วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 07:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2010, 23:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

เรามีหลักฐานอะไรที่ทำให้เชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่จริง
โดย พระธรรมเมธาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ)
วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร



:b44: • ปุ จ ฉ า

ทำไมจึงทราบประวัติพระพุทธเจ้าได้
ทั้งที่ปรากฏว่า พระองค์ปรินิพพานไปนานแล้ว
และเรามีหลักฐานอะไรที่ทำให้เชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่จริง
พระพุทธเจ้าในอนาคตจะมีอีกไหม ? ถ้าจะมี เมื่อไร ?


:b44: • วิ สั ช น า

ปัญหาที่ถามมีหลายตอน ขอแยกตอบเป็นตอนๆ ดังนี้

ประเด็นแรกที่ว่า ทำไมจึงทราบประวัติพระพุทธเจ้าได้
ทั้งๆ ที่ปรากฏว่า พระองค์ปรินิพพานไปนานแล้วนั้น


เราจะเห็นได้ว่าเรื่องอดีตเป็นอันมาก ไม่จำเพาะแต่ประวัติของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ที่เราได้ทราบและยอมรับกันอยู่ว่า เป็นเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นจริง
สิ่งที่ช่วยให้เราได้ทราบส่วนมากแล้วก็คล้ายคลึงกัน
โดยเฉพาะพระประวัติของพระพุทธเจ้านั้น เราได้ทราบมาหลายทางด้วยกัน เช่น

ก. จากตำรับตำราต่างๆ ที่พระโบราณาจารย์ได้รจนาไว้
ซึ่งได้รับการสั่งสอนศึกษาสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะคือ พระไตรปิฎก
อันรวบรวมพระพุทธวจนะ คือ คำสั่งและคำสอนแล้ว
ยังได้แสดงประวัติของพระองค์ไว้ในพระสูตรต่างๆ มากมาย
ที่สำคัญก็คือว่า เรื่องราวเหล่านั้นตรงกันหมด ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม
ถ้าหากว่าเป็นประเทศพระพุทธศาสนาแล้ว จะลงรอยเป็นอันเดียวกัน
เป็นความจริงทางประวัติศาสตร์ที่อาจจะพิสูจน์ได้ และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
ส่วนข้อปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ นั้น อาจจะมีแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่หาใช่เป็นประเด็นสำคัญไม่

ข. หลักฐานจากสังเวชนียสถานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า
เช่น สถานที่ประสูติ แสดงปฐมเทศนา ตรัสรู้ และปรินิพพาน เป็นต้น
ซึ่งเราอาจจะดูได้ในประเทศอินเดีย และเนปาล ในปัจจุบันนี้
โบราณสถานเหล่านี้ นักโบราณคดีจะบอกให้เราทราบได้อย่างดีว่า
เป็นมาอย่างไร และเกิดขึ้นในครั้งไหน นอกจากนั้นหลักฐานในทางอื่นๆ
เช่น ทางพุทธศิลป์ เจดียสถาน ตลอดถึงวัดวาอารามต่างๆ
อาจจะช่วยให้เราได้ทราบประวัติของพระพุทธเจ้าได้ทั้งนั้น

ประเด็นที่สองที่ถามว่า เรามีหลักฐานอะไรที่ทำให้เชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่จริง

เมื่อพูดถึงหลักฐานแล้ว เราก็มีมากเหลือเกิน ที่ทำให้เชื่อเช่นนั้น
คือ นอกจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ดังได้กล่าวมาแล้ว
สิ่งที่จะช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดี ประการต่อไปก็คือ

๑. ความมีอยู่ของพระธรรม อันเป็นคำสั่งสอนของพระองค์
ข้อนี้อาจจะมีคนแย้งว่า พระธรรม นั้นใครจะแต่งเอาก็ได้ เราจะไปรู้ได้อย่างไร
ข้อนี้แหละที่น่าสนใจ คือ คนที่แต่งหรือคำสอนเช่นนี้แหละ ก็เราเรียกว่า พระพุทธเจ้า
ซึ่งแปลว่า ผู้รู้ หรือเรียกอีกพระนามหนึ่งว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คือ ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง โดยเราพิจารณาได้จากคำสอนเป็นจำนวนมาก
ซึ่งคนธรรมดาคงไม่สามารถสอนได้ เช่น หลักอริยสัจ ๔ ประการ
หลักอนัตตา หลักพระนิพพาน เป็นต้น ซึ่งเป็นคำสอนที่ละเอียดประณีต
และที่เป็นจุดเด่นที่เห็นได้ชัด ในคำสอนของพระองค์ ก็คือว่า
ไม่มีแต่เพียงหลักการอันสวยหรูเพียงอย่างเดียว
แต่มีวิธีการและขั้นตอนแห่งการปฏิบัติไปถึงขั้นนั้น จะเกิดผลอย่างนั้นอย่างนี้
เป็นเหมือนคนที่เคยเดินทางนั้นฟังว่า ในหนทางแต่ละตอนมีอะไรอยู่บ้าง
คนควรจะทำตนอย่างไร เมื่อเดินถึงทางตอนหนึ่งๆ
และเขาจะได้รับประโยชน์อะไร ขณะที่เดินไปถึงหนทางตอนนั้นๆ ด้วย

๒. ลักษณะคำสอนที่อัศจรรย์ คือ คำสอนที่พระองค์ทรงสอนไปแล้ว
จะไม่มีใครคัดค้านได้ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ และกาลไหนก็ตาม

เช่น พระองค์ทรงสอนว่า ความเกิด ความแก่ ความตาย เป็นทุกข์ เป็นต้น
คนเราที่ต้องทุกข์กันนั้น ก็เพราะตัณหา คือ ความทะยานอยากตัวเดียว
ถ้าไม่มีตัณหาเสียได้แล้ว ก็ไม่ต้องทุกข์กัน คำสอนเหล่านี้นานเหลือเกินแล้ว
แต่ก็ยังเป็นความจริงที่ใครไม่อาจคัดค้านได้ หรืออย่างที่ทรงสอนว่า
คนที่ประมาทเหมือนคนที่ตายแล้ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น
ก็เป็นความจริงที่ใครไม่อาจจะคัดค้านได้เช่นเดียวกัน
แม้คำสอนข้ออื่นๆ ก็อยู่ในทำนองนี้ทั้งหมด
ตรงกันข้ามคำสอนของนักปราชญ์ หรือทฤษฎีของนักวิชาการทั้งหลายในอดีต
พอเวลาล่วงเลยมาไม่นานนัก ไม่สามารถทนต่อการพิสูจน์ได้
ต้องล้มไปเป็นจำนวนมากต่อมากแล้ว
แต่คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอัศจรรย์นักเพราะใครไม่อาจคัดค้านได้

ความอัศจรรย์ประการต่อไป คือ ความบริบูรณ์และกระชับแห่งถ้อยคำ
เช่น ทรงสอนว่า สติจะต้องใช้ในการทำงานทั้งปวง
คนฟังจะรู้สึกเห็นจริงๆ และเป็นเช่นนั้นจริงเสียด้วย
หรืออย่างที่พระองค์ตรัสว่า มารย่อมไม่พบเห็นทางของผู้มีศีลบริบูรณ์
ไม่ประมาทเป็นปกติ และหลุดพ้นเพราะรู้ชอบ
ดังนี้ จะเห็นได้ว่า แต่ละตอนเป็นคำพูดที่รัดกุม
เพราะถ้ามีศีลเฉยๆ ความหมายและผลที่เกิดขึ้นก็จะบกพร่องไป
คนผู้ปฏิบัติอาจจะไม่พ้นจากอำนาจของความชั่วได้ เป็นต้น

ความอัศจรรย์ประการต่อไป คือ คำสอนอันใดก็ตามที่พระองค์บอกว่าดี
และให้ผลเป็นความสุขแก่ผู้ปฏิบัติ ก็จะให้ผลจริงเช่นนั้น
หรือว่าสิ่งใดที่พระองค์ทรงแสดงว่าไม่ดี ให้โทษแก่ผู้กระทำ สิ่งนั้นก็จะให้โทษจริงเสียด้วย
คนที่สอนได้อย่างอัศจรรย์เช่นนี้ หาใช่วิสัยของคนธรรมดาไม่
ท่านผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ได้นามว่า พระพุทธเจ้า โดยไม่ต้องสงสัย

๓. ความมีอยู่ของพระสงฆ์ ก็เป็นหลักฐานอันหนึ่งที่จะยืนยันได้ว่า
มีบุคคลผู้หนึ่งในอดีตกาล ได้ตรัสรู้พระธรรมอันสูงสุด
และได้สั่งสอนธรรมอันนั้นแก่โลก
จนมีพระสงฆ์สาวกสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

เพราะพระสงฆ์จะมีไม่ได้เลย ถ้าขาดพระพุทธเจ้าเสียแล้ว
เนื่องจากว่ารัตนะทั้งสามนี้มีความเกี่ยวข้องกัน อย่างที่ไม่อาจจะแยกกันได้
เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้พระธรรม พระธรรมเป็นคำสั่งสอนของพระองค์
พระสงฆ์เล่า ก็เป็นกลุ่มชนที่รับนับถือคำสอนของพระพุทธเจ้า
และมีการศึกษาปฏิบัติสืบต่อกันมา จนถึงปัจจุบันดังได้กล่าวมาแล้ว
นี้ก็เป็นหลักฐานอีกประการหนึ่งที่ทำให้เชื่อว่า เคยมีท่านผู้หนึ่งได้นามว่า
พระพุทธเจ้า เกิดขึ้นในโลก และได้ปรินิพพานไปแล้ว
ยังเหลือแต่พระธรรมและพระวินัยเป็นตัวแทนพระองค์
พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกที่ได้นับถือ ปฏิบัติสืบต่อกันมา
นี้เป็นหลักฐานซึ่งกล่าวมาโดยย่อ พอเป็นแนวพิจารณา

ประเด็นปัญหาในตอนต่อไปที่ถามว่า
พระพุทธเจ้าในอนาคตจะมีอีกไหม ? ถ้ามีจะมีเมื่อไร ?


เมื่อว่ากันตามหลักฐานทางบาลี หรือตำรับตำราที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
ท่านก็ได้แสดงไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ในภัทรกัปนี้จะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น
และสั่งสอนสัตว์โลกถึง ๕ พระองค์ด้วยกัน และได้เกิดมาแล้ว ๔ พระองค์
คือ พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระกัสสป และพระโคดม
ในอนาคตจะมีอีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรย
หรือที่เราพูดกันโดยทั่วไปว่า พระศรีอาริย์ จนถึงกับคนเป็นจำนวนมาก
หลังจากได้ทำบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง มีการให้ทานเป็นต้น
ก็จะอธิษฐานขอให้ได้เกิดพบศาสนาของพระศรีอาริย์
เพราะท่านเล่าไว้ว่าในยุคนั้น จะมีอะไรๆ หลายอย่างดีกว่าในปัจจุบัน
ดังนั้น จึงมีคนต้องการไปเกิดกันมาก คงจะคิดว่า น่าสนุกดี
แต่การจะพูดเพียงตำราเท่านั้น บางท่านก็อาจจะติงว่า ตำรานั้นใครแต่งเอาก็ได้
จะจริงเท็จอย่างไร ใครพิสูจน์ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องไกลเหลือเกิน
จึงน่าจะพิจารณากันในแง่ของเหตุผล
และประเด็นของความน่าจะเป็นไปได้ หรือว่าจะเป็นไปไม่ได้อย่างไรด้วย

เมื่อว่ากันตามหลักแล้ว ตำแหน่งหรือฐานะความเป็นทั้งหลายในโลก
เช่น เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเศรษฐี เป็นนักปราชญ์ เป็นต้น
ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เป็นตำแหน่งผูกขาดทั้งนั้น ใครๆ ก็อาจจะเป็นได้
ถ้าเขามีอุปกรณ์ในการที่จะช่วยให้ได้ตำแหน่งเหล่านั้นเพียงพอ
เช่น ถ้าต้องการจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ไม่มีใครหวงตำแหน่งนั้นไว้
ถ้าใครมีความขยันหมั่น และความตั้งใจจริง เขาก็อาจจะเป็นได้เหมือนกันหมด
แต่ถึงอย่างนั้น เราก็พบความจริงข้อหนึ่งว่า คนอยากจะเป็นนั้นมีมากจริง
แต่คนที่ได้เป็นมีน้อยเหลือเกิน ทั้งนี้เป็นเพราะว่า
"การได้เป็นนั้น ไม่ง่ายเหมือนกับอยากจะเป็น"
เพราะผู้ที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์เป็นต้นได้
จะต้องประกอบด้วยองค์คุณสมบัติหลายประการ มีความขยัน เป็นต้น

ตำแหน่งพระพุทธเจ้าก็ทำนองเดียวกัน โดยความเป็นจริงแล้ว
ย่อมไม่มีใครผูกขาดไว้สำหรับตนเลย ถ้าหากจะมีการผูกขาด
ก็ผูกขาดไว้สำหรับคนที่ได้บำเพ็ญบารมีมาบริบูรณ์
ก็อะไรเรียกว่า บารมีเล่า บารมีนั้นได้แก่ การเก็บ การสั่งสมความดีนานาประการ
มี "ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และ อุเบกขา"
ขั้นธรรมดาสามัญ จนถึงขั้นที่จะยอมเสียได้ทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตของตนเอง
เพื่อให้ได้มาซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ และจะต้องทำมาเป็นเวลาหลายแสนชาติ
โดยไม่บกพร่อง เขาผู้นั้นก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าสมตามปรารถนา
จากความจริงข้อนี้ เป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงลักษณะอันเด่นชัดของพระพุทธศาสนาว่า
เป็นศาสนาที่ถือหลักธรรมาธิปไตย ความเป็นทุกอย่างในพระพุทธศาสนา
เปิดโอกาสเพื่อคนทุกคนที่มีความตั้งใจ อาศัยศรัทธา เป็นต้น
เป็นเครื่องมือในการก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางที่ทุกคนประสงค์

จึงอาจยืนยันได้ว่า พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ยกย่อง
และเทิดทูนผู้ที่ช่วยตนเอง มีความตั้งใจเด็ดเดี่ยว เพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งชีวิต
หรืออุดมคติในทางพระพุทธศาสนา ถ้าทำได้แล้ว เขาจะเป็นใคร
มาจากไหนก็ตาม ย่อมได้รับผลเสมอกันหมด ไม่มีข้อยกเว้น
การเป็นพระพุทธเจ้าในศาสนา เนื่องมาจากการบำเพ็ญบารมีดังกล่าวแล้วให้สมบูรณ์
ซึ่งท่านแบ่งเป็น ๓ ชั้น คือ ชั้นบารมีธรรมดา ชั้นอุปบารมี และชั้นปรมัตถบารมี
เมื่อทำได้ เขาก็จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ แม้พระพุทธเจ้าเองเมื่อก่อนก็เป็นคนธรรมดาสามัญ
แต่ที่พระองค์ได้ตรัสรู้ขึ้นมาได้ก็เพราะอาศัยบารมีธรรมดังกล่าวมาแล้ว
ที่พระองค์ได้บำเพ็ญมาในชาติก่อน และในปัจจุบันชาติ ก่อนการตรัสรู้
ดังนั้น เมื่อว่ากันตามหลักทั้ง ๒ ประการดังกล่าวมา พระพุทธเจ้าในอนาคตจึงมีได้แน่นอน

ปัญหาตอนสุดท้ายที่ถามว่า พระพุทธเจ้าในอนาคต จะมีเมื่อไรนั้น

ว่ากันตามตำนานที่มีปรากฏในตำราทางพระพุทธศาสนาแล้ว
ท่านแสดงว่า เมื่อพระพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้ ได้เสื่อมหายไปยุคหนึ่ง
ในอนาคตอันไม่ใกล้นัก โลกก็จะว่างจากพระพุทธศาสนาไประยะหนึ่ง
ซึ่งก็คงจะเป็นเวลาอีกนานอยู่เหมือนกัน และพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
ก็จะมาบังเกิดและตรัสรู้ แล้วสั่งสอนธรรม
อย่างที่พระพุทธเจ้าของเราได้ทรงกระทำมาแล้ว ทำไมจึงต้องเป็นอย่างนั้น
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจะตรัสรู้
ย่อมจะตรัสรู้อริยสัจทั้ง ๔ ประการเหมือนกันหมด
ดังนั้น กาลที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติก็ต้องเป็นกาลที่ชาวโลก
ไม่มีความรู้เรื่องอริยสัจอยู่เลย แม้จะเป็นเพียงการรู้ตามธรรมดา
ด้วยการศึกษาเพียงอย่างเดียวก็ตาม

ถ้าไม่ถึงขั้นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดมา
เพราะถ้าสอนตรัสรู้เรื่องอริยสัจ ในขณะที่ชาวโลกทั้งมวลยังทราบหลักอริยสัจ
เราก็ไม่เรียกว่าเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หากแต่เรียกว่า สัตพุทธ หรือ อนุพุทธ
ซึ่งแปลว่า ท่านผู้รู้เพราะฟัง และผู้ตรัสรู้ตามเท่านั้น
ถ้าจะถามว่า ตรัสรู้ตามใคร ก็ตอบได้ว่า ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า
เพราะหลักอริยสัจอันนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้มาก่อนและสั่งสอนไว้
คนมาตรัสรู้ทีหลัง ในขณะที่คำสอนของพระองค์ยังปรากฏอยู่
จึงเป็นได้เพียงอนุพุทธดังกล่าวมาแล้ว

ขอแทรกข้อคิดเห็นสักเล็กน้อย มีคนเป็นคนเป็นจำนวนมาก
ที่ปรารถนาพบศาสนาของพระศรีอาริย์ เชื่อกันว่า จะมาตรัสรู้ในอนาคต
เห็นได้ว่าเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะพระศรีอาริย์หรือพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม
ทรงเป็นเพียงผู้สอนเท่านั้น พระองค์ไม่อาจจะช่วยใครให้เป็นพระอรหันต์ได้
โดยที่ผู้นั้นไม่ได้ใช้ความเพียรพยายามเลย และคำสอนของท่านเล่า
ก็หาได้ต่างไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าของเราไม่
ผู้ที่ปรารถนาพบพระศรีอาริย์จึงเป็นเสมือนคนป่วยหนักที่พบหมอแล้ว
แต่ไม่ต้องการจะรักษา กลับปรารถนาพบหมออีกคนหนึ่ง
ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะมาเมื่อไร และตนจะได้พบกับหมอนั้นหรือเปล่า

บุคคลผู้ปรารถนาศาสนาพระศรีอาริย์
ทั้งๆ ที่ศาสนานั้นก็ไม่แตกต่างอะไรกับศาสนาในปัจจุบัน
เพราะเป็นพระพุทธศาสนาเหมือนกัน จึงชื่อว่าเป็นผู้ประมาทโดยแท้
และเขาย่อมได้ชื่อว่า ปล่อยเวลาแห่งชีวิตให้ล่วงเลยไป
โดยไม่ได้รับประโยชน์จากศาสนาเท่าที่ควร
ดังนั้น หน้าที่ของศาสนิกที่ดี คือ การพยายามทำตามศาสโนวาท
เท่าที่เวลาแลโอกาสจะอำนวยให้
โดยการไม่พยายามใฝ่ฝันที่จะได้รับผลในอนาคตเพียงอย่างเดียว
แต่กลับมาให้ความสนใจในปัจจุบัน
โดยการดำรงตนอยู่ด้วยความไม่ประมาทตามพระพุทธโอวาท
เมื่อทำได้เช่นนี้ย่อมได้ชื่อว่าทำหน้าที่ของตนให้บริบูรณ์
และไม่ต้องเสียใจในกาลภายหลัง

:b8: :b8: :b8:

หมายเหตุ : ธรรมบรรยายบทนี้ประพันธ์ไว้เมื่อครั้งที่ พระธรรมเมธาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ)
ยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระโสภณคณาภรณ์


(ที่มา : ตอบปัญหาทางพระพุทธศาสนา ๑ โดย พระโสภณคณาภรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร,
พิมพ์แผยแพร่เพื่อเป็นพุทธศาสนบูชา และธรรมบรรณาการ พุทธศักราช ๒๕๒๒)


:b47: รวมคำสอน “พระธรรมเมธาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=47886


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2010, 02:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: สาธุครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2014, 14:01 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขออนุโมทนา สาธุค่ะ ได้รับประโยชน์มากค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ม.ค. 2015, 12:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร