เนื่องในวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสให้ทุกฝ่ายร่วมแก้ปัญหา ให้กำลังใจกันและกัน ไม่ขัดแย้งแตกแยก เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

เวลา ๑๐.๒๕ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินจากที่ประทับโรงพยาบาลศิริราช โดยมีประชาชนเฝ้ารอต่างเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” กึกก้องตลอดเส้นทางที่เสด็จผ่าน ขณะที่บรรยากาศหน้าประตูศักดิ์ไชยสิทธิ์ พระบรมมหาราชวัง ประชาชนต่างถือธงชาติไทย-ธงตราสัญลักษณ์ โบกสะบัด พร้อมเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ตลอดเวลา เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จถึงประตูศักดิ์ไชยสิทธิ์ พระบรมมหาราชวัง ในเวลา ๑๐.๔๓ น. โดยผู้บังคับกองทหารเกียรติยศบอกถวายความเคารพ ดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เมื่อจบเพลงผู้บังคับกองทหารเกียรติยศบอกเลิกถวายความเคารพ จนกระทั่งเวลา ๑๑.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ ได้เสด็จออกมุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พล.ต.พิสิทธิ์ สิทธิสาร ผู้บังคับกองทหารเกียรติยศผสม บอกถวายความเคารพ ดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี โดยมีทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ ยิงปืนใหญ่ เฉลิมพระเกียรติฝ่ายละ ๒๑ นัด เมื่อเพลงจบ ผู้บังคับกองทหารเกียรติยศผสมบอกเลิกถวายความเคารพ

หลังจากนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเปิดกรวยกระทงดอกไม้ ธูปเทียน แล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล โดยมีความว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ มีความปิติปราโมทย์พ้นประมาณที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้มาประชุม เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคลในมหามงคลสมัยที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๗ รอบ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายสำนึกตระหนักเสมอในพระราชจริยวัตรที่ทรงพระราชอุตสาหะปฏิบัติบำเพ็ญประการทั้งหลายทั้งปวง ก็เพื่อความเจริญร่มเย็นของอาณาประชาราษฎร์ และความมั่นคงของประเทศชาติเป็นสำคัญ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวง ผู้มีวาสนาอย่างยิ่งที่เกิดมาในแผ่นดินไทยภายใต้พระบุญญาธิการ จึงได้รับพระบารมีแพร่ปกเกล้าปกกระหม่อม ให้มีความสุข ความเจริญ และมีเกียรติยศเป็นที่เชิดชู ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอยู่ถ้วนหน้า ในมหามงคลสมัยพิเศษนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจึงขอพระราชทานถวายสัตยปฏิญาณว่า การใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ความผาสุขมั่นคงของประเทศชาติและประชาชนแล้ว จะมุ่งมั่นปฏิบัติการนั้นจนเต็มกำลังความรู้ ความสามารถ เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยกตัญญูกตเวธิตาจิต และความจงรักภักดี ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออานุภาพคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระมหากษัตริย์ในอดีตทุกพระองค์ จงพร้อมกันอภิบาลใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทให้ทรงสมบูรณ์ด้วยพลานามัย มีพระราชหฤทัยผ่องแผ้ว ปลอดพ้นจากเรื่องรบกวนกังวล มีพระราชประสงค์จำนงค์ใดขอให้จงสำเร็จศุภผลดั่งพระราชหฤทัยจำนงค์ทุกประการ เมื่อเสร็จแล้วเสด็จยืนเฝ้าที่แถวหน้าพระบรมศานุวงศ์บนพระที่นั่งจักรีปราสาท

ต่อมา นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดกรวยกระทง ดอกไม้ ธูปเทียน และกราบบังคมทูลถวายพระพรแทนคณะรัฐมนตรี ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน และราษฎร ว่าขอพระราชทานกราบบังคมทูล เพราะกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ถึงความปลาบปลื้มปิติของปวงข้าพระพุทธเจ้า ที่ใต้ฝ่าละอองมีพลานามัยสมบูร์แข็งแรง และพระราชพระบรมราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ข้าพระพุทธเจ้าและพสกนิกรชาวไทยตระหนักดีว่า ชีวิตทุกวันนี้เย็นศิระเพราะพระบริบาลโดยแท้ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงเป็นดวงประทีป และธงชัยนำชีวิตของข้าพระพุทธเจ้าและคนไทยทั้งแผ่นดิน การปฏิบัติตนเพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณด้วยความรู้รัก ด้วยความสามัคคี จึงเป็นมิ่งมงคลและเป็นความดีงามเพิ่มที่พึ่งยึดถือโดยไม่เว้นวาย นี่คือความรู้สึกอันมีอยู่ในหัวใจข้าพระพุทธเจ้าและพสกนิกรคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง ขอถวายพระพรให้พระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสุขทุกทิวาราตรีกาล ปราศจากโรคาพาท และอุปัทอันตรายทั้งปวง หลังจากนั้น นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา และนายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา เปิดกรวยกระทง ดอกไม้ ธูปเทียน และกราบบังคมทูลถวายพระพรตามลำดับ



เวลา ๑๑.๑๘ น. พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้นำทหารรักษาพระองค์กล่าวปฏิญาณตนว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมด้วยผู้บัญชาทหารทุกเหล่าทัพ ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ทหารรักษาพระองค์ และทหารทุกหน่วยทุกเหล่าทัพ ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสถวายสัตย์ปฏิญาณ โดยต่อไปนี้ให้ทหารถวายคำสัตย์ปฏิญาณตามข้าพระเจ้าว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายคำสัตย์ปฏิญาณต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะยอมตายเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดี และถวายความปลอดภัยต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจนชีวิตหาไม่ ข้าพระพุทธเจ้าจะเชิดชูรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ของทหารรักษาพระองค์ ทั้งจะปฏิบัติตนให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกประการ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ เมื่อทหารรักษาพระองค์ถวายสัตย์ปฏิญาณตนจบ ผู้บังคับกองทหารเกียรติยศผสมบอกถวายความเคารพดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี

***** ต่อมา ๑๑.๒๓ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ทรงมีพระราชดำรัสโดยมีใจความว่า ขอขอบพระทัยและขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิด รวมทั้งให้คำยึดมั่นสัญญาโดยประการต่างๆ ข้าพเจ้าขอสนองต่อพรและไมตรีจิตทั้งนั้นด้วยใจจริงเช่นกัน ท่านทั้งหลายในปีนี้ผู้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่สำคัญ ทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร ย่อมทราบแก่ใจอยู่ทั่วกันว่า ความมั่นคงของประเทศชาตินั้น จะเกิดมีขึ้นได้ก็ด้วยประชาชนในชาติ อยู่ดี มีสุข ไม่มีทุกข์ อยากเห็น ดังนั้นการได้หรือการใดที่เป็นความทุกข์ เดือดร้อนของประชาชนทุกคน ทุกฝ่าย จึงต้องถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องร่วมมือกันปฏิบัติแก้ไขให้เต็มกำลัง โดยเฉพาะขณะนี้ประชาชนกำลังเดือดร้อนลำบากจากน้ำท่วม จึงขอให้ร่วมมือกันปัดเป่าแก้ไขให้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว และจัดทำองค์การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ดังเช่นโครงการต่างๆ ที่เคยพูดไปนั้น ก็เป็นการแนะนำ ไม่ได้สั่งการ แต่ถ้าปรึกษากันแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์คุ้มค่าและทำได้ ก็ทำ ข้อสำคัญจะต้องไม่ขัดแย้งแตกแยกกัน หากจะต้องให้กำลังใจกันซึ่งกันและเพื่อให้งานที่ทำบรรลุผลที่มีประโยชน์ เพื่อความผาสุขของประชาชน และความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย และอำนวยความสุข ความเจริญ ให้แก่ท่านทั่วกัน *****

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสจบ ผู้บังคับกองทหารเกียรติยศผสมบอกถวายความเคารพ และดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เมื่อบรรเลงเพลงจบผู้บังคับกองทหารเกียรติยศผสมบอกเลิกถวายความเคารพ ต่อจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่เสด็จออกจากมุขเด็จปิดพระวิสูตร ผู้บังคับกองทหารเกียรติยสผสมบอกถวายความเคารพ ดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมกับนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวนำถวายพระพร “ทรงพระเจริญ” จำนวน ๓ ครั้ง โดยมีผู้เข้าเฝ้าเปล่งเสียงตามนายกรัฐมนตรี เมื่อเพลงบรรเลงจบลง ผู้บังคับกองทหารเกียรติผสมบอกเลิกถวายความเคารพ หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรถยนต์พระที่นั่ง เพื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับเมื่อเวลา ๑๑.๔๗ น. เมื่อรถยนต์พระที่นั่งเริ่มเคลื่อนออก ผู้บังคับกองทหารเกียรติยศผสมบอกถวายความเคารพ ดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เมื่อเพลงจบ ผู้บังคับกองทหารเกียรติยศผสมบอกเลิกถวายความเคารพ ผู้บังคับกองทหารเกียรติยศผสมสั่งกองทหารเกียรติผสมปลดดาบ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณเลิกแถว ผู้บังคับกองทหารเกียรติยศผสมสั่งแบกอาวุธ เสร็จแล้ว แถวทหารเริ่มเดินออกจากหน้ามุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ไปยังที่รวมพล ถ.หลักเมือง ข้างกระทรวงกลาโหม โดยใช้เส้นทางเดิมถือเป็นการจบพิธี ซึ่งตลอดเส้นทางประชาชนที่มารอเข้าเฝ้าต่างเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ตลอดเส้นทางขบวนเสด็จตั้งแต่เสด็จออกจากพระบรมมหาราชวัง จนถึง รพ.ศิริราช




ที่มาของข้อมูล... http://www.suthichaiyoon.com/
ที่มาของรูปภาพ... http://www.thairath.co.th/