ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พระราชปุจฉาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=25&t=30620 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 04 เม.ย. 2010, 16:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | พระราชปุจฉาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช |
พ ร ะ ร า ช ปุ จ ฉ า ใ น รั ช ก า ล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช* ว่าด้วยอานิสงส์ยิ่งกว่ากันเป็นชั้นๆ • พ ร ะ ร า ช ปุ จ ฉ า ที่ ๘ ว่าด้วยอานิสงส์ยิ่งกว่ากันเป็นชั้นๆ ตั้งแต่บุคคลิกทาน จนถึงจำเริญพระไตรลักษณญาณ กับอานิสงส์บำรุงยกพระศาสนา ใครจะมากกว่ากัน ศุภมัสดุจุลศักราช ๑๑๔๖ นาคสังวัจฉรนักษัตร ฉศก เจตรมาศ กาลปักษ์ ปัญจมีดฤถีรวิวารปริเฉทกาลกำหนด พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จสถิต ณ พระที่นั่งดุสิดารมย์ ทรงพระกรุณาดำรัสเหนือเกล้าฯ ประภาษพระราชปุจฉา ให้ออกหลวงศรีวรโวหารราชบัณฑิตลิขิตเขียนหน้าพระที่นั่ง แล้วให้ไปเผดียงถามสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวงว่า ผลอานิสงส์สังฆทานนั้นก็ยิ่งหนักหนาหาที่สุดมิได้ อันบุคคลได้ถวายทานแก่ พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันตาขีณาสพเจ้าเต็มทั่วไปทั้งจักรวาฬ แต่ก็เป็นบุคคลิกทาน ก็บ่มิเท่าสังฆทาน มิเท่าผลานิสงส์ บุคคลสร้างโรงธรรมสภาศาลา ถวายแก่พระสงฆ์ในจตุรทิศทั้ง ๔ สร้างโรงธรรมสภาศาลาถวายแก่พระสงฆ์ในจตุรทิศ ก็มิเท่าพระรักษาพระไตรสรณคมน์ รักษาสรณคมณ์ บ่มิเท่าผู้ถึงแก่พระสรณคมน์แล้วแลรักษาศีล ๕ ถึงสรณคมณ์แล้วรักษาศีล ๕ บ่มิเท่าผู้จำเริญเมตตาวนาแต่ประมาณรูดน้ำนมโคที่หนึ่ง จำเริญเมตตาภาวนา บ่มิเท่าผู้เห็นอนิจจัง พระทุกขัง พระอนัตตาเพียงลัดนิ้วมือหนึ่ง ซึ่งเป็นอานิสงส์สุดยอดอานิสงส์เป็นชั้นๆกันขึ้นมาถึงเพียงนี้ กับผู้ได้บำรุงพระศาสนานั้น ข้างผู้ใดจะมีผลานิสงส์มากกว่ากัน ขอให้สมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวงวิสัชชาจงแจ้ง (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 04 เม.ย. 2010, 16:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระราชปุจฉาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมาหราช |
• แ ก้ พ ร ะ ร า ช ปุ จ ฉ า ที่ ๘ อาตมาภาพ สมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวง ๑๐ รูป ขอพระราชทานถวายพระพร ด้วยทรงพระราชดำริในพระราชกุศลดังนี้ เป็นประเพณีหน่อพุทธางกูร เหมือนสมเด็จพระเจ้าเนมิราชบรมโพธิสัตว์ อันทรงพระราชดำริเนืองๆ ว่า ทานจะยิ่งกว่าอานิสงส์ศีลฤา ฤาศีลจะยิ่งกว่าผลอานิสงส์แห่งทาน สมเด็จอมิรนทราธิราชลงมาแก้ปริศนาด้วยอุทาหรณ์ต่างๆว่า ศีลมีอานิสงส์ยิ่งกว่าทาน จึงสิ้นวิมติพระสงสัย ดุจพระราชดำริครั้งนี้ว่า บุคคลรักษาพระไตรสรณคมน์ แลรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ประการ แลปลงปัญญาลงสู่พระไตรลักษณญาณว่า มีผลมากยิ่งกว่าสังฆทาน ยิ่งกว่าวิหารทาน พระบาลีอันนี้อาศัยพระไตรสรณคมน์เป็นโลกีย์ แลศีลเป็นโลกุตตร แลเมตตาจิตอันถึงซึ่งอัปนาฌาน แลอนิจสัญญาวิปัสสนาอันใกล้ซึ่งมรรคผลอยู่แล้ว จึงเป็นที่สรรเสริญประเสริฐขึ้นไปกว่าสังฆทานวิหารทาน อนึ่งบุคคลอันเป็นปุถุชนแลรักษาพระไตรสรณคมน์ แลศีล ๕ ศีล ๘ อันเป็นโลกีย์ จะบริจาคชีวิตยังมิได้ ถ้าจำเริญเมตตายังมิได้ฌาน แลจำเริญอนิจสัญญาวิปัสสนานั้น มิได้ถึงมรรคผล จะนับว่ามีผลานิสงส์ยิ่งกว่าทะนุบำรุงยกย่องพระศาสนายังมิได้ อันบุคคลทะนุบำรุงยกย่องพระศาสนาเป็นปฏิบัติบูชา มีผลานิสงส์มากกว่าสังฆทานวิหารทาน สรณคมน์ ศีล ๕ เมตตาภาวนาไตรลักษณญาณ ดังพรรณาแล้ว อันเป็นโลกีย์ยังมิเป็นโลกุตตร (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 04 เม.ย. 2010, 16:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระราชปุจฉาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมาหรา |
ดุจวาระพระบาลีว่า โย จ อุปาสโก ยา จ อุปาสิกา ตีสุ สรเณสุ ปญฺจสุ สีเลสุ ทสสุ สีเลสุ ปริปูรการี โหติ อธิบายว่า อุบาสกอุบสิกาผู้ใดรักษาพระไตรสรณคมน์ แลศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ประการ แล้วจึงให้ทานบูชาของหอมดอกไม้ แลปรนนิบัติบิดามารดา เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูล ปฏิบัติเสมออันเป็นธรรม แลเคารพพระรัตนตรัยเลี้ยงชีวิตโดยธรรม สร้างพระพุทธรูป สร้างพระธรรม แลพระสถูปพระเจดีย์พระวิหารโรงธรรมอุโบสถ ก็จัดได้ชื่อว่า ปฏิปัตติบูชา อาจสามารถจะทรงไว้ซึ่งพระศาสนาได้ ชื่อว่าบำรุงยกย่องพระศาสนา เหมือนสมเด็จพระเจ้าอภัยทุฏฐคามินี เมื่อแรกกระทำสงครามด้วยพระราชอนุชา พระอรหันต์เจ้าพิจารณาเห็นว่ากษัตริยทั้งสอง จะได้ทำนุบำรุงพระศาสนา จึงได้นฤมิตเป็นภูเขาขวางหน้ากษัตริย์ทั้งสองนั้นเสีย มิให้เป็นอันตราย เมื่อพระเจ้าทุฏฐคามินีได้เสวยราชสมบัติแล้ว ได้สร้างพระพุทธรูป พระสถูปเจดีย์ แลสร้างพระวิหารได้ ๙๙ พระวิหาร ก็ได้ชื่อว่าทะนุบำรุงพระศาสนาให้รุ่งเรือง แลบุคคลปรนนิบัติทะนุบำรุงยกย่องพระศาสนา มีผลานิสงส์ยิ่งกว่าศีล ยิ่งกว่าสรณคมน์อันเป็นโลกีย์ อนึ่งกษัตริย์พระองค์ใด เห็นพระพุทธศาสนาเศร้าหมอง แล้วตักเตือนพระสงฆ์สามเณรให้ตั้งอยู่ในสิกขาบทอันใหญ่น้อย แลเรียนสมถวิปัสสนาแลไตรปิฏก แล้วได้สงเคราะห์ด้วยจตุปัจจัย คือจีวรบิณฑ เป็นต้น ก็ได้ชื่อว่าทะนุบำรุงพระศาสนา อันผลานิสงส์เป็นอนันตังปริมาณังล้ำเลิศประเสริฐหาที่สุดมิได้ เหมือนเมื่อครั้งศาสนาสมเด็จพระพุทธเจ้ากัสสปเศร้าหมองเสื่อมเรียวลงนั้น สมเด็จอมรินทราธิราช ให้พระวิษณุกรรมเทวบุตร นฤมิตเป็นสุนัขใหญ่ร้องคุกคำรามแก่ภิกษุภิกษุณีอุบาสกอุบาสกา ผู้ใจบาปหยาบช้า ให้ละเสียซึ่งทุจริตผิดธรรม ให้ตั้งอยู่ในสุจริต ก็ได้ชื่อบำรุงพระศาสนา ขอถวายพระพรฯ หมายเหตุ * : อักขรวิธีตามต้นฉบับ (คัดลอกบางตอนมาจาก : “พระราชปุจฉาที่ ๘ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก” ใน ประชุมพระราชปุจฉา เล่ม ๑ : กรมศิลปากรจัดพิมพ์เผยแพร่ รวมพิมพ์ครั้งแรก, พุทธศักราช ๒๕๕๐, หน้า ๑๒๖-๑๒๙) |
เจ้าของ: | อุบาสกน้อย [ 02 พ.ค. 2015, 13:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระราชปุจฉาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหารา |
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |