๆ มาคง
จะตั้งหลายร้อยเรื่อง แต่ถ้าคิดเป็นรายละเอียด
แล้วก็เพียงเห็นเพียงได้ยินแล้วก็ผ่านๆ ๆ ไม่ได้จดจำ
เป็นสัญญาอะไรด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่จะผ่านขึ้นมาจน
ถึงสังขารนั้น จะต้องผ่านมาโดยลำดับ เป็นสัญญาจดจำ
แล้วก็มาเป็นสังขารปรุงแต่ง ถ้าหากว่าไม่มีจดจำแล้วละก็
ก็ไม่มีการปรุงแต่งเป็นสังขาร
นี้เป็นอาการที่จิตรับรู้อารมณ์
อาการที่จิตรับรู้อารมณ์นี้เรียกว่าน้อมไป คือจิตน้อมไปรู้
ถ้าจะเทียบเหมือนกับว่ามะม่วงอยู่บนต้น คนนอนหลับ
ใต้ต้นมะม่วงเอื้อมมือไปคว้ามะม่วงเข้ามาใส่ปาก
แล้วก็บริโภค ก็คืออาการที่จิตรับรู้อารมณ์ ก็เหมือนกับว่า
เขาน้อมแขนไปจับผลมะม่วงมาใส่ปาก นี่ก็เหมือนกัน
จิตก็รับอารมณ์ก็เหมือนอย่างน้อมจิต
จิตเอื้อมแขนออกไปจับอารมณ์
และแขนของจิตที่เอื้อมออกไปนี้ก็คือว่าเป็นวิญญาณ
เป็นสัมผัสเป็นเวทนาเป็นสัญญาเป็นสังขารดังกล่าว
แล้วนั่นเอง แล้วก็ตกภวังค์ไปใหม่ เพราะฉะ
นั้นลักษณะของจิตตามที่แสดงไว้ในอภิธรรมนั้น
จึงรับอารมณ์ ก็คือเคลื่อนออก
จากภวังค์รับอารมณ์อย่างหนึ่ง แล้วก็ตกภวังค์
แล้วก็เคลื่อนออกรับอารมณ์ต่อไป แล้วก็ตกภวังค์ เรื่อยๆ
ไปดั่งนี้ทุกอารมณ์ อารมณ์หนึ่งๆ ก็ออกจากภวังค์ไปรับ
แล้วก็ตกภวังค์ทุกอารมณ์ เพราะฉะนั้นความ
เป็นไปของจิตที่รับอารมณ์นี้จึงรวดเร็วและละเอียดมาก
ภวังค์ที่แสดงไว้ในอภิธรรมนั้นมีลักษณะดังที่กล่าวมานี้
เป็นพื้นของจิตที่ไม่รับอารมณ์ เหมือนอย่างคนนอนหลับที่
อยู่ใต้ต้นมะม่วงดังที่กล่าวนั้น ออกจากภวังค์ก็รับอารมณ์
แล้วก็ตกภวังค์ไปใหม่ เป็นอยู่ดั่งนี้ตลอดเวลา
๘ กันยายน ๒๕๒๖
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร ในพรรษากาล
๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูถัมภ์
จัดพิมพ์เนื่องในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 02:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๑ ลักษณะพุทธศาสนา -
กระบวนการของจิต (๓)
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
แสดงลักษณะพุทธศาสนามาถึงกระบวนการของจิต
ซึ่งก็อาศัยกายนี้ประกอบกัน เป็นอันว่า
ได้แสดงสังขตธรรม ธรรมคือสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง
และอสังขตธรรม ธรรมคือสิ่งที่ปัจจัยมิ
ได้ปรุงแต่ง ทางฝ่ายวัตถุและทางฝ่ายธาตุรู้
อันสรุปลงในตอนนี้ก่อน ว่าได้มีอสังขตธรรม
คือสิ่งที่ปัจจัยมิได้ปรุงแต่ง อันหมายถึงตัวธาตุแท้ซึ่ง
เป็นตัวเดิมไม่มีอะไรปรุงแต่ง ทางฝ่ายวัตถุ
และทางฝ่ายจิตใจหรือธาตุรู้ ทางฝ่ายวัตถุนั้น
ไม่มีตัวรู้ ส่วนทางฝ่ายจิตใจนั้นมีตัวรู้ สรุปลง
แล้วก็คือ มีธาตุแท้ซึ่งไม่มีความรู้ในตัว กับธาตุแท้ที่
เป็นตัวรู้ และธาตุแท้ที่ไม่มีตัวรู้ซึ่งเป็นวัตถุ
นั้นมาประสมปรุงแต่งกันขึ้น ก็เป็นสังขตธรรม
ธรรมที่มีปัจจัยปรุงทางวัตถุ ส่วนตัวรู้ซึ่งเป็นธาตุแท้
นั้น ก็อาจจะกล่าวได้ว่ามี ๒ จำพวก คือตัวรู้จำพวกหนึ่ง
ยังมีอวิชชาคือยังมิได้อบรม ตัวรู้อีกจำพวกหนึ่ง
นั้นอบรมแล้ว เป็นตัวรู้จริงรู้แท้ประกอบ
ด้วยวิชชา สำหรับตัวรู้ที่อบรมแล้วประกอบ
ด้วยวิชชาเป็นรู้จริงรู้แท้ ก็เป็นอสังขตธรรม
ธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งอีกต่อไป ไม่มาประกอบ
กับฝ่ายที่ไม่มีตัวรู้คือทางฝ่ายที่เป็นวัตถุอีก คือ
ไม่เกิดอีก เมื่อไม่เกิดก็ไม่มีแก่ไม่มีตาย ก็ได้แก่ธาตุรู้ที่
เป็นตัวรู้แท้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ผู้สิ้นกิเลสแล้ว
ไม่มีอวิชชาอีกแล้ว เป็นรู้ที่รู้พ้น ก็คงดำรงความ
เป็นอมตธรรม ธรรมที่ไม่ตาย คือสิ่งที่ไม่ตาย
อยู่นั่นเอง แต่ว่าธาตุรู้ที่ยังเป็นตัวรู้หลงรู้ผิดคือยัง
ไม่อบรม ย่อมมาประกอบเข้ากับธาตุที่ไม่มี
ความรู้อีกต่อไป จึงนับว่าเป็นสังขตธรรม
ธรรมที่มีปัจจัยปรุง โดยที่ทั้ง ๒ ฝ่ายมาปรุงกันผสม
กัน คือธาตุรู้กับธาตุที่ไม่มีความรู้ในตัว ฉะนั้นจึง
ได้มีพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ใน ติกนิบาต ซึ่งแปลโดย
ความว่า อาศัยธาตุทั้ง ๖
ความหยั่งลงแห่งครรภ์คือตั้งครรภ์จึงมี เมื่อมี
ความหยั่งลงแห่งครรภ์ ก็มีนามรูปเป็นต้นต่อไป
ธรรมชาติแท้ของจิตประภัสสรคือผุดผ่อง
คำว่าอาศัยธาตุ ๖ นั้น ธาตุ ๖ ก็ได้กล่าวแล้วคือ
ปฐวีธาตุ ธาตุดิน อาโปธาตุ ธาตุน้ำ เตโชธาตุ ธาตุไฟ
วาโยธาตุ ธาตุลม อากาสธาตุ ธาตุอากาศคือช่องว่าง
และวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ ๕ ข้อข้างต้นนั้นเป็นธาตุที่
ไม่มีความรู้ในตัว เป็นฝ่ายวัตถุ ส่วนวิญญาณธาตุ
เป็นธาตุรู้ อาศัยธาตุทั้ง ๖ นี้มาปรุงแต่ง
กันขึ้นก็มีการตั้งครรภ์
และเมื่อมีการตั้งครรภ์ขึ้นก็มีนามรูปเป็นต้นต่อไป
ก็คือว่ามีชาติคือความเกิดมา
เป็นบุรุษบุคคลชายหญิงดังที่ปรากฏอยู่นี้ ดั่งนี้ก็
เป็นอันว่าธาตุทั้ง ๒ ฝ่ายนี้มาเป็นสังขาร
คือมาผสมปรุงแต่งกันขึ้น ก็เป็นสัตว์บุคคลตัวตนเรา
เขาบรรดาสัตวโลกก็คือทั้ง ๒
ฝ่ายนี้มาผสมปรุงแต่งกันขึ้นนั่นเอง
และแม้เมื่อมาผสมปรุงแต่งกันแล้ว
ก็มีกระบวนการฝ่ายธาตุที่ไม่มีความรู้ในตัวปรุงแต่ง
กันไปฝ่ายหนึ่ง มีกระบวนการทางจิตใจซึ่ง
เป็นตัวธาตุรู้ปรุงแต่งกันไปอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ก็ต้องอาศัย
กันอยู่นั่นเอง ถ้าหากว่าวิญญาณธาตุที่
เป็นตัวธาตุรู้นี้เคลื่อนออกไปเสียแล้วเมื่อใดก็ตาม
ส่วนที่เป็นธาตุที่ไม่มีความรู้ในตัวที่ปรุงแต่งกัน
เป็นรูปกายก็แตกสลาย เพราะฉะนั้นเมื่อตั้งครรภ์
ยังอยู่ในครรภ์ วิญญาณธาตุเคลื่อนออกไปเมื่อ
ใดก็แท้งเมื่อนั้น เมื่อคลอดออกมาแล้วตั้งแต่เป็นเด็ก
เล็กเด็กใหญ่ขึ้นมาโดยลำดับ
วิญญาณธาตุเคลื่อนออกไปเมื่อใด ก็ดับเมื่อ
นั้นแตกสลายเมื่อนั้นที่เรียกว่าตาย เพราะฉะนั้นจึง
ต้องมีวิญญาณธาตุประกอบอยู่ด้วยเสมอ
และวิญญาณธาตุนี้ตรัสเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าจิต
ตรัสแสดงไว้ว่าจิตนี้ประภัสสรคือผุดผ่อง
จิตนี้เศร้าหมองไปเพราะอุปกิเลสทั้งหลายที่จร
เข้ามา ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วย่อมไม่รู้ตามเป็นจริง
ถึงจิตนั้น เราตถาคตกล่าวปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว
นั้นว่าไม่มีจิตตภาวนา คือการอบรมจิตดั่งนี้
ตามพระพุทธภาษิตนี้ แสดงลักษณะของธาตุรู้ซึ่ง
เป็นธาตุรู้อันยังมิได้อบรม จึงต้องมา
เป็นสังขารคือผสมปรุงแต่ง เป็นสัตว์บุคคล
เป็นบุรุษเป็นสตรีเป็นชายเป็นหญิงอยู่ โดยชื่อว่าจิต
แล้วตรัสว่าเป็นธรรมชาติประภัสสรคือผุดผ่อง
อันเป็นธรรมชาติแท้ของธาตุรู้หรือของจิต
ซึ่งผุดผ่องด้วยและเป็นตัวรู้ด้วย ตัวรู้และผุดผ่องนี้
เป็นธรรมชาติของจิตหรือของธาตุรู้
และตรัสว่าเศร้าหมองไปเพราะอุปกิเลส
ทั้งหลายที่จรเข้ามา คำว่าอุปกิเลสนี้ อุปะแปลว่า
เข้ามาหรือเข้าไป กิเลสะ แปลว่าเศร้าหมอง หาก
จะถามว่าเข้ามาหรือเข้าไปสู่อะไรหรือในอะไร
ก็ตอบว่าเข้ามาหรือเข้าไปสู่จิต
แล้วอะไรเศร้าหมอง ก็คือจิตนั้นเอง
คือเมื่อกิเลสอันแปลว่าเครื่องเศร้าหมองเข้ามา
หรือเข้าไปสู่จิต ก็ทำให้จิตให้เศร้าหมอง เพราะฉะ
นั้นจึงเรียกว่าอุปกิเลส ชื่อนี้เรียกใช้
ในที่นี้แสดงว่ากิเลสนั้นไม่ใช่เป็นเนื้อแท้ของจิต ไม่ใช่
เป็นธรรมชาติของจิต
หากถามว่าธรรมชาติของจิตคืออะไร ก็ตอบ
ได้ว่าคือรู้กับผุดผ่อง นี่เป็นธรรมชาติของจิต แต่
เพราะเหตุที่ยังไม่ได้อบรมจึงยังมีอวิชชาคือรู้
ไม่จริงหรือไม่รู้จริง รู้เหมือนกัน แต่รู้ไม่จริง
หรือไม่รู้จริง เพราะฉะนั้นจึงยังเป็น
ความรู้หลงรู้ผิดเพราะยังไม่ได้อบรม
แต่ว่าธรรมชาติของจิตนั้นก็คง
เป็นธรรมชาติผุดผ่อง
จิตเศร้าหมองเพราะอุปกิเลส
คราวนี้เมื่อมีกิเลสเข้ามาหรือเข้าไปสู่จิต
จิตที่ผุดผ่องนั้นจึงเศร้าหมอง หาก
จะเปรียบก็เปรียบเหมือนอย่างทองคำธรรมชาติเนื้อบริสุทธิ์
เมื่อมีโลหะต่างๆ เข้าไปหลอมปนเช่นเงิน เหล็ก
สังกะสี เป็นต้น ทองคำที่เป็นเนื้อบริสุทธิ์นั้นก็เป็นเนื้อที่
ไม่บริสุทธิ์ไป หรือเหมือนอย่างเพชรน้ำหนึ่งซึ่ง
เป็นธรรมชาติที่ผุดผ่อง เมื่อมีสิ่งต่างๆ เข้าพอก
ตั้งต้นแต่สิ่งที่พอกอยู่ตั้งแต่ดั้งเดิมของเพชรอันจะ
เป็นหินที่หุ้มห่ออยู่ก็ตาม
เป็นเปลือกของอะไรที่หุ้มห่อเม็ดเพชรอยู่ก็ตาม
เพชรก็เศร้าหมอง คือความผุดผ่องไม่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นบรรดาสิ่งที่มาหลอมปนเช่นว่าเงิน
เหล็ก สังกะสี เป็นต้น ไม่ใช่เนื้อแท้ของทอง แต่เป็นสิ่งที่
เข้ามาปน สิ่งที่หุ้มห่อเพชร จะเป็นเปลือกหิน
หรืออะไรที่หุ้มห่ออยู่ก็ตาม นั่นก็ไม่ใช่เป็นเนื้อเพชร
ไม่ใช่เป็นเนื้อแท้ของเพชร กิเลสก็เช่นนั้น ไม่ใช่
เป็นเนื้อแท้ของจิตใจ เพราะฉะนั้นจึงละกิเลส
ได้สำรอกกิเลสออกได้
และการสำรอกกิเลสออกได้นั้นก็เป็นการที่จะทำ
ให้จิตนี้ปรากฏ
ความผุดผ่องตามธรรมชาติอย่างเต็มที่ และปรากฏ
ความรู้ของธาตุรู้อย่างเต็มที่ ไม่มีรู้ผิดไม่มีรู้หลง
ก็เหมือนอย่างหลอมทองคำเอาโลหะที่ปนออกไปก็เหลือแต่เนื้อทองคำที่บริสุทธิ์
หรือว่าเพชรที่เจียระไน
แล้วก็เหลือแต่เนื้อเพชรที่บริสุทธิ์ ฉะ
นั้นจิตที่สำรอกเอากิเลสที่เข้ามาหรือเข้าไปทำ
ให้เศร้าหมองนั้นพ้นไปได้หลุดไปได้ ก็ต้อง
เป็นจิตที่อบรมแล้ว เพราะฉะนั้นจึง
ได้มีพุทธภาษิตตรัสไว้ต่อไปอีก
ว่าจิตนี้ประภัสสรคือผุดผ่อง จิตนี้พ้นได้แล้ว
จากอุปกิเลสทั้งหลายที่จรเข้ามา อริยบุคคลผู้
ได้สดับแล้วย่อมรู้จักจิตนั้นตามเป็นจริง
เรากล่าวอริยบุคคลผู้ได้สดับแล้วว่า
ผู้มีจิตตภาวนา คือการอบรมจิตดั่งนี้
และคำว่าอุปกิเลสนั้นก็มีใช้ในหมวดอุปกิเลส ๑๖
ที่แสดงไว้ในหมวด ๑๖ ในนวโกวาท ก็
เป็นการแสดงจำแนกกิเลสที่เข้ามาหรือเข้าไปสู่จิต
ทำจิตให้เศร้าหมองในลักษณะต่างๆ กัน แต่ก็สรุป
เข้าเป็นกิเลสกองราคะหรือโลภะ กิเลสกองโทสะ
กิเลสกองโมหะนั้นเอง
การใช้คำว่าอุปกิเลสในที่นี้ได้กล่าวมาแล้ว
ว่าแปลตามศัพท์ว่ากิเลสที่เข้ามาหรือเข้าไปสู่จิต
ทำจิตให้เศร้าหมอง หรือว่าสิ่งที่เข้ามาหรือ
เข้าไปสู่จิตทำจิตให้เศร้าหมอง และ
เป็นการที่แสดงเพื่อให้ชัดเจนว่ากิเลสนั้นไม่
ใช่เนื้อแท้ของจิต แต่เป็นอาคันตุกะคือสิ่งที่จรเข้ามา
หรือจรเข้าไป อาคันตุกะนั้นคือแขกผู้มาหา ไม่ใช่
เป็นเจ้าของบ้าน แต่ว่าแขกผู้เข้ามาหาคือกิเลสนี้ เมื่อ
เข้ามาหาก็เข้ามายึดบ้านเป็นที่อยู่อาศัย
เหมือนอย่างข้าศึกต่างบ้านต่างเมืองยก
เข้ามายึดเอาบ้านเมืองของผู้อื่นเป็นของตน กิเลสก็
เป็นเช่นนั้น เข้ามาหรือเข้าไปสู่จิต แล้วก็ยึดจิตเป็นที่
อยู่อาศัยและก็ครอบงำจิตให้อยู่ในอำนาจเหมือนอย่าง
เป็นเจ้าเป็นนายปกครองจิตนี้ให้อยู่ในอำนาจ เพราะฉะ
นั้นจึงได้มีพระพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ว่า ตณฺหาทาโส
บุคคลเป็นทาสของตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก
และก็ตรัสไว้ว่าในบ้านในเมืองมีตัณหาเป็นใหญ่
โดยตรงก็คืออันนี้นั้นเอง เมื่อยังมีตัณหาเป็น
ใหญ่ครอบงำจิตอยู่ จิตตกเป็นทาสของตัณหา
ก็มีระบอบการปกครองเรียกว่า ตัณหาธิปไตย
แปลว่าตัณหาเป็นใหญ่ คำว่าตัณหาธิปไตยนี้
เป็นพระพุทธภาษิตอยู่ในพระสูตรบางพระสูตร
ทั้งนี้ก็เพราะว่าจิตซึ่งเป็นตัวธาตุรู้ ซึ่งยังต้องมาเกิด
เป็นจิตที่ยังมิได้รับการอบรมจึงเป็นจิตที่ยังรู้ผิดได้
เรียกว่ามีอวิชชาคือความไม่รู้จริงเพราะยังไม่
ได้อบรม ถ้าหากมีความรู้จริงเพราะอบรมแล้วก็
ไม่มาเกิดอีก ที่ยังต้องมาเกิดก็เพราะยังมีอวิชชาคือ
ความไม่รู้จริง ยังมิได้อบรมเพราะฉะ
นั้นเมื่อมาผสมปรุงแต่งเป็นบุรุษสตรีชายหญิง
เป็นสัตวโลก
จึงอาศัยกระบวนการทางจิตนี้เองรับกิเลสเข้ามา
รับอาคันตุกะคือกิเลสเข้ามาให้ยึดครอง
และช่วงที่รับกิเลส
เข้ามานี้ก็คือช่วงกระบวนการของจิตที่ถึงเวทนา
ความเสวยอารมณ์หรือความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือ
เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขทางกายทางใจ ที่ทุกคนมีอยู่
โดยปรกตินี้นี่เอง เมื่อเกิดสุขเวทนาก็ยินดีพอใจชอบ
และความชอบนี้เองก็ตกตะกอนลงไปเป็นราคานุสัย
อยู่ในจิต เมื่อเกิดทุกขเวทนาคือได้รับทุกขเวทนา
เสวยทุกข์ทางกายทางใจ ก็ไม่ชอบใจ ความ
ไม่ชอบใจนี้เองก็ตกตะกอนเป็นปฏิฆานุสัย อนุสัยคือ
ความกระทบกระทั่ง และเมื่อประสบเวทนาที่มิ
ใช่ทุกข์มิใช่สุข มิได้พิจารณา ก็เกิดความไม่รู้ซึ่ง
เป็นตัวโมหะคือความหลง เพราะไม่รู้ตามเป็นจริง
ด้วย และเพราะสยบติดอยู่ด้วย ความไม่รู้
นั้นก็ตกตะกอนเป็นอวิชชานุสัยอยู่ในจิต
และกิเลสที่ตกตะกอนอยู่
ในจิตนี้ก็ตกตะกอนไปพร้อมกับตัวอารมณ์คือเรื่อง
ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
คือจิตน้อมรับอารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ อารมณ์
นั้นก็คือ เรื่องที่จิตคิด เรื่องที่จิตดำริ
เรื่องที่จิตหมกมุ่นถึง
อารมณ์และกิเลสตกตะกอนพอกพูนในจิต
อันเรื่องที่จิตหมกมุ่นถึงนี้เรียกว่าอารมณ์อนุสัย
หรืออารัมณานุสัย อารมณ์ที่ตกตะกอนอยู่ในจิต
อารมณ์ที่ตกตะกอนอยู่ในจิตนี้มีทั้งฝ่ายซึ่ง
เป็นที่ตั้งของราคะ มีทั้งฝ่ายซึ่งเป็นที่ตั้งของโทสะ มี
ทั้งฝ่ายซึ่งเป็นที่ตั้งของโมหะ และเมื่อมีทั้งอารมณ์
ทั้งกิเลสตกเป็นตะกอนอยู่ในจิตดั่งนี้
ในขณะที่ตกตะกอนอยู่จิตนี้จะดูผ่องใส แต่อันที่จริงนั้น
ยังเป็นจิตที่มีตะกอน ตะกอนนั้นอาจฟุ้งขึ้นมาอีกได้
และเมื่อตะกอนฟุ้งขึ้นมาจิตที่ดูผ่องใสนั้นก็เป็นจิตขุ่น
ท่านจึงเปรียบเหมือนอย่างน้ำในตุ่ม
ในขณะที่ตะกอนนอนอยู่ก้นตุ่มน้ำที่ในตุ่มเบื้องบนก็ดูใส
แต่ว่าเมื่อตะกอนก้นตุ่มนั้นคลุ้งขึ้นมาน้ำในตุ่มก็จะขุ่นจน
ถึงผิวน้ำเบื้องบน จิตก็เหมือนกัน ในขณะที่อารมณ์ที่
เป็นตะกอนในขณะที่กิเลสเป็นตะกอนนอนสงบอยู่
ในจิตก็ดูคล้ายไม่มีกิเลส ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ
ไม่มีหลง คล้ายเป็นอย่างนั้น
แต่ว่าเมื่อมีอะไรมากวนตะกอนนั้นให้คลุ้งขึ้นมา
แล้วจิตก็จะขุ่นทันที จะปรากฏเป็นโลภ
หรือราคะบ้างโกรธบ้างหลงบ้างจนถึงพื้นผิวของจิต
ดังที่เราเรียกกันว่าใจขุ่นหรือจิตขุ่น
นี่แปลว่าตะกอนคลุ้งขึ้นมาแล้ว บางทีกว่าจะทำจิต
ให้สงบคือขับตะกอนนั้นให้ลงไปแช่ไว้ก้นตุ่มหรือ
ในก้นจิตได้ ก็ต้องใช้เวลานาน และเมื่อตะกอนลงไป
อยู่ที่ก้นตุ่มได้ก้นจิตได้ จิตก็ผ่องใสก็สบาย
คนสามัญก็มักจะเป็นดั่งนี้ และข้อที่ว่าในจิต
ส่วนลึกของบุคคลนี้มีตะกอนอารมณ์
และตะกอนกิเลสนอนจมอยู่นั้น ดังจะพึงเห็นได้
เช่นว่ารสอาหารที่บริโภค อันรสนั้นที่
เป็นตัวรสที่บริโภคจริงๆ ก็เป็นวัตถุที่บริโภค
เช่นข้าว กับข้าว ของหวาน ผลไม้และอะไรต่างๆ
ก็ตาม เป็นวัตถุที่เมื่อบริโภคก็เป็นรสปรากฏที่ลิ้น
รสของสิ่งนั้นรสของสิ่งนี้
คนเราตั้งแต่เกิดมาก็บริโภคอาหารตามที่บิดามารดา
เป็นต้นปรุงให้รับประทาน ก็
เป็นไปตามนิยมของท้องถิ่นของชาตินั้นๆ แต่ละแห่ง
และเมื่อใครได้บริโภคแบบไหน
อยู่ประจำตั้งแต่เกิดมานั่นแหละก็เป็นรสารมณ์
อารมณ์คือรส ที่แม้จะบริโภคไปอิ่มหนึ่งแล้วตัว
ความชอบรสก็ยังตกเป็นตะกอน
กับตัวรสเองอันหมายถึงตัวอารมณ์ของรสเองก็
ยังตกเป็นตะกอนอยู่ในจิต เพราะฉะนั้นเมื่อ
ได้พบอาหารเช่นนั้นที่เคยชอบ จึงได้บังเกิด
ความชอบใจใคร่ที่จะบริโภค
อันเรียกว่าเอร็ดอร่อย ทั้งนี้ก็
เพราะว่ามีรสารมณ์เช่นนั้นนอนจม
เป็นตะกอนมาตั้งแต่แรก เมื่อได้พบอาหารเช่นนั้นจึง
ได้เกิดชอบใจใคร่จะบริโภค บริโภค
แล้วก็เอร็ดอร่อย บุคคลที่บริโภคอาหาร
เป็นประจำตั้งแต่เกิดมาในถิ่นหนึ่งในชาติหนึ่ง ก็ย่อม
จะพอใจในอาหารที่ตนบริโภค เรียกว่าติดรสเช่น
นั้น แล้วก็อาหารของบุคคลนี้กลุ่มนี้ชอบอย่างนี้
แต่ว่าอาหารของอีกบุคคลหนึ่งกลุ่มหนึ่งชอบอีกอย่างหนึ่ง
ไม่ตรงกัน อย่างคนไทย
จะไปบริโภคอาหารที่ฝรั่งว่าอร่อยของเขา
คนไทยก็ไม่อร่อย หรือฝรั่ง
จะมาบริโภคอาหารที่คนไทยว่าอร่อย ฝรั่งก็
ไม่อร่อย ดั่งนี้เพราะว่ามีตัวรสารมณ์ความชอบ
ในรสตกอยู่เป็นตะกอน
ในจิตใจของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน
ดั่งนี้แสดงว่าตัวเวทนานี้เองเป็นปัจจัยให้บังเกิดราคะ
หรือโลภะ โทสะ โมหะ หรือบังเกิดตัณหา
ในอารมณ์นั้นๆ และอารมณ์นั้นๆ พร้อมทั้งตัว
ความชอบความชังความหลงหรือ
ความดิ้นรนเหล่านี้ ก็ตกเป็นตะกอนอยู่ในจิต
ก็สั่งสมพอกพูนขึ้นมาโดยลำดับ ดั่งนี้เรียกว่า
เป็นกิเลสอย่างละเอียด
๙ กันยายน ๒๕๒๖
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร
ในพรรษากาล ๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูถัมภ์ จัดพิมพ์เนื่อง
ในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 02:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๒ ลักษณะพุทธศาสนา -
กระบวนการของจิต (๔)
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
อาสวะอนุสัย - กิเลสอย่างละเอียด
ได้แสดงลักษณะของจิตมาถึงตะกอน ซึ่งสรุปลงเป็น
๒ คือ
กิเลสานุสัย อนุสัยสิ่งที่นอนจมเป็นตะกอนอยู่
ในจิตคือกิเลส กับ
อารัมณานุสัย สิ่งที่นอนจมเป็นตะกอนอยู่
ในจิตคืออารมณ์
ฉะนั้นกิเลสและอารมณ์ที่เป็นอนุสัยนี้จึงเรียกว่า
เป็นกิเลสอย่างละเอียดที่นอนจมอยู่
ในจิตอีกชื่อหนึ่งเรียกว่าอาสวะ แปลว่าหมักหมม
คือที่หมักหมมหรือที่ดองอยู่ในจิต ก็หมายถึงกิเลส
หรืออารมณ์ ซึ่งเป็นอนุสัยนั้นนั่นเอง
แต่ว่าเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอาสวะ แปลว่าหมักหมม
หรือแปลว่ากอง
เหมือนอย่างน้ำดองของเมาก็เรียกว่าอาสวะด้วยเหมือน
กัน เพราะว่าสิ่งที่เป็นน้ำเมาดังกล่าวนี้ใช้วิธีหมักดอง ก็
เป็นน้ำเมาขึ้นมา ซึ่งดื่มเข้าไปก็เมา
แต่ว่าการแสดงจำแนกมีต่างกันบ้าง คืออนุสัย
นั้นจำแนกแสดงไว้เป็น ๓ คือ
๑. ราคานุสัย อนุสัยคือราคะความติดใจยินดี
๒. ปฏิฆานุสัย อนุสัยคือความกระทบกระทั่ง
๓. อวิชชานุสัย อนุสัยคืออวิชชา ความไม่รู้จริง
หรือรู้ไม่จริง
ส่วนอาสวะนั้นก็จำแนกเป็น ๓ เหมือนกันคือ
๑. กามาสวะ อาสวะคือกาม ความใคร่
๒. ภวาสวะ อาสวะคือภพ ความเป็น ตั้งต้นแต่อัสมิมานะ
ความสำคัญหมายว่าเรามี เราเป็น และ
๓. อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา
สำหรับข้อที่ ๑ ของทั้ง ๒ หมวด ราคานุสัย
อนุสัยคือราคะ กามาสวะ อาสวะคือกาม กามกับราคะ
นั้นก็มีอรรถอยู่ในกิเลสกองเดียวกัน ราคะ
ความติดใจยินดี กามหรือกามะ ความใคร่ และข้อที่
๓ ของทั้ง ๒ หมวด อวิชชานุสัยกับอวิชชาสวะ ก็
ใช้ชื่อเดียวกัน เป็นอันเดียวกัน ส่วนข้อที่ ๒
อนุสัยคือปฏิฆะ ความกระทบกระทั่ง ส่วนอาสวะนั้น
ได้แก่ภวาสวะ อาสวะคือภพ ความเป็น ก็ต่างกันโดยชื่อ
แต่ว่าโดยความที่เกี่ยวข้องกันแล้วก็ย่อมเนื่องถึงกัน อัน
ความกระทบกระทั่งนั้นจำเป็นจะ
ต้องมีสิ่งกระทบกระทั่ง ถ้าไม่มีสิ่งกระทบกระทั่ง
ความกระทบกระทั่งก็ไม่มีเหมือนอย่างการที่มือ
ทั้งสองมากระทบกัน เช่นว่าตบมือหรือปรบมือ
อาการที่มือทั้งสองมากระทบกันนั้นก็เทียบกับว่า
เป็นปฏิฆะ ความกระทบกระทั่ง จึงจะต้องมีมือ
ทั้งสองมากระทบกัน ถ้าไม่มีความกระทบกระทั่ง
กันของมือก็ไม่มีเสียง และถ้าไม่มีอะไรเลย
ความกระทบกระทั่งก็ไม่มีเลย จึงจะ
ต้องมีอะไรขึ้นมาสำหรับเป็นที่กระทบกระทั่ง สิ่งที่
จะพึงกระทบกระทั่งก็คือภพหรือภว ความเป็นนั้นเอง
อย่างละเอียดก็ตั้งต้นแต่ความเป็นเราความ
เป็นของเรา เมื่อมีความเป็นเราความเป็นของเรา ก็
จะต้องมีความเป็นเขามีความเป็นของเขา ฉะนั้นจึงมี
ความกระทบกระทั่งกันระหว่างเรากับเขา ความ
เป็นเราความเป็นของเรานั้นก็คือภวหรือภพนั้นเอง
อันเป็นภวาสวะข้อที่ ๒ ซึ่งก็จะต้องมีความเป็นเขาความ
เป็นของเขา จึงจะมีปฏิฆะคือความกระทบกระทั่ง
กันขึ้นได้ ฉะนั้นแม้จะเรียกชื่อต่างกันออกไป
ในข้ออนุสัยเป็นปฏิฆานุสัย อนุสัยคือปฏิฆะ ในข้ออาสวะ
เป็นภวาสวะ อาสวะคือภพ แต่ว่าโดยอรรถคือเนื้อ
ความแล้วก็อยู่ในกิเลสกองเดียวกันนั้นเอง
เพราะเมื่อกล่าวว่าปฏิฆะกระทบกระทั่ง ก็จะ
ต้องมีภพคือความเป็นเราความเป็นของเรา อัน
เป็นที่ตั้งของความกระทบ และเมื่อกล่าวว่าภวาสวะ
อาสวะคือภพ ความเป็นเราความเป็นของเรา ก็จะ
ต้องมีความกระทบกระทั่ง
นิวรณ์ - กิเลสอย่างกลาง
ทั้งอาสวะและอนุสัยนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้
บางแห่งก็ทรงแสดงไว้เป็นอนุสัย บางแห่งก็ทรงแสดง
ไว้เป็นอาสวะ แต่ก็หมายถึงกิเลสที่เป็นอย่างละเอียด
เพราะมีกิเลสที่เป็นอย่างละเอียดดั่งนี้ จึงมีกิเลส
เป็นอย่างกลาง และมีกิเลสที่เป็นอย่างหยาบ
กิเลสที่เป็นอย่างกลางนั้นได้แก่กิเลสที่
เป็นชั้นนิวรณ์ คือที่ปรากฏขึ้นในจิตใจ ทำจิตใจ
ให้กลัดกลุ้มให้ฟุ้งซ่านวุ่นวายกระสับกระส่าย
ไม่สงบ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ปริยุฏฐานะ
แปลว่ากิเลสที่ปล้นจิตที่กลุ้มจิต หมาย
ความว่าทำจิตให้กลัดกลุ้ม และเป็นกิเลสที่
เป็นเครื่องทำจิตให้ไม่สงบ กำบังปัญญาหรือกั้นมิ
ให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงขึ้นได้ จึงเรียกว่านิวรณ์
แปลว่าเครื่องกั้น คือกั้นจิตไว้มิให้บรรลุถึง
ความสงบ และมิให้ได้ปัญญาคือความรู้แจ้งเห็นจริง
ซึ่งนิวรณ์นั้นจำแนกไว้ในที่ทั่วไปก็เป็น ๕ ข้อ ดังที่แสดง
ไว้ในหมวด ๕ ในธรรมวิภาคในนวโกวาท ได้แก่
กามฉันทะหรือกามฉันท์ ความพอใจรักใคร่อยู่ในกาม
หมาย
ถึงรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ
หรือว่าความพอใจรักใคร่ด้วยอำนาจของกิเลสกาม
คือกิเลสเป็นเหตุให้ใคร่ให้ปรารถนา มีราคะ
เป็นต้น
พยาบาท ความมุ่งร้ายหมายให้พินาศ หมาย
ถึงบรรดากิเลสที่เป็นกองโทสะ ความโกรธแ
ค้นขัดเคือง
ถีนมิทธะ ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม
อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ และ
วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัยลังเล
ไม่แน่นอนใจ
ย่อลงก็เป็นกิเลส ๓ กอง คือราคะหรือโลภะหนึ่ง
โทสะหนึ่ง โมหะหนึ่ง กามฉันท์ก็เป็นราคะ พยาบาทก็
เป็นโทสะ ส่วนถีนมิทธะ ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม
อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ และวิจิกิจฉา
ความเคลือบแคลงสงสัยลังเลใจไม่แน่นอน
เป็นโมหะ แต่บางอาจารย์ท่านแยกเอานิวรณ์ข้อที่ ๔
อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
ท่านแยกเอาอุทธัจจะความฟุ้งซ่านเป็นกิเลสกองโมหะ
ส่วนกุกกุจจะความรำคาญใจเอาเป็นกิเลสกองโทสะ
นิวรณ์ทั้ง ๕ ข้อนี้ย่อมปรากฏอยู่ในจิต
ในเมื่อมีขึ้นทุกคนก็รู้ ว่าบัดนี้จิตของเรามีนิวรณ์ข้อนี้ๆ
แต่ก็กลุ้มกลัดอยู่ในจิต ทำจิตให้ไม่สงบ และกั้นมิให้
ได้ปัญญาคือรู้แจ้งเห็นจริง ฉะนั้นที่ทำสมาธิกันไม่ได้
เพราะว่ายังสงบนิวรณ์เหล่านี้ยังไม่ได้นั้นเอง นี้
เป็นกิเลสอย่างกลาง
อกุศลมูล - กิเลสอย่างหยาบ
ส่วนกิเลสอย่างหยาบนั้นก็ได้แก่กิเลสอัน
เป็นอกุศลมูล อันหมายถึงว่าราคะโทสะโมหะนั่นเอง
ราคะก็กำเริบขึ้น เป็นอภิชฌา
ความโลภเพ่งเล็งเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมา
เป็นของตน เห็นของของเขาก็อยากได้มาเป็นของของตน
เรียกว่าอภิชฌา แรงกว่าโลภะธรรมดา
โลภะธรรมดานั้นอยากได้ แต่ว่าไม่ถึง
กับไปเพ่งเล็งเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน แต่ถ้า
เป็นอภิชฌาแล้วละก็แรงเข้าจนถึงไปเพ่งเล็งที่
จะเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน ส่วนโทสะนั้นที่
เป็นกิเลสอย่างกลางแรงขึ้นก็เป็นพยาบาท
ความมุ่งร้ายหมายให้พินาศ ดังที่แสดงในข้อนิวรณ์นั้น
แต่อันที่จริงในข้อนิวรณ์นั้นเป็นอย่างกลาง
ตามอธิบายนั้นก็เป็นชั้นโทสะ ซึ่งโทสะ
นั้นแปลว่าประทุษร้าย หมาย
ถึงว่าประทุษร้ายใจของตัวเอง เพราะว่าทำ
ให้ใจของตัวเองนั้นเดือดพล่าน
ที่เรียกว่าเดือดคือประทุษร้ายใจของตัวเอง
ให้รุ่มร้อน แต่ไม่ถึงกับจะมุ่งร้ายไปในผู้อื่น
แต่เมื่อแรงเข้าจนถึงเป็นพยาบาทแล้ว ก็หมาย
ถึงว่ามุ่งร้ายไปในผู้อื่นหมายให้พินาศ เช่นอยาก
จะไปทำร้ายเขาต่างๆ ดั่งนี้เป็นพยาบาท ถ้า
เป็นแต่เดือดปุดๆ อยู่ในใจนี้คือโทสะ
ประทุษร้ายใจตัวเอง และเมื่อมุ่งร้ายไปในผู้อื่น
มุ่งที่จะไปทำร้ายหมายให้พินาศก็เป็นพยาบาท ก็
เป็นกิเลสอย่างหยาบ กองโทสะ
คราวนี้โมหะคือความหลงนั้น เมื่อแรงเข้าก็
เป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด เห็นผิด
จากทำนองคลองธรรมไปทีเดียว เช่นเห็นว่าไม่มีบุญ
ไม่มีบาป ทำบุญก็ไม่เป็นบุญ ทำบาปก็ไม่เป็นบาป
บุญบาปไม่มี และบุคคลที่ได้รับสุขได้รับทุกข์
ไม่มีเหตุให้ต้องได้รับสุขให้ต้องได้รับทุกข์
เป็นไปตามเรื่องราวเอง ไม่มีกรรมมาเป็นเหตุให้
ต้องประสบสุขหรือต้องประสบทุกข์ หรือว่า
ไม่มีอะไรอย่างอื่นมาเป็นเหตุ
เป็นไปตามคราวตามสมัยตามกระแสของคราวของสมัย
เป็นต้น และเห็นว่าทุกอย่างไม่มี เช่นว่าบิดามารดาก็
ไม่มีคุณ คือไม่มีบิดาไม่มีมารดาที่นับถือว่าเป็นผู้มีคุณ
ไม่มีสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติปฏิบัติชอบ เหล่านี้
เป็นต้น เป็นมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด
จากทำนองคลองธรรม อภิชฌาพยาบาท
และมิจฉาทิฏฐินี้เป็นกิเลสอย่างหยาบ ที่เรียกว่า
วีติกกมกิเลส กิเลสที่เป็นเหตุ
ให้ล่วงละเมิดออกไปทางกายทางวาจาทางใจ
เพราะฉะนั้นอภิชฌาพยาบาทและมิจฉาทิฏฐินี้จึงจัดว่า
เป็นอกุศลกรรมบถ ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลที่
เป็นฝ่ายมโนกรรม และเมื่อ
เป็นอกุศลกรรมบถฝ่ายมโนกรรม คือ
เป็นมโนกรรมฝ่ายอกุศล ก็ย่อมจะทำ
ให้ประกอบกายกรรม วจีกรรมที่เป็นอกุศล
กายกรรมที่เป็นอกุศลนั้นก็ได้แก่ฆ่าเขา
ลักของของเขา ประพฤติผิดในกาม วจีกรรมที่
เป็นอกุศลกรรมนั้นก็ได้แก่พูดเท็จ พูดส่อเสียด
พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล
ไม่มีสาระแก่นสาร ไม่ต้องด้วยกาลด้วยเวลา
เพราะฉะนั้นจึงจัดเป็นกิเลสอย่างหยาบ เป็นเหตุ
ให้ละเมิดออกไปเป็นมโนกรรม และทำให้
เป็นกายกรรมวจีกรรมฝ่ายอกุศลได้ทุกอย่าง
กิเลสกองราคะ
เพราะฉะนั้นจะพึงเห็นได้ว่าตามสายที่กล่าวนี้
กิเลสอย่างละเอียดเรียกว่าอนุสัย
หรือเรียกว่าอาสวะ อนุสัยที่เป็นตะกอนนอนจมอยู่
ในจิต อาสวะที่ดองจิตนี้เป็นอย่างละเอียด
อย่างกลางก็มาเป็นปริยุฏฐานะ
กิเลสที่ปล้นจิตที่กลุ้มรุมจิต ทำจิต
ให้กลัดกลุ้มวุ่นวาย และที่เป็นอย่างหยาบก็
เป็นวีติกกมะ คือกิเลสที่เป็นเหตุ
ให้ล่วงละเมิดออกไปทางใจทางวาจาทางกาย คือ
เป็นมโนกรรมวจีกรรมกายกรรม หรือ
เป็นกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมฝ่ายอกุศล
และชื่อที่เรียกนั้นสำหรับกองที่ ๑ คือกองราคะนั้น
ที่เป็นอย่างละเอียดก็เรียกว่าราคะบ้างกามบ้าง
แต่ว่าหมายถึงที่นอนจมเป็นตะกอนอยู่ในจิต
ที่เรียกว่าอนุสัย หรือที่ดองจิตที่เรียกว่าอาสวะ เมื่อ
ยังไม่ฟุ้งขึ้นมาก็ไม่ปรากฏ มีก็เหมือนอย่างไม่มี
เหมือนอย่างตะกอนที่นอนก้นตุ่ม น้ำในตุ่มก็ดูใส
คราวนี้เมื่อฟุ้งขึ้นมาเป็นอย่างกลาง คือ
เป็นปริยุฏฐานะหรือเป็นนิวรณ์ดังกล่าวนั้น
ก็เรียกว่าราคะ ความติดใจยินดี
หรือเรียกว่าโลภะธรรมดาที่บังเกิดขึ้นในจิต
แรงออกมาอีกจนถึงเป็นอย่างหยาบก็เรียกว่าอภิชฌา
ความโลภเพ่งเล็ง คือไม่ใช่โลภธรรมดาเฉยๆ
ถ้าโลภธรรมดาเฉยๆ ก็ยังเป็นชั้นกลาง
แต่ว่านี่โลภเพ่งเล็งคือเพ่งเล็งเอาของผู้อื่นมา
เป็นของตน ก็เป็นมโนกรรมฝ่ายอกุศลขึ้นทันที
กิเลสกองโทสะ
กองที่ ๒ ที่เป็นอย่างละเอียดนั้นเรียกว่าปฏิฆะ
ความกระทบกระทั่ง หรือเรียกว่า ภว หรือ ภพ
ความเป็น คือความเป็นเราเป็นของเรา
เมื่อฟุ้งซ่านขึ้นมาก็เป็นโทสะ ความโกรธแ
ค้นขัดเคืองที่เกิดขึ้นในจิตใจ
ที่ประทุษร้ายใจเองนี่แหละให้เดือดปุดๆ ให้ร้อน
คราวนี้แรงขึ้นมาอีกก็เป็นพยาบาท เป็นอย่างหยาบ
แต่ว่ามุ่งร้ายออกไปหมายทำร้ายหมายล้างผลาญใครๆ
ก็เป็นมโนกรรมฝ่ายอกุศลขึ้นทันที
กิเลสกองโมหะ
ส่วนกองที่ ๓ คือกองอวิชชานั้น ที่
เป็นอย่างละเอียดก็เรียกว่าอวิชชา
เป็นตะกอนนอนจมดองจิตสันดาน ฟุ้งขึ้นมาก็เป็นโมหะ
ความหลงถือเอาผิดเข้าใจผิด และที่หยาบออกมาอีกก็
เป็นมิจฉาทิฏฐิคือเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
เช่นเห็นว่าไม่มีบุญไม่มีบาปเป็นต้นดังที่กล่าวมาแล้ว ก็
เป็นมโนกรรมฝ่ายอกุศลขึ้นทันที และทุกคน
นั้นเมื่อเกิดมา จิตเข้าปฏิสนธิเกิดมาในภพชาติต่างๆ ซึ่ง
ในบัดนี้เกิดมาในภพชาติปัจจุบันนี้ ก็
เป็นจิตที่มีอาสวะมีอนุสัยอยู่แล้วจึงมาเกิด ถ้า
ไม่มีอาสวะอนุสัยแล้วก็ไม่ต้องมาเกิด แต่ที่มาเกิดก็
เพราะมีอาสวะมีอนุสัยอยู่แล้ว
และมาอาศัยสังขารคือ
ความผสมปรุงแต่งของรูปกายและของจิต
เป็นกระบวนการทางกาย
เป็นกระบวนการทางจิตดังที่กล่าวมาแล้ว มาถึง
เป็นเวทนา เวทนานี้เองก็เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา
เป็นปัจจัยให้เกิดราคะโทสะโมหะคืออวิชชาขึ้น
อันหมายความว่าเวทนานี้เองก็เป็นปัจจัยให้กิเลสที่
เป็นอาสวะอนุสัยที่นอนจมหมักหมมอยู่ฟุ้งขึ้นมา
แล้วก็เพิ่มราคะปฏิฆะอวิชชา
เพิ่มกิเลสกองละเอียดนี้ให้มากขึ้น
แล้วก็เพิ่มอารมณ์เข้าไปเก็บไว้ให้มากขึ้น เป็นไป
อยู่ดั่งนี้
อริยสัจ ๒ สาย
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระธรรมก็
ได้ตรัสรู้สัจจะคือความจริง ดังที่ได้แสดง
แล้วว่าทรงได้พระญาณมาโดยลำดับ จน
ถึงอาสวักขยญาณ ญาณเป็นเหตุสิ้นอาสวะ คือ
ได้ตรัสรู้อริยสัจ ๒ สาย สองสายนั้นก็คือ
ตรัสรู้ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุเกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์
นี้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ และได้ตรัสรู้ว่า
นี้อาสวะ นี้เหตุเกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ทางปฏิบัติ
ให้ถึงความดับอาสวะ
สำหรับสายที่ ๑ ที่ตรัสรู้ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุเกิดทุกข์ นี้
ความดับทุกข์ นี้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์นั้น
ได้กล่าวโดยย่อแล้ว ในวันนี้จะกล่าวในข้ออาสวะ
ก็คือได้ตรัสรู้ว่านี้อาสวะ คือนี้กามาสวะ
อาสวะคือกามที่ดองจิต นี้ภวาสวะ อาสวะคือภพ ความ
เป็น ตั้งต้นแต่ความเป็นเราเป็นของเราที่ดองจิต
นี้อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา ความรู้ไม่จริงหรือ
ความไม่รู้จริง นี้เหตุเกิดอาสวะ ก็ตรัสชี้เอาตัณหา
คือความดิ้นรนทะยานอยากนั้นเอง ก็คือเวทนานั้นเอง
เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก
ความดิ้นรนทะยานอยากนั้นก็เป็นเหตุให้เกิดอาสวะ
เพิ่มอาสวะให้มากขึ้น ก็ต้องเข้าใจว่า
ในที่นี้ท่านยกเอาตัณหาขึ้นมา แต่ก็รวมถึงกิเลสที่
เป็นกองราคะโทสะโมหะดังกล่าวนั้นด้วย รวมอยู่
ในคำว่าตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก นี้
ความดับอาสวะก็คือดับตัณหาเสียได้ก็ดับอาสวะได้
ดับตัณหาเสียได้นั้น ในที่อื่นได้ตรัสอธิบาย
ไว้อีกว่าคือดับตัณหานุสัย ตัณหาที่เป็นอนุสัยที่นอนจม
หรือที่เป็นตัวอาสวะนั้นแหละ ก็ยกเอาตัณหาขึ้นมา
แต่อันที่จริงนั้นก็รวมทั้งอาสวะอนุสัยทั้งหมดดังที่
ได้กล่าวมาแล้ว นี้ทางดับอาสวะก็ได้แก่มรรค
มีองค์ ๘ อันได้แก่สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ทั้งสองนี้สงเคราะห์
เป็นปัญญาสิกขา นี้เป็นปัญญาสิกขา และสัมมาวาจา
เจรจาขอบ สัมมากัมมันตะ การงานชอบ สัมมาอาชีวะ
เลี้ยงชีวิตชอบ สงเคราะห์เป็นสีลสิกขา นี้
เป็นสีลสิกขา และสัมมาวายามะ เพียรชอบ สัมมาสติ
ระลึกชอบ สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ สงเคราะห์
เป็นจิตสิกขาหรือสมาธิ นี้เป็นจิตตสิกขาหรือสมาธิ
เพราะฉะนั้นทางปฏิบัติที่จะดับกิเลสจนถึงกิเลสที่
เป็นชั้นอาสวะอนุสัย ก็คือมรรคมีองค์ ๘ นี้เอง รวม
เข้าก็เป็นไตรสิกขา หรือศีล สมาธิ ปัญญา
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร
ในพรรษากาล ๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูถัมภ์ จัดพิมพ์เนื่อง
ในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 02:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๓ ลักษณะพุทธศาสนา - กิเลส
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ได้แสดงลักษณะพุทธศาสนามาถึงเรื่องจิต
หรือวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ ซึ่งสรุปลงว่าธาตุรู้
นั้นแบ่งออกเป็น ๒ คือธาตุรู้ที่อบรมแล้วที่พ้นแล้ว ก็
เป็นธาตุรู้ที่ไม่มาเกิดอีก แต่ว่าธาตุรู้ที่ยังมาเกิดอยู่นั้น
เป็นธาตุรู้ที่ยังไม่ได้อบรม หรือว่าอบรมมาบ้าง
แล้วแต่ว่ายังไม่ถึงที่สุด กล่าวคือ
ยังชำระกิเลสที่นอนจมเป็นตะกอน
หรือกิเลสที่ดองจิตไม่หมดสิ้น ก็ต้องเกิดอีกต่อไป
และก็ได้กล่าวถึงขั้นของกิเลสซึ่งอาจแบ่งออกได้
เป็นกิเลสอย่างละเอียด อย่างกลาง
และอย่างหยาบ ซึ่งจะชำระให้หมดได้
ด้วยมรรคมีองค์ ๘ ย่อเข้าในศีล สมาธิ ปัญญา
พระพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ก็
ได้ทรงพบมรรคมีองค์ ๘ จึงได้ทรงปฏิบัติสมบูรณ์
ได้ตรัสรู้อริยสัจ ๒ สาย สายที่ตั้งทุกข์ขึ้นเป็นข้อ ๑
กับสายที่ตั้งอาสวะเป็นข้อ ๑ แต่ว่าเมื่อสรุปถึงตัวเหตุ
ก็ตรัสชี้แจงแสดงเหตุไว้เป็นอย่างเดียวกันคือตัณหา
เป็นทุกขสมุทัยหรือเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นอาสวสมุทัย
หรือเหตุให้เกิดอาสวะ และมรรคมีองค์ ๘ ก็
เป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ และเป็นทางปฏิบัติ
ให้ถึงความดับอาสวะด้วย ตามที่กล่าวมาแล้วนี้
ได้กล่าวในฝ่ายดีคือมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งย่นย่อ
เป็นศีลสมาธิปัญญา เพราะฉะนั้นจึงสมควรที่
จะกล่าวเพิ่มเติมต่อไป แต่ว่าจะกล่าว
ถึงเรื่องกิเลสก่อน
กิเลสเป็นเรื่องของโลก
อันกิเลสนั้นเป็นเรื่องของโลก เมื่อเป็นโลกก็ย่อม
จะมีกิเลส เช่นตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยาก
เมื่อมีตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากจึง
ได้มีการสืบต่อชีวิต คือว่าเป็นมารดาบิดา
ให้เกิดบุตรธิดา บุตรธิดาก็เป็นมารดาบิดา
ให้เกิดบุตรธิดาสืบต่อไป คือว่าสืบพันธุ์ต่อไปทั้งมนุษย์
ทั้งเดรัจฉาน และแม้ต้นไม้
ทั้งหลายก็มีการสืบพันธุ์ต่อไป ความสืบพันธุ์ต่อไปนี้
ต้องมีตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก
และกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือราคะโทสะโมหะ
หรือโลภะโทสะโมหะ ก็เป็นเรื่องของโลก
เมื่อมีโลกก็จะต้องมีตัณหา มีราคะหรือโลภะ โทสะ
โมหะ ถ้าหากว่าละเสียได้ก็เป็นโลกุตระคือ
อยู่เหนือโลก เมื่ออยู่เหนือโลกแล้วก็แปลว่า
ไม่เกิดอีก ฉะนั้นเมื่อยังเป็นโลกอยู่ก็จะต้องมีตัณหา
มีราคะหรือโลภะ โทสะ โมหะ
เป็นธรรมดาของโลกที่จะสืบพันธุ์ต่อไป และที่จะ
ได้ป้องกันรักษาตัวต่อไปให้ดำรงอยู่ในโลก
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วถึงบรรดากิเลสทั้งหลาย
นั้น เป็นการกล่าวในด้านกิเลส ส่วนในด้านตรง
กันข้ามก็มีเหมือนกัน เพราะว่าจิตนี้เป็นธาตุรู้ ฉะ
นั้นเมื่อได้อบรมความรู้เพราะได้ผ่านโลกมามาก
เข้าๆ ได้มีการศึกษาเล่าเรียนมีการสังเกต ก็ย่อม
จะมีความรู้มากขึ้นๆ และความรู้ที่มากขึ้นๆ นี้ก็ย่อม
จะทำให้รู้จริงถึงเหตุผลตามความเป็นจริง
และอีกประการหนึ่ง
บรรดากิเลสดังที่กล่าวมานี้ ว่าถึงตัณหา
ความดิ้นรนทะยานอยาก หรือราคะ
หรือโลภะโทสะโมหะนั้น ก็ย่อมจะมีทั้งด้านที่นำเข้ามา
และด้านที่ผลักออกไป เช่นกามตัณหาอยากจะ
ได้สิ่งที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ภวตัณหาอยากที่
จะเป็นนั้นเป็นนี่ นี่เป็นตัณหาที่อยากนำเข้ามา คืออยาก
จะได้กามเข้ามา อยากจะได้ภพคือความเป็นนั่นเป็นนี่
เข้ามา อยากจะได้รูปได้เสียงเป็นต้นที่ชอบใจ อยากจะ
เป็นนั่นเป็นนี่ที่ปรารถนาพอใจ นี้เป็นความอยากที่
จะนำเข้ามา และที่ผลักออกไปนั้นก็คือวิภวตัณา
ความดิ้นรนทะยานอยากในความไม่เป็นนั่นเป็นนี่ คือ
ต้องการที่จะผลักที่จะทำลายสิ่งที่ไม่ชอบ
และภาวะที่ไม่ชอบนั้นให้ออกไปเสีย หรือทำลาย
ให้ย่อยยับไปเสีย และกิเลสที่เป็นกองราคะ
หรือโลภะนั้น ก็เป็นกิเลสตัวที่นำเข้ามา ตัวราคะ
ความติดใจยินดี โลภะ ความอยากได้ ก็อยากได้สิ่งที่
เป็นกาม ก็คือที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจนั่นแหละ
เข้ามาเป็นของของตนแล้วก็อยากที่จะให้ตนเป็นนั่น
เป็นนี่เช่นเดียวกับตัณหาเหมือนกัน
ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ชอบใจ ก็ต้องการที่จะผลักออกไป ที่
จะทำลายไปเสีย นั่นก็เป็นโทสะ และโมหะความหลง
นั้นเล่า ข้อสำคัญก็คือหลงยึดถือว่ากายใจนั้น
เป็นของเรา หรือว่าหลงยึดขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕
ประการว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา เพราะฉะ
นั้นคนเราจึงมีความรักชีวิตของตนเองเป็นอย่างยิ่ง
เรียกว่าในบรรดาความรักทั้งหลาย รักตัวนี้
เป็นอย่างยิ่ง ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ ว่า
ได้ทรงตรวจดูไปทั่วทิศทั้งปวงแล้ว ก็
ได้พบว่าตนเองนี่แหละเป็นที่รักของตน เพราะฉะ
นั้นเมื่อรักตนและเมื่อมี
ความยึดถือว่าที่ตั้งของตนก็คือชีวิตอันนี้จึงต้องมี
ความรักชีวิต และเมื่อมีความรักชีวิตเป็นอย่างยิ่งดั่งนี้
แล้ว สิ่งที่กลัวนั้นก็คือกลัวตาย
ความกลัวตายของสามัญชนนั้นมีเป็นอย่างยิ่ง
เพราะว่าความตายนั้นเป็นสิ่งที่มาเด็ดเอาสิ่งที่รัก
เป็นอย่างยิ่งไป เมื่อเป็นอย่างนี้ก็
เป็นอันว่ามาตัดรอนตนฆ่าตนนี้เองให้สิ้นไป และแม้ว่า
จะมีความเข้าใจว่ารักสิ่งอื่นคล้ายๆ กับว่ายิ่งกว่าชีวิต
แต่ถ้าคิดดูให้ดีแล้ว ก็จะเห็นว่าความรักสิ่งอื่น
นั้นก็รักเพราะเหตุว่าเพื่อที่จะให้สิ่งที่รักนั้นมา
เป็นของตน เช่นสามีที่รักภรรยา
ภรรยาที่รักสามี ก็ต้องการที่จะให้แต่ละฝ่าย
เป็นของของตนเท่านั้น ก็มาลงที่ว่ารักตัวนี้เอง คือ
ต้องการให้เป็นของตน ไม่ต้องการที่จะให้เป็นของคน
อื่น นี่ก็แปลว่าทุกคนมีความรักตัวรักชีวิตและมี
ความกลัวตาย จนถึงวิชาการปัจจุบันก็บอกว่า
ความกลัวตายนี้เป็นสัญชาติญาณของมนุษย์อย่างหนึ่ง
แต่มีความรักพิเศษ คือมารดาบิดารักลูก
พ่อแม่รักลูก อันนี้ธรรมชาติ เท่า
กับว่าธรรมชาติอำนวยไว้เหมือนกัน จึงปรากฏว่า
ทั้งมนุษย์และเดรัจฉานก็รักลูกทั้งนั้น
แม้แต่สัตว์เดรัจฉานซึ่งดุร้ายเช่นเสือก็ยังรักลูก
และก็ไม่ฆ่าลูกไม่กินลูก
ความรักที่เสือรักลูกนี้เห็นได้ชัดว่าเท่ากับ
เป็นธรรมชาติของโลกได้สร้างไว้ให้ได้ทำไว้ให้
เพื่อว่าจะได้สืบพันธุ์ต่อไป
ปัญญาในสัจจะทำให้เกิดหิริและโอตตัปปะ
ว่าถึงมนุษย์นั้น พ่อแม่ก็รักลูกเหมือนอย่าง
เป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ แต่ว่าสำหรับมนุษย์
นั้นย่อมมีระดับของปัญญาสูงขึ้น จึงรู้จักรัก
ในทางที่ถูกต้องอีกด้วย เช่นว่าลูกทำผิด
ก็มีการว่ากล่าวตักเตือนหรือทำโทษเพื่อ
ให้ลูกกลับเป็นคนดี ไม่ทำผิดอีกต่อไป
แปลว่ามีปัญญาที่รู้ผิดชอบชั่วดียิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
นี่ก็เพราะเหตุว่าเป็นธาตุรู้นั่นเอง คือจิตเป็นธาตุรู้ จึง
ได้มีความรู้ยิ่งขึ้นไปถึงผิดชอบชั่วดีน้อยหรือมาก
บรรดาสิ่งที่มนุษย์มีอยู่เช่นความรักตัวรักชีวิตทำ
ให้รู้จักรักษาชีวิตรักษาตัว และรู้จักรักลูก
รู้จักที่จะเลี้ยงลูกที่จะรักษาลูกให้มี
ความสวัสดีเหมือนกันทั้งมนุษย์และเดรัจฉาน
นักปราชญ์ในปัจจุบันนี้บางคนกล่าวว่า
สัตว์เดรัจฉานที่มีความรู้น้อยนั้นรู้จักกลัวเจ็บ แต่
ไม่รู้จักกลัวตาย แต่ว่าสัตว์ที่มีปัญญาคือความรู้สูงขึ้น
คือธาตุรู้นี้มีความรู้สูงขึ้น จึงรู้จักกลัวตาย แต่เขา
จะทราบอย่างไรก็ไม่ทราบเขาว่าอย่างนั้น
ระดับของความรู้นั้นมีต่างๆ กันจริง แต่ก็มา
จากมีธาตุรู้ดังกล่าวแล้วนั่นเอง คราวนี้เมื่อจิต
เป็นธาตุรู้และเมื่อจิตได้ผ่านโลกมากขึ้น จึง
ได้รู้จักสัจจะที่เป็นตัวความจริงตามเหตุ
และผลมากขึ้นโดยลำดับ สัตว์เดรัจฉานนั้นรู้
ได้น้อย แต่มนุษย์นั้นรู้ได้มากกว่า เมื่อเป็นดั่งนี้ ปัญญาที่
เข้าถึงสัจจะที่เป็นตัวความจริงโดยลำดับนั้นทำ
ให้บุคคลได้รู้จักอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกธัมมะคือ
ความจริงและความดีที่ตรงกันข้ามกับ
ความชั่วมากขึ้น และเมื่อเป็นดั่งนี้ จึงเริ่มรู้จักมีหิริ
และโอตตัปปะ ความละอายและความเกรงกลัว
อันเป็นพื้นฐานของศีลคือความรู้จักงดเว้นจาก
ความประพฤติชั่วประพฤติผิดทางกายทางวาจา
รู้จักทานรู้จักศีล
บรรดาบุคคลผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี้
จึงรู้จักมีหิริโอตตัปปะ รู้จักนุ่งห่มผ้าและรู้จักเว้น
ในการที่ควรเว้น ประพฤติ
ในการที่ควรประพฤติต่างๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป
ละเอียดขึ้นไปเหล่านี้เป็นธัมมะทั้งนั้น
จึงรู้จักทานรู้จักศีลนี้เป็น ๒ ข้อแรก ทานคือการให้
เป็นการช่วยเหลือ ศีลก็คือการงดเว้นจาก
ความประพฤติเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
แต่ว่าประพฤติตรงกันข้ามในทางเกื้อกูล
สำหรับสัตว์เดรัจฉานนั้น โดยปรกติสัตว์เดรัจฉานที่
เป็นตัวพ่อตัวแม่รู้จักทำทานและมีศีลในลูก
เช่นนกก็ไปหาอาหารมาเลี้ยงลูก
นี่เรียกว่านกรู้จักทำทานแก่ลูก และนกก็
ไม่จิกตีทำร้ายลูก นี่เรียกว่านกมีศีลในลูก
โดยปรกติแล้วสัตว์เหล่านี้มักจะ
ไม่รู้จักทำทานแก่ใคร ไม่รู้จักมีศีลต่อใคร
เสือก็เหมือนกัน หรือว่าทุกชนิดก็มักจะเป็นเช่นนั้น
แต่ก็มีเหมือนกันที่ว่าเมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ที่
เป็นสัตว์พวกเดียวกัน เช่นเป็นนกด้วยกันเป็นเสือด้วย
กันก็อาจจะไม่ทำร้ายกัน และก็อาจจะแบ่งอาหาร
กันกินบ้าง ก็แปลว่ามีความคุ้นเคย รู้จักเป็นมิตร
หรือว่ารู้จักเป็นญาติกันขึ้นบ้าง
มีเมตตาแผ่นออกไปโดยไม่มีประมาณ
มนุษย์เราก็เหมือนกัน ก็รู้จักทำทานแก่ลูก
รู้จักมีศีลแก่ลูก
คือการแบ่งปันอะไรต่ออะไรเลี้ยงดูลูก
ตั้งต้นแต่แม่ก็เลี้ยงลูกมาพ่อก็เลี้ยงลูกมาตั้งแต่ต้น
ในทางต่างๆ ประคบประหงมมาและก็มีศีลในลูก
ไม่เบียดเบียนลูก เสือก็มีทานในลูกมีศีล
ในลูกเช่นเดียวกัน เหล่านี้เป็นธรรมชาติ
เป็นธรรมดา เรียกว่ามีความรักในตัวและก็มี
ความรักในลูก รู้จักมีความรักในมิตรสหายอยู่บ้าง
สัตว์เดรัจฉานก็เป็นเช่นนั้น คนก็เป็นเช่นนั้น
แต่ว่าคนเรานั้นมีภูมิปัญญาที่สูงกว่า จึงรู้จักที่
จะปฏิบัติทางความรักที่มีอยู่เป็นธรรมชาตินี้ให้
เป็นเมตตาขึ้นมา คือความคิดที่จะแผ่ความรักความคิด
เป็นมิตรเป็นสหายความช่วยเหลือออกไปในวงกว้าง
กว้างมากขึ้นๆ จนถึงไม่มีประมาณ แปลว่า
ในสรรพสัตว์ทุกถ้วนหน้า ก็เป็น อัปปมัญญา คือ
ไม่มีประมาณ เมตตานั้น
โดยปรกติเราเรียกว่าพรหมวิหารธรรม ธัมมะ
เป็นเครื่องอยู่ของพรหม แต่ที่แผ่ออกไป
ไม่มีประมาณก็เป็นอัปปมัญญา
ในสรรพสัตว์ทุกถ้วนหน้า และเมตตานี้เมื่อมีในจิต
แล้วจะทำให้ได้สุภสัญญา คือความเห็นว่างดงาม
งดงามไปในบุคคลและ
ในสัตว์เดรัจฉานทุกชนิดทุกจำพวก
ไม่ขึ้งเคียดเกลียดแค้น และอีกอย่างหนึ่งนั้นที่
เป็นอสุภกรรมฐาน พิจารณาว่าไม่งดงามนั้น
เป็นอีกกรรมฐานหนึ่งสำหรับที่
จะกำจัดกิเลสกองราคะ แต่ว่าสำหรับที่เป็นเมตตาคือ
ความรักนี้ ถ้าแผ่ความรักออกไปในมิตรสหาย
ในมนุษย์ในสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ในวงแคบจน
ถึงวงกว้างที่สุดไม่มีประมาณ ก็จะมี
ความรู้สึกว่าบรรดาสัตว์ทั้งปวงนั้นงดงามทั้งหมด
ไม่มีน่าเกลียดไม่มีน่าชัง นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์
สามารถปฏิบัติทำได้ โดยที่ปรับปรุงจากตัว
ความรักที่มีในธรรมชาตินั่นแหละให้เป็นธัมมะขึ้นมา
เมื่อมีเมตตาเป็นพื้นอยู่ดังนี้แล้วที่จะมีทานมีศีลก็
จะไปง่าย ก็จะต้องมีความช่วยเหลือเกื้อกูล แล้วก็จะ
ต้องเว้นจากความเบียดเบียนทำลายในสัตว์บุคคล
ทั้งปวงที่มีเมตตานั้น แปลว่าทานศีลก็มาเอง
ด้วยอำนาจของเมตตานั้น
บารมี ๑๐ หรือมรรค ๘ - เครื่องทำลายตะกอน
ในจิต
เหล่านี้เป็นธัมมะที่คนรู้จักเมื่อมีระดับปัญญาสูงขึ้น
โดยลำดับ จนถึงพระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิ์สัตว์
ท่านแสดงว่าได้ทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ คือ
ทาน การให้ ศีล การงดเว้นจาก
ความประพฤติชั่วประพฤติผิด อัน
เป็นการเบียดเบียนทางกายทางวาจา เนกขัมมะ
ความออกคือความที่มีจิตเป็นสมาธิ สงบกาม
และอกุศลธรรมทั้งหลายก็ได้
เป็นการออกทางใจ ออกทางกายคือออกบวช ปัญญา
คือความรู้ ความรู้ที่อบรมขึ้นโดยลำดับ วิริยะ
ขันติ สัจจะ อธิษฐานะ ความตั้งใจมุ่งมั่น เมตตา อุเบกขา
ความที่ทำความรู้อันเป็นเหตุให้เฉยอยู่ได้ เฉยอยู่ได้
ด้วยความรู้ เหล่านี้เป็นบารมีที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ
และบารมีนี้ก็คือบรรดาทานศีลเป็นต้น ดังกล่าว
นั้นที่ได้ปฏิบัติมา และเมื่อปฏิบัติแต่ละครั้งๆ นั้น
ความดีนี้ก็ยังเก็บอยู่ในจิต ถ้า
เป็นกิเลสก็เรียกว่าตกตะกอนอยู่ในจิต
แต่สำหรับบารมีนี้หากจะเปรียบว่าเป็นตะกอนก็จะ
เป็นกิเลสไป น่าจะเปรียบเหมือน
เป็นเครื่องทำลายตะกอนที่ตกลงไปในจิตส่วนลึก
จะเป็นสารส้มหรือเป็นอะไรก็ตามที่
เป็นเครื่องทำลายตะกอนให้หมดไปโดยลำดับ ตกไป
ในจิตส่วนลึกก็เก็บเอาไว้อีกเหมือนกัน แต่เป็นส่วนตรง
กันข้ามกับอาสวะอนุสัยซึ่งเป็นเหมือนตะกอน แต่นี้
เป็นเครื่องทำลายตะกอน เมื่อมีบารมีคือ
ความดีมีทานศีลเป็นต้นดังกล่าวนั้นบำเพ็ญเรื่อยๆ ไป
แล้ว ความดีนั้นก็ไม่ไปไหน ยังตกไปอยู่เก็บอยู่ในจิต
แต่ว่าไม่ใช่เป็นตะกอน เป็นเครื่องทำลายตะกอน เมื่อ
ความดีนี้ลงไปมากเท่าไรก็ทำลายตะกอนไปได้มาก
เท่านั้น ทำให้ตะกอนน้อยลงๆ
พระโพธิสัตว์ก็บำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ นี้มากขึ้นๆ
โดยลำดับ เมื่อสรุปเข้าเป็นมรรคมีองค์ ๘
ดังที่กล่าวแล้ว ก็ลงไป
เป็นเครื่องทำลายตะกอนจนหมดสิ้น
ตรงนี้แหละที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม
เป็นผู้สิ้นกิเลส เพราะฉะนั้นจึงเรียก
ผู้สิ้นกิเลสว่าขีณาสวะ แปลว่าผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว
หมายความว่าความดีที่ได้บำเพ็ญนั้นได้
เป็นเครื่องทำลายตะกอนในจิตจนหมด จิตหมดตะกอน
เป็นจิตที่บริสุทธิ์ตลอดดั่งนี้ จึงเป็นอันว่าหมดกิจ
และเมื่อหมดกิจแล้วก็สิ้นบุญสิ้นบาป เพราะว่าเมื่อ
ยังมีตะกอนอยู่ก็เรียกว่ามีบาป ก็ต้องทำบุญ คือการทำ
ความดีนั้นก็เป็นการทำบุญนั่นเองหรือว่าทำกุศล
การทำบุญทำกุศลทั้งปวง
นั้นก็ลงไปกำจัดอาสวะแต่ละครั้งที่ทำ ก็รวมกันเข้า
ในจิตอีกเหมือนกัน กำจัดอาสวะกำจัดอนุสัยให้หมดไปๆ
โดยลำดับ จนถึงหมด และเมื่อหมดก็
เป็นจิตที่บริสุทธิ์สิ้นเชิง ตรงนี้แหละที่เรียกว่า
นิพพาน หรือเรียกว่าเสร็จกิจและเป็นจิตที่อบรม
แล้ว
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร
ในพรรษากาล ๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูถัมภ์ จัดพิมพ์เนื่อง
ในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 02:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๔ ลักษณะพุทธศาสนา - กิเลส (๒)
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ได้แสดงลักษณะพุทธศาสนามาโดยลำดับ จน
ถึงสังขตธรรมอสังขตธรรม
ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งและธรรมที่
ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือสิ่งที่เป็นสังขาร
ส่วนผสมปรุงแต่ง กับสิ่งที่เป็นวิสังขารคือ
ไม่มีการปรุงแต่งทั้งทางวัตถุและทางสิ่งที่มิ
ใช่วัตถุคือจิต หรือวิญญาณธาตุ ธาตุรู้มาจนถึงจิตที่
เป็นวิญญาณธาตุ ธาตุรู้คือตัวรู้ซึ่งยังมิได้อบรม
จึงมาผสมปรุงแต่งกับส่วนที่เป็นวัตถุ ก็เกิด
เป็นกายจิตขึ้น และได้แสดงถึง
ความผสมปรุงแต่งของกายจิตนี้
เป็นกระบวนการปรุงแต่งทางกาย
กระบวนการปรุงแต่งทางจิต
และกระบวนการปรุงแต่งของจิตที่ประกอบ
กับกายปรากฏเป็นขันธ์ ๕ ดังที่ได้แสดงแล้ว
และจิตนี้เมื่อยังไม่มีอารมณ์ก็เป็นภวังคจิต
เมื่อเคลื่อนออกไปสู่อารมณ์ จึงเป็นจิตในวิถีที่
เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร และก็มาเป็นปัจจัย
ให้เกิดตัณหากิเลส และก็ตกเป็นตะกอนอยู่ในจิต
เป็นอนุสัยดองจิตเป็นอาสวะ จึงปรากฏ
เป็นกิเลสที่เรียกว่าอุปกิเลส คือกิเลสที่
เข้าไปนอนจมเข้าไปดองจิต และก็
เป็นกิเลสที่กล่าวว่าเป็นอย่างละเอียดเป็นขั้นตะกอน
เมื่อประสบกับอารมณ์ที่เข้าทางทวารทั้ง ๖
หรือที่อาจแบ่งเป็นประตูชั้นนอก ๕ ประตู ชั้นใน ๑
ตามที่กล่าวแล้ว ก็ไปกวนกิเลสที่เป็นตะกอนให้ฟุ้งขึ้น
ก็ปรากฏเป็นกิเลสที่เป็นขั้นนิวรณ์ หยาบออกมาอีกก็
เป็นขั้นที่ทำให้ล่วงละเมิดทางกายทางวาจาทางใจ
ซึ่งกายวาจาใจนี้ก็เรียกว่าทวารอีกเหมือนกัน
กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร ก็เป็นกายกรรม
วจีกรรม มโนกรรม ก็นับเป็นกิเลสที่
เป็นอย่างหยาบ เพราะฉะนั้นจึงสรุปว่ากิเลส
นั้นกล่าวโดยย่อก็อย่างหยาบอย่างกลาง
และอย่างละเอียด จึงต้องย้ำในที่นี้อีก
ว่าการละกิเลสนั้นจะต้องละให้ได้จน
ถึงอย่างละเอียดละอาสวะอนุสัย จึงจะ
เป็นอันว่าละกิเลสได้
จิตบริสุทธิ์สิ้นเชิงเพราะสิ้นอาสวะ
พระพุทธเจ้าและพระอรหันตขีณาสพ
ทั้งหลายละกิเลสได้จนถึงอย่างละเอียด
คือละอาสวะอนุสัยได้ จึงเรียกว่าขีณาสวะ
ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว นั่นแหละจึงจะเป็นพระอรหันต์
และเมื่อเป็นผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว ก็เป็น
ผู้ที่มีจิตที่บริสุทธิ์สิ้นเชิง เมื่อมีจิตที่บริสุทธิ์สิ้นเชิงดั่งนี้
แล้ว เวลารับอารมณ์จึงไม่มีตะกอนที่จะฟุ้งขึ้นมา
เป็นกิเลสอย่างกลางเป็นกิเลสอย่างหยาบ
และตะกอนใหม่ก็ไม่ลงไป เพราะว่าไม่รับเป็น
ความยินดีเป็นความยินร้ายเป็นความหลงงมงายต่างๆ
ซึ่งเรียกว่าเป็นตะกอนใหม่ ไม่มีตะกอนใหม่ที่
จะตกลงไป ตะกอนเก่าก็สิ้นไปหมด เพราะฉะนั้นท่าน
จึงเป็นผู้ที่สิ้นกิเลสด้วยประการทั้งปวง
และก็พึงทราบว่าความที่จะทำกิเลสให้สิ้นไปได้นั้น ก็
เพราะจิตนี้เอง คือจิตนี้เป็นธาตุรู้ คือ
เป็นวิญญาณธาตุรู้ดังกล่าวแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อ
ได้ประสบกับผลที่เป็นตัวทุกข์ต่างๆ อันเกิดจากกิเลส
ก็มีความรู้จับเหตุจับผลได้โดยลำดับตามความ
เป็นจริง เพราะฉะนั้นจึงได้รู้จักเทียบเคียง
ในระหว่างความดีความชั่วบุญบาปทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นจึงได้รู้จักที่จะละความชั่ว ที่จะกระทำ
ความดี และที่จะชำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส
ก็เป็นการที่ได้อาศัยอารมณ์นี่แหละ
จิตก็ประกอบเจตนาคือความจงใจ ประกอบความดี
เป็นกรรมดีทางไตรทวาร คือกายวาจาใจ ก็
เป็นกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่เป็นส่วนกุศล
คือเป็นความดีก็เก็บความดีนี้เป็นบารมีสั่งสมขึ้นในจิต
ชำระตะกอนที่เป็นฝ่ายกิเลสนั้นให้น้อยลงไป
โดยลำดับ
จิตสั่งสมทั้งบารมีและอาสวะอนุสัย
ทุกคนจึงมีทั้งส่วนดีทั้งส่วนชั่วที่เก็บในจิตใจของตน
ส่วนดีนั้นก็เรียกว่าบารมี ส่วนชั่วนั้นก็เรียกว่าอาสวะ
หรืออนุสัยซึ่งเก็บอยู่ และความที่ได้เกิดมา
เป็นมนุษย์ท่านก็แสดงว่าด้วยอำนาจของกุศล
กิจของคนฉลาด โดยตรงก็คือตัวปัญญานี้เอง ที่สูงขึ้น
โดยลำดับและก็หมายรวมถึงกรรมที่เป็นกุศล
ทั้งหลาย หรือที่เรียกว่าบุญซึ่งได้สั่งสมกระทำมา
เป็นเหตุให้มาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นผู้ที่เกิดมา
เป็นมนุษย์นี้จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีใจสูง มีมนะสูง หรือว่ามี
ความรู้สูง มนะที่แปลกันว่าใจนั้น
อีกอย่างหนึ่งแปลว่าความรู้ มีใจสูงก็คือมีความรู้สูง
ก็คือมีปัญญานั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงสามารถที่
จะละอายแก่ใจ และสามารถที่
จะเกรงกลัวต่อสิ่งที่ควรเกรงกลัว และรู้จัก
ความดีความชั่ว รู้จักที่จะละความชั่วกระทำ
ความดีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และสามารถที่
จะศึกษาให้มีความรู้สูงขึ้น จนถึงได้ปัญญาคือตัว
ความรู้เข้าถึงสัจจะที่เป็นตัวความจริงอันเป็นเหตุ
ให้พ้นทุกข์ได้ ดังเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระอรหันตสาวก และพระอริยสาวกกับ
ทั้งสาวกสาวิกา
ผู้ที่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ก็แปลว่าแม้ในการกระทำความดีนี้ก็
เป็นสังขตธรรม ธรรมที่ปรุงแต่งอีกเหมือนกัน คือ
ต้องทำต้องปรุงแต่งจึงจะเป็นความดี แม้ในด้าน
ความชั่วก็เป็นสังขตธรรม คือต้องทำต้องปรุงแต่งจึง
จะเป็นความชั่ว ความดีความชั่วนั้นต้องทำ เมื่อทำดีจึงจะ
เป็นความดี เมื่อทำชั่วจึงจะเป็นความชั่ว เมื่อทำก็
เป็นสังขตธรรมต้องปรุงต้องแต่ง
ทุกสังขารมีวัฏฏะคือความวน
ฉะนั้นจึงควรเข้าใจในต้อนนี้อีกด้วย
ว่าอันคำว่าปรุงแต่งคือสังขตธรรม สิ่งที่ปรุงแต่ง
หรือสังขารสิ่งที่ผสมปรุงแต่งนั้น ก็มี
ความหมายอันเดียวกับคำว่า วัฏฏะ คือคำว่าวน และอยู่
ในข่ายของกาลเวลา คือมีอดีตมีอนาคตมีปัจจุบัน
กาลเวลาคืออดีตอนาคตและปัจจุบันก็ดี
ความวนอันเรียกว่าวัฏฏะก็ดี ความ
เป็นสังขารคือผสมปรุงแต่งก็ดี ย่อมสัมพันธ์กันอยู่กับ
อนิจจตา คือความไม่เที่ยง ทุกขตา คือความเป็นทุกข์
อนัตตา คือความเป็นอนัตตามิใช่เป็นอัตตาตัวตน ก็
เพราะว่าสิ่งที่เป็นสังขารคือสิ่งที่ผสมปรุงแต่ง
ทั้งที่มีชีวิตและทั้งที่ไม่มีชีวิต จะต้องมีวัฏฏะคือความวน
คือไม่นิ่ง ต้องปรุงแต่งอยู่เสมอไม่หยุดไม่นิ่ง และ
ความไม่หยุดไม่นิ่งนั้นก็คือไม่หยุดไม่นิ่งอยู่ด้วยความเกิด
ความดับ ความที่ปรุงเข้ามาก็เป็นความเกิด และ
ความที่เสื่อมสลายไปก็เป็นความดับ แล้วก็ต้องปรุง
เข้ามาใหม่ และเมื่อปรุงเข้ามาใหม่
แล้วก็เสื่อมสลายไปอีก แล้วก็ปรุงเข้ามาใหม่อีก
ไม่มีหยุด ลักษณะดังกล่าวมานี้เรียกว่าไม่เที่ยง
และลักษณะที่กล่าวมานี้ก็เรียกว่าเป็นทุกข์ด้วย
เพราะเป็นสิ่งที่คงอยู่คงที่ไม่ได้
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป และทั้งเป็นสิ่งที่
เป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน เพราะเหตุว่าบังคับให้
เป็นไปตามปรารถนามิได้ จะบังคับให้เที่ยงคือคง
อยู่คงที่ คือให้ดำรงอยู่คงที่ไม่เกิดไม่ดับก็บังคับไม่ได้
จะให้หยุดก็บังคับไม่ได้ ต้องเกิดต้องดับ
ต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอดั่งนี้ เพราะฉะนั้นจึง
เป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน คือเป็นไปตามคติธรรมดา
และเมื่อเป็นไปตามคติธรรมดาดั่งนี้ ก็
ต้องมีกาลมีเวลา คือมีอดีตมีอนาคตมีปัจจุบัน
อดีตก็คือว่าล่วงไปแล้ว ปัจจุบันก็คือบัดนี้
อนาคตก็คือเบื้องหน้า ทุกๆ สิ่งต้องมีอดีตต้องมีปัจจุบัน
ต้องมีอนาคต ดังที่สิ่งที่เกิดดับมาแล้วก็เป็นอดีต
ที่เกิดดับอยู่ในปัจจุบันก็เป็นปัจจุบัน ที่เกิดดับต่อไปก็
เป็นอนาคต ก็สิ่งเดียวกันนี้เอง แต่เพราะมี สันตติ คือ
ความสืบต่อ อันหมายความว่ายังไม่หยุดความเกิด
ความดับ ยังเกิดดับต่อไป เพราะฉะนั้น
จึงมีอดีตมีปัจจุบันมีอนาคต
และแม้ว่าจับเอาเพียงคำว่าเกิดดับเท่านั้น
ถ้าเดี๋ยวนี้เกิดก็เป็นปัจจุบัน ดับก็เป็นอนาคต ครั้นมา
ถึงเวลาดับ ดับก็เป็นปัจจุบัน ที่จะเกิดสืบต่อก็
เป็นอนาคต เพราะฉะนั้นอดีตอนาคตปัจจุบัน
หรืออดีตปัจจุบันอนาคต จึงเนื่องอยู่กับสิ่งที่
เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งหลาย และที่ว่า
เป็นวัฏฏะคือความวนนั้น ก็เพราะว่าวนอยู่ในความเกิด
ความดับ ไม่นอกไปกว่าความเกิดความดับ เกิดดับ
แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ ก็วนอยู่ดั่งนี้
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงถึงวัฏฏะคือ
ความวนของสัตวโลกไว้ ๓ อย่างคือ
๑. กิเลสวัฏฏะ วนคือกิเลส
๒. กรรมวัฏฏะ วนคือกรรม และ
๓. วิปากวัฏฏะ วนคือวิบาก
วนคือกิเลสนั้น ก็หมายความว่ากิเลสเป็นเหตุ
ให้กระทำกรรม ก็มาถึงกรรม และกรรมนั้นก็
เป็นเหตุก่อวิบากคือผล ก็มาถึงวิบาก วิบากคือผลนั้นก็
เป็นที่ตั้งของกิเลสขึ้นอีก หรือจะกล่าวว่าเป็นเหตุ
ให้เกิดกิเลสขึ้นอีกก็ได้ ก็เป็นกิเลสขึ้นมาอีก และเมื่อ
เป็นกิเลสก็เป็นเหตุให้กระทำกรรม กรรมก็
เป็นเหตุให้ได้ประสบวิบากคือผล และผลก็เป็นที่ตั้ง
หรือเป็นเหตุของกิเลสขึ้นอีก ก็วนอยู่ใน ๓
ประการนี้ คือกิเลส กรรม วิบาก แล้วก็วิบาก
กิเลส กรรม วิบาก ก็วนเป็นวงกลมอยู่ดั่งนี้
อันนี้เรียกว่าวัฏฏะ วัฏฏะสังสาระ สังสาระแปลว่า
ความท่องเที่ยวไปคือความท่องเที่ยวไปของสัตวโลก
ก็ท่องเที่ยวไปในกิเลสกรรมวิบากทั้ง ๓ ประการนี้
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็ท่องเที่ยวเวียนเกิดเวียนตาย
หรือเวียนเกิดเวียนดับดังที่กล่าวมาแล้ว และเมื่อดู
เข้าไปที่ความวนอันเป็นตัวเหตุชั้นในแล้ว จึงจะพบว่าวน
อยู่ในกิเลสกรรมวิบากทั้ง ๓ ประการนี้
ส่วนที่ว่าเวียนเกิดเวียนตาย
หรือเวียนเกิดเวียนดับมาข้างต้นนั้น
ก็ยกเอาข้อวิบากขึ้นมาเพียงประการเดียว
วิบากคือผล ผลของกรรม จับเอาขันธ์
เป็นที่อาศัยยึดถือทั้ง ๕ ประการนี้ หรือกายใจอันนี้
หรือชีวิตนี้ ก็มีเกิดมีดับ และเมื่อเกิดดับแล้วก็เกิด
ในเมื่อยังมีกิเลสมีกรรมอยู่ เมื่อมีเกิดก็มีดับอีก
และเมื่อมีดับก็มีเกิดแล้วก็มีดับอีก
แม้ว่าดูแค่วิบากคือผลตัวชีวิตนี้เท่านั้น ก็วนอยู่ในเกิด
ในดับดังที่กล่าวมา แต่นั่นยกขึ้นมาเพียงข้อเดียว แต่เมื่อ
จะยกทั้งหมดแล้วก็ต้องยกทั้ง ๓
อย่างคือกิเลสกรรมวิบาก เพราะเหตุว่า
ยังมีกิเลสมีกรรมอยู่ จึงต้องมีเกิดดับแห่งชีวิต
หรือแห่งอัตภาพแห่งกายใจอันนี้ เมื่อไม่มีกรรม
ไม่มีกิเลสก็ไม่มีวิบากที่จะต้องเกิดดับ ดังกล่าวมา
เพราะฉะนั้นเมื่อจะยกขึ้นกล่าวถึงวัฏฏะทั้งหมด จึง
ต้องกล่าวทั้ง ๓ คือกิเลสกรรมวิบาก
กิเลสกรรมวิบากนี้เองเป็นกุญแจของสังขตธรรม
ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่ง คือเพราะมีวัฏฏะคือ
ความวนแห่งกิเลสแห่งกรรมแห่งวิบากอยู่ดั่งนี้ จึงยัง
เป็นสังขตธรรม ธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่ง
อยู่ตลอดไปเพราะต้องปรุงต้องแต่ง
กิเลสก็แต่งกรรม กรรมก็แต่งวิบาก
วิบากก็แต่งกิเลส กิเลสก็แต่งกรรม
กรรมก็แต่งวิบาก ก็วนเวียนกันดั่งนี้
พิจารณาวัฏฏะในวงนอกหรือส่วนหยาบ
คราวนี้การพิจารณาวัฏฏะทั้ง ๓ ประการนี้
พิจารณาในวงนอกคือพิจารณาในวงของ
ความเวียนว่ายตายเกิดชาตินี้ชาติหน้า ก็ให้พิจารณา
ในวงนอกดั่งนี้ ก็คือความที่ทุกคนต้องเกิดมา
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งจิตหรือธาตุรู้
ต้องมาถือปฏิสนธิในกายนี้ ก็เพราะยังมีกิเลสซึ่ง
เป็นเหตุให้กระทำกรรม และกรรมที่
เป็นชนกกรรม กรรมที่นำให้เกิดก็ให้มาเกิด
คือเกิดก่อกายนี้ทั้งรูปกายทั้งนามกาย
รูปกายนามกายนี้เป็นตัววิบากคือวิบากขันธ์ และเมื่อ
ได้วิบากขันธ์มาแล้วจิตเข้าอาศัย จิตยังมีกิเลส
จิตก็ยึดถือรูปกายนามกายนี้ ยินดีพอใจอยู่
ในรูปกายนามกายนี้ ไม่เบื่อหน่ายเพราะฉะ
นั้นรูปกายนามกายนี้ก็เป็นที่ตั้งของกิเลสขึ้นอีก ดัง
จะพึงเห็นได้ ว่ารูปกายนามกายนี้ย่อมมีที่ตั้งของกิเลส
อยู่ในรูปกายนามกายนี้เองด้วย เพราะฉะนั้นจึงได้ก่อ
ให้เกิดกิเลสได้ง่าย ตั้งแต่ตัวกิเลสที่เป็นเหตุ
ให้สืบพันธุ์กันอีกต่อไป อันเป็นเรื่องของโลก ก็มีกายนี้
เป็นที่ตั้งอยู่แล้ว และเมื่อเป็นดั่งนี้
กายนี้เองก็เรียกว่าวิบากขันธ์ เป็นตัววิบาก เป็นที่ตั้ง
เป็นเหตุก่อกิเลสขึ้นอีก เพราะฉะนั้นกิเลสจึงได้ตั้งอยู่
และได้งอกงาม ก็ก่อกรรม
และกรรมก็ก่อวิบากคือผลต่างๆ ตลอดจนถึง
เป็นชนกกรรม กรรมที่ทำให้เกิดชาติภพต่อไปอีก
เพราะฉะนั้นเมื่อดูในวงกว้างก็จะเห็นได้
ว่ากิเลสกรรมวิบากเป็นวัฏฏะคือตัววน
ก่อชาติก่อภพเวียนว่ายตายเกิดกันเรื่อยไป
พิจารณาวัฏฏะในวงในหรือส่วนละเอียด
เมื่อจะดูในวงในให้แคบเข้ามา ก็จะเห็นได้แม้ในตัวจิต
และอารมณ์ที่ประกอบกันอยู่ในปัจจุบัน
ดังเช่นว่ากิเลสเป็นเหตุให้อยากดูรูปที่สวยงาม
ให้อยากฟังเสียงที่ไพเราะ นี่เป็นตัวกิเลส
เป็นตัวรูปตัณหา สัททตัณหา ตัณหาในรูป ตัณหา
ในเสียง เป็นตัวกิเลส เมื่อเกิดตัณหาในรูปเกิดตัณหา
ในเสียงขึ้น ก็เป็นเหตุให้กระทำกรรมคือให้ทำการดู
เช่นการแสวงหาสถานที่ที่มีรูปที่งดงาม
สถานที่ที่มีเสียงไพเราะที่อยากจะดูอยากจะฟัง
แล้วก็ไป แล้วก็ดู เหล่านี้เป็นกรรม ดั่งนี้จะเห็น
ได้ว่ากิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม และเมื่อ
เป็นกรรมขึ้นแล้วก็ให้เกิดผลเป็นวิบาก เป็น
ความสุขบ้างเป็นความทุกข์บ้าง ตั้งต้นแต่เป็นตัวเวทนา
เป็นสุขเวทนาเป็นทุกขเวทนา
ตัวสุขเวทนาทุกขเวทนาเหล่านี้เป็นวิบาก เป็น
ส่วนผลของกรรม คือการดูการฟังดังที่กล่าวมา
แล้ว และเมื่อเป็นเวทนา เป็นสุขเวทนา
เป็นทุกขเวทนาขึ้นมาดั่งนี้แล้ว เวทนานี้เองและผล
อื่นๆ ก็เป็นที่ตั้งของกิเลสขึ้นอีก ถ้าเป็นสุขเวทนา
เป็นวัตถุที่ชอบใจที่ได้มา ก็ก่อตัณหาคือ
ความดิ้นรนทะยานอยากในสิ่งนั้นมากขึ้น เป็น
ส่วนกามตัณหาบ้างภวตัณหาบ้าง ถ้าเป็นทุกขเวทนา
เป็นสิ่งที่ไม่ชอบใจ ก็ก่อให้เกิดวิภวตัณหา
ความทะยานอยากที่จะทำให้สิ่งนั้นสิ้นไปหมดไป
ต้องการที่จะผลักออกไป ถ้า
เป็นกามตัณหาภวตัณหาก็ต้องการที่จะดึงเข้ามา ก็
เป็นอันว่าวิบากคือผลก็เป็นเหตุให้เกิดกิเลสขึ้นอีกดั่งนี้
ก็วนอยู่ดั่งนี้ เป็นวัฏฏะของกิเลสกรรมวิบาก และ
ถ้าดูเข้ามาที่จิตและอารมณ์ดั่งนี้ เป็นการดู
เข้ามาอย่างละเอียด ดูจิตที่พบกับอารมณ์ทั้งหลาย
ตรวจดูก็จะเห็นดั่งนี้ ว่าจิตของตนเป็นเช่นนี้ เป็นกิเลส
ถ้าเป็นตัณหาขึ้นมาก็อยากจะได้นั่นได้นี่ ก็ทำ
ให้ประกอบกรรมเพื่อที่จะได้มา เมื่อได้มาแล้วสิ่งที่
ได้มาก็เป็นวิบากคือผล จะได้สิ่งที่ต้องการหรือจะ
ได้สิ่งที่ไม่ต้องการก็ตาม คือทั้งการได้และการไม่
ได้เป็นผล เป็นวิบากคือผล และถ้าเป็นการ
ได้ก็ก่อกิเลสด้านกามตัณหาภวตัณหา ถ้าเป็นการไม่
ได้หรือได้สิ่งที่ไม่ชอบก็ก่อให้เกิดกิเลสกองวิภวตัณหา
ก็เป็นไปอยู่ดังนี้เป็นประจำ เพราะฉะ
นั้นแม้จิตใจนี้เองก็วนอยู่ในกิเลสกรรมวิบากทั้ง ๓
ประการนี้อยู่เป็นประจำ สำหรับสามัญชนทั่วไป
พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแสดงสั่งสอนชี้ให้รู้จัก ว่า
ความวนอยู่ดั่งนี้เป็นความวนอยู่ในทุกข์ เมื่อจะพ้นทุกข์
ก็จำเป็นต้องพยายามปฏิบัติตัดความวนเหล่านี้
และการที่จะตัดความวนเหล่านี้ ก็ต้องตัด
ด้วยการปฏิบัติเพื่อละกิเลส อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติพุทธศาสนาทั้งหมดนั้น
ให้ตั้งใจว่าเพื่อละกิเลส ไม่
ใช่ปฏิบัติเพื่อสะสมกองกิเลส จะเป็นขั้นศีลก็ตาม
ขั้นสมาธิก็ตาม ขั้นปัญญาก็ตาม
เป็นการปฏิบัติเพื่อละกิเลส จะทำบุญทั้งหลาย
เช่นทาน จะให้สิ่งนั้นจะให้สิ่งนี้ก็ตาม ก็ต้องตั้งใจว่า
ให้ทานเพื่อละกิเลส ให้มีความตั้งใจไว้ดั่งนี้ และเมื่อ
เป็นดั่งนี้แล้ว การกระทำทุกๆ อย่างก็จะได้รับผล
เป็นความพ้นทุกข์ น้อยหรือมากตามแต่ที่จะปฏิบัติได้
๑๗ กันยายน ๒๕๒๖
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร
ในพรรษากาล ๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูถัมภ์ จัดพิมพ์เนื่อง
ในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 02:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๕ ลักษณะพุทธศาสนา - วัฏฏะของกิเลส
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ได้แสดงลักษณะพุทธศาสนามา
ถึงสิ่งที่เรียกว่าปรุงแต่ง อันคู่กับไม่ปรุงแต่ง ส่วน
ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องปรุงแต่งนั้นก็มาถึงวัฏฏะคือวน ๓
ได้แก่กิเลส กรรม และวิบาก ซึ่งเป็นวัฏฏะคือ
ความวนที่สัตวโลกย่อมวนอยู่ในกิเลสกรรม
และวิบาก ทั้งที่เป็นความวนส่วนหยาบ ทั้งที่เป็น
ความวนส่วนละเอียด และจิตนี้ซึ่งได้กล่าวแล้วว่า
เป็นธาตุรู้ แต่เมื่อยังอยู่ในความปรุงแต่งก็เป็นธาตุรู้ที่
ยังมิได้อบรม หรือว่าอบรม แต่ว่ายังไม่เต็มที่
เพราะฉะนั้นจึงยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ อันหมาย
ความว่าไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง ยังเป็น
ความรู้ที่ไม่จริง ฉะนั้นจึงยังเป็นตัวอวิชชาคือตัวไม่รู้
ในความจริง หรือรู้ไม่จริง เพราะฉะนั้นจึง
ต้องปรุงแต่งไปต่างๆ แต่ก็ได้กล่าวแล้วว่าเป็นธาตุรู้
ฉะนั้นเมื่อปรุงแต่งไปก็ย่อมได้ความรู้ยิ่งขึ้นอยู่เสมอ
เพราะฉะนั้นแม้จะยังต้องเวียนว่ายตายเกิด เป็น
ความปรุงแต่งที่เป็นวัฏฏะอยู่ดังกล่าวนั้น จึงเป็น
ความเวียนว่ายที่กล่าวได้ว่าเพื่อศึกษา คือเพื่อเพิ่มเติม
ความรู้อยู่เสมอ
รู้จักทุกข์ และเหตุเกิดทุกข์
ฉะนั้นหากจะมีปัญหาว่าคนเราเกิดมาทำไม ก็อาจ
จะตอบได้อย่างหนึ่ง ว่าเกิดมาเพื่อศึกษาคือเพื่อ
ความรู้ที่ยิ่งๆ ขึ้นไป อันความรู้ที่ยิ่งๆ ขึ้นไปนั้นก็คือ
ความรู้ที่เข้าถึงสัจจะ อันเป็นตัวความจริง กล่าว
ได้ว่าทุกคนจึงมีความรู้เข้าถึงความจริง ว่าอะไร
เป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ยิ่งขึ้นไปโดยลำดับ
แม้ว่าในเบื้องต้นจะยังเป็นความรู้ที่ไม่ถูกต้อง
แต่ว่าก็พอจะจับหลักได้ถูก คือจับหลักได้ถูกว่าอะไร
เป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และเมื่อ
ได้ประกอบในเหตุอันเป็นเหตุให้เกิดผล จึง
ได้รับผลซึ่งเกิดจากเหตุอันประกอบนั้นบ่อยเข้าๆ
ก็ทำให้จับความจริงได้ถูกต้องยิ่งขึ้น ว่าอะไร
เป็นตัวเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรเป็นตัวทุกข์จริงยิ่งขึ้นไป
โดยลำดับ ดังเช่นทุกคนต้องการความสุขและ
ต้องการเหตุให้เกิดสุข เพราะฉะนั้นจึงได้แสวงหา
ความสุขกันต่างๆ คือว่าประกอบเหตุที่เห็นว่าจะทำ
ให้เกิดความสุขกันต่างๆ ซึ่งคำว่าความสุขและเหตุ
ให้เกิดสุขนี้ก็เป็นการกล่าวในทางที่กลับกันกับทุกข์
และเหตุให้เกิดทุกข์นั้นเอง คือว่าในการกล่าวว่าทุกข์
และเหตุให้เกิดทุกข์นั้น อาจจะเรียกว่า
เป็นการกล่าวยกผลในทางแง่ร้ายขึ้นเป็นที่ตั้งก็ได้
ส่วนการกล่าวว่าความสุขและเหตุให้เกิดสุขนั้น
เป็นการกล่าวที่เรียกว่ายกผลในแง่ดีขึ้นมาก็ได้
แต่ว่าจะยกผลในแง่ดีหรือยกผล
ในแง่ร้ายดังกล่าวก็ตาม อรรถคือเนื้อความก็
เป็นอย่างเดียวกัน เหมือนอย่างว่ามีแก้วอยู่แก้วหนึ่ง
และมีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว อาจจะกล่าวว่าแก้วนี้มีน้ำ
อยู่ครึ่งแก้วก็ได้ อาจจะกล่าวว่าแก้วนี้มีน้ำพร่อง
อยู่ครึ่งแก้วก็ได้ ซึ่งผลก็เป็นอันเดียวกัน คือว่าคงมีน้ำ
อยู่ครึ่งแก้วนั่นเอง จะเรียกว่าเต็มอยู่ครึ่งแก้ว
หรือว่าพร่องอยู่ครึ่งแก้วก็ได้ ฉะนั้นแม้
จะกล่าวว่าทุกข์และเหตุให้เกิดทุกข์ หรือสุข
และเหตุให้เกิดสุข อรรถแม้ถ้อยคำจะตรงกันข้าม
แต่ก็ชี้ให้เห็นเหตุผลเป็นอันเดียวกัน
เพราะว่าเมื่อรู้จักทุกข์และเหตุให้เกิดทุกข์
และปฏิบัติดับเหตุให้เกิดทุกข์นั้น ทุกข์ก็ไม่เกิดขึ้น
ดั่งนี้ก็เป็นตัวความสุขที่ตรงกันข้ามกับความทุกข์นี้เอง
หรือว่ารู้จักสุขและเหตุให้เกิดสุข ปฏิบัติในเหตุ
ให้เกิดสุขนั้น ก็ได้ความสุข ดั่งนี้ก็หมายความว่าไม่มีทุกข์
ซึ่งตรงกันข้าม
เพราะฉะนั้นก็เป็นอันว่าที่กล่าวว่าสุขก็ตรงกันข้าม
กับทุกข์ เมื่อกล่าวว่าสุขก็หมายความว่าไม่มีทุกข์
หรือกล่าวว่าทุกข์ก็ตรงกันข้ามกับคำว่าสุข
เมื่อกล่าวว่าพ้นทุกข์ก็คือว่ามีความสุขนั้นเอง ความก็
เป็นอันเดียวกัน จะกล่าวในทางยกเอาแง่ดีขึ้นว่า หรือ
จะยกเอาแง่ร้ายขึ้นว่าก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าข้อสำคัญนั้น
อยู่ที่การปฏิบัติ การปฏิบัติในเหตุให้เกิดสุข
หรืออีกอย่างหนึ่งการปฏิบัติดับเหตุให้เกิดทุกข์ ก็คง
ได้พ้นความทุกข์หรือได้ความสุขเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นธาตุรู้นี้เมื่อได้ปฏิบัติไปๆ และ
ได้เสวนากับบัณฑิตคือคนดีซึ่งเป็นผู้ฉลาดรู้ ที่
ให้คำแนะนำสั่งสอนให้ใคร่ครวญพิจารณา ก็ย่อม
จะจับความจริงได้โดยลำดับว่าอะไรเป็นตัวทุกข์
อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อเป็นดั่งนี้ เมื่อเกิดบ่อยๆ
เข้าและได้ประสบเหตุการณ์ต่างๆ มากเข้า
ได้มีการเสวนาคือคบหากับบรรดาผู้รู้
ผู้ฉลาดมากขึ้น ก็ทำให้จิตนี้ได้รับการอบรม และ
ได้ปัญญาคือความรู้ทวีมากขึ้นทุกทีๆ เพราะฉะนั้น
จึงกล่าวว่าเกิดมาก็เพื่อศึกษา เพื่อให้มีความรู้
ความฉลาดยิ่งขึ้น และเพื่ออบรมจิตยิ่งขึ้นนั้นเอง
และการที่ต้องมีความวนอันเป็นความวนเวียนอยู่นี้
จิตที่ต้องประสบกับความเวียนเกิดเวียนตาย ประสบ
กับวัฏฏะคือความวนทั้ง ๓ ดังกล่าวมานั้นมากขึ้นๆ ก็ได้
ความฉลาดและความรู้มากขึ้น ว่านั่นเป็นตัวทุกข์ นั่น
เป็นตัวเหตุให้เกิดทุกข์
นิพพาน - ความดับวัฏฏะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์
ได้ทรงศึกษาเพื่อพระโพธิญาณ คือเพื่อความหยั่งรู้
ในสัจจะคือความจริงให้ยิ่งขึ้นโดยลำดับนั้นเอง
และก็ได้ทรงปฏิบัติละบาปอกุศลทุจริต ประพฤติ
อยู่ในบุญกุศลสุจริตในทางไตรทวาร
คือกายวาจาใจยิ่งขึ้นๆ อันนี้ก็เป็นบุญเป็นกุศล
เป็นบารมีที่ได้ทรงปฏิบัติยิ่งขึ้นๆ จนถึง
ได้ทรงพบทางที่เป็นมัชณิมาปฏิปทา คือมรรคที่
เป็นองค์ ๘ ประการ มีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบเป็นต้น
มีสัมมาสมาธิความตั้งใจมั่นชอบเป็นที่สุด จึง
ได้พระโพธิญาณ คือได้ตรัสรู้พระธรรม
ก็คือวิชชาคือความรู้แจ่มแจ้งโพลงขึ้นในอริยสัจทั้ง
๔ คือทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ โดยความก็คือว่าความที่
ต้องวนเวียนอยู่ในกิเลสในกรรมและ
ในวิบากคือผลอันเป็นวัฏฏะทั้ง ๓ นั้นเป็นตัวความทุกข์
อันมีตัณหา
ความดิ้นรนทะยานอยากคือตัวกิเลสนี่แหละ
เป็นตัวเหตุ วิชชาคือความรู้แจ่มแจ้ง
ได้แทงตลอดลงไป จนถึงทรงพบตัณหานุสัย
ตัณหาที่เป็นอนุสัยคือที่นอนจมหมักหมมอยู่ในจิตสันดาน
วิชชาความรู้แจ่มแจ้งจึงโพลงตลอด อวิชชาความ
ไม่รู้ก็ดับไปหมด เมื่อเป็นดั่งนี้ ตัณหานุสัยพร้อม
ทั้งกิเลสทั้งปวงก็ดับไปหมดสิ้น ก็เป็นอันว่า
ได้ทรงตัดกิเลสวัฏฏะ วนคือกิเลส
เมื่อตัดวัฏฏะวนคือกิเลสเสียได้ ก็
เป็นอันว่าตัดกรรมตัดวิบากคือผลได้ เพราะฉะนั้น
จึงทรงเป็นผู้หักวัฏฏะผู้หักวน หยุดวน เมื่อเป็นผู้หยุดวน
แล้ว ก็เป็นอันว่านั่นแหละคือตัวอสังขตธรรม
ธัมมะที่ปัจจัยไม่ปรุง จิตก็
เป็นจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่ปราศจากกิเลสกรรมวิบาก
ด้วยประการทั้งปวง เป็นจิตที่หยุด เป็นจิตที่สงบ
และเมื่อเป็นจิตที่หยุดเป็นจิตที่สงบดั่งนี้ จิตนี้ก็
เป็นจิตที่อบรมดีแล้ว เป็นจิตที่ไม่มีกิเลสแล้ว สิ้น
ความปรุงแต่งด้วยประการทั้งปวง อันนี้แหละ
เป็นตัวอสังขตธรรม ธัมมะที่ปัจจัยไม่ปรุง
เป็นตัววิสังขาร มีสังขารไปปราศแล้ว ซึ่งเรียกว่า
“นิพพาน” ก็คือจิตที่บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่งนั้นเอง ปราศ
จากกิเลสทั้งหมด เพราะฉะนั้น
จึงทรงประสบอสังขตธรรม ธัมมะที่
ไม่มีปัจจัยปรุง ก็คือจิตสิ้นกิเลสด้วยประการทั้งปวง
เป็นจิตที่หยุดเป็นจิตที่ไม่หมุนไม่วนไม่ปรุงไม่แต่ง
อันนี้แหละจึงไม่เกิดอีก
และเมื่อวิบากขันธ์คือขันธ์ที่อาศัยอยู่ อัน
เป็นชาติสุดท้ายของพระองค์แตกสลาย
ดั่งที่เรียกว่าดับขันธปรินิพพาน จึงไม่เกิดอีกต่อไป
แต่ก็ไม่ดับสูญ เพราะว่าสภาพที่หยุดไม่ปรุงแต่งต่อไป
นั้น เป็นสภาพธรรมอันเรียกว่าธาตุแท้ซึ่ง
เป็นตัวดำรงอยู่ และธาตุแท้ซึ่งเป็นตัวดำรงอยู่นี้ก็
เป็นสิ่งที่ไม่มีถ้อยคำอันเป็นสมมติบัญญัติที่จะเรียก
ไม่เรียกว่าจิต ไม่เรียกว่าอัตตาตัวตน และ
ไม่เรียกว่าอะไรทั้งหมด เข้าสู่ความเป็นสภาพธรรม
หรือสภาพที่เป็นธาตุแท้ ที่หยุดที่ไม่ปรุงแต่งทั้งหมด
ดั่งนี้คืออสังขตธรรมหรือวิสังขารในพุทธศาสนา
พ้นสมมติบัญญัติด้วยประการทั้งปวงและไม่เกิดอีก
และก็เป็นสิ่งที่ไม่สูญไม่สิ้นไป
เพราะฉะนั้นเมื่อมีภิกษุกล่าวว่าพระอรหันต์ตายสูญ
ท่านจึงกล่าวว่าความเห็นเช่นนั้นเป็นความเห็นผิด
เพราะว่าอะไรเป็นพระอรหันต์ ขันธ์ ๕
คือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนี้ก็เป็นขันธ์ ๕ ไม่
ใช่พระอรหันต์ และพระอรหันต์ก็ไม่ใช่ขันธ์ ๕
แต่ว่าเมื่อพระอรหันต์ยังดำรงอยู่
พระอรหันต์ก็อาศัยอยู่ในขันธ์ ๕ นี้ และเมื่อขันธ์ ๕
นี้แตกสลาย พระอรหันต์ก็ไม่แตกสลาย
เพราะพระอรหันต์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ เมื่อพระอรหันต์ไม่
ใช่ขันธ์ ๕ พระอรหันต์จึง
ไม่แตกสลายไปตามเบญจขันธ์ที่แตกสลายไป
เป็นธรรมดา เพราะฉะ
นั้นการกล่าวว่าพระอรหันต์ตายสูญจึงไม่ถูก
และก็ไม่ควรแก่ถ้อยคำที่จะพูดทั้งนั้น จะว่าเกิด จะว่า
ไม่เกิด จะว่าเกิดก็ไม่ใช่ไม่เกิดก็ไม่ใช่ ดั่งนี้ก็ไม่ถูกทั้งนั้น
เพราะไม่ควรที่จะพูดถึงด้วยสมมติบัญญัติอะไร
ทั้งสิ้น เพราะว่าถอนธรรมทั้งปวงขึ้นหมดสิ้นแล้ว นี้
เป็นคติในพุทธศาสนาซึ่งแสดงดั่งนี้
และตามที่กล่าวมานี้ก็จะพึงเห็นได้ ว่าคติ
ในพุทธศาสนานั้นไม่แสดงว่าตายเกิด ไม่แสดงว่าตายสูญ
ถ้าตายเกิดก็แสดงว่าเมื่อขันธ์ ๕ อันนี้แตกสลาย
ยังมีอัตตาคือตัวตนที่ไม่ตายซึ่งจะไปเกิดในภพชาติ
ใหม่อีกต่อไป เป็นไปอยู่ดั่งนี้ไม่มีทิ่สิ้นสุด
ความเห็นเช่นนี้เรียกว่า สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง
แต่อีกด้านหนึ่งที่ตรงกันข้ามเห็นว่าตายสูญ
คือเห็นว่ามีอัตตาตัวตนอยู่ในชาตินี้เท่านั้น
เมื่อเบญจขันธ์อันนี้แตกสลายไป
อัตตาคือตัวตนก็แตกสลายไปด้วย
ดั่งนี้เรียกว่าตายสูญ พุทธศาสนานั้น
ไม่มีวาทะว่าตายเกิดหรือตายสูญดั่งนี้
แต่ว่ามีวาทะที่แสดงตามเหตุและผล คือแสดงว่าเมื่อ
ยังมีเหตุให้เกิดก็เกิด แต่ว่าเมื่อสิ้นเหตุให้เกิดก็ไม่เกิด
แต่ว่าเมื่อสิ้นเหตุให้เกิดแล้วดังพระพุทธเจ้า
และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย
เมื่อเบญจขันธ์นี้ดับไปแล้วก็ไม่สูญ เพราะว่าภาวะที่
เป็นพระอรหันต์นั้นไม่ใช่ขันธ์ ๕ ดังที่กล่าวมาแล้ว
แต่ว่าเมื่อไม่มีเหตุให้เกิดอีก ก็
ไม่มีที่ตั้งของสมมติบัญญัติที่จะเรียกว่าอะไรทั้งสิ้น
เพียงแต่กล่าวได้ว่ามีเป็นสภาพธรรมคือธาตุแท้ อัน
เป็นอสังขตธรรม ธัมมะที่ปัจจัยไม่ปรุงอันดำรงอยู่
มรรคมีองค์ ๘ เป็นยอดของสังขตธรรม
เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึง
ได้ทรงแสดงแก่พระเบญจวัคคีย์ เมื่อเสด็จไป
จะทรงแสดงปฐมเทศนาโปรด
ว่าพระองค์ทรงบรรลุ อมตธรรม ธัมมะที่
ไม่ตายแล้วคือธัมมะของบุคคลที่ไม่ตายแล้ว
ดั่งนี้แหละ และได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้
ว่าบรรดาสังขตธรรมคือธัมมะที่ปัจจัยปรุงแต่ง
ทั้งหลายนั้น มรรคมีองค์ ๘ เป็นยอด
และบรรดาอสังขตธรรม ธัมมะที่ไม่ปรุงแต่ง
ทั้งหลายนั้น ก็มีวิราคธรรม ธัมมะที่สิ้น
ความติดใจยินดี คือนิพพาน เป็นยอดดั่งนี้ ในข้อนี้จะเห็น
ได้ ว่ามรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นสังขตธรรมเพราะ
ต้องปรุงแต่ง อันหมายความว่าต้องปฏิบัติอบรมจึงจะ
เป็นมรรคมีองค์ ๘ ขึ้น แต่ว่ามรรคมีองค์ ๘ นี้
เป็นไปเพื่อตัดความปรุงแต่งทั้งหมด
กล่าวคือเมื่อปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ได้เต็มที่แล้ว
จะตัดกิเลสได้หมดสิ้น เมื่อตัดกิเลสได้หมดสิ้นก็
จะบรรลุถึงอสังขตธรรม ธัมมะที่ปัจจัยไม่ปรุง
คือนิพพาน เพราะฉะนั้นมรรคมีองค์ ๘ นั้นจึง
เป็นสังขตธรรม ธัมมะที่มีปัจจัยปรุงแต่ง อันนับว่า
เป็นยอดของสังขตธรรมทั้งหมดเพราะเป็นเหตุ
ให้ตัดสังขตธรรมทั้งหมด ให้บรรลุ
ถึงอสังขตธรรม ธัมมะที่ปัจจัยไม่ปรุง คือนิพพานได้
และเมื่อเป็นดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าสิ้นความปรุงแต่งทั้งหมด
ฉะนั้นเมื่อยังไม่บรรลุ
ถึงยอดของสังขตธรรมคือมรรคมีองค์ ๘ นี้แล้ว ก็
ยังต้องปรุงแต่งกันเรื่อยไป และจะปรุงแต่ง
กันไปนานเท่าไรนั้น ก็สุดแต่ว่าเมื่อไรจะ
ได้มรรคมีองค์ ๘ อย่างสมบูรณ์ เมื่อ
ได้มรรคมีองค์ ๘ อย่างสมบูรณ์แล้ว ก็
เป็นอันว่าสิ้นปรุงแต่งด้วยประการทั้งปวง เพราะฉะ
นั้นจึงนับว่าเป็นยอดของสังขตธรรม
ธัมมะที่ปัจจัยปรุงทั้งหมด ก็ทำให้หยุดปรุงแต่งได้
บรรลุถึงที่สุดคือความไม่ปรุงแต่งได้ นี้เป็นคติ
ในพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นคติในพุทธศาสนาจึง
เป็นคติที่กล่าวสัจจะคือความจริง ซึ่ง
ไม่กล่าวว่าตายเกิด ไม่กล่าวว่าตายสูญ แต่กล่าว
เป็นกลางๆ ว่าเมื่อมีเหตุให้เกิดก็เกิด เมื่อดับเหตุให้เกิด
ได้ก็ไม่เกิด การดับเหตุให้เกิดได้นั้นก็ต้องดับ
ในมรรคมีองค์ ๘ นั้นเอง เพราะฉะนั้นทางพุทธศาสนา
จึงตรัสสอนให้ศึกษาในไตรสิกขา
คือศีลสมาธิปัญญา เพื่อให้ได้ปัญญาคือความรู้ที่ยิ่งๆ
ขึ้นไป อันนี้เป็นการอบรมจิตอันเรียกว่า จิตตภาวนา
เพราะฉะนั้นในโอกาสต่อไปจะได้แสดง
ถึงจิตตภาวนาคือการอบรมจิตโดยตรง
๑๘ กันยายน ๒๕๒๖
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร
ในพรรษากาล ๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูถัมภ์ จัดพิมพ์เนื่อง
ในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 02:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๖ ลักษณะพุทธศาสนา - จิตตภาวนา
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ได้แสดงลักษณะพุทธศาสนามาถึงจิตตภาวนา
คือการอบรมจิต จึงจะอธิบายจิตตภาวนาและ
จะฝึกปฏิบัติอบรมจิตต่อไปด้วย
ความหมายของจิตตภาวนา
จิตตภาวนา แปลว่าการอบรมจิต การอบรมจิตนี้มี
ความหมายไปได้ในไตรสิกขาคือศีลสมาธิปัญญา
หรือสีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา
เพราะว่าไตรสิกขาต้องปฏิบัติให้ถึงจิตจึงจะเป็นศีล
เป็นสมาธิเป็นปัญญา ถ้าปฏิบัติไม่ถึงจิตก็ไม่เป็นศีล
เป็นสมาธิเป็นปัญญา แต่อาการของไตรสิกขานั้น
ในขั้นศีลก็ปรากฏที่กายที่วาจาที่ใจทั้ง ๓ เหมือนกัน
แต่ว่าปรากฏออกไปภายนอกให้คนอื่นเห็นก็เพียงกาย
เพียงวาจา ส่วนใจนั้นไม่ปรากฏออกไปโดยตรง
ตนเองย่อมรู้ใจตนเองว่าเป็นอย่างไร และผู้
อื่นที่อ่านใจได้ก็ย่อมรู้ได้ อาการของสมาธิ
นั้นปรากฏที่จิตใจโดยตรง อาการของปัญญา
นั้นปรากฏที่ความรู้ เป็นความรู้ความเห็นอันถูกต้อง
แต่ความรู้นี้ดังที่ได้กล่าวแล้ว ว่าเป็น
ความรู้ของจิตนี้เอง หรือจิตก็คือธาตุรู้
ศีลเป็นภาคพื้นของสมาธิและปัญญา
เพราะฉะนั้นจิตตภาวนาจึงครอบงำหรือว่ามี
ความหมายไปทั้งสมาธิทั้งปัญญา อันศีลนั้นจะต้องมี
เป็นภาคพื้นเหมือนอย่างเป็นแผ่นดิน ซึ่งจะต้องมีหรือจำ
เป็นที่จะต้องมี สมาธิและปัญญาจึงจะตั้งขึ้นมาได้ ท่าน
จึงเปรียบศีลเหมือนแผ่นดินอันเป็นที่ตั้ง
เป็นที่ยืนของสรรพสิ่งและของบุคคลทั้งหลาย
ฉันใดก็ดี กุศลธรรมทั้งหลายเมื่อมีศีลเป็นที่ตั้ง
จึงบังเกิดและเจริญขึ้นได้ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติ
ในศีลจึงจำปรารถนาของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งปวง
ศีลนั้นท่านแสดงไว้ว่าย่อมเกิดขึ้นจากการสมาทาน คือ
ความตั้งใจรับศีลก็ได้ เกิดขึ้นในขณะที่ประจวบ
กับวัตถุที่จะพึงล่วงศีลได้ และก็งดเว้นขึ้นได้เอง
ในปัจจุบัน ดั่งนี้ก็ได้ และเกิดขึ้นจากธรรมปฏิบัติ
ซึ่งเมื่อได้ธรรมปฏิบัติข้อนั้นๆ แล้ว
ศีลก็บังเกิดขึ้นมาเอง และธัมมะที่ได้ที่ถึงหาก
เป็นขั้นมรรคผลที่ท่านแสดงว่าโสดาปัตติมรรค
โสดาปัตติผล หากได้แล้ว ศีล ๕ ก็มาเอง ดั่งนี้ก็มี
ศีลที่เกิดจากการสมาทานคือการรับ จะรับจาก
ผู้ที่มีศีล อย่างคฤหัสถ์รับศีลจากภิกษุสามเณร
หรือแม้ที่ผู้เข้ามาขอบวชรับศีล
จากพระอาจารย์สำเร็จเป็นสามเณร หรือว่า
ไม่รับจากผู้อื่นตั้งใจสมาทานขึ้นด้วยตัวเอง
ดังเช่นวันอุโบสถ พอตื่นเข้าขึ้นก็ตั้งใจว่าวันนี้
จะสมาทานอุโบสถศีลตั้งแต่เช้าด้วยตัวเอง ดั่งนี้ก็
ได้ศีล ศีลที่ได้จากการสมาทานจากท่านผู้อื่นก็ดี
ด้วยตัวเองก็ดี ดั่งนี้เรียกว่า สมาทานวิรัติ ความงดเว้น
ได้ด้วยการสมาทาน ส่วนศีลที่ได้
ในขณะเมื่อไปประสบวัตถุที่จะพึงล่วงละเมิดแต่ว่า
ไม่ล่วงละเมิด งดเว้นขึ้นได้ในปัจจุบันนั้น เรียกว่า
สัมปัตตวิรัติ ความงดเว้นในขณะที่วัตถุมาถึงเข้างดเว้น
ได้ เช่นไม่ได้สมาทานศีลมา แต่เมื่อไปประสบวัตถุที่
จะพึงฆ่า แต่ก็ไม่ฆ่า งดเว้นได้ ไปประสบวัตถุที่
จะพึงลักขโมย แต่ก็ไม่ขโมย งดเว้นได้ ดั่งนี้ก็
เป็นสัมปัตตวิรัติ ส่วนศีลที่ได้จากธรรมปฏิบัติ
ท่านยกเอามรรคผล เช่น
ได้โสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล ศีล ๕ ก็มาเอง
ดั่งนี้เป็น สมุจเฉทวิรัติ ความงดเว้นได้อย่างเด็ดขาด
ท่านแสดงว่าพระโสดาบันนั้น จะไม่มีล่วงละเมิดศีล
๕ เลย และก็ไม่ได้สมาทาน เป็นศีลที่มาเอง งดเว้น
ได้อย่างเด็ดขาดทีเดียว เป็นสมุจเฉทวิรัติ
แต่ว่าแม้ธัมมะข้ออื่น เมื่อปฏิบัติได้ธัมมะข้อนั้นจะไม่
ถึงมรรคผลก็ตาม ศีลก็มาเองเหมือนกัน
ในขณะที่ธัมมะข้อนั้นยังมีอยู่ เช่นว่าเจริญเมตตา
เมื่อจิตมีเมตตาก็ย่อมจะมีศีลตามมาด้วย
เพราะว่าเมื่อมีเมตตาในสัตว์บุคคลใด ย่อมจะ
ไม่ประพฤติเบียดเบียนสัตว์บุคคลนั้น
มีแต่เกื้อกูลอุดหนุน ฉะนั้นผู้ที่มีเมตตาจึง
ไม่ทำอันตรายแก่บุคคลหรือสัตว์ที่ตนเองมีเมตตา
อย่างเช่นมารดาบิดาที่มีเมตตาต่อบุตรธิดา ย่อมจะ
ไม่ทำอันตรายแก่บุตรธิดาเป็นการละเมิดศีล
เพราะมีธัมมะคือเมตตานี้นำให้เกิดศีลขึ้นมา
ศีลมุ่งความงดเว้นจากอกุศลเจตนา
เพราะฉะนั้นแม้ธรรมปฏิบัติดังกล่าวก็นำ
ให้เกิดศีลขึ้นได้ และศีลนี้ท่านมุ่งเอาตัววิรัติคือ
ความงดเว้นเป็นหลักสำคัญ คือจงใจงดเว้นได้ไม่ทำ
ดั่งนี้เป็นศีล ถ้าศีล ๕ ก็งดเว้นจากเจตนาคือ
ความจงใจที่จะฆ่า ที่จะลัก ที่จะประพฤติผิดในกาม ที่
จะพูดเท็จ และที่จะดื่มน้ำเมาคือสุราเมรัยอัน
เป็นฐานของความประมาท ซึ่งความงดเว้นได้
จากอกุศลเจตนาดังกล่าวนั้นเป็นตัวศีล ที่ว่างดเว้น
จากอกุศลเจตนาดังกล่าวนั้น ก็
เพราะว่ากรรมที่ประกอบกระทำออกไป
เป็นการละเมิดศีลนั้นต้องเกิดจากเจตนาก่อน คือ
ต้องมีความจงใจเสียก่อน เมื่อจงใจขึ้นแล้วจึงเป็นเหตุ
ให้บังเกิดการกระทำ เป็นการฆ่า เป็นการลัก
เป็นต้น ฉะนั้นเมื่อวิรัติคืองดเว้นจากเจตนานั้นได้ ก็
เป็นอันว่างดเว้นจากกรรมนั้นได้
ความงดเว้นดังกล่าวนี้จะต้องถึงใจ คือจิตจะต้องมี
ความงดเว้น และความงดเว้นที่เป็นตัวศีลที่บริสุทธิ์
นั้นจะต้องงดเว้นจากนิวรณ์ อันหมายความว่าอกุศลจิต
ในการนั้นด้วย กล่าวคือการงดเว้นที่เป็นศีลนั้น ที่
จะทำให้ศีลขาดก็ต้องประกอบกระทำออกไป
เช่นการฆ่า ก็จะต้องทำให้สัตว์หรือบุคคลนั้นตายจึง
จะเป็นปาณาติบาต ดั่งนี้ศีลจึงขาด ถ้าหากว่าสัตว์
หรือบุคคลไม่ตาย ศีลก็ไม่ขาด แต่ว่า
ในประโยคคือการประกอบกระทำ
นั้นบางทีจิตก็กลัดกลุ้มด้วยความโกรธ คิดที่
จะฆ่าเหมือนกัน คือเรียกว่าเป็นพยาบาท
ความมุ่งร้ายหมายล้างผลาญ แต่ว่าก็บังเกิดขึ้นในใจ
ยังยับยั้งไว้ได้ในใจไม่ประกอบกระทำออกไป แต่ใจ
นั้นก็เป็นพยาบาทคิดมุ่งร้ายขึ้นมาแล้วดั่งนี้
ก็เรียกว่าเสียศีลทางใจ ใจไม่บริสุทธิ์ ศีลก็
ไม่บริสุทธิ์ แต่ไม่เสียศีลทางกายทางวาจาคือยังไม่
ได้ทำ บางทีก็ประกอบกระทำออกไป แต่ว่าไม่ถึง
ให้ตาย เช่นว่าทุบตีทำร้ายให้ร่างกายบอบช้ำลำบาก
หรือว่าทรมานต่างๆ ไม่ตาย ดั่งนี้ศีลก็ไม่ขาด ยังไม่
เป็นปาณาติบาต แต่ว่าการปฏิบัติกระทำซึ่ง
เป็นการทำร้ายทางกายทางวาจานั้น
ก็เสียศีลทางกายทางวาจาออกไปแล้ว เพราะฉะ
นั้นศีลก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่ขาด แต่ไม่บริสุทธิ์ ฉะ
นั้นแม้ศีลจะไม่ขาดที่เรียกว่าไม่เป็นท่อน แต่ว่าก็
เป็นช่องด่างพร้อย
อันศีลที่จะบริสุทธิ์นั้นต้องไม่เป็นท่อนไม่เป็นช่อง
ไม่ด่างไม่พร้อย ศีลที่เป็นท่อนนั้นคือศีลที่ขาด
เหมือนอย่างผ้าที่เป็นผืนเดียวแล้วก็ขาดออกจากกันเป็น
๒ ผืน ดั่งนี้เรียกว่าขาด ศีลที่ขาดนั้นคือศีลที่
ได้ละเมิดออกไปอย่างเต็มที่จนบรรลุถึงที่สุด
ดั่งเช่นข้อปาณาติบาตนั้น
ฆ่าสัตว์ตั้งต้นแต่มีอกุศลเจตนาที่จะฆ่า
แล้วก็ทำการฆ่า แล้วสัตว์นั้นตายด้วยอกุศลเจตนา
นั้น แปลว่าครบองค์ ยกตัวอย่างเช่นศีลข้อ ๑ นี้
ที่ท่านแสดงไว้ว่ามีองค์ ๕ คือ ๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต ๒.
ปาณสญฺญิตา ตนรู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต ๓. วธกจิตฺตํ จิตคิด
จะฆ่า ๔. ตชฺโชวายาโม ความเพียรที่เกิดจากเจตนานั้น
และ ๕. เตน มรณํ สัตว์นั้นตายด้วยความเพียรนั้น
ดั่งนี้ศีลขาด ทีนี้หากสัตว์นั้นไม่ตายด้วยเหตุ
ใดเหตุหนึ่งก็ตาม แต่ว่าได้มีจิตคิดจะฆ่า ได้มี
ความเพียรที่จะฆ่า น้อยหรือมากก็ตาม แต่ว่าสัตว์
ไม่ตาย ดั่งนี้เรียกว่าศีลเป็นช่อง
คือเหมือนอย่างผ้าที่ขาดเป็นช่องเล็กช่องใหญ่ แต่ว่าไม่
ถึงกับขาดออกจากกันเป็น ๒ ท่อน แต่ว่าเป็นช่องๆ ทะลุ
เป็นช่องๆ ดั่งนี้เรียกว่าศีลเป็นช่อง
คราวนี้หากว่ามีจิตคิดที่จะฆ่าและไม่ถึงกับ
ได้ประกอบความเพียรออกไป คิดงุ่นง่านอยู่
ในใจล่วงละเมิดอยู่ในใจ ไม่ถึงกับจะทำออกไปดั่งนี้
เรียกว่าศีลด่างศีลพร้อย เหมือนอย่างผ้าที่ไม่ขาด
เป็นท่อน ไม่ทะลุเป็นช่อง
แต่ว่าเปรอะเปื้อนด่างพร้อย ไม่เป็นผ้าที่สะอาด ฉะ
นั้นแม้มีจิตงุ่นง่านคิดที่จะฆ่าอยู่ดั่งนี้
ก็เรียกว่าศีลด่างศีลพร้อย คือถ้าคิดว่า
จะฆ่าอย่างแรง ถ้าหากว่าไม่ถึงคิดว่าจะฆ่า
แต่จิตเดือดร้อนคิดที่จะทำร้าย ก็แปลว่าไม่ถึง
กับด่างทีเดียว แต่ว่าพร้อย ก็เป็นอันว่าไม่บริสุทธิ์
มีความสำรวมใจคู่กับศีล
เพราะฉะนั้นที่จะเป็นศีลถึงจิตใจนั้นจะต้องทำจิตใจ
ให้สงบ ซึ่งจะต้องอาศัยความคอยสำรวมใจอยู่ด้วย
เพราะฉะนั้นแม้ว่าศีลนั้นจะชี้เอาตัววิรัติคือ
ความงดเว้นได้เป็นข้อสำคัญก็ตาม ก็ต้องอาศัยมี สังวโร
คือความสำรวม เป็นข้ออาศัยหรือ
เป็นเครื่องอาศัยอย่างใกล้ชิดอีกด้วย คือจะต้องมี
ความสำรวม ต้องมีความระมัดระวังใจที่จะไม่
ให้เกิดอกุศลเจตนาออกไป ในอันที่จะฆ่าหรือในอันที่
จะทำร้ายสิ่งมีชีวิต อันรวมทั้งบุคคล
และสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ตลอดจนถึงไม่คิดที่
จะทำร้ายด้วย ต้องพยายามสำรวมใจที่จะดับใจได้
เพราะฉะนั้นนอกจากวิรัติอย่างหยาบแล้ว
ต้องมีวิรัติอย่างละเอียดอันหมายถึง
ความสำรวมระวังดังกล่าวนี้ด้วย อัน
ความสำรวมระวังนี้เรียกว่า สังวโร
หรือเรียกว่าสัญญมะ แปลว่าความสำรวมระวัง
เพราะฉะนั้นความสำรวมระวังนี้จึงต้องอยู่คู่กับวิรัติ
จึงจะประคองวิรัติให้เป็นไปด้วยดี และตัว
ความสำรวมระวังนั้นก็คือสตินั้นเอง คือความระลึก
ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อสอนให้มีความสำรวมระวังคู่
กันไปกับวิรัติที่เป็นศีลโดยตรงดั่งนี้แล้ว
การปฏิบัติในศีลจะต้องอาศัยธรรมะอีก ๒ หมวด
หมวดหนึ่งคือหิริโอตตัปปะ หิริก็คือความละอายใจ
โอตตัปปะก็คือความเกรงกลัว
มีหิริและโอตตัปปะ
อันหิริความละอายใจ และโอตตัปปะ
ความเกรงกลัวนี้ หมายถึงละอายใจต่อความชั่ว
เกรงกลัวต่อความชั่ว
คือละอายใจต่อบาปอกุศลทุจริตทางกายทางวาจาทางใจ
ทั้งหลาย
เกรงกลัวต่อบาปอกุศลทุจริตทางกายทางวาจา
และทางใจทั้งหลาย หิริ
และโอตตัปปะนี้อันที่จริงพระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งสอน
จากความละอายและความกลัวที่บุคคลมีอยู่นี้เอง
แต่ว่าความละอายและความกลัวที่บุคคลมีอยู่
เป็นประจำ เรียกว่าโดยมิต้องปฏิบัตินี้ เป็น
ความละอายและความกลัวต่อความรู้ของผู้อื่น
และต่อบุคคลผู้อื่น เช่นว่าละอายที่เขาจะรู้จะเห็น
จึงได้ปกปิดซ่อนเร้น กลัวต่อโจรผู้ร้าย
หรือว่ากลัวเขาจะรู้จะเห็นจึงได้ปกปิดซ่อนเร้นจึง
ได้หลบซ่อนดั่งนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าตรัสสอน
ให้ละอายต่อตัวเอง ที่จะรู้เห็นตัวเองประกอบ
ความชั่วต่างๆ เกรงกลัวต่อตัวเองที่ตัวเองจะประกอบ
ความชั่วต่างๆ เพราะฉะนั้นความที่เป็นหิริโอตตัปปะนี้
จึงเป็นความละอายและเกรงกลัวที่สูงกว่า
ความละอายและเกรงกลัวที่ทุกคนมีอยู่
ก็ปรับปรุงความละอายและเกรงกลัวที่ทุกคนมี
อยู่นั้นเอง มาทำให้เป็นความละอายและ
ความเกรงกลัวที่เป็นทางธัมมะ และข้อนี้จะพึงเห็น
ได้ง่าย ดังที่คนต้องซ่อนเร้นกระทำความชั่วทั้งหลาย
เพราะละอายแต่คนอื่นจะเห็น แต่หากว่าถ้าตนเองมี
ความละอายต่อตัวเองแล้ว ว่าตัวเองจะ
ต้องรู้เห็นตัวเองอยู่ทุกขณะ ไม่มี
ความลับอะไรต่อตัวเองดั่งนี้แล้ว ก็จะทำ
ให้ตัวเองงดเว้นการกระทำความชั่วได้ทั้งในที่ลับ
และในที่แจ้ง ความเกรงกลัวก็เหมือนกัน อย่างเช่น
ความเกรงกลัวทั่วไปก็คือเกรงกลัวโจรผู้ร้ายว่า
จะมาฆ่าตน จะมาลักของของตน แต่ว่าลืมไปที่
จะกลัวตัวเองที่จะไปเป็นโจรผู้ร้ายสำหรับผู้อื่น ที่
จะไปลักของของเขา ที่จะไปฆ่าเขา เพราะฉะนั้น
ถ้าหากว่าได้ปรับปรุงความเกรงกลัวนี้มาให้เป็น
ความเกรงกลัวตัวเองที่จะเป็นผู้ร้าย โดยที่เมื่อมี
ความเกรงกลัวตัวเองที่จะเป็นผู้ร้ายดั่งนี้แล้ว ก็
จะทำให้ตัวเองละความเป็นผู้ร้ายได้ ตัวเองก็จะไม่
เป็นผู้ร้ายได้ คือว่าจะไม่ไปฆ่าใครไม่ลักของใคร
เป็นต้น ดั่งนี้ก็เป็นโอตตัปปะขึ้นมา เพราะฉะ
นั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงธัมมะ
เอาธรรมดานี่แหละ เอาความละอาย
ความเกรงกลัวที่คนมีอยู่เป็นธรรมดานี่แหละ
มาปรับปรุงให้เป็นธัมมะขึ้น ให้เป็นหิริโอตตัปปะขึ้น
ดั่งนี้เรียกว่าเป็นการที่ทำให้เจริญขึ้น พัฒนา
ให้เจริญขึ้น เมื่อยังเป็นความละอาย
ความเกรงกลัวที่เป็นสามัญอยู่ดังกล่าวนั้น
ก็เหมือนอย่างว่าเป็นคนป่าคราวนี้ก็มาพัฒนาให้
เป็นคนเมืองขึ้น ให้เจริญขึ้น ให้รู้จักละอาย
ให้รู้จักเกรงกลัวต่อความชั่วทั้งหลาย และก็
ให้งดเว้นตัวเองได้ ดั่งนี้ก็เป็นหิริเป็นโอตตัปปะขึ้นมา
หิริโอตตัปปะนี้เรียกว่าเป็นเหตุใกล้ของศีล ทำ
ให้ปฏิบัติในศีลได้ดีขึ้น
มีอินทรียสังวร
ธัมมะอีกหมวดหนึ่งหรืออีกข้อหนึ่งก็คือ อินทรียสังวร
ความสำรวมอินทรีย์หรือสำรวมตา สำรวมหู
สำรวมจมูก สำรวมลิ้น สำรวมกาย สำรวมใจ
ในขณะที่ตาเห็นอะไร หูได้ยินอะไร จมูกลิ้นกาย
ได้ทราบกลิ่นรสโผฏฐัพพะอะไร ใจ
ได้รู้เรื่องราวอะไร
ก็มีสติรักษาเหมือนอย่างรักษาตาหูจมูกลิ้นกายใจ
อยู่เสมอ โดยตรงก็คือรักษาใจอยู่เสมอ ที่จะ
ไม่ไปยึดถือสิ่งที่ได้เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้ทราบ
มาก่อกิเลส เป็นราคะโทสะโมหะ
หรือโลภะโทสะโมหะขึ้นในจิตใจ คอยป้องกันไว้
ให้สิ่งที่ได้เห็นที่ได้ยินที่ได้ทราบนั้น
อยู่แค่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ให้ตกอยู่แค่นั้น ไม่
ให้ก่อกิเลสเข้ามา เหมือนอย่างสติ
เป็นนายประตูคอยรักษาทวารทั้ง ๖ นั้นคือรักษาจิต
นั้นเองอยู่เสมอ ไม่ให้สิ่งเหล่านั้นก่อกิเลสเข้ามา
ในจิตใจ คือไม่ยึดถือไว้นั่นเอง ให้เห็นสักแต่ว่าได้เห็น ให้
ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ให้ทราบสักแต่ว่าได้ทราบ ให้รู้
ให้คิดสักแต่ว่าได้รู้ได้คิด แปลว่าถือเอาประโยชน์
จากสิ่งเหล่านั้นในทางที่เป็นคุณประโยชน์ทั้งหลาย
ไม่ก่อให้เกิดโทษเข้ามา ถ้าหากว่าจะเป็นชนวน ก็
ให้รู้ว่านี่จะเป็นชนวนแล้ว คือจะ
เป็นชนวนแห่งราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง
ก็คอยห้ามใจบอกว่าอย่าไปรับชนวนนั้น อย่าให้จิตอันนี้
เป็นข้างไม้ขีดแล้วอย่าให้ชนวนนั้นเป็นตัวไม้ขีด มาขีด
ให้เป็นไฟลุกขึ้นมาในใจ คอยป้องกันเอาไว้อยู่ดั่งนี้ คือ
ไม่ยอมที่จะให้ชนวนนั้นมาเป็นตัวไม้ขีด ไม่ให้จิต
เป็นข้างไม้ขีดที่จะก่อไฟขึ้นมา คอยดับไว้อยู่เสมอ ดั่งนี้
แล้วก็เป็นความสำรวมระวังจิตใจอย่างหนึ่ง
เป็นเครื่องที่จะทำให้การปฏิบัติศีลเป็นไปได้
๑๙ กันยายน ๒๕๒๖
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร
ในพรรษากาล ๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูถัมภ์ จัดพิมพ์เนื่อง
ในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 03:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๗ ลักษณะพุทธศาสนา - จิตตภาวนา (๒)
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
จะแสดงจิตตภาวนา ซึ่งได้ใช้คำนี้
ในการปฏิบัติอบรมจิต และก็ได้
ใช้ตามพระพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้
ซึ่งมีปรากฏในเอกนิบาตอังคุตรนิกาย แปลความว่า
ภิกษุทั้งหลายจิตนี้ประภัสสรคือผุดผ่อง
แต่ว่าจิตนี้ก็เศร้าหมองไปเพราะอุปกิเลส
ทั้งหลายที่จรมา พระองค์ตรัสว่า จิตตภาวนา
ไม่มีแก่ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว ดั่งนี้ และได้ตรัส
ไว้อีกว่า ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสรคือผุดผ่อง
แต่จิตนี้ก็เศร้าหมองไปเพราะอุปกิเลส
ทั้งหลายที่จรมา แต่ว่าจิตนี้ก็บริสุทธิ์ได้
พระองค์ตรัสว่า จิตตภาวนาย่อมมีแก่อริยสาวกผู้
ได้สดับแล้ว ดั่งนี้
สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
คำว่า “จิตตภาวนา” ในพระพุทธภาษิตที่อ้างมานี้ ย่อมมี
ความหมายถึงการอบรมจิตที่เศร้าหมองแล้ว
ให้บริสุทธิ์ได้ ในการอบรมจิตให้บริสุทธิ์ได้นี้ ก็จะ
ต้องอาศัยสัญญมวิธี วิธีสำรวมระวังซึ่งได้แก่สติ
และทมวิธี วิธีฝึกดัดอันได้แก่ปัญญา
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งต้องอาศัย สมถกรรมฐาน
กรรมฐานที่ทำจิตให้สงบ และ วิปัสสนากรรมฐาน
กรรมฐานที่ทำให้ได้ปัญญาเห็นจริงรู้แจ้ง
หรือรู้แจ้งเห็นจริง หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็
ได้แก่สมาธิและปัญญาในไตรสิกขา
ตามข้อธรรมที่อ้างมานี้จะรู้สึกว่าขาดศีลไป
แต่อันที่จริงนั้นก็ต้องมีศีลเป็นภาคพื้น เพราะว่าศีล
นั้นตรัสเปรียบไว้ว่าเหมือนอย่างพื้นดิน ซึ่งจะต้องมี
เป็นภาคพื้นไว้ ถ้าไม่มีพื้นดินก็ไม่มีที่ยืนไม่มีที่ตั้งสิ่งของ
ทั้งหลายฉันใด ไม่มีศีลก็ไม่มีที่ตั้งของกุศลธรรม
ทั้งหลายฉันนั้น เพราะฉะนั้นจึงจะต้องมีศีลอัน
เป็นกุศลธรรมข้อที่เป็นพื้นฐาน กุศลธรรมอื่นๆ
จึงจะอาศัยศีลเกิดขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นจึงตกลงว่า
ต้องปฏิบัติให้มีขึ้นทั้งศีลสมาธิ
และปัญญาครบไตรสิกขา หรือ
จะกล่าวขยายออกไปอีก ก็ให้ครบมรรคมีองค์ ๘
ซึ่งมีทั้งศีลทั้งสมาธิทั้งปัญญา สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ เป็นปัญญา สัมมาวาจา
เจรจาชอบ สัมมกัมมันตะ การงานชอบ สัมมาอาชีวะ
เลี้ยงชีวิตชอบ เป็นศีล สัมมาวายามะ เพียรชอบ
สัมมาสติ ระลึกชอบ สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นชอบ
เป็นสมาธิ และในไตรสิกขาได้ใช้คำว่าจิต
ในขั้นสมาธิคือเรียกว่า สีลสิกขา จิตตสิกขา
และปัญญาสิกขา จิตตสิกขาก็เป็นขั้นสมาธิ หาก
จะนำคำว่าภาวนามาแทนสิกขาในไตรสิกขา
เป็นสีลภาวนา จิตตภาวนา และปัญญาภาวนาก็ได้
แต่ก็จะต้องเข้าใจ ว่าจิตตภาวนาในไตรสิกขานี้ก็มี
ความหมายแค่สมาธิ
แต่ว่าจิตตภาวนาตามพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ อันสืบมา
จากที่ตรัสว่าจิตนี้ประภัสสรคือผุดผ่องนั้น ย่อมมี
ความหมายไม่ใช่จำเพาะแต่จิตตสิกขาหรือสมาธิ แต่มี
ความหมายครอบไปทั้งหมด คือจิตตสิกขาปัญญาสิกขา
หรือสมาธิปัญญา
หรือสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน
หรือสัญญมวิธี ทมวิธี รวมทั้งศีลอันเป็นภาคพื้นอีก
ด้วย เพราะฉะนั้นก็พึงเข้าใจ
ความหมายของคำว่าจิตตภาวนาที่ได้กล่าวมานี้
อันวิธีอบรมจิตที่แสดงอธิบายกันทั่วไปนั้น ก็มัก
จะยกเอาสัญญมวิธีและทมวิธี แต่ว่าก็มีความหมาย
ถึงกรรมฐานทั้งสอง เป็นต้น ดังที่กล่าวมาแล้ว
เพราะสัญญมะนั้นก็อยู่ในขั้นของสมาธิ ทมะนั้นก็อยู่
ในขั้นของปัญญา ได้กล่าวมาแล้วถึงเรื่องจิต
จิตที่อบรมแล้ว จิตที่ไม่ได้อบรมแล้ว และก็
ได้กล่าวมาแล้ว ว่าจิตที่
เป็นธรรมชาติธรรมดาคือ
เป็นตัวธาตุรู้ดังที่ตรัสแสดงไว้ธาตุ ๖ ก็ล้วนเป็นจิตที่
ไม่ได้อบรม จึงได้มาเป็นสังขารคือผสมปรุงแต่ง
กับธาตุไม่รู้เกิดเป็นสัตวโลกเป็นต้นว่ามนุษย์
และเดรัจฉานทั้งหลาย ตลอดจนถึงโอปปาติกะ
ทั้งหลาย และจิตที่ไม่ได้อบรมนี้ก็ย่อมมีอวิชชาคือ
ความไม่รู้หมายถึงไม่รู้จริง ฉะนั้นจึง
ได้เศร้าหมองไปได้ด้วยเครื่องเศร้าหมอง
ทั้งหลายที่จรเข้ามา อันเรียกว่าอุปกิเลส
ก็คือกิเลสนั่นเอง แต่ในที่นี้เรียกว่าอุปกิเลสเพื่อจะชี้
ให้ชัด ว่าบรรดากิเลสนั้นล้วน
เป็นเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา คือ
เป็นอาคันตุกะที่เราแปลกันว่าผู้เข้ามาหาหรือแขก ไม่
ใช่เป็นเจ้าของบ้าน แต่ว่าเมื่อจรเข้ามาแล้วก็
ไม่ยอมออกไปยึดอยู่ในจิต เป็นอาสวะเป็นอนุสัย
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุให้ประกอบกรรม
กรรมก็ส่งวิบากคือผล ผล
นั้นก็ก่อเพิ่มเติมกิเลสขึ้นอีก ก็เป็นอันว่าเกิดวัฏฏะคือวน
จิตที่มิได้อบรมจึงต้องท่องเที่ยววนอยู่
ในกิเลสกรรมวิบาก อันเรียกว่าวัฏฏสังสาระ
หรือวัฏฏสงสารดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
อริยสาวกย่อมมีจิตตภาวนา
ปุถุชนผู้ยังมิได้สดับ คำว่า “ปุถุชน” นั้นแปลว่าคนหนา มี
ความหมาย ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือเป็นคนมีกิเลสหนา
เพราะว่ายังมีสังโยชน์ที่เป็นเครื่องประกอบผูกไว้
อยู่ครบทั้ง ๑๐ ประการ ละไม่
ได้สักประการเดียว
อีกอย่างหนึ่งปุถุชนแปลว่าคนจำนวนมาก หรือว่ามีมาก
ผู้มิได้สดับแล้วหมายถึงผู้ที่ยังมิ
ได้สดับฟังคำสั่งสอนที่พระอริยะประกาศไว้แล้ว
ยังไม่เข้าถึงธัมมะจนถึงตัดกิเลสได้บางส่วน
หรือสิ้นเชิง ย่อมไม่มีจิตภาวนา
หรือการอบรมจิตตามวิธีที่พระอริยะประกาศไว้
เพราะฉะนั้นจึงทำจิตให้บริสุทธิ์ไม่ได้ ส่วนอริยสาวก
ผู้ได้สดับแล้วย่อมมีจิตตภาวนา คำว่า “อริยสาวก”
นั้นแปลได้ ๒ อย่าง
อย่างหนึ่งแปลว่าศิษย์ของพระอริยะตามศัพท์ “
สาวก” แปลว่า ผู้ฟังหรือผู้สดับฟัง
ก็รวมแปลว่าศิษย์ของพระอริยะ
อีกอย่างหนึ่งแปลว่าสาวกผู้เป็นอริยะ คือศิษย์ผู้
เป็นอริยะด้วยตนเอง คำว่า “อริยะ” ในที่นี้หมาย
ถึงบุคคลผู้ตัดกิเลสได้แล้วบางส่วนจนถึงสิ้นเชิง
คือโสดาบันบุคคลผู้ตัดสังโยชน์ได้ ๓ สกทาคามี
บุคคลผู้ตัดสังโยชน์ได้ ๓ เหมือนกัน
กับทำกิเลสกองราคะ โทสะ โมหะ
ให้เบาบางยิ่งขึ้นไปกว่าโสดาบันอีก
อนาคามีบุคคลตัดสังโยชน์ได้ ๕
อรหันตบุคคลตัดสังโยชน์ได้ ๑๐ สังโยชน์นั้นมี ๑๐
กิเลสทั้งหมดก็รวมอยู่ในสังโยชน์ ๑๐ นี้แหละ ฉะ
นั้นเมื่อตัดสังโยชน์ได้หมดก็เป็นอันว่าตัดกิเลสได้สิ้นเชิง
ถ้าแปลว่าสาวกผู้เป็นอริยะ ก็ต้องหมาย
ถึงสาวกของพระพุทธเจ้าผู้
ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วตัดกิเลส
ได้ตั้งแต่ขั้นพระโสดาบันขึ้นไปจนถึงขั้นพระอรหันต์
แต่
ถ้าแปลว่าสาวกแห่งพระอริยะคือศิษย์ของพระอริยะ
ก็ย่อมรวมถึงศิษย์ผู้ที่
ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าตั้งแต่เบื้องต้น
คือตั้งแต่เป็นปุถุชนอยู่ เมื่อ
ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และ
ได้ปฏิบัติตามธัมมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าตั้งแต่เบื้องต้นขึ้นไป
ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นอริยสาวกได้ ผู้ได้สดับแล้วก็คือผู้ที่
ได้สดับตรับฟังได้เรียน
ได้ศึกษาธัมมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและ
ได้ปฏิบัติ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว
มีจิตตภาวนาคือการอบรมจิต ปฏิบัติ
ในสัญญมวิธีทมวิธี ปฏิบัติ
ในสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติอบรมจิตนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
เป็นเครื่องประกาศว่าได้เป็นอริยสาวกผู้ได้สดับ
แล้ว ถ้ายังไม่ได้ปฏิบัติก็ยังไม่ได้ชื่อว่าอริยสาวก
ผู้สดับแล้ว แต่ชื่อว่าเป็นปุถุชนผู้ยังมิได้สดับ
เป็นการแสดงชี้ให้เห็น
ความสำคัญของการปฏิบัติอบรมทางจิตใจว่า
เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติ และเมื่อ
ได้ปฏิบัติอบรมจิตใจให้บริสุทธิ์
แล้วอย่างเต็มที่อย่างสิ้นเชิง คือเป็นอรหันตบุคคล
ก็ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีจิตอันได้อบรมแล้ว จิตที่ได้อบรม
แล้วนี้ย่อมไม่มาเป็นสังขารคือผสมปรุงแต่งกับธาตุที่
ไม่รู้ทั้งหลายอีก หยุดวัฏฏะคือหยุดวน เพราะเมื่อ
ไม่มีกิเลสอันเป็นเหตุให้กระทำกรรมก็
ไม่ประกอบกรรม เมื่อไม่มีกรรมอัน
เป็นเหตุส่งวิบากก็ไม่มีวิบาก และความไม่มีวิบาก
นั้นก็เริ่มต้นแต่ไม่มีวิบากขันธ์คือขันธ์ที่ไม่
เป็นวิบากอีกต่อไป ที่เรียกว่าไม่เกิดอีกเพราะ
ความที่เกิดอีกนั้นเป็นการก่อวิบากขันธ์ขึ้นอีกต่อไป
เมื่อตัดกิเลสออกได้ก็ตัดกรรมก็ตัดวิบาก
จึงหยุดวัฏฏะคือหยุดวน เป็นวิวัฏฏะคือไม่วน มี
ความวนไปปราศแล้วซึ่งสภาพธรรม ดังนี้เรียกว่า
“นิพพาน”
สอุปาทิเสสนิพพานและอนุปาทิเสสนิพพาน
พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
ยังมีวิบากขันธ์เหลืออยู่คือยังดำรงชีวิตอยู่
แต่ว่าวิญญาณธาตุหรือจิตก็ไม่มาปรุงแต่งเป็นสังขาร
คือไม่ปรุงแต่งเป็นกิเลสไม่ปรุงแต่งเป็นกรรม
ไม่ปรุงแต่งเป็นวิบาก หยุดวัฏฏะคือหยุดวน
ยังเหลือแต่วิบากขันธ์ ซึ่งท่านก็
ใช้วิบากขันธ์นี้บำเพ็ญประโยชน์
อย่างพระพุทธเจ้าก็ทรง
ใช้วิบากขันธ์นี้บำเพ็ญประโยชน์ อันเรียกว่า
อัตถจริยา ประพฤติประโยชน์ คือ โลกัตถจริยา
ประพฤติประโยชน์ต่อโลก ญาตัตถจริยา
ประพฤติประโยชน์ต่อพระญาติ พุทธัตถจริยา
ประพฤติประโยชน์ในฐานะเป็นพระพุทธเจ้า
โลกัตถจริยาประพฤติประโยชน์ต่อโลกนั้นก็คือ
เสด็จจาริกไปทรงแสดงธรรมสั่งสอนโปรดสัตวโลกทุกถ้วนหน้า
โปรดเวไนยนิกรคือหมู่ชนที่ฝึกอบรมสั่งสอนได้
ให้บรรลุประโยชน์ปัจจุบันบ้าง
ประโยชน์ภายหน้าบ้าง
ประโยชน์อย่างยิ่งคือมรรคผลนิพพานบ้าง
ตามภูมิตามชั้น
ญาตัตถจริยาประพฤติประโยชน์ต่อพระญาตินั้นก็คือ
โปรดพระญาติในโอกาสพิเศษเป็นบางคราวหรือ
เป็นบางประการ เพราะพระญาติ
นั้นนับตั้งแต่พระพุทธบิดาพระพุทธมารดาย่อมมีอุปการคุณแก่พระองค์มา
และมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอยู่ในฐานะ
เป็นพระญาติ พุทธัตถจริยาประพฤติประโยชน์
ในฐานะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้แก่
ได้ทรงแสดงธรรมบัญญัติพระวินัย
ตั้งพระพุทธศาสนาและพุทธบริษัททั้ง ๔ ขึ้นในโลก
พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญประโยชน์อยู่ถึง ๔๕ ปี
จึงเสด็จดับขันธปรินิพพานที่เรียกว่า “
ดับขันธปรินิพพาน” ดับขันธ์ก็คือดับวิบากขันธ์ทั้ง ๕ นี้
ซึ่งเป็นวิบากขันธ์ครั้งสุดท้ายของพระองค์
ความดับขันธ์คือขันธ์ ๕ อันเป็นความแตกดับ
หรือที่เรียกว่าตายในโวหารโลกทั่วไปนั้น ก็เป็น
ความแตกดับหรือเป็นความตายของขันธ์ ๕
ครั้งสุดท้าย จึงเรียกว่าปรินิพพาน แปลว่าดับ
โดยรอบ เพราะคำว่านิพพานนั้นมี ๒ อย่าง คือ
สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสที่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ
เป็นความดับกิเลสของพระพุทธเจ้า
และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ยังมีเบญจขันธ์อยู่
อีกอย่างหนึ่ง อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสที่
ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ
คือดับขันธ์ขั้นปรินิพพานดังกล่าวนั้น
ดังโวหารสามัญเรียกว่าตายหรือแตกดับ ดับขันธ์
แต่ก็พึงทราบด้วยว่าอธิบายในดับขันธ์ทั้ง ๒ นี้ก็ยังมีต่าง
กันอีก
อธิบายอีกอย่างหนึ่งว่าตัดกิเลสของพระโสดาบันของพระสกทาคามีของพระอนาคามี
เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสของพระอรหันต์
คือดับกิเลสทั้งหมด เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ก็
เป็นอันว่าอธิบายตามนัยหลังนี้ นิพพานทั้งสองก็
เป็นดับกิเลสด้วยกันทั้งหมด ในขณะที่วิบากขันธ์
ยังเหลืออยู่นั้น วิบากขันธ์ก็เป็นสังขารที่ปรุงแต่ง
เพราะว่านามรูปก็ยังปรุงแต่งกัน ยังมีรูปที่
ต้องหายใจเข้าหายใจออก
ต้องผลัดเปลี่ยนอิริยาบถมีอาการ ๓๒ มีธาตุทั้ง ๔
ประกอบกันทำงาน ต้องอาศัยอาหาร
ยังมีเวทนาสัญญาสังขาร แปลว่าขันธ์ ๕ ที่ยังเหลือ
อยู่นั้นก็ต้องเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง ยังผสม
ยังปรุงแต่งกันอยู่ตลอดเวลา โดยที่
เป็นที่อาศัยของจิตที่บริสุทธิ์ จิตที่ได้อบรม
แล้วจิตที่บริสุทธิ์แล้ว
ประโยชน์สุขที่บริสุทธิ์เกิดจากจิตที่บริสุทธิ์
เพราะฉะนั้นจิตที่บริสุทธิ์แล้วจิตที่อบรม
แล้วของพระอริยเจ้า คือของพระพุทธเจ้า
และของพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น เมื่อยังอาศัยอยู่
ในวิบากขันธ์ ก็ออกมาปฏิบัติประโยชน์ต่างๆ โดยที่ไม่
ได้มีความยึดถือมุ่งหวังประโยชน์ตนแม้แต่น้อย
ประกอบด้วยกรุณาอันบริสุทธิ์คือมุ่งจะช่วย
ให้พ้นทุกข์ ฉะนั้นพระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณา
เป็นปุเรจาริกคือนำไปข้างหน้า จึงได้ทรง
ใช้พระสัพพัญญุตาญาณ พระทศพลญาณ
และพระปาฏิหาริย์ต่างๆ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อ
ความสุขแก่โลกแก่เวไนยนิกรทั้งสิ้น โดย
ไม่มีมุ่งลาภยศสรรเสริญสุขเพื่อตนแม้แต่น้อย
เพราะว่าพระองค์ไม่มีตนที่ยึดถือ
ไม่ยึดถือว่ารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณของเรา
ไม่ยึดถือว่าอะไรเป็นของเรา หรือไม่ยึดถือว่าเรา
เป็นอะไร จึงไม่มีความเห็นแก่ตนแม้แต่น้อย
มุ่งประโยชน์สุขแก่โลกเวไนยนิกรเพียงอย่างเดียว
ด้วยพระมหากรุณา เพราะฉะ
นั้นสิ่งที่พระองค์ปฏิบัติกระทำนั้นจึง
เป็นตัวประโยชน์ที่บริสุทธิ์ ไม่
เป็นกรรมที่บังเกิดขึ้นแก่พระองค์
แม้ว่าประโยชน์ที่กระทำอย่างบริสุทธิ์นั้นจะเข้าใจ
กันว่าเป็นกรรมดีเป็นกรรมเกื้อกูล
แต่สำหรับพระองค์แล้วไม่เป็นตัวกรรม เพราะว่า
ไม่ได้มีกิเลสสร้างขึ้นมา เพราะฉะ
นั้นจิตที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งนี้ทำอะไรออกไปก็
เป็นตัวประโยชน์ที่บริสุทธิ์
และทรงประกอบกระทำด้วยพระญาณปัญญา จึง
เป็นสิ่งที่มีคุณโดยส่วนเดียวไม่มีโทษแม้แต่น้อย
เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รับไปปฏิบัติทั้งนั้น ถ้าเป็นคนที่
ยังมีกิเลสจะกระทำไม่ได้ เพราะคนที่มีกิเลสนั้นจะ
ต้องมีความเห็นแก่ตัวถ้ามีตัว เมื่อมีตัวก็ต้องมี
ความเห็นแก่ตัวแม้เล็กน้อย จะไม่มีความเห็นแก่ตัวก็ต้อง
ไม่มีตัว และจะไม่มีตัวได้ก็ต้องไม่มีอุปาทาน
ความยึดถือตัวเราทั้งหมด เป็นจิตที่บริสุทธิ์
เป็นจิตที่มีอิสระเสรีด้วยประการทั้งปวง
อิสระเต็มที่เสรีเต็มที่ ส่วนอิสระเสรีประการอื่น
นั้นอันที่จริงไม่ใช่อิสระไม่ใช่เสรี เพราะยัง
เป็นทาสของตัณหาทั้งนั้น รู้สึกว่าจะเป็นอิสระเสรี
อยู่ข้างนอก แต่ข้างในนั้นไม่ใช่ เป็นทาสของตัณหาทั้ง
นั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเรียกว่าตัณหาธิปไตย
ตัณหาเป็นใหญ่ ถ้าไม่ใช่เป็นตัณหาธิปไตยก็ต้อง
เป็นธรรมาธิปไตย ธัมมะเป็นใหญ่ ท่าน
ผู้มีจิตที่บริสุทธิ์นั้นไม่เป็นตัณหาธิปไตย แต่ว่า
เป็นธรรมาธิปไตย ธัมมะเป็นใหญ่
ดังที่แสดงว่าพระพุทธเจ้าเองนั้น ได้ทรงพิจารณาไป
ในทิศทั้งหมด ว่าจะมีใครบ้างที่เป็นบุคคลหรือ
เป็นเทพก็ตามที่จะทรงให้ความเคารพ ก็
ไม่ทรงเห็นว่ามีบุคคลหรือมีเทพหรือมีอะไรที่
จะทรงให้ความเคารพได้ ก็
ได้ทรงเห็นแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ที่พระองค์ทรงพึงเคารพคือธัมมะหรือธรรม
พระพุทธเจ้าจึงทรงเคารพพระธรรม
และก็ตรัสว่าพระพุทธเจ้าทั้งปวง
นั้นเคารพพระธรรม
และวิธีเคารพพระธรรมของพระองค์
เป็นอย่างไรพระองค์ก็ได้ทรงบอกไว้ด้วยคือตรัสว่า
ได้ทรงมีพระมหากรุณาแผ่ทั่วเหมือนกันไปหมด
ทรงแสดงธรรมสั่งสอนด้วยพระกรุณาแผ่เหมือน
กันไปหมด คือว่าจะทรงสั่งสอนแก่คนจนมั่งมี
หรือว่าคนชั้นต่ำหรือว่าคนชั้นสูงทุกชั้นในโลก
ทั้งมนุษย์ทั้งสัตว์เดรัจฉาน
ทรงมีพระกรุณาแผ่เสมอเหมือนกันหมด
แล้วทรงแสดงธรรมเพื่อให้ทุกคน
ได้บรรลุสุขประโยชน์เหมือนกันไปหมดทั่ว
กันไปหมด ไม่มีความลำเอียงไม่มีความลดหลั่น
ตามสมควรแก่อัธยาศัยนิสัยของแต่ละบุคคล
ทรงปฏิบัติดั่งนี้คือทรงเคารพพระธรรม
เพราะฉะนั้นระยะเวลาที่พระพุทธเจ้า
และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย
ได้ปฏิบัติประโยชน์นั้น จึงเป็นประโยชน์ที่แท้จริง
เป็นประโยชน์ที่บริสุทธิ์ ไม่ได้บังเกิดจากกิเลส
เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นกรรมที่จะส่งวิบากอัน
เป็นวัฏฏะคือความวนต่อไป ไม่มีความยึดถือ
ด้วยประการทั้งปวง จนดับขันธ์ในที่สุด
และเมื่อดับขันธ์แล้วก็เป็นอันว่าสิ้นสมมติบัญญัติที่
จะเรียกต่อไป ไม่เรียกว่าจิต ไม่เรียกว่าวิญญาณธาตุ
ไม่เรียกว่าดิน ไม่เรียกว่าน้ำ ไม่เรียกว่าลม
ไม่เรียกว่าไฟ ไม่เรียกว่าอะไรทั้งหมด ไม่มีความมา
ไม่มีความไป ไม่มีความตั้งอยู่ ไม่มีอารมณ์
เป็นอันว่าถอนธรรมทั้งหลายขึ้นทั้งหมด เพราะฉะ
นั้นจึงสิ้นสมมติบัญญัติ ไม่มีถ้อยคำที่จะพูดถึง แต่ว่า
ไม่สูญ หากว่าจะสมมติถ้อยคำขึ้นเรียก
ก็เรียกว่าดำรงอยู่เป็นธรรม หรือ
เป็นสภาพธรรมดา หรือเป็นตัวธาตุแท้
ซึ่งสิ้นสมมติบัญญัติสิ้นถ้อยคำที่จะพูดถึงทั้งสิ้น
๓๐ กันยายน ๒๕๒๖
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร
ในพรรษากาล ๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูถัมภ์ จัดพิมพ์เนื่อง
ในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 03:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๘ ลักษณะพุทธศาสนา - วิสุทธิ ๗
ข้อสีลวิสุทธิ
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
แนวปฏิบัติในการทำจิตตภาวนา
ได้แสดงลักษณะพุทธศาสนามาถึงจิตตภาวนา และก็
ได้แสดงอธิบายความหมายของคำว่าจิตตภาวนา จึง
จะเริ่มแสดงวิธีปฏิบัติทำจิตตภาวนา เห็นว่าวิสุทธิ ๗
เป็นหลักธรรมที่จะแสดงอธิบายเป็นวิธีปฏิบัติ
ในการทำจิตตภาวนาได้ เพราะว่าการทำจิตตภาวนา
นั้นก็มุ่งทำจิตให้บริสุทธิ์ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า
จิตนี้ประภัสสรคือผุดผ่อง เศร้าหมองไป
เพราะอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมา
และพระองค์ก็ตรัสว่า ปุถุชนผู้มิได้สดับ
ไม่มีจิตภาวนา และก็
ได้ตรัสว่าจิตที่ประภัสสรคือผุดผ่องซึ่ง
ได้เศร้าหมองไปนี้ ปฏิบัติทำให้บริสุทธิ์ได้
ให้หลุดพ้นได้จากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง
พระองค์ตรัสว่า อริยสาวกผู้สดับ
แล้วย่อมมีจิตตภาวนา ดั่งนี้ อันส่องความว่าจิตตภาวนา
นั้นเป็นวิธีทำจิตให้บริสุทธิ์จากเครื่องเศร้าหมอง
ทั้งหลาย ก็แหละวิสุทธิทั้ง ๗ นี้ก็
เป็นวิธีปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้น อันทำให้จิตบริสุทธิ์จาก
ความเศร้าหมองไปโดยลำดับ เพราะฉะนั้นจึง
จะแสดงอธิบายวิสุทธิ ๗ เป็นแนวปฏิบัติหรือ
เป็นวิธีปฏิบัติในการทำจิตตภาวนา
วิสุทธิ ๗ ก็คือ
๑. สีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล
๒. จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต
๓. ทิฏฐิวิสุทธิ ความหมดจดแห่งทิฏฐิ
๔. กังขาวิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณ
เป็นเครื่องข้ามพ้นความสงสัย
๕. มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณ
เป็นเครื่องเห็นว่าทางหรือไม่ใช่ทาง
๖. ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณ
เป็นเครื่องเห็นทางปฏิบัติ
๗. ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณทัสสนะ
โดยที่วิสุทธิทั้งเจ็ดนี้เป็นทางปฏิบัติ
จับตั้งแต่ศีลไปสู่สมาธิและปัญญา ฉะนั้น
จึงรวมทางปฏิบัติทั้งหมดจนถึงญาณทัสสนวิสุทธิ
ความหมดจดแห่งญาณทัสสนะ จะได้แสดงข้อที่ ๑ คือ
สีลวิสุทธิ ความหมดจดแห่งศีล
ศีลและวินัย
ศีลนั้นได้แก่ความประพฤติงดเว้นจากความประพฤติที่
เป็นภัยเป็นเวร ความประพฤติที่
ไม่งดงามตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้
ตลอดจนถึงความที่ควรงดเว้นทั้งปวง อัน
เป็นเครื่องทำกายวาจาตลอดถึงใจให้
เป็นปรกติเรียบร้อยดีงาม ศีลนี้เนื่องด้วยวิรัติคือ
ความงดเว้น ฉะนั้นจึงต้องมีวิรัติเจตนา
ความตั้งใจงดเว้น
จากข้อที่พึงงดเว้นตามภูมิตามชั้นของตน เช่นเมื่องดเว้น
จากข้อที่พึงงดเว้น ๕ ประการ ก็เรียกว่าศีล ๕ ๘
ประการก็เรียกว่าศีล ๘ ๑๐
ประการก็เรียกว่าศีล ๑๐ ๒๒๗
ประการก็เรียกว่าศีล ๒๒๗ ฉะนั้นจึงเนื่องด้วยวินัย
วินัยนั้นก็ได้แก่พระบัญญัติของพระพุทธเจ้า ที่
เป็นเครื่องห้ามกันความประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควร
ไม่งดงามต่างๆ ที่ไม่ถูกไม่ชอบต่างๆ ดังเช่นศีล ๕
ก็คืองดเว้นจากข้อที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้
เป็นการห้ามมิให้กระทำ ๕ ประการ ดั่งนี้เป็นต้น
ข้อที่ทรงบัญญัติไว้ห้ามมิให้กระทำก็เรียกว่า
เป็นสิกขาบท คือเป็นทางแห่งการศึกษาข้อหนึ่งๆ
ดังที่ตามกฏหมายเรียกว่ามาตราหนึ่งๆ และ
ในพระวินัยของภิกษุ ก็ได้ทรงมีบัญญัติข้อที่พึงปฏิบัติ
คือทรงบัญญัติไว้ให้กระทำอีกส่วนหนึ่งด้วย
เช่นทรงบัญญัติไว้ให้เก็บอติเรกจีวรไว้ไม่ให้เกิน ๑๐
วันโดยมิได้วิกัป ต้องทำการวิกัปคือทำการอนุญาต
ให้ภิกษุหรือสามเณรเป็นต้นมาร่วมเป็นเจ้าของด้วย
เรียกว่าเป็นสองเจ้าของ เมื่อเป็นดั่งนี้ ผ้าที่วิกัปแล้วจึง
จะเก็บเอาไว้เกิน ๑๐ วันได้ การที่ตรัสสั่งให้ทำวิกัปนี้
เป็นการบัญญัติให้กระทำ ฉะนั้นจึงมิใช่
เป็นการบัญญัติให้เว้นอย่างเดียว บัญญัติให้กระทำ
ด้วย สำหรับที่เป็นพระวินัยสำหรับภิกษุ
ฉะนั้นเมื่อรวมความเข้าแล้ว พระบัญญัติที่
เป็นพระวินัยของพระพุทธเจ้านั้น จึงเป็นการบัญญัติ
ให้เว้นอย่างหนึ่ง เป็นการบัญญัติ
ให้กระทำอีกอย่างหนึ่ง พระวินัยนี้เป็นที่ตั้งของศีลฉะ
นั้นจึงต้องมีความเชื่อฟังปฏิบัติตามพระวินัย เมื่อ
จะรักษาศีล ๕ ก็ต้องมีความเชื่อฟัง
ปฏิบัติตามพระวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้ ๕
สิกขาบท หรือที่เรียกว่า ๕ มาตรา คือเว้น
จากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง เว้น
จากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ด้วยอาการ
เป็นขโมย เว้นจากประพฤติผิดในกามทั้งหลาย เว้น
จากการพูดเท็จ เว้นจากน้ำเมาคือสุราเมรัยอัน
เป็นฐานที่ตั้งแห่งความประมาท
ในการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระบัญญัตินี้ จึง
ต้องมีวิรัติเจตนา ความตั้งใจงดเว้น เพราะฉะ
นั้นอะไรชื่อว่าศีล ก็อาจจะจับเอาวิรัติคือความงดเว้น
ว่าวิรัติชื่อว่าศีลก็ได้ จับเจตนาคือ
ความตั้งใจงดเว้นว่าชื่อว่าศีลดั่งนี้ก็ได้ หรือว่าจับเอาตัว
ความสังวรคือความระวังความสำรวมชื่อว่าศีล
ดั่งนี้ก็ได้
แต่ว่าศีลตามพระวินัยบัญญัติตามที่กล่าวมานี้
ย่อมมีหลายประเภท เมื่อย่อลงไปแล้วก็ย่อม
เป็นอาคาริยวินัย วินัยสำหรับคฤหัสถ์ ก็
เป็นศีลสำหรับคฤหัสถ์ คือศีล ๕ ศีล ๘
อนาคาริยวินัย วินัยสำหรับบรรพชิต
ก็ศีลสำหรับบรรพชิต ก็ได้แก่ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗
เพราะฉะนั้นศีลที่กำหนดด้วยพระวินัยบัญญัติ
เป็นข้อๆ ดั่งนี้ จึงมีจำนวนและก็มีหลายประเภท
แต่ก็อาจย่อรวมเข้าเป็น ๑ ได้ ศีลนั้นมีลักษณะรวม
กันเข้าเป็นอย่างเดียวกัน ได้แก่ความเป็นปรกติ คือ
ความที่กายวาจาใจเป็นปรกติ อาการที่กายวาจาใจ
เป็นปรกตินี้เป็นลักษณะที่เป็นอันเดียวกันของศีล
ทั้งปวง และลักษณะที่เป็นอันเดียวกันของศีล
ทั้งปวงคือความเป็นปรกตินี้ ย่อม
เป็นเครื่องรองรับกุศลธรรมทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นความที่กายวาจาใจของบุคคล
เป็นที่รองรับของกุศลธรรมทั้งหลายได้ ดั่งนี้ก็
เป็นลักษณะอันหนึ่งอันเดียวกันของศีล ฉะ
นั้นเมื่อเพ่งการที่กายวาจาใจเป็นปรกติ ก็เรียกว่า
ความปรกตินี่แหละเป็นลักษณะที่เป็นอันเดียว
กันของศีล เมื่อเพ่งความที่อาการของกายวาจาใจ
เป็นที่รองรับของกุศลธรรมทั้งหลาย
ได้ก็เรียกว่านี่แหละเป็นลักษณะที่
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของศีล
อริยกันตศีล
ฉะนั้นความที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์นั้นจึง
ต้องรักษาศีลให้ถึงใจ อันหมายความว่าใจจิตนี้ต้อง
เป็นศีลด้วย ใจจิตที่เป็นศีลนี้ก็คือใจจิตที่เป็นปรกติที่
เป็นที่รองรับของกุศลธรรมทั้งหลาย
ได้พร้อมไปกับกายวาจาที่
เป็นปรกติที่รองรับกุศลธรรมทั้งหลาย ศีลที่มี
อยู่ในกายวาจาจิตคือกายวาจาจิตเป็นศีล เป็นปรกติ
เป็นที่รองรับกุศลธรรมทั้งหมดได้นี้ ชื่อว่าเป็น
ความหมดจดแห่งศีล เพราะฉะนั้นท่านจึง
ได้มีการแสดงลักษณะแห่งศีลดังกล่าวนี้ไว้
ว่าคือศีลที่ไม่เป็นท่อน ไม่เป็นช่อง ไม่ด่าง ไม่พร้อย
เป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญ เป็นไปเพื่อสมาธิ
ศีลที่มีลักษณะดั่งนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนี่งว่า อริย
กันตศีล คือศีลที่พระอริยะรักใคร่ปรารถนา
ฉะนั้นก็ควรจะทำความเข้าใจ
ในลักษณะของศีลดังกล่าวนี้ไปทีละข้อ คือข้อที่ว่า
ไม่ขาดนั้น ก็คือ
ไม่ประพฤติละเมิดศีลอย่างรุนแรงจนถึง
กับศีลขาด ยกตัวอย่างข้อปาณาติบาต
คำว่าปาณาติบาตนั้นแปลว่าการทำสิ่งที่มีชีวิต
ให้ตกล่วง ท่านแสดงไว้ว่าการฆ่าสัตว์
หรือการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง จะต้องประกอบ
ด้วยองค์ ๕ คือ
๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา ตนรู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม ทำความเพียรที่จะฆ่า
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้น
เมื่อปฏิบัติละเมิดศีลข้อที่ ๑ ครบทั้ง ๕ องค์นี้
คือสัตว์มีชีวิต ตนก็รู้ว่าสัตว์มีชีวิต จิตคิดจะฆ่า ทำ
ความเพียรที่จะฆ่า สัตว์ก็ตายด้วยความเพียรนั้น
ดั่งนี้เรียกว่าละเมิดศีลอย่างแรงศีลขาด ฉะ
นั้นศีลที่จะบริสุทธิ์นั้นจึงต้องเป็นศีลที่ไม่ขาด คือ
ไม่มีการละเมิดศีลจนถึงทำสัตว์ให้ตายครบองค์ ๕
ของการฆ่า ข้อว่าไม่เป็นช่อง ก็คือละเมิดแต่ว่าไม่
ถึงที่สุด ที่กล่าวข้างต้นว่าไม่ร้ายแรงคือไม่
ถึงที่สุดสัตว์ไม่ตาย เช่นว่าสัตว์มีชีวิต รู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต
ทำความเพียรที่จะฆ่า แต่ว่าสัตว์ไม่ตาย
ดั่งนี้เรียกว่าศีลเป็นช่อง ศีลที่บริสุทธิ์นั้นแม้ว่า
ไม่ขาดเป็นท่อน ก็ต้องไม่เป็นช่องดังกล่าว ข้อว่า
ไม่ด่างก็คือละเมิดศีลที่อ่อนลงไปกว่านั้น
เช่นว่าสัตว์มีชีวิต จิตคิดจะฆ่า แต่ว่าทำความเพียรที่
จะฆ่าอ่อนๆ หรือแค่ทำ
ให้ร่างกายบอบช้ำลำบากไปบ้าง
ดั่งนี้เรียกว่าศีลด่าง ฉะนั้นศีลที่บริสุทธิ์นั้นแม้ว่า
ไม่ขาดไม่เป็นช่อง ก็ต้องไม่ด่าง ข้อว่าไม่พร้อย
ศีลพร้อยนั้นก็คือมีการละเมิดศีลชนิดที่
ไม่รุนแรงเพียงในใจ เช่นว่าสัตว์มีชีวิต รู้
อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต จิตคิดจะฆ่า แต่ว่าไม่
ได้ประกอบกระทำอะไร คิดอยู่ในใจเท่านั้น ยัง
ไม่ประกอบกระทำอะไรออกไป
ดั่งนี้เรียกว่าศีลพร้อย ฉะนั้นศีลที่บริสุทธิ์นั้นจึง
ต้องไม่เป็นท่อน ไม่เป็นช่อง ไม่ด่าง และไม่พร้อย
ดั่งกล่าวนี้ด้วย
ปฏิบัติในศีลเพื่อชำระกิเลส
อนึ่ง ยังต้องประกอบด้วยลักษณะอื่นๆ อีก คือว่า
เป็นไท หมายความว่าไม่เป็นทาสของตัณหาคือ
ความดิ้นรนทะยานอยาก อันหมายความว่าปฏิบัติ
ในศีลเพื่อชำระกิเลส เพื่อกำจัดกิเลสไม่
ใช่เพื่อมุ่งหวังความสำเร็จในลาภในผลเป็นต้นอย่าง
ใดอย่างหนึ่ง ดังที่เรียกว่า สีลัพพตปรามาส
ลูบคลำในศีลในวัตร เช่นการปฏิบัติ
เป็นการถือของขลัง เพื่อให้เกิดลาภเพื่อ
ให้เกิดยศดังกล่าวนั้นเป็นต้น ฉะนั้นจึงชื่อว่าศีลยังไม่
เป็นไท ยังเป็นทาสของตัณหา ตัณหาเข้ามาบงการ
ให้รักษาให้ปฏิบัติ ยังไม่เป็นไทแก่ตน การปฏิบัติ
ในศีลต้องปฏิบัติด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ด้วยตัณหาอีก
ด้วยจึงจะชื่อว่าเป็นไท วิญญูชนสรรเสริญก็คือ
ผู้รู้สรรเสริญ จะเป็นตนเองก็ตามผู้อื่นก็ตาม ซึ่ง
เป็นวิญญูคือผู้รู้ ก็ติเตียนตนโดยศีลมิได้ เพราะ
เป็นศีลที่มีลักษณะไม่เป็นท่อน ไม่เป็นช่อง ไม่ด่าง
ไม่พร้อย และเป็นไท ดั่งนี้
ปฏิบัติในศีลเพื่อสมาธิหรือความสงบใจ
และอีกข้อหนึ่งคือเป็นไปเพื่อสมาธิ ก็หมายความว่า
เป็นศีลที่เป็นไปเพื่อส่งเสริมให้ได้สมาธิดียิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นในข้อนี้จึงควรทำความเข้าใจ
เป็นพิเศษอีกสักหน่อยหนึ่ง ก็ต้องอธิบายเพิ่มเติมในข้อที่
เป็นไทอีกด้วย คือว่าศีลที่ไม่เป็นไปเพื่อสมาธินั้น
เพราะเหตุหลายอย่าง ดังเช่นผู้ที่
เข้ามาบวชทีแรกก็มีสมาธิดี แต่ว่าเมื่อใกล้
จะออกพรรษา บางทีก็รู้สึกว่าออกพรรษาไม่ทัน
ก็อึดอัดในศีล จิตใจกลุ้มกลัด ดั่งนี้ศีลก็ไม่เป็นไท
เพราะการปฏิบัติในศีลนั้นจะต้องปฏิบัติ เพราะยัง
ไม่ถึงกำหนดที่จะลาสิกขา แต่ว่าจิตอยากจะลาสิกขา
รู้สึกว่าพอ เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็รู้สึกอึดอัดดั่งนี้ศีลก็
ไม่เป็นไท เป็นทาสของตัณหาแล้วเหมือนกัน
และศีลก็ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ คือไม่ได้สมาธิ ไม่ได้
ความสงบใจ ต้องอึดอัดรำคาญ แต่ก็มีหิริโอตตัปปะ
ความละอายใจไม่ละเมิดศีลรักษาศีลได้ ไม่
ใช่รักษาไม่ได้ แต่ว่ารักษาด้วยความจำใจหรือว่า
ต้องต่อสู้ใจอย่างรุนแรง ก็อยากจะทิ้งศีล แต่ว่าทิ้งไม่
ได้เพราะยังไม่ถึงกำหนด ก็ต้องรักษา
แต่ก็กลุ้มกลัด ดั่งนี้เรียกว่าศีลไม่เป็นไท และก็ไม่
เป็นไปเพื่อสมาธิ ฉะนั้นจึงต้องให้เป็นไท คือไม่ให้
เป็นทาสของตัณหา ต้องข่มตัณหาได้แล้วก็ต้อง
เป็นไปเพื่อสมาธิ คือใจต้องให้ได้ความสงบด้วย ดั่งนี้จึง
จะใช้ได้
สรุปสีลวิสุทธิ
ศีลที่มีลักษณะดังกล่าวมานี้ทั้งหมด ที่ท่านเทียบ
หรือใช้ถ้อยคำว่าไม่เป็นท่อนไม่เป็นช่องไม่ด่าง
ไม่พร้อยนั้น ก็เทียบด้วยผ้าขาว ผ้าขาวที่
เป็นท่อนก็คือว่าขาดจนถึงหลุดเป็น ๒ ท่อน ๓ ท่อน
และที่เป็นช่องนั้นก็คือว่าไม่ถึงกับขาดแต่ว่าทะลุ
เป็นช่องๆ ด่างก็คือเหมือนอย่างผ้าด่าง
พร้อยก็คือเหมือนอย่างผ้าพร้อย
หรือด่างที่อ่อนลงมา เทียบกับผ้าขาวได้ดังนี้
เพราะฉะนั้นสีลวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งศีลหรือ
ความหมดจดแห่งศีล จึงต้องเป็นศีลที่ไม่เป็นท่อน ไม่
เป็นช่อง ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทคือไม่
เป็นทาสของตัณหา อันวิญญูชนสรรเสริญ และ
เป็นไปเพื่อสมาธิ และศีลที่กล่าวมานี้ก็มีชื่อว่าอริย
กันตศีล
ศีลที่พระอริยะรักใคร่ปรารถนาอีกชื่อหนึ่งด้วย
การที่จะรักษาศีลให้เป็นสีลวิสุทธิได้นั้นก็จะ
ต้องอาศัยความมีหิริ ความละอายใจต่อความชั่ว
โอตตัปปะความเกรงกลัวต่อความชั่ว จะ
ต้องมีสังวรคือความสำรวมระวัง จน
ถึงอินทรียสังวรความสำรวมอินทรีย์เป็นต้น และ
จะต้องมีจิตใจที่มีสมาธิเข้าช่วยอีกด้วยศีลจึงจะ
เป็นไปเพื่อสมาธิ และเมื่อได้สมาธิ สมาธิก็ช่วยศีล
ให้ดำรงอยู่ด้วยดีอีกด้วย เพราะฉะนั้นจึง
ได้มีเรื่องเล่าไว้ในธรรมบท
ว่าภิกษุรูปหนึ่งรู้สึกอึดอัดว่าศีลมีมากมายเหลือเกิน
จึงเข้าเผ้าพระพุทธเจ้าขอประทานเพื่อ
จะลาสิกขาออกไป พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
เมื่อเธอเห็นว่ามีมากมายหลายข้อ
จะรักษาเพียงข้อเดียวได้ไหม ท่านก็กราบทูลว่า
ถ้าข้อเดียวพอรักษาได้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า
ให้รักษาจิต เมื่อรักษาจิตได้เพียงข้อเดียวแล้ว
ก็รักษาข้ออื่นๆ ได้ทั้งหมด ภิกษุนั้นก็รับเอาพุทธโอวาท
นั้นไปปฏิบัติรักษาจิตใจให้สงบ เมื่อรักษาจิตใจให้สงบ
ได้แล้ว การรักษาศีลก็ง่ายเข้าไม่ลำบาก
๑ ตุลาคม ๒๕๒๖
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร
ในพรรษากาล ๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูถัมภ์ จัดพิมพ์เนื่อง
ในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 03:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๒๙ ลักษณะพุทธศาสนา -
ธรรมบรรยายพิเศษ เรื่องชาติ - ความเกิด
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ชาติคือความเกิดเป็นทุกข์
ทางพุทธศาสนา พระบรมศาสดา
ได้ตรัสแสดงทุกขอริยสัจ ตั้งต้นแต่ “ชาติปิ ทุกฺขา”
แม้ความเกิดเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นชาติคือความเกิดจึง
เป็นตัวทุกข์ ซึ่งเมื่อมีชาติคือความเกิดก็มีทุกข์ข้ออื่นๆ
ติดตามมา และความเห็นว่าความเกิดเป็นตัวทุกข์นี้
เป็นสิ่งสำคัญ อันนำให้พระพุทธเจ้า
ได้ตรัสรู้พระธรรม เมื่อยังทรง
เป็นพระโพธิสัตว์ยังมิได้ทรงตรัสรู้
ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาโดยลำดับ
ก็เพื่อพระโพธิญาณคือความตรัสรู้พระธรรม
และเมื่อทรงเป็นพระสิทธัตถราชกุมาร
ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตคือคนแก่คนเจ็บคนตาย
และสมณะ จึงได้ทรงพิจารณาน้อมเข้ามา
ถึงพระองค์ ว่าแม้พระองค์จะทรงเป็นอะไรในโลก
ตลอดจนถึง
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระราชาเอกในโลก
ดังที่ได้ทรงรับถวายพยากรณ์ แต่ก็ไม่ทรงพ้นจาก
ความแก่ความเจ็บความตายไปได้ เพราะฉะนั้นจึง
ได้ทรงน้อมพระหฤทัยไปในทางที่เป็นสรณะ คือ
ผู้ที่หลีกออกจากบ้านเรือน เป็นอนาคาริยะคือเป็นผู้
ไม่มีเรือน เพื่อที่จะตัดกังวลห่วงใยทั้งปวง พ้น
ความประพฤติปฏิบัติ แสวงหาโมกขธรรมคือธรรม
เป็นเครื่องหลุดพ้นจากความแก่ความเจ็บความตาย
ทรงเห็นว่าธัมมะที่เป็นโมกขธรรม
เป็นเครื่องหลุดพ้น
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอมตธรรม ธัมมะของผู้ที่
ไม่ตายหรือธัมมะที่ไม่ตาย จะต้องมีอยู่
เพราะเมื่อมีแก่มีเจ็บมีตาย ก็จะต้องมีไม่แก่ไม่เจ็บ
ไม่ตายเป็นคู่กัน เหมือนอย่างมีมืดก็มีสว่าง จึง
ได้ออกทรงผนวช
นิพพาน - ภาวะที่พ้นสมมติบัญญัติ
ในพุทธประวัติตอนนี้ไม่ได้กล่าวถึง
ว่าทรงเห็นเทวทูตความเกิดว่าเป็นตัวทุกข์ด้วย
และโมกขธรรมที่ทรงต้องการพบนั้น
ก็ปรารภว่าพ้นจากแก่เจ็บตาย ยังมิได้แสดงว่าพ้น
จากเกิดจึงน่าจะเป็นเหมือนอย่างความต้องการของคน
ทั่วไป ที่ต้องการที่จะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย แต่ไม่
ได้กล่าวว่าไม่ต้องการที่จะไม่เกิด เพราะว่าส่วนใหญ่
นั้นยังไม่ได้นึกถึงเรื่องไม่เกิด แต่นึก
ถึงเรื่องว่าทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย จึง
ได้มีลัทธิปฏิบัติที่จะให้ประสบผลเป็นความไม่แก่
ไม่เจ็บไม่ตายมาแต่โบราณกาล
และบางลัทธิที่แสดงว่าสามารถที่จะบรรลุ
ถึงผลนั้นๆ ได้ทั้งที่เป็นมนุษย์ เช่นในลัทธิของจีนที่มี
ผู้ออกประพฤติในป่าเขา จนสำเร็จเป็นเซียน
และก็ดูเหมือนจะเป็นผู้ที่เรียกว่าไม่ตาย คือดำรง
อยู่อย่างนั้น หรือว่าคล้ายๆ กับไม่ตาย อยู่ได้นานมาก
แต่ว่าส่วนใหญ่นั้นยังเห็นว่ายากที่จะปฏิบัติให้เป็นผู้ที่
ไม่ตายในมนุษยโลก คือเป็นมนุษย์ มีร่างกาย
เป็นมนุษย์อยู่ดั่งนี้ ยากจะปฏิบัติให้ดำรงอยู่ไม่ตายได้
จึงได้มีลัทธิแสดงว่าต้องปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว ก็
จะไปเกิดในชาติภพที่ไม่ตาย เช่นในสรวงสวรรค์ อยู่
กับเทพผู้เป็นที่นับถืออย่างสูงสุดและก็เป็นผู้ไม่ตาย แม้
ในพุทธศาสนาเองที่พระพุทธเจ้า
ได้ทรงแสดงธัมมะสั่งสอนไว้ชัดเจนแล้วถึง
ความที่เมื่อมีเกิดก็จะต้องมีตาย เมื่อไม่ตายก็ต้องไม่เกิด
และเมื่อไม่เกิดก็คือบรรลุนิพพานในพุทธศาสนา
และก็ต้องพ้นสมมติบัญญัติที่จะกล่าวถึงว่าเป็นอะไร
ทั้งสิ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่สูญ ภาวะที่ไม่เกิด
และพ้นสมมติบัญญัติดั่งนี้ ก็ต้องขอยืมคำมาพูดถึง
เรียกว่านิพพาน หรือว่าอมตธรรมอมตธาตุ แต่ชี้ว่า
เป็นอะไรนั้นไม่ได้ เป็นอันว่าได้สิ้นสุดกันเสียทีหนึ่ง ไม่
ต้องพูดถึงว่าเป็นอะไรต่อไป แต่ตัวที่
เป็นอมตธรรมอมตธาตุนั้นมีอยู่ แต่ว่าเป็นอะไรนั้นพูด
ไม่ได้ทั้งนั้น จะเป็นดินเป็นน้ำเป็นไฟเป็นลมเป็นต้นไม่
ได้ ภพนี้ภพหน้า เทพดามารพรหมอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น
ดังที่ได้กล่าวอธิบายมาแล้ว เป็นอันว่ายุติกันหมด
กระนั้นก็ไม่จบ แต่แม้เช่นนั้นก็ได้มีลัทธิ
ในพุทธศาสนาเอง ซึ่งแยกออกไป
และเรียกตัวเองว่ามหายานหรืออาจริยวาท
เราเรียกทางฝ่ายที่
ยังนับถือตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ต้นมา
ว่าฝ่ายหินยานหรือฝ่ายเถรวาท ฝ่ายมหายาน
หรือฝ่ายอาจริยวาทนี้ก็มาแสดงเมืองนิพพานขึ้นใหม่
เหมือนอย่างว่าตั้งอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นหนึ่ง
ซึ่งพระพุทธเจ้าองค์ต้นเดิมประทับอยู่
และบรรดาพระอรหันต์พระโพธิสัตว์
ทั้งหลายก็ไปเกิดอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้น และเมื่อ
ถึงกาลเวลาก็ส่งพระมนุษย์พุทธเจ้ามาเกิด
ในโลกมนุษย์ ให้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์
เป็นครั้งๆ คราวๆ เหมือนอย่างพระพุทธเจ้า
ผู้พระบรมศาสดาของเราทั้งหลายก็
เป็นพระมนุษยพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
และเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ก็เสด็จไปอยู่
ในสรวงสวรรค์นั้นอีกเป็นนิรันดร ก็
เข้าใจว่าการแสดงแบบเถรวาทนั้นเป็นอนัตตา
ไม่มีอัตตาตัวตน คนเข้าใจยากและรู้สึกว่าเคว้งคว้าง
เพราะว่าปฏิบัติเพื่อไปสู่อมตธรรมอมตธาตุ ซึ่ง
ไม่มีอัตตาตัวตนที่จะสัมผัสได้ ที่จะเห็นได้ ได้ยินได้ ก็ทำ
ให้ไม่เข้าใจหรือเข้าใจยากนั้นอย่างหนึ่ง หรือทำให้
เข้าใจว่าปฏิบัติไปเพื่อไม่เป็นอะไรหรือไม่มีอะไร
คล้ายๆ กับละลายไปหมด ซึ่งคนจำนวนมากนั้นก็น่า
จะยังไม่ชอบไม่พอใจ พอใจที่จะไป
เป็นอะไรชนิดที่เต็มไปด้วยความสุขไม่มีทุกข์
คือแปลว่าให้มีเกิดชนิดที่ไม่ต้องมีทุกข์ ไม่ต้องมีเจ็บ ไม่
ต้องมีแก่ ไม่ต้องมีตาย สุขกันตลอด มีตัวมีตนที่สัมผัส
ได้ คนส่วนใหญ่ในโลกจะต้องการอย่างนี้ เพราะฉะ
นั้นจึงได้แตกเป็นฝ่ายมหายาน แสดงนิพพาน
เป็นบุคคลาธิษฐาน ยกบุคคลเป็นที่ตั้ง
เพราะว่าตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเดิมนั้น
เป็นธรรมาธิษฐาน ยกธัมมะเป็นที่ตั้ง จึงมาแสดง
เป็นบุคคลาธิษฐาน ยกบุคคลเป็นที่ตั้ง สร้างให้
เป็นเมืองนิพพานขึ้นมา และให้ธัมมะ
เป็นบุคคลตัวตนขึ้นมาให้สัมผัสได้ ให้เห็นได้ ให้ได้ยิน
ได้ แต่อันที่จริงนั้นก็ไม่เห็นไม่ได้ยิน สัมผัสไม่ได้
อยู่นั่นเอง เป็นแต่เพียงว่าทำให้บุคคลที่พอใจ
ในทางนี้มีศรัทธาคือความเชื่อเท่านั้น แต่พระพุทธเจ้า
นั้นทรงต้องการให้ใช้ปัญญาคือตัวความรู้
เป็นหลักสำคัญ แม้จะเชื่อก็ให้เชื่อด้วยความรู้
ในขณะที่ยังไม่เชื่อก็ให้รู้ไว้ก่อน ในขณะที่ยังไม่รู้ก็
ให้เชื่อไว้ก่อน ในบุคคลที่ควรเชื่อในวัตถุที่ควรเชื่อ
แต่ก็ให้ปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงและก็รู้ด้วยใจของตนเอง
และการที่จะปฏิบัติให้เข้าถึงด้วยปัญญานี้
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ทำได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึง
ได้ตรัสไว้ว่าอายตนะนั้นมีอยู่ คำว่า “อายตนะ”
ในที่นี้หมายถึง “นิพพาน” ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ไฟ ไม่
ใช่ลม ไม่ใช่ภพนี้ ไม่ใช่ภพหน้า ไม่ใช่อะไรๆ ทั้งสิ้นที่
เป็นภาวะอย่างใดอย่างหนึ่ง และที่
ใช้คำว่าอายตนะก็น่าฟังน่าคิดว่าทำไมจึง
ใช้คำว่าอายตนะหมายถึงนิพพาน เพราะอายตนะนั้นก็
ใช้หมายถึงอายตนะภายในภายนอกที่ต่อกัน
คืออายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖
ตรงนี้เองที่น่าคิด คือความหมายของอายตนะ
นั้นแปลว่าที่ต่อได้ เช่นตากับรูปที่ต่อกันได้ หู
กับเสียงที่ต่อกันได้ แล้วก็ต่อเข้าไปถึงจิต ดั่งนี้เป็นต้น
ฉะนั้นแม้นิพพานจะเป็นอมตธาตุอมตธรรมก็
เป็นอายตนะคือต่อได้ ต่อได้นั้นหมายความว่าบรรลุ
ถึงได้ ถ้าต่อไม่ได้ก็บรรลุถึงไม่ได้ การที่ต่อได้
นั้นก็บรรลุถึงได้ คำนี้จึงเป็นเครื่องแสดงว่านิพพาน
นั้นแม้จะเป็นอมตธาตุอมตธรรมก็บรรลุถึงได้ ไม่
ใช่บรรลุถึงไม่ได้และอายตนะคือนิพพานนี้ก็
เป็นที่สิ้นกิเลสและกองทุกข์ด้วยประการทั้งปวง
และจะสิ้นกิเลสและกองทุกข์ด้วยประการทั้งปวง
ได้นั้นก็จะต้องละกิเลสได้ทั้งหมด ฉะนั้นการปฏิบัติ
ในพุทธศาสนานั้นจึงเน้นอยู่ที่การปฏิบัติเพื่อ
จะละกิเลส หรือว่าที่สรุปเข้าในพระโอวาท ๓
ข้อคือ ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม
ชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส และเมื่อ
ได้ปฏิบัติตามพระพุทธโอวาทที่ตรัสโดยย่อนี้ จิตได้
เป็นศีลเป็นสมาธิปัญญาขึ้นแล้ว ตัวปัญญานี้เองก็จะทำ
ให้เกิดความรู้แจ่มแจ้งในสัจจธรรมทั้งปวง และเมื่อ
เป็นวิชชาขึ้นแล้วอวิชชาก็ดับ บรรดากิเลส
ทั้งปวงก็ดับจะเป็นโลภโกรธหลงเป็นตัณหา
เป็นอะไรก็ดับหมด เพราะฉะนั้นปัญญาหรือวิชชา
หรือวิญญาณที่หยั่งรู้จึงเป็นยอดปฏิบัติธรรม
ในพุทธศาสนา และเมื่อได้ปัญญาได้วิชชาขึ้นมาแล้ว
กิเลสทั้งหมดก็ดับ โลภโกรธหลงตัณหาอุปาทาน
เป็นต้นมีขึ้นเพราะอวิชชา ไม่รู้ตามเป็นจริงหรือรู้
ไม่จริงทั้งนั้น จึงทำให้เกิดโมหะคือความหลง
หลงโลภหลงโกรธและก็หลงหลงเองด้วย
และก็หลงดิ้นรนเป็นตัณหาเป็นอุปาทานเป็นทุกอย่าง
เมื่อได้วิชชาขึ้นแล้วกิเลสทั้งปวงก็ดับ
และเมื่อกิเลสทั้งปวงดับแล้ว ก็
เป็นอันว่าดับกิเลสวัฏฏะตัดกิเลสวัฏฏะได้
กรรมวัฏฏะก็เป็นอันว่าตัด วิบากวัฏฏะก็เป็นอันว่าตัด
เมื่อตัดวิบากได้ก็เป็นอันว่าไม่เกิดอีก ซึ่งความไม่เกิดอีกนี้
เป็นตัวที่สืบเนื่องมาจากการตัดกิเลสได้ เป็นอันว่า
ไม่เกิดขึ้นเอง ไม่ใช่ไปบังคับให้ไม่เกิด บังคับไม่ได้
เมื่อตัดกิเลสวัฏฏะได้แล้ว ก็
เป็นอันว่าตัดกรรมวัฏฏะวิบากวัฏฏะได้ ก็ไม่เกิดขึ้นเอง
เป็นธรรมดา
สรุปเรื่องความเกิดในพุทธศาสนา
เพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์นั้น
แม้พุทธประวัติที่แสดงไว้ตอนนั้นก็ยังไม่แสดงว่า
ได้ทรงเห็นชาติเป็นเทวทูต แต่เมื่อมาปรากฏว่า
ได้ทรงเห็นชาติเป็นเทวทูต คือเห็นสัจจะว่า “ชาติปิ
ทุกฺขา” ขึ้นนั้น เมื่อได้ทรงพบทางที่เป็นมัชฌิมา
ทรงทำสมาธิ ศีลทรงมีเป็นภาคพื้นแล้ว
และก็ทรงได้ทำปัญญาในอริยสัจ จึงได้ตรัสรู้ขึ้น
ตั้งต้นแต่ ชาติปิ ทุกฺขา ชาติความเกิดเป็นทุกข์ เพราะฉะ
นั้นชาติคือความเกิดเป็นทุกข์นั้น จึง
เป็นธัมมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน นับว่าเป็นพิเศษ
เรียกว่าไม่มีในศาสนาอื่นก็ได้ ศาสนาอื่นนั้นยังเกิดทั้ง
นั้น คือว่าอย่างดีที่สุดก็ไปเกิดอยู่ในสรวงสวรรค์
กับเทพผู้เป็นใหญ่ ศาสนาที่เกิดก่อนพุทธศาสนา
ศาสนาที่เกิดทีหลังพระพุทธศาสนา ก็ไม่มี ชาติปิ
ทุกฺขา เหมือนกัน มีเกิดทั้งนั้น พุทธศาสนาเท่านั้น
เป็นพิเศษ แม้เป็นพิเศษดั่งนี้แล้วก็ยังมาแก้
ในฝ่ายมหายานสร้างให้
เป็นบุคคลาธิษฐานขึ้นมาดังที่กล่าวแล้ว เพื่อที่จะ
ได้เรียกร้องศรัทธาของคนให้นับถือมากๆ ขึ้น
เพราะฉะนั้นจึงเรียกตัวเองว่าเป็นมหายาน
ยวดยานพาหนะที่ใหญ่โต
แต่ว่าเรียกฝ่ายที่ถือตามพุทธศาสนาตามที่พระพุทธเจ้า
ได้ทรงสั่งสอนนั้นว่าหินยาน
แปลว่ายวดยานพาหนะที่คับแคบที่เล็ก เพราะฉะ
นั้นเรื่องความเกิดในพุทธศาสนาจึงมีแสดงไว้ดั่งนี้
และที่เรียกว่าวันเกิดเป็นมงคลสำหรับที่จะทำบุญ
นั้น ก็เป็นอันว่าเป็นเหตุปรารภวัน
ใดวันหนึ่งสำหรับบำเพ็ญกุศลเท่านั้น เพราะว่า
ในการบำเพ็ญกุศลนั้นก็จะต้องปรารภวันใดวันหนึ่ง
เป็นที่ตั้งที่จะทำบุญทำกุศลกัน
และก็ถือว่าอายุล่วงไปปีหนึ่งๆ
รอดพ้นอันตรายต่างๆ ไปได้ ก็เป็นอันว่าได้ผ่านพ้นไป
ด้วยดีปีหนึ่งๆ และก็ที่จะดำรงต่อไปก็ให้ผ่านพ้นไป
ด้วยดีเช่นเดียวกัน ก็ย่อมจะมีความตั้งใจดีต่อกันดั่งนี้
และการที่ปรารภเหตุใดเหตุหนึ่งหรือว่าวัน
ใดวันหนึ่งสำหรับทำบุญทำกุศลนี้ ก็ต้อง
เป็นธรรมดา และก็เป็นธรรมเนียมเมื่อยังมีชีวิต
อยู่ของแต่ละบุคคลนั้น ก็มักจะปรารภวันเกิด
เป็นวันที่บำเพ็ญกุศลให้ สำหรับคนที่ยังอยู่ ยัง
ไม่ตายก็ปรารภวันเกิดสำหรับคนที่มีกัลยาณจิตต่อ
กัน ที่ยังอยู่ด้วยกัน ก็แสดงความยินดีกัน ถ้าตายไป
แล้วก็ปรารภวันตาย สำหรับคนที่ยัง
อยู่บำเพ็ญกุศลให้ ก็เป็นวันสำหรับที่จะกำหนดทำบุญ
เพราะฉะนั้นจึงได้เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมา
และในวันนี้ก็ปรารภถึงเรื่องชาติคือความเกิดแสดง
เป็นข้อธรรมบรรยาย และก็ขออำนวยพร
ให้แก่นวกภิกษุทุกท่าน
เต อตฺถลทฺธา สุขิตา
วิรุฬฺหา พุทฺธสาสเน
อโรคา สุขิตา โหถ
สห สพฺเพหิ ญาติถิ
๒ ตุลาคม ๒๕๒๖
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร
ในพรรษากาล ๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูถัมภ์ จัดพิมพ์เนื่อง
ในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2014, 03:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๓๐ ลักษณะพุทธศาสนา - วิสุทธิ ๗
ข้อจิตตวิสุทธิ
ลักษณะพุทธศาสนา
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการอบรมนวกภิกษุพรรษา ๒๕๒๖
ณ สว.ธรรมนิเวศ วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ได้แสดงลักษณะพุทธศาสนามาโดยลำดับ
ถึงจิตตภาวนา และได้แสดงวิธีปฏิบัติทำจิตตภาวนา
ด้วยวิสุทธิ ๗ ในวิสุทธิ ๗ นั้นเริ่มด้วยสีลวิสุทธิ
ความหมดจดบริสุทธิ์แห่งศีล ซึ่งได้แสดงแล้ว จึง
ถึงข้อ ๒ จิตตวิสุทธิ ความหมดจดแห่งจิต ข้อนี้หมาย
ถึงสมถะหรือสมาธิ ฉะนั้นจึงจะได้อธิบายศัพท์ทั้ง ๒
นี้ก่อน
คำว่า สมถะ นั้นใช้ในคำว่า สมถกรรมฐาน
แห่งกรรมฐาน ๒ คือสมถกรรมฐาน
และวิปัสสนากรรมฐาน ตามศัพท์แปลว่าความสงบ
หรือกรรมฐานที่เป็นเหตุทำให้ใจสงบ ส่วนสมาธิใช้
ในคำว่าศีลสมาธิปัญญา แต่ว่าในไตรสิกขานั้น เมื่อ
ใช้คำว่าสิกขาที่แปลว่าศึกษาสำเหนียกปฏิบัติ ก็ใช้ว่า
สีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา ซึ่งคำว่าจิตตสิกขา
นั้นก็หมายถึงสมาธินี้เอง คำว่า สมาธิ แปลว่า ตั้งจิตมั่น
และคำว่า จิตตสิกขา ในไตรสิกขานั้น ก็หมายถึง
จิตตวิสุทธิ ความหมดจดบริสุทธิ์แห่งจิตนี้เอง อัน
เป็นขั้นสมาธิหรือขั้นสมถะ
อารมณ์ ๖
อันจิตนี้ดังที่ได้กล่าวอธิบายมาในตอนต้นๆ แล้ว
เป็นจิตที่
ต้องรับอารมณ์คือเรื่องมีเรื่องรูปเรื่องเสียง
เป็นต้น รวมกันเข้าเป็นอารมณ์ ๖
โดยสรุปตามอายตนะภายนอก ซึ่งต้องผ่านทวาร ๖
ทวารก็คือประตูหรือช่องทาง ทวาร ๖ ก็
เป็นทวารแห่งจิตนั่นเองที่รับอารมณ์เพราะว่าจิตนั้น
จะรับเอาวัตถุมาใส่เข้าไปไม่ได้ รับ
ได้แต่อารมณ์คือเรื่องของวัตถุนั้นๆ เช่นว่ารูปารมณ์
อารมณ์คือรูป ก็คือรูปที่ตาเห็น เป็นคนเป็นต้นไม้
เป็นภูเขา จิตจะรับเอาคนเอาต้นไม้เอาภูเขาเป็นต้น
เข้ามาใส่ไว้ในจิตไม่ได้ รับได้แต่อารมณ์คือเรื่อง
คือเรื่องของรูปที่ตาเห็นรับเอาเรื่องเข้ามา เรื่อง
นั้นไม่มีรูปร่างสัณฐาน เหมือนอย่างจิตเองก็
ไม่มีสรีรสัณฐาน เรื่องที่จิตรับเข้ามาก็
ไม่มีสรีรสัณฐานเช่นเดียวกัน และกิริยาที่ว่ารับ
นั้นก็ไม่ใช่เหมือนอย่างที่ร่างกายรับเช่นว่ารับด้วยมือ
เป็นต้น แต่ว่ารับด้วยรู้ เพราะว่าจิตเป็นธาตุรู้
ก็รับรู้รูปที่ประจวบทางตา เรื่องของรูปที่รับรู้
นั้นก็เป็นรูปารมณ์ อารมณ์คือรูป
เพราะว่าการรับรู้นั้น ก็จะต้องถามว่ารับรู้
ซึ่งอะไร รับรู้ซึ่งรูป ก็คือซึ่งเรื่องของรูปนั่นเอง
รับตัวเรื่องเข้ามาเป็นรูปารมณ์ รับรูปนั่นแหละ
แต่ว่าอันที่จริงรับเรื่องของรูปเข้ามา รูป
เป็นสิ่งที่จิตรู้ คราวนี้เมื่อเป็นเสียงที่ประจวบทางหู
ก็รับรู้ซึ่งเสียง ก็รับรู้ซึ่งกลิ่นทางประตูจมูก
รับรู้ซึ่งรสทางประตูลิ้น รับรู้
ซึ่งโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้องทางประตูกาย รับรู้
ซึ่งเรื่องของเรื่องเหล่านั้นทางประตูใจคือมโน ใจ
ในที่นี้คือมโน แต่ว่าใจนั้นจะเห็นได้ว่าบางทีก็หมายถึงจิต
บางทีก็หมายถึงมโน ก็สุดแต่ว่าถ้อยคำที่พูดนั้นจะมี
ความหมายถึงอะไร เพราะว่าใจนี่เป็นภาษาไทย เรา
ใช้เป็นกลางๆ เพราะฉะนั้นอารมณ์ทั้ง ๖ นั้นจึง
เป็นเรื่องที่จิตรับรู้ รับรู้ซึ่งรูปซึ่งเสียงซึ่งกลิ่น
ซึ่งรสซึ่งโผฏฐัพพะซึ่งธัมมะคือเรื่องราว เพราะฉะ
นั้นสิ่งที่จิตรับรู้นี้เราเรียกว่าเรื่องคืออารมณ์
นิวรณ์ ๕
จิตมีกิเลสคือมีอาสวะอนุสัยนอนจมหมักหมมอยู่
ดองจิตสันดานอยู่ เมื่ออารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งราคะ
หรือโลภะอันเป็นตัวกิเลสเกิดขึ้น ราคะ
หรือโลภะก็เกิดขึ้น อารมณ์อันเป็นที่ตั้งของโทสะ
ความโกรธเกิดขึ้น โทสะก็เกิดขึ้น อารมณ์อัน
เป็นที่ตั้งของโมหะคือความหลงเกิดขึ้น โมหะก็เกิดขึ้น
ก็มาเป็นนิวรณ์อันทำจิตให้กลัดกลุ้มวุ่นวาย
ไม่สงบกระสับกระส่ายดิ้นรนกวัดแกว่งไป
ด้วยอารมณ์และกิเลสทั้งหลายดังกล่าวมานั้น
ซึ่งท่านก็จัดนิวรณ์นี้ไว้เป็น ๕ คือ
กามฉันท์ ความยินดีรับใคร่อยู่ในกาม
คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่น่ารักใคร่พอใจ
ทั้งหลาย
พยาบาท ความกระทบกระทั่งหงุดหงิดโกรธแ
ค้นขัดเคือง ซึ่งพยาบาทในนิวรณ์ ๕ นี้มี
ความหมายเพียงที่เป็นความโกรธขัดเคืองอยู่ในจิตใจ
ยังไม่มุ่งร้ายออกไป
อันเรียกว่าโทสะที่แปลว่าประทุษร้ายใจ
คือประทุษร้ายใจตัวเอง ยัง
ไม่คิดออกไปประทุษร้ายผู้อื่น นี่เป็นแค่นิวรณ์
ถีนมิทธะ ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม
อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ และ
วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัย
นิวรณ์ทั้ง ๕ นี้กามฉันท์ก็จัดเข้าในกิเลสกองราคะ
พยาบาทก็จัดเข้าในกิเลสกองโทสะ ส่วนอีก ๓ ข้อก็จัด
เข้าในกิเลสกองโมหะ
แต่พระอาจารย์ท่านอธิบายว่าสำหรับกุกกุจจะ
ความรำคาญใจจัดเข้าในกิเลสกองโทสะ
เป็นปริยุฏฐานะ คือกิเลสที่กลุ้มรุมจิตใจ อันหมาย
ความว่าทำจิตใจให้กลัดกลุ้มวุ่นวายไม่สงบ เพราะฉะ
นั้นจิตจึงเป็นจิตที่ไม่บริสุทธิ์คือไม่เป็นวิสุทธิ ไม่สงบคือ
ไม่เป็นสมถะ และไม่ตั้งมั่นคือไม่เป็นสมาธิ อันหมาย
ความว่าไม่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียวอัน
เป็นอารมณ์ที่ดี เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเป็นดั่งนี้ การที่
จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ก็ยากเพราะว่าเมื่อจิต
ไม่บริสุทธิ์ไม่ตั้งมั่นไม่สงบดั่งนี้ จึงง่ายที่จะก่อเจตนาคือ
ความจงใจประกอบกรรมทางกายทางวาจาทางใจ
อันเป็นกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมฝ่ายอกุศล
ก็ทำให้ศีลไม่บริสุทธิ์ ทำให้ศีลเป็นท่อน
เป็นช่องด่างพร้อยไม่เป็นไท เพราะยัง
เป็นทาสของกิเลส และวิญญูชนยังไม่สรรเสริญ
เพราะยังถูกกิเลสลูบคลำจับต้องและไม่
เป็นไปเพื่อสมาธิได้
ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติทำจิตให้บริสุทธิ์
ตั้งต้นแต่ทำจิตให้สงบเป็นปรกติ เพื่อให้ศีลนั้น
เป็นศีลที่สนับสนุนสมาธิ ที่เรียกว่า
เป็นไปเพื่อสมาธิดังที่กล่าวมาแล้ว ให้ศีล
เป็นพื้นฐานของสมาธิ และก็ปฏิบัติทำจิตให้เป็นสมาธิ
ด้วยวิธีที่เป็นสมถกรรมฐานหรือกรรมฐานที่ทำจิต
ให้สงบ อันกรรมฐานนั้นแปลว่าที่ตั้งของการงาน
เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทราบกรรมฐานอัน
เป็นที่ตั้งของการงาน คือการงานอันได้แก่การทำจิต
ให้สงบให้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการงานทางจิตใจ
การปฏิบัติทำจิตให้สงบก็
เป็นการงานทางจิตใจอย่างหนึ่ง เมื่อเป็นการงานก็จะ
ต้องมีการตั้งการงานขึ้นมา คือว่าจับกระทำจับปฏิบัติ
ความจับกระทำจับปฏิบัตินั้นเรียกว่า วิริยารัมภะ
เริ่มความเพียร โดยที่ศึกษาให้รู้จักกรรมฐานอัน
เป็นที่ตั้งของการงานทางจิตนั้น ซึ่งพระพุทธเจ้า
ได้ทรงสั่งสอนไว้ และก็นำมาปฏิบัติคือทำจิตให้ตั้งอยู่
ในกรรมฐานข้อนั้นๆ การที่นำจิตมาตั้งไว้
ในกรรมฐานข้อนั้นๆ นี่แหละเรียกว่าทำกรรมฐาน
เมื่อเป็นสมถกรรมฐานก็คือว่าทำสมถกรรมฐาน
หรือปฏิบัติในสมถกรรมฐาน
กรรมฐานสำหรับแก้จริต ๖
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงกรรมฐานไว้ในที่ต่างๆ
ซึ่งพระอาจารย์
ผู้รวบรวมเรียบเรียงวิสุทธิมรรคได้นำมาแสดง
ไว้ ๔๐ ประการ ก็คือ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐
พรหมวิหาร ๔ สัญญา ๑ คืออาหาเรปฏิกูลสัญญา
ความกำหนดหมายว่าปฏิกูลในอาหาร ววัตถานะคือ
ความพิจารณากำหนด ๑ คือจตุธาตุวัตถานะ
ความกำหนดพิจารณาธาตุ ๔ และท่านแสดงว่าคนเรา
นั้นจัดเป็นจริตทางจิตใจ ๖ คำว่าจริตนั้นคู่
กับคำว่าจริยา คำว่าจริยา แปลว่าความประพฤติ
เป็นคำที่เป็นกิริยาอาการ และถ้าเป็นบุคคล
ผู้ประพฤติเรียกว่าจริต คำว่าจริต จึงหมาย
ถึงบุคคลผู้ประพฤติ และเราเรียกกัน
ในภาษาไทยว่าจริต ๖ ก็คือบุคคลปันออกเป็น ๖
พวกตามจริยาคือความประพฤติทางจิตใจของตนๆ
จำพวกที่ ๑ ราคจริต คือคนที่ประพฤติทางจิตใจ
ด้วยอำนาจของราคะคือความติดใจยินดีอยู่เป็นปรกติ
๒. โทสจริต คือคนที่ประพฤติด้วยอำนาจของโทสะอยู่
เป็นปรกติ
๓. โมหจริต คือคนที่ประพฤติด้วยอำนาจของโมหะคือ
ความหลงอยู่เป็นปรกติ
๔. วิตกจริต คือคนที่ประพฤติด้วยอำนาจของวิตกคือ
ความคิดมากอยู่โดยปรกติ
๕. สัทธาจริต คือคนที่ประพฤติด้วยอำนาจของ
ความเชื่ออยู่โดยปรกติ และ
๖. พุทธิจริต คือคนที่ประพฤติด้วยอำนาจของความรู้
อยู่โดยปรกติ
และพระอาจารย์ได้แสดงว่าคนที่เป็นราคจริต
นั้นมักจะรักสวยรักงาม ท่านแนะให้ปฏิบัติ
ในกรรมฐาน ๑๑ ประการ คือ อสุภะ ๑๐
กายคตาสติ ๑ คนโทสจริตมีปรกติโกรธง่ายใจน้อย
ท่านสอนให้ปฏิบัติในพรหมวิหาร ๔ และวัณณกสิณ
กสิณที่เกี่ยวด้วยสี ๔ รวมเป็น ๘
คนโมหจริตที่ปรกติหลงใหลง่าย และคนที่
เป็นวิตกจริตคือคนมีปรกติคิดมาก เรื่องเล็กคิด
เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสั้นคิดเป็นเรื่องยาว ท่านสอน
ให้ทำอานาปานสติ คนที่เป็นสัทธาจริตมักจะเชื่อง่าย
ชอบที่จะใช้ศรัทธามากกว่าจะใช้ปัญญา ท่านสอน
ให้ปฏิบัติในอนุสสติ ๖ ข้างต้น ส่วนคนที่
เป็นพุทธิจริตมีปรกติชอบใช้ปัญญา ไม่ยอมที่
จะเชื่ออะไรนอกจากจะต้องรู้ ท่านสอนให้ปฏิบัติ
ในมรณสติ ในอุปสมานุสสติ ในจตุธาตุววัตถานะ และ
ในอาหาเรปฏิกูลสัญญา คือ
ความกำหนดหมายพิจารณาให้เห็นปฏิกูลในอาหาร
ส่วนกสิณที่เหลือกับอรูป ๔
ท่านแสดงว่าอนุกูลแก่จริตทั้งสิ้น ในที่นี้จะ
ไม่อธิบายกรรมฐาน ๔๐ ประการและจริตทั้ง ๖
กับกรรมฐานที่เหมาะแก่จริตทั้ง ๖
ตามที่พระอาจารย์ได้กล่าวอธิบายไว้
ในวิสุทธิมรรค แต่ว่าจะกล่าวโดยสรุป
จริต ๔ และสติปัฏฐาน ๔
สำหรับในกรรมฐาน ๔๐ ประการนี้ไม่มีสติปัฏฐาน
ทั้ง ๔ สำหรับในสติปัฏฐานทั้ง ๔ นั้น พระอาจารย์
ได้แสดงบุคคลไว้ ๔ จำพวก คือแบ่งว่าบุคคล
เป็นจริตทั้ง ๔ อีกนัยหนึ่งที่เรียกว่าอีกนัยหนึ่งนั้นไม่
ใช่หมายความว่าเป็นอีกจำพวกหนึ่งจากจริต ๖
ก็บุคคลที่เป็นประชาโลกหรือสัตวโลกด้วยกัน
ทั้งหมดนี้แหละ ท่านแสดงว่าเป็นจริต ๖ ไว้อย่างหนึ่ง
อีกอย่างหนึ่งท่านแสดงไว้เป็นจริต ๔ คือ
ตัณหาจริตอย่างหยาบ ตัณหาจริตอย่างละเอียด
ทิฏฐิจริตอย่างหยาบ ทิฏฐิจริตอย่างละเอียด
ตัณหาจริตอย่างหยาบนั้น คือคนที่มีปรกติติดอยู่
ในกาย ชอบแต่งกายให้งดงาม ชอบ
ความงดงามของร่างกาย ท่านสอนให้ปฏิบัติ
ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ตัณหาจริตอย่างละเอียดนั้น คือคนที่ติดเวทนา
ไม่ค่อยจะติดร่างกายเท่าไหร่ คือต้องการสุขเวทนา
ให้สบายก็แล้วกัน ร่างกายจะสวยงามไม่สวยงาม
เครื่องแต่งกายจะสวยงามไม่สวยงามก็ไม่ใคร่จะว่า
ต้องการให้สบาย ให้อยู่อย่างสบายๆ ท่านสอนให้ปฏิบัติ
ในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ทิฏฐิจริตอย่างหยาบ คือคนที่มีความเห็นผิด อันหมาย
ความว่ามีความเห็นยังไม่บริสุทธิ์นั่นแหละ
ยังติดโน่นติดนี่อยู่มาก มักจะเป็นคนที่ชอบเอาใจตนเอง
เป็นประมาณ ต้องการให้ถูกใจตนเอง
และการถูกใจตนเองนั้นก็หมายความว่าถูกกับ
ความเห็นความชอบใจของตนเองนั้นเอง อันนี้ก็
เป็นทิฏฐิอันหนึ่ง ก็ไม่ได้เป็นความเห็นผิดอะไรมากมาย
เป็นความเห็นผิดชนิดที่เอาแต่ใจตนเอง ชอบที่จะทำตาม
ความเห็นของตนเองตามความชอบใจของตนเองดั่งนี้
ท่านสอนให้ปฏิบัติในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ทิฏฐิอย่างละเอียด ซึ่งยังมีความยึดถืออยู่
ในตัวเราของเราเป็นต้น ท่านสอนให้ปฏิบัติ
ในธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าแม้สติปัฏฐานทั้ง ๔
นี้ก็เหมาะสำหรับทุกๆ คนที่จะปฏิบัติและทุกๆ คน
นั้นอันที่จริงก็ต้องมีจริต ต้องเป็นจริตทั้ง ๔ นี้อยู่ด้วย
กันน้อยหรือมาก บางทีก็ติดกาย บางทีก็ติดเวทนา
บางทีก็ติดจิต บางทีก็ติดธัมมะคือเรื่องในจิต ซึ่ง
จะพูดง่ายๆ สรุปเข้ามาอีกคือติดกายก็ชอบ
ให้ร่างกายสวยงามก็แล้วกัน
ติดเวทนาก็คือว่าชอบสบาย ร่างกายจะสวยงาม
ไม่สวยงามก็ไม่ว่ากระไร ให้สบายก็แล้วกัน
ติดจิตก็คือว่าให้ถูกใจก็แล้วกัน บางทีก็ไม่ทำ
ให้ร่ายกายสวยงามนัก บางทีก็ไม่ต้องเป็นสุขนัก
แต่ถูกใจชอบใจก็แล้วกัน ติดธัมมะก็คือติดเรื่องราว
ในจิตใจ เมื่อเป็นเรื่องที่จิตชอบละก็เป็นอันว่าใช้ได้
เพราะฉะนั้นก็ให้ปฏิบัติในสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ สติปัฏฐาน
ทั้ง ๔ นี้ก็ใช้แทนกรรมฐานทั้ง ๔๐ ประการนั้นได้
ด้วย
๙ ตุลาคม ๒๕๒๖
--------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นธรรมกถาจากจำนวนทั้งสิ้น ๓๖ ครั้ง
ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน)
บรรยายแก่พระนวกภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร
ในพรรษากาล ๒๕๒๖ มหามกุฏราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูถัมภ์ จัดพิมพ์เนื่อง
ในงานบำเพ็ญกุศลชนมายุครบ ๖ รอบ ของ
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ในวันที่ ๓
ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร