ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ธรรมศาสตราของเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=25&t=19363 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 04 ธ.ค. 2008, 00:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | ธรรมศาสตราของเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน |
“ธ ร ร ม ศ า ส ต ร า ของ...เ จ้ า ชี วิ ต - เ จ้ า แ ผ่ น ดิ น” คนไทยรุ่นใหม่ที่มีอายุต่ำกว่า ๗๕ ปี ลงมา โดยเฉพาะผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี-โท-เอก จากต่างประเทศ จะมองภาพลักษณ์ของเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน ผิดไปจากความเป็นจริง และจะทราบถึงคุณสมบัติ วัตรปฏิบัติ การใช้อำนาจ ของพระเจ้าแผ่นดินในประวัติศาสตร์ของตนเองน้อยมาก อาจจะมีความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเลยไปว่า พระเจ้าแผ่นดินของไทยในอดีต ใช้อำนาจปกครองราษฎรด้วยการบังคับ กดขี่ ข่มเหง ย่ำยีประชาชน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ลองพิจารณาจากงานเขียนชุดนี้และพระบรมราโชวาท ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระราชโอรส เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๒ ว่า “การที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ใช่สำหรับมั่งมี ไม่ใช่สำหรับคุมเหงคนเล่นตามชอบใจ มิใช่เกลียดไว้แล้ว จะได้แก้เผ็ด มิใช่เป็นผู้สำหรับจะกินนอนสบาย... เป็นเจ้าแผ่นดินสำหรับแต่เป็นคนจน และเป็นคนที่อดกลั้นต่อสุขต่อทุกข์ อดกลั้นต่อความรักและความชัง อันจะเกิดฉิวขึ้นมาในใจ หรือมีผู้ยุยง เป็นผู้ปราศจากความเกียจคร้าน... และเป็นผู้ป้องกันความทุกข์ของราษฎรซึ่งอยู่ในอำนาจปกครอง...” • ส ม บู ร ณ า ญ า สิ ท ธิ์ อดีตอำนาจสูงสุดในแผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นเจ้าชีวิตที่ทรงมีพระราชอำนาจเหนือชีวิตของคนทุกคน จะให้ประหารชีวิต ลงโทษราษฎรใดๆ ได้ตามพระราชอัธยาศัย และทรงเป็นเจ้าแผ่นดิน หรือเป็นเจ้าของแผ่นดินทั่วพระราชอาณาจักร ราษฎรทั้งหลายเป็นข้าของแผ่นดินจะมีสิทธิครอบครองที่ดินได้ ต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อน นั่นคือ ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระเจ้าแผ่นดิน การดำรงฐานะของเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต มีรูปแบบการใช้อำนาจรัฐาธิปัตย์แตกต่างกันไปบ้างตามกาลสมัย แต่ก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งพระราชอำนาจสูงสุดเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ของผู้คนตลอดทั่วพระราชอาณาจักร และทรงเป็นผู้นำทางจิตใจของคนไทย โดยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลากว่า ๑,๐๐๐ ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน [พระบรมราชานุสาวรีย์ พุ่อขุนรามคำแหงมหาราช] • ในสมัยกรุงสุโขทัย มีพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า “พ่อขุน” เป็นเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นผู้ครองนครที่ดูแลทุกข์สุข ปกครองบ้านเมืองให้อยู่อย่างปลอดภัย คอยปกป้องดูแลราษฎรให้มีความสุข ได้รับความยุติธรรมเสมอหน้ากัน ราษฎรมีสิทธิในการร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์ และมีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย เป็นการปกครองเยี่ยงบิดากับบุตรหรือ “พ่อปกครองลูก” [พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช] • ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ในฐานะเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นสมมติเทพของคนไทยตามอิทธิพลลัทธิมหายานปนลัทธิพราหมณ์ ที่มีความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็น พระจักรพรรดิ และได้มีการยกฐานะพระมหากษัตริย์เท่ากับพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในเทวภูมิ (ราชบัลลังก์ของพระมหากษัตริย์เหมือนแท่นบัลลังก์ของพระอินทร์ ประดับด้วยรูปสิงห์และครุฑตามความเชื่อในเทพต่างๆ เช่น พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์) พระนามของพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ จึงทรงพระนามตามชื่อเทพพรหมเหล่านั้น (เช่น พระนารายณ์มหาราช พระรามาธิบดี) ขณะเดียวกัน “พระมหากษัตริย์” ในสมัยอยุธยา ก็ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกในพระพุทธศาสนา คนไทยเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ของตนคือพระ “ธรรมราชา” เป็นผู้มีพระบรมเดชานุภาพทรงความเข้มแข็งเด็ดขาด ควบคู่ไปกับทรงต้องบำรุงพระพุทธศาสนา [พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประดิษฐาน ณ ทุ่งภูเขาทอง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา] หลังจากพระนเรศวรมหาราชทรงขับไล่พม่าข้าศึกไปจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลต่อๆ มา ก็หันไปบำรุงด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม มิได้บำรุงด้านทหารให้เข้มแข็งเหมือนเดิม มินานก็เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ แก่พม่าอีกครั้งหนึ่ง จนอยุธยาต้องล่มสลายลงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ • ในสมัยกรุงธนบุรี สมัยพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ต้องใช้พระราชอำนาจเด็ดขาดกอบกู้บ้านเมือง ขับไล่ศัตรูจนสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี กอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงรักษาความเป็นธรรมราชาด้วย แต่พระองค์ก็ทรงครองราชย์อยู่ในช่วงเวลาอันสั้น [พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช] • ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ความเป็นเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน เปลี่ยนแปลงรูปแบบอีกครั้ง จากเทพสมมติ มาเป็น “อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ” คือ เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ประชาชนทั้งปวงยอมรับ ด้วยการที่ข้าราชการและราษฎรทั้งปวงพร้อมกันกราบทูลวิงวอน เชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชสมบัติ นอกจากประชาชนจะยอมรับในองค์พระมหากษัตริย์แล้ว ประชาชนยังมีความเชื่ออีกว่า พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะต้องทรงตั้งมั่นในหลักธรรมะ คือ ทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ และ จักรวรรดิวัตร ที่จะทรงใช้ในการทรงคุ้มครอง และทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินและราษฎร [พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ : องค์ปฐมบรมราชจักรีวงศ์] (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 04 ธ.ค. 2008, 00:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ธรรมศาสตราของเจ้าชีวิต- เจ้าแผ่นดิน |
[พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงประทับหน้าใบเสมาพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙] • ธ ร ร ม ะ ศ า ส ต ร า ลักษณะและรูปแบบการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็น เจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน ของคนไทยที่ผ่านมา มิได้ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์หรือพระแสงราชศาสตรา มาเป็นเครื่องมือแสดงอำนาจบาตรใหญ่กับราษฎร หรือประชาชนในปกครองตามอำเภอใจ การใช้พระราชอำนาจทั้งปวงมี ธรรมะศาสตรา เป็นอาวุธ คือ การใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือเป็นอาวุธ เป็นเครื่องกำกับการใช้อำนาจในการปกครอง ปกป้องรักษาคุ้มครองไพร่ฟ้าประชาชน ดั่ง “บิดาปกครองบุตร” ดั่ง สมมติเทพและธรรมราชา ดั่ง อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ วิชาธรรมศาสตร์ เป็นวิชาทางการปกครองบ้านเมืองที่มีมาช้านานตั้งแต่ก่อนพุทธกาล เป็นไปตามลัทธิพราหมณ์ที่สอนไว้ว่า ผู้จะทำหน้าที่เป็นพระมหากษัตริย์จะต้องเรียนรู้วิชาการต่างๆ ดั่งมีตำนานเล่าขานว่า ฤาษีมโนสารเหาะไปนำคัมภีร์ธรรมศาสตร์มาจากกำแพงจักรวาล (ไม่ปรากฏรายละเอียดของคัมภีร์) และในศาสนาพราหมณ์กำหนดหน้าที่ของบุคคลในวรรณะกษัตริย์ไว้ ให้ทำหน้าที่ป้องกันประชาชนและทำหน้าที่บริจาคทาน บูชายัญ ศึกษา เป็นต้น นอกจากคัมภีร์ธรรมศาสตร์จะบอกเล่ากล่าวขาน ถึงหลักปฏิบัติการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ไว้ต่างๆ เป็นเครื่องยึดถือของพระมหากษัตริย์ของไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พระมหากษัตริย์ของไทยยังได้มีการออกกฎมณเฑียรบาล ป้องกันมิให้พระองค์ทรงใช้อำนาจในทางที่ผิดไว้เป็น พระราชศาสตร์ ดังความว่า “...พระเจ้าอยู่หัวดำรัสด้วยกิจการคดีถ้อยความประการใดๆ ต้องกฎหมายประเพณีเป็นยุติธรรมแล้ว ให้กระทำตาม ถ้ามิชอบ จงอาจเพ็ดทูลทัดทานครั้งหนึ่ง สองครั้ง สามครั้ง ถ้ามิฟังให้รอไว้อย่าเพิ่งสั่งไป ให้ทูลในที่รโหฐาน ถ้ามิฟังจึงให้กระทำตาม ถ้าผู้ใดมิได้กระทำตามพระอัยการดั่งนี้ ท่านว่าผู้นั้นละเมิดพระราชอาญา” หรือ “อนึ่ง ทรงพระโกรธแก่ผู้ใดและตรัสเรียกพระแสง อย่าให้เจ้าพนักงานยื่น ถ้ายื่นโทษถึงตาย” หลักฐานข้อมูลที่นำมาเสนอไว้นี้เป็นเครื่องยืนยันว่า “เจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน” ของไทย ได้ใช้พระราชอำนาจด้วยความระมัดระวัง ด้วยความเที่ยงธรรม มิได้ลุแก่พระราชอำนาจ กดขี่ รังแก ข่มเหง ราษฎรแต่อย่างใด นอกจากนี้ ตามคำสอนของพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงกษัตริย์ว่า เกิดจากการที่มหาชนได้สมมติบุคคลผู้หนึ่ง ขึ้นเป็นผู้ว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้โดยชอบ ติเตียน ผู้ควรติเตียนได้โดยชอบ และขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ ให้บุคคลนั้นเป็นหัวหน้าเป็นใหญ่ จึงเรียกว่า “กษัตริย์” เมื่อกษัตริย์ได้ทำให้ชนเหล่านั้นมีความสุขใจได้โดยธรรม จึงเรียกว่า “ราชา” คติทางพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์หรือพระเจ้าแผ่นดิน จึงเป็นผู้รับมอบอำนาจมาจากประชาชน ปกครองเพื่อให้ประชาชนพอใจ นอกจากนี้ พระพุทธศาสนายังมีอิทธิพลต่อการใช้พระราชอำนาจของ เจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน ของไทยเป็นอย่างยิ่ง คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรากฏใน พระบาลีสุตตันตปิฎกขุททกนิกาย ว่า พระเจ้าแผ่นดินทรงรู้ว่าตนกำลังกริ้วจัดจะไม่พึงลงอาชญาแก่ใคร พระเจ้าแผ่นดินพึงรู้ว่าจิตใจของตนผ่องใส จึงใคร่ครวญความผิดที่ผู้อื่นทำไว้ พิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้งด้วยการมองว่า มีส่วนที่เป็นประโยชน์เป็นโทษ แล้วจึงลงโทษบุคคลนั้นๆ ตามสมควร กษัตริย์เหล่าใดถูกอคติครอบงำ ไม่ทรงพิจารณาเสียก่อนแล้วทำไป ทรงลงอาชญาโดยผลุนผลัน กษัตริย์เหล่านั้นปกครองด้วยโทษน่าติเตียน เมื่อทิ้งชีวิตไปพ้นจากโลกนี้แล้วย่อมไปสู่ทุคติ พระราชาที่ทรงยึดถือในทศพิธราชธรรม เป็นผู้บำเพ็ญด้วย กาย วาจา ใจ และดำรงมั่นอยู่ในขันติ โสรัจจะ และสมาธิ พระราชาที่ครองราชย์ด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ย่อมจะทำให้มหาชน ผู้กำเริบร้อนกายและจิตให้ดับหายไปได้ เหมือนมหาเมฆยังแผ่นดินให้ชุ่มชื่นด้วยน้ำ (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 04 ธ.ค. 2008, 00:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ธรรมศาสตราของเจ้าชีวิต- เจ้าแผ่นดิน |
[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ : พระปิยะมหาราชแห่งราชจักรีวงศ์] นอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ในสมัยโบราณ ยังต้องปฏิบัติตนให้อยู่ในราชธรรม ๓๘ ประการ เช่น ต้องดูแลรักษาประชาชนดุจครูรักษาศิษย์ หรือมารดารักษาลูกของตน ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ พระมหากษัตริย์ของไทยตั้งแต่อดีตมา แม้จะเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ก็มิได้ใช้พระแสงราชศาสตราปกครองเข่นฆ่าข่มเหงรังแกประชาชน กลับใช้ธรรมะคือ ทศพิธราชธรรม ราชสังคหวัตถุ และ จักรวรรดิวัตร เป็นอาวุธ ใช้ปัญญาปกครองบ้านเมือง • ทศพิธราชธรรม คือ ทาน (การให้), ศีล (การตั้งสังวรกาย-ใจให้สุจริต), ปริจจาคะ (การบริจาค), อาชชวะ (ความซื่อตรง), มัททวะ (ความอ่อนโยน), ตปะ (ทำหน้าที่ครบถ้วนไม่หลีกเลี่ยงเกียจคร้าน), อักโกธะ (ความไม่โกรธ), อวิหิงสา (ความไม่เบียดเบียนมนุษย์และสัตว์), ขันติ (ความอดทนต่อสิ่งที่ควรอดทน), และอวิโรธนะ (การคิดการกระทำที่ถูกต้องดีงาม ปราศจากอารมณ์ยินดียินร้าย) • ราชสังคหวัตถุ ๔ คือ สัสสเมธัง (ความรู้ในการบำรุงพืชผลในประเทศให้สมบูรณ์), ปุริสเมธัง (รู้จักสงเคราะห์ หรือชุบเลี้ยงคนที่ควร) , สัมมาปาสัง (รู้จักผูกใจคนให้จงรักภักดีด้วยการปกครองที่ทำให้เกิดความสุข ความเจริญ), และวาจาเปยยัง (คำพูดอันอ่อนหวานไพเราะ) • จักรวรรดิวัตร ๑๒ ได้แก่ ๑. พระเจ้าแผ่นดินทรงรู้ว่าตนกำลังกริ้วจัดจะไม่พึงลงอาชญาแก่ใคร ๒. ปกป้องคุ้มครองกษัตริย์เมืองต่างๆ ที่เป็นเมืองประเทศราช ๓. ปกป้องคุ้มครองพระราชวงศ์และบริวาร ๔. ปกป้องคุ้มครองพราหมณ์และคหบดี ๕. ปกป้องคุ้มครองชาวชนบท ๖. ปกป้องคุ้มครองสมณพราหมณ์ ๗. ปกป้องคุ้มครองสัตว์ทั้งหลาย ๘. ห้ามปรามราษฎรมิให้กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม ๙. พระราชทานทรัพย์แก่ผู้ไร้ทรัพย์ ๑๐. สอบถามธรรมจากสมณพราหมณ์ เพื่อขจัดสิ่งที่เป็นโทษเป็นบาปให้กระทำสิ่งที่เป็นคุณเป็นบุญ ๑๑. ละความยินดีใคร่ติดในอธรรม ๑๒. ละความละโมบโลภ (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 04 ธ.ค. 2008, 00:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ธรรมศาสตราของเจ้าชีวิต- เจ้าแผ่นดิน |
[พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก] • พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่คนไทยนับถือมาตั้งแต่ พ.ศ. ๖๐๐ สมัยขุนหลวงเม้า กษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่งที่ตั้งถิ่นฐานตอนใต้ของจีน ได้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะนับถือพระพุทธศาสนา ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงก็ยืนยันว่า พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทาน แก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนปิฎกไตร ซึ่งเป็นการเอาใจลงปลงใจเชื่อในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง คนในเมืองสุโขทัยมักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัย ทั้งชาวแม่ ชาวเจ้า ท้วยปั่ว ท้วยนาง ลูกเจ้าลูกขุนทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาทรงศีลในพรรษาทุกคน ในไตรภูมิพระร่วงหรือไตรภูมิกถาของพระเจ้าลิไท ยืนยันว่าคนไทยในสมัยนั้นยึดมั่นในพระพุทธศาสนาถึงขั้น “เอาใจลง ปลงใจเชื่อแก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์” รู้จักผิดและชอบ รู้จักบาปและบุญ รู้จักประโยชน์ในชั่วนี้ชั่วหน้า รู้จักกลัวแก่บาปและอายแก่บาป ซึ่งแตกต่างจากคนไทยในปัจจุบันที่ไม่ค่อยรู้จักบุญ รู้จักบาป ไม่ปลงใจเชื่อในพระรัตนตรัยอย่างจริงจัง โดยที่พระมหากษัตริย์ผู้เป็นเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดินของคนไทย มั่นคงในพระพุทธศาสนา คอยส่งเสริมบำรุงพระพุทธศาสนามาเป็นเวลานานนับพันปี เจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดินของคนไทย ยังได้พยายามให้คนไทยยำเกรงต่อการทำผิดศีล ดังปรากฏตามคำสอนของ พระเจ้าลิไท ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ว่า ผู้ใดฆ่าสัตว์ ไปเกิดในโลหะกุมภีนรก ยมบาลลงโทษเอาเชือกเหล็กรัดคอขาดแล้วเอาหัวไปทอดในหม้อเหล็กที่ลุกเป็นไฟ ผู้ใดเป็นข้าราชการ พระเจ้าแผ่นดินใช้ให้ไปเอาส่วยสาอากรจากราษฎร แล้วทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงเก็บภาษีอากรมากกว่ากำหนด ตายไปเกิดในโบราณมิฬหนรก ถูกลงโทษให้ลงไปอยู่ในแม่น้ำที่เต็มไปด้วยอาจม และกินอาจมนั้นต่างข้าวทุกวัน ด้วยอิทธิพลของพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาที่ได้ยกตัวอย่างมา พระพุทธศาสนาจึงเป็นศูนย์รวมของจิตใจคนไทย สร้างความสามัคคีในหมู่ชนชาวไทย แต่ก็ช่วยให้คนไทยสามารถอยู่ร่วมกับศาสนิกชนอื่นๆ ได้ด้วยความสันติสุข ช่วยให้การใช้พระราชอำนาจของ เจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน ของไทยเกือบทุกพระองค์ อยู่ในแนวทางของราชธรรม ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร และราชสังคหวัตถุ ความยึดมั่นผูกพันกันเช่นนี้ เราจึงได้เห็นการสร้างวัด สร้างสถูปเจดีย์ ถวายพระพุทธศาสนาภายหลังที่ทำศึกสงครามชนะมา เพื่อเป็นการถ่ายกรรมในการฆ่าข้าศึกศัตรู เจตจำนงอันยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ เช่นที่กล่าวมานี้มีมาโดยต่อเนื่อง ดังตัวอย่างกรณีของพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีจารึกไว้ว่า “อันตัวพ่อชื่อว่าพระยาตาก ทนทุกข์ยากกู้ชาติพระศาสนา ถวายแผ่นดินให้เป็นพุทธบูชา แด่ศาสนาสมณะพระพุทธโคดม” ฯลฯ หรือพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่ว่า “ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา ป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี” ฯลฯ ต่อมาพระมหากษัตริย์ในสมัยที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญใช้บังคับ รัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ประกาศใช้ก็กำหนดให้พระมหากษัตริย์ ต้องเป็นพุทธมามกะและอัครศาสนูปถัมภก (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 04 ธ.ค. 2008, 00:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ธรรมศาสตราของเจ้าชีวิต- เจ้าแผ่นดิน |
• วั ฒ น ธ ร ร ม อำ น า จ ด้วยอิทธิพลของพระพุทธศาสนา และความสืบทอดของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย มีมาอย่างยาวนานนับพันปี ทำให้เกิดวัฒนธรรมการใช้อำนาจของ พระมหากษัตริย์ไทยในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผู้เป็นเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดินของคนไทยทั่วราชอาณาจักร ที่คนไทยได้ยกย่องเทิดทูนนับถือ และมีปฏิสัมพันธ์ต่อองค์พระเจ้าแผ่นดินหรือพระมหากษัตริย์ ดังนี้ • สมัยก่อนสุโขทัย คนไทยมีทัศนะต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้นำ ที่จะทำให้เกิดพิธีกรรมในการแก้ไขปัญหาความอดอยากแร้นแค้น ที่เกิดจากภัยธรรมชาติและการรุกรานจากชนกลุ่มอื่นๆ ในขณะเดียวกันก็ถือเอาพระมหากษัตริย์เป็นผู้นำหรือ หัวหน้าในการรบพุ่งป้องกันข้าศึกศัตรู • สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ครองนคร ทรงอำนาจเหนืออาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง แต่มีวัฒนธรรมการใช้อำนาจแบบ “พ่อปกครองลูก” ที่ใกล้ชิดกับราษฎร ทรงอบรมสั่งสอนราษฎรให้อยู่ในศีลธรรมตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ให้สิทธิแก่ราษฎรสั่นกระดิ่งร้องทุกข์ และทรงพิจารณาด้วยความยุติธรรมเสมอกันไม่ว่าไพร่หรือขุนนาง และที่สำคัญคนไทยในสมัยนั้นมีเสรีภาพในการค้าขาย ทำมาหากิน • สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ๔๑๗ ปี ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการใช้พระราชอำนาจ ของพระมหากษัตริย์หรือพระเจ้าแผ่นดินไปมาก จากวัฒนธรรมพ่อปกครองลูก เข้ามาสู่วัฒนธรรมของเทพสมมติปนกับวัฒนธรรมธรรมราชา เทพสมมติ เป็นอิทธิพลความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นเทวราช หรือสมมติเทพที่จุติลงมาปกครองมนุษย์ แก้ไขปัญหาความทุกข์ยากลำเค็ญของมนุษย์ เทียบฐานะพระมหากษัตริย์เท่ากับพระอินทร์ สถาปัตยกรรมก็สะท้อนถึงวัฒนธรรมเทพสมมติหรือเทวราชา แม้แต่พระนามของพระมหากษัตริย์หลายพระองค์ ก็สะท้อนมาจากวัฒนธรรมเทพสมมติ เช่น พระนารายณ์มหาราช พระรามาธิบดี วัฒนธรรมการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ จึงค่อนข้างจะสมบูรณ์เด็ดขาด แต่ก็มี พระธรรมศาสตร์ พระราชศาสตร์ คอยเป็นเครื่องกำกับป้องกันการข่มเหงรังแกประชาชน [วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ภายในพระบรมมหาราชวัง บริเวณปราสาทพระเทพบิดร พระมณฑปซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระไตรปิฎก และพระศรีรัตนเจดีย์ ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พ.ศ.๒๔๒๓ : ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ ๕] นอกจากนี้ธรรมราชาก็เป็นวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น จากการที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภก ที่ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา วัดวาอารามต่างๆ ทรงสังคยานาพระไตรปิฎก มีการยกย่องพระมหากษัตริย์ว่าเป็น พระโพธิสัตว์ มีการสร้างพระราชวังกับวัดอยู่ใกล้กัน เช่น พระบรมมหาราชวังกับวัดพระแก้ว แสดงว่าพระพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก วัฒนธรรม “ธรรมราชา” นี้ชัดเจน เข้ามาปนเปในบางส่วนของวัฒนธรรม “เทวราชา” ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ แต่ศูนย์กลางแห่งอำนาจยังคงอยู่ที่พระมหากษัตริย์ ราษฎรมีฐานะเป็นข้าแผ่นดิน พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำทั้งทางจิตวิญญาณและทางทหาร แต่ทรงประพฤติปฏิบัติพระองค์เอง และทรงใช้พระราชอำนาจอยู่ภายใต้กรอบของธรรมะ จึงไม่ทำให้ราษฎรเดือดร้อนต่อต้านขัดขวาง • สมัยรัตนโกสินทร์ ได้เกิดวัฒนธรรมใหม่เกิดขึ้นในสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ยอมรับกันว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็น “อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ” กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ต้องเป็นบุคคลที่ประชาชนทั้งปวงยอมรับ เริ่มต้นตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบปรามจลาจลในกรุงธนบุรีแล้ว บรรดาข้าราชการและราษฎรทั้งปวงก็พร้อมกันกราบทูลวิงวอน อัญเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นเสวยสวรรยาธิปัตย์ดำรงแผ่นดินสืบไป วัฒนธรรมนี้ตกทอดเป็นมรดกมาถึงรัชกาลที่ ๒-๓-๔ และ ๕ ที่ข้าราชการและราษฎรได้ช่วยกันเลือกสรรบุคคล ขึ้นมาดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น มีรัชกาลที่ ๖ ที่ ๗ ที่แตกต่างไปบ้าง แต่ ๒ รัชกาลถัดมาก็ใช้วัฒนธรรมเดียวกัน (ในสมัยรัชกาลที่ ๘-๙ รัฐสภาในขณะนั้นได้ลงมติเห็นชอบให้อัญเชิญขึ้นครองราชย์) (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 04 ธ.ค. 2008, 00:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ธรรมศาสตราของเจ้าชีวิต- เจ้าแผ่นดิน |
[พระมหากษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์] เช่น รัชกาลที่ ๑ ทรงใช้พระราชอำนาจในการสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้กับคนไทยทุกด้าน รัชกาลที่ ๒ ทรงส่งเสริมกวีและศิลปะ รัชกาลที่ ๓ ทรงส่งเสริมพาณิชยกรรมและสถาปัตยกรรม รัชกาลที่ ๔ ทรงริเริ่มนำวิทยาการใหม่ๆ มาใช้ รัชกาลที่ ๕ ทรงปฏิรูปการปกครอง การบริหาร การสร้างสาธารณูปการ การเลิกทาส ฯลฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงเตรียมการมอบอำนาจอธิปไตยให้คนไทยต่อจากรัชกาลที่ ๕ และทรงสามารถในทางปราชญ์และกวี รัชกาลที่ ๗ ทรงมอบอำนาจอธิปไตยให้ปวงชนชาวไทย รัชกาลที่ ๘ ยังไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยพระองค์เอง ก็สิ้นพระชนม์ชีพเสียก่อน และ รัชกาลที่ ๙ ปัจจุบันก็ทรงงานอย่างอเนกคุณูปการต่อคนไทย • ส รุ ป พระมหากษัตริย์ของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้ผ่านกาลเวลามานานนับ ๑,๐๐๐ ปี แม้จะทรงมีพระราชอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ลักษณะการใช้พระราชอำนาจของแต่ละยุคแต่ละสมัย ไม่ได้เป็นไปเพื่อกดขี่ข่มเหงรังแกประชาชนแม้แต่น้อย • สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ก็ทรงใช้อำนาจแบบพ่อปกครองลูก ให้ความยุติธรรมแก่ราษฎรอย่างเสมอหน้า ให้สิทธิเสรีภาพในการค้าขาย และส่งเสริมให้ราษฎรคนไทยมั่นคงในพระพุทธศาสนา • สมัยอยุธยาเป็นราชธานี แม้จะมีอิทธิพลของวัฒนธรรมในลัทธิพราหมณ์ที่หลั่งไหลมาจากเขมร คือ วัฒนธรรมเทวราชา หรือ เทพสมมติ ก็ไม่ปรากฏว่ามีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดทรงกดขี่ข่มเหงรังแกประชาชน กลับนำประชาชนให้มีความเข้มแข็ง และขยายพระราชอาณาจักรออกไป และทรงใช้พระราชอำนาจอยู่ในกรอบของธรรมะ ทั้งลัทธิ “ธรรมศาสตร์” และ “ราชศาสตร์” อันได้แก่ กฎมณเฑียรบาล จำกัดการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ป้องกันการกดขี่ข่มเหงใช้อำนาจรังแก และลงโทษประชาชนให้รอบคอบ รัดกุม ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนามาเข้มแข็งขึ้นในหมู่คนไทย ก็หันมาใช้อำนาจแบบพระธรรมราชาและจักรพรรดิราชา ภายใต้ทศพิธราชธรรม ราชสังคหวัตถุ และจักรวรรดิวัตร ๑๒ • สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ แม้พระมหากษัตริย์จะยังเป็นเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน ก็มิได้ทรงใช้อำนาจกดขี่รังแกประชาชนคนไทยแต่อย่างใด กลับนำคนไทย ต่อสู้ข้าศึกศัตรูกอบกู้บ้านเมืองขึ้นมาจนได้รับการยกย่อง เชื่อถือและถึงกับกราบบังคมทูลให้ทั้ง ๒ พระองค์ขึ้น เป็นพระมหากษัตริย์ในวาระเวลาที่ต่างกัน ได้เกิดวัฒนธรรมอำนาจใหม่ขึ้นมาเป็น อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ มาถึงปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปถวายน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวัตร ในวันที่โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระญาณสังวรฯ เป็นสมเด็จพระสังฆราช ด้วยความยึดมั่นในพระพุทธศาสนาและปรัชญาการปกครองต่างๆ ที่มุ่งต่อความมั่นคงของชาติบ้านเมืองและความอยู่ดีมีสุขของราษฎร มิได้มุ่งสั่งสมทรัพย์ศฤงคาร ความร่ำรวย หรือความสุขสบายเหมือนพระมหากษัตริย์ในประเทศอื่นๆ จึงทำให้คนไทยมีความยึดมั่นจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และแยกจากกันไม่ออก..... (ที่มา “เจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน” : http://www.watraja.org) |
เจ้าของ: | น้องพลอย [ 28 ก.ย. 2020, 19:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ธรรมศาสตราของเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |