วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=25



กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 00:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

“ธ ร ร ม ศ า ส ต ร า
ของ...เ จ้ า ชี วิ ต - เ จ้ า แ ผ่ น ดิ น”

คนไทยรุ่นใหม่ที่มีอายุต่ำกว่า ๗๕ ปี ลงมา
โดยเฉพาะผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี-โท-เอก จากต่างประเทศ
จะมองภาพลักษณ์ของเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน ผิดไปจากความเป็นจริง
และจะทราบถึงคุณสมบัติ วัตรปฏิบัติ การใช้อำนาจ
ของพระเจ้าแผ่นดินในประวัติศาสตร์ของตนเองน้อยมาก

อาจจะมีความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเลยไปว่า
พระเจ้าแผ่นดินของไทยในอดีต ใช้อำนาจปกครองราษฎรด้วยการบังคับ
กดขี่ ข่มเหง ย่ำยีประชาชน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
ลองพิจารณาจากงานเขียนชุดนี้และพระบรมราโชวาท
ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ถึงเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระราชโอรส
เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๒ ว่า

“การที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ใช่สำหรับมั่งมี
ไม่ใช่สำหรับคุมเหงคนเล่นตามชอบใจ
มิใช่เกลียดไว้แล้ว จะได้แก้เผ็ด
มิใช่เป็นผู้สำหรับจะกินนอนสบาย...

เป็นเจ้าแผ่นดินสำหรับแต่เป็นคนจน
และเป็นคนที่อดกลั้นต่อสุขต่อทุกข์
อดกลั้นต่อความรักและความชัง
อันจะเกิดฉิวขึ้นมาในใจ หรือมีผู้ยุยง
เป็นผู้ปราศจากความเกียจคร้าน...
และเป็นผู้ป้องกันความทุกข์ของราษฎรซึ่งอยู่ในอำนาจปกครอง...”


• ส ม บู ร ณ า ญ า สิ ท ธิ์

อดีตอำนาจสูงสุดในแผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นเจ้าชีวิตที่ทรงมีพระราชอำนาจเหนือชีวิตของคนทุกคน
จะให้ประหารชีวิต ลงโทษราษฎรใดๆ ได้ตามพระราชอัธยาศัย

และทรงเป็นเจ้าแผ่นดิน
หรือเป็นเจ้าของแผ่นดินทั่วพระราชอาณาจักร
ราษฎรทั้งหลายเป็นข้าของแผ่นดินจะมีสิทธิครอบครองที่ดินได้
ต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อน
นั่นคือ ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระเจ้าแผ่นดิน

การดำรงฐานะของเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต
มีรูปแบบการใช้อำนาจรัฐาธิปัตย์แตกต่างกันไปบ้างตามกาลสมัย
แต่ก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งพระราชอำนาจสูงสุดเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม
ของผู้คนตลอดทั่วพระราชอาณาจักร
และทรงเป็นผู้นำทางจิตใจของคนไทย
โดยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลากว่า ๑,๐๐๐ ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน

รูปภาพ
[พระบรมราชานุสาวรีย์ พุ่อขุนรามคำแหงมหาราช]


• ในสมัยกรุงสุโขทัย

มีพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า “พ่อขุน”
เป็นเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นผู้ครองนครที่ดูแลทุกข์สุข
ปกครองบ้านเมืองให้อยู่อย่างปลอดภัย
คอยปกป้องดูแลราษฎรให้มีความสุข
ได้รับความยุติธรรมเสมอหน้ากัน
ราษฎรมีสิทธิในการร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์
และมีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย
เป็นการปกครองเยี่ยงบิดากับบุตรหรือ “พ่อปกครองลูก”

รูปภาพ
[พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]


• ในสมัยอยุธยา

พระมหากษัตริย์ในฐานะเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน
ทรงเป็นสมมติเทพของคนไทยตามอิทธิพลลัทธิมหายานปนลัทธิพราหมณ์
ที่มีความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็น พระจักรพรรดิ
และได้มีการยกฐานะพระมหากษัตริย์เท่ากับพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในเทวภูมิ

(ราชบัลลังก์ของพระมหากษัตริย์เหมือนแท่นบัลลังก์ของพระอินทร์
ประดับด้วยรูปสิงห์และครุฑตามความเชื่อในเทพต่างๆ
เช่น พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์)


พระนามของพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์
จึงทรงพระนามตามชื่อเทพพรหมเหล่านั้น
(เช่น พระนารายณ์มหาราช พระรามาธิบดี)

ขณะเดียวกัน “พระมหากษัตริย์” ในสมัยอยุธยา
ก็ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกในพระพุทธศาสนา
คนไทยเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ของตนคือพระ “ธรรมราชา”
เป็นผู้มีพระบรมเดชานุภาพทรงความเข้มแข็งเด็ดขาด
ควบคู่ไปกับทรงต้องบำรุงพระพุทธศาสนา


รูปภาพ
[พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ประดิษฐาน ณ ทุ่งภูเขาทอง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา]



หลังจากพระนเรศวรมหาราชทรงขับไล่พม่าข้าศึกไปจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว
พระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลต่อๆ มา ก็หันไปบำรุงด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม
มิได้บำรุงด้านทหารให้เข้มแข็งเหมือนเดิม
มินานก็เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ แก่พม่าอีกครั้งหนึ่ง
จนอยุธยาต้องล่มสลายลงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐

• ในสมัยกรุงธนบุรี

สมัยพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์
ต้องใช้พระราชอำนาจเด็ดขาดกอบกู้บ้านเมือง
ขับไล่ศัตรูจนสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี กอบกู้เอกราชได้สำเร็จ
ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงรักษาความเป็นธรรมราชาด้วย
แต่พระองค์ก็ทรงครองราชย์อยู่ในช่วงเวลาอันสั้น

รูปภาพ
[พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]


• ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

ความเป็นเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน
เปลี่ยนแปลงรูปแบบอีกครั้ง จากเทพสมมติ
มาเป็น “อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ”
คือ เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ประชาชนทั้งปวงยอมรับ
ด้วยการที่ข้าราชการและราษฎรทั้งปวงพร้อมกันกราบทูลวิงวอน
เชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชสมบัติ

นอกจากประชาชนจะยอมรับในองค์พระมหากษัตริย์แล้ว
ประชาชนยังมีความเชื่ออีกว่า
พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะต้องทรงตั้งมั่นในหลักธรรมะ
คือ ทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ และ จักรวรรดิวัตร
ที่จะทรงใช้ในการทรงคุ้มครอง
และทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินและราษฎร


รูปภาพ
[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
: องค์ปฐมบรมราชจักรีวงศ์]


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 00:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
[พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน
ทรงประทับหน้าใบเสมาพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙]



• ธ ร ร ม ะ ศ า ส ต ร า

ลักษณะและรูปแบบการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
ซึ่งเป็น เจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน ของคนไทยที่ผ่านมา
มิได้ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์หรือพระแสงราชศาสตรา
มาเป็นเครื่องมือแสดงอำนาจบาตรใหญ่กับราษฎร
หรือประชาชนในปกครองตามอำเภอใจ

การใช้พระราชอำนาจทั้งปวงมี ธรรมะศาสตรา เป็นอาวุธ
คือ การใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือเป็นอาวุธ
เป็นเครื่องกำกับการใช้อำนาจในการปกครอง
ปกป้องรักษาคุ้มครองไพร่ฟ้าประชาชน


ดั่ง “บิดาปกครองบุตร”
ดั่ง สมมติเทพและธรรมราชา
ดั่ง อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ


วิชาธรรมศาสตร์
เป็นวิชาทางการปกครองบ้านเมืองที่มีมาช้านานตั้งแต่ก่อนพุทธกาล
เป็นไปตามลัทธิพราหมณ์ที่สอนไว้ว่า
ผู้จะทำหน้าที่เป็นพระมหากษัตริย์จะต้องเรียนรู้วิชาการต่างๆ

ดั่งมีตำนานเล่าขานว่า

ฤาษีมโนสารเหาะไปนำคัมภีร์ธรรมศาสตร์มาจากกำแพงจักรวาล
(ไม่ปรากฏรายละเอียดของคัมภีร์)


และในศาสนาพราหมณ์กำหนดหน้าที่ของบุคคลในวรรณะกษัตริย์ไว้
ให้ทำหน้าที่ป้องกันประชาชนและทำหน้าที่บริจาคทาน บูชายัญ ศึกษา เป็นต้น

นอกจากคัมภีร์ธรรมศาสตร์จะบอกเล่ากล่าวขาน
ถึงหลักปฏิบัติการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ไว้ต่างๆ
เป็นเครื่องยึดถือของพระมหากษัตริย์ของไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
พระมหากษัตริย์ของไทยยังได้มีการออกกฎมณเฑียรบาล
ป้องกันมิให้พระองค์ทรงใช้อำนาจในทางที่ผิดไว้เป็น พระราชศาสตร์ ดังความว่า

“...พระเจ้าอยู่หัวดำรัสด้วยกิจการคดีถ้อยความประการใดๆ
ต้องกฎหมายประเพณีเป็นยุติธรรมแล้ว ให้กระทำตาม ถ้ามิชอบ
จงอาจเพ็ดทูลทัดทานครั้งหนึ่ง สองครั้ง สามครั้ง
ถ้ามิฟังให้รอไว้อย่าเพิ่งสั่งไป ให้ทูลในที่รโหฐาน
ถ้ามิฟังจึงให้กระทำตาม ถ้าผู้ใดมิได้กระทำตามพระอัยการดั่งนี้
ท่านว่าผู้นั้นละเมิดพระราชอาญา”


หรือ

“อนึ่ง ทรงพระโกรธแก่ผู้ใดและตรัสเรียกพระแสง
อย่าให้เจ้าพนักงานยื่น ถ้ายื่นโทษถึงตาย”


หลักฐานข้อมูลที่นำมาเสนอไว้นี้เป็นเครื่องยืนยันว่า

“เจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน” ของไทย
ได้ใช้พระราชอำนาจด้วยความระมัดระวัง
ด้วยความเที่ยงธรรม มิได้ลุแก่พระราชอำนาจ
กดขี่ รังแก ข่มเหง ราษฎรแต่อย่างใด


นอกจากนี้ ตามคำสอนของพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงกษัตริย์ว่า

เกิดจากการที่มหาชนได้สมมติบุคคลผู้หนึ่ง
ขึ้นเป็นผู้ว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้โดยชอบ
ติเตียน ผู้ควรติเตียนได้โดยชอบ
และขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ
ให้บุคคลนั้นเป็นหัวหน้าเป็นใหญ่ จึงเรียกว่า “กษัตริย์”


เมื่อกษัตริย์ได้ทำให้ชนเหล่านั้นมีความสุขใจได้โดยธรรม
จึงเรียกว่า “ราชา”

คติทางพุทธศาสนา
พระมหากษัตริย์หรือพระเจ้าแผ่นดิน
จึงเป็นผู้รับมอบอำนาจมาจากประชาชน
ปกครองเพื่อให้ประชาชนพอใจ

นอกจากนี้ พระพุทธศาสนายังมีอิทธิพลต่อการใช้พระราชอำนาจของ
เจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน ของไทยเป็นอย่างยิ่ง
คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ปรากฏใน พระบาลีสุตตันตปิฎกขุททกนิกาย ว่า

พระเจ้าแผ่นดินทรงรู้ว่าตนกำลังกริ้วจัดจะไม่พึงลงอาชญาแก่ใคร

พระเจ้าแผ่นดินพึงรู้ว่าจิตใจของตนผ่องใส
จึงใคร่ครวญความผิดที่ผู้อื่นทำไว้
พิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้งด้วยการมองว่า
มีส่วนที่เป็นประโยชน์เป็นโทษ
แล้วจึงลงโทษบุคคลนั้นๆ ตามสมควร

กษัตริย์เหล่าใดถูกอคติครอบงำ
ไม่ทรงพิจารณาเสียก่อนแล้วทำไป
ทรงลงอาชญาโดยผลุนผลัน
กษัตริย์เหล่านั้นปกครองด้วยโทษน่าติเตียน
เมื่อทิ้งชีวิตไปพ้นจากโลกนี้แล้วย่อมไปสู่ทุคติ

พระราชาที่ทรงยึดถือในทศพิธราชธรรม
เป็นผู้บำเพ็ญด้วย กาย วาจา ใจ
และดำรงมั่นอยู่ในขันติ โสรัจจะ และสมาธิ

พระราชาที่ครองราชย์ด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐
ย่อมจะทำให้มหาชน ผู้กำเริบร้อนกายและจิตให้ดับหายไปได้
เหมือนมหาเมฆยังแผ่นดินให้ชุ่มชื่นด้วยน้ำ


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 00:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
: พระปิยะมหาราชแห่งราชจักรีวงศ์]



นอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ในสมัยโบราณ
ยังต้องปฏิบัติตนให้อยู่ในราชธรรม ๓๘ ประการ
เช่น ต้องดูแลรักษาประชาชนดุจครูรักษาศิษย์
หรือมารดารักษาลูกของตน ฯลฯ

ด้วยเหตุนี้ พระมหากษัตริย์ของไทยตั้งแต่อดีตมา
แม้จะเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์
แต่ก็มิได้ใช้พระแสงราชศาสตราปกครองเข่นฆ่าข่มเหงรังแกประชาชน
กลับใช้ธรรมะคือ ทศพิธราชธรรม ราชสังคหวัตถุ และ จักรวรรดิวัตร
เป็นอาวุธ ใช้ปัญญาปกครองบ้านเมือง


• ทศพิธราชธรรม

คือ ทาน (การให้), ศีล (การตั้งสังวรกาย-ใจให้สุจริต),
ปริจจาคะ (การบริจาค), อาชชวะ (ความซื่อตรง),
มัททวะ (ความอ่อนโยน), ตปะ (ทำหน้าที่ครบถ้วนไม่หลีกเลี่ยงเกียจคร้าน),
อักโกธะ (ความไม่โกรธ), อวิหิงสา (ความไม่เบียดเบียนมนุษย์และสัตว์),
ขันติ (ความอดทนต่อสิ่งที่ควรอดทน),
และอวิโรธนะ (การคิดการกระทำที่ถูกต้องดีงาม ปราศจากอารมณ์ยินดียินร้าย)

• ราชสังคหวัตถุ ๔

คือ สัสสเมธัง (ความรู้ในการบำรุงพืชผลในประเทศให้สมบูรณ์),
ปุริสเมธัง (รู้จักสงเคราะห์ หรือชุบเลี้ยงคนที่ควร) ,
สัมมาปาสัง (รู้จักผูกใจคนให้จงรักภักดีด้วยการปกครองที่ทำให้เกิดความสุข ความเจริญ),
และวาจาเปยยัง (คำพูดอันอ่อนหวานไพเราะ)

• จักรวรรดิวัตร ๑๒

ได้แก่
๑. พระเจ้าแผ่นดินทรงรู้ว่าตนกำลังกริ้วจัดจะไม่พึงลงอาชญาแก่ใคร
๒. ปกป้องคุ้มครองกษัตริย์เมืองต่างๆ ที่เป็นเมืองประเทศราช
๓. ปกป้องคุ้มครองพระราชวงศ์และบริวาร
๔. ปกป้องคุ้มครองพราหมณ์และคหบดี
๕. ปกป้องคุ้มครองชาวชนบท
๖. ปกป้องคุ้มครองสมณพราหมณ์
๗. ปกป้องคุ้มครองสัตว์ทั้งหลาย
๘. ห้ามปรามราษฎรมิให้กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม
๙. พระราชทานทรัพย์แก่ผู้ไร้ทรัพย์
๑๐. สอบถามธรรมจากสมณพราหมณ์
เพื่อขจัดสิ่งที่เป็นโทษเป็นบาปให้กระทำสิ่งที่เป็นคุณเป็นบุญ
๑๑. ละความยินดีใคร่ติดในอธรรม
๑๒. ละความละโมบโลภ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 00:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
[พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก]


• พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่คนไทยนับถือมาตั้งแต่ พ.ศ. ๖๐๐
สมัยขุนหลวงเม้า กษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่งที่ตั้งถิ่นฐานตอนใต้ของจีน
ได้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะนับถือพระพุทธศาสนา

ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงก็ยืนยันว่า
พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทาน
แก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนปิฎกไตร
ซึ่งเป็นการเอาใจลงปลงใจเชื่อในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

คนในเมืองสุโขทัยมักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน
พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัย ทั้งชาวแม่ ชาวเจ้า
ท้วยปั่ว ท้วยนาง ลูกเจ้าลูกขุนทั้งสิ้นทั้งหลาย
ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาทรงศีลในพรรษาทุกคน

ในไตรภูมิพระร่วงหรือไตรภูมิกถาของพระเจ้าลิไท
ยืนยันว่าคนไทยในสมัยนั้นยึดมั่นในพระพุทธศาสนาถึงขั้น

“เอาใจลง ปลงใจเชื่อแก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์”

รู้จักผิดและชอบ รู้จักบาปและบุญ รู้จักประโยชน์ในชั่วนี้ชั่วหน้า
รู้จักกลัวแก่บาปและอายแก่บาป

ซึ่งแตกต่างจากคนไทยในปัจจุบันที่ไม่ค่อยรู้จักบุญ รู้จักบาป
ไม่ปลงใจเชื่อในพระรัตนตรัยอย่างจริงจัง


โดยที่พระมหากษัตริย์ผู้เป็นเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดินของคนไทย
มั่นคงในพระพุทธศาสนา
คอยส่งเสริมบำรุงพระพุทธศาสนามาเป็นเวลานานนับพันปี

เจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดินของคนไทย
ยังได้พยายามให้คนไทยยำเกรงต่อการทำผิดศีล
ดังปรากฏตามคำสอนของ พระเจ้าลิไท ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ว่า

ผู้ใดฆ่าสัตว์ ไปเกิดในโลหะกุมภีนรก
ยมบาลลงโทษเอาเชือกเหล็กรัดคอขาดแล้วเอาหัวไปทอดในหม้อเหล็กที่ลุกเป็นไฟ

ผู้ใดเป็นข้าราชการ พระเจ้าแผ่นดินใช้ให้ไปเอาส่วยสาอากรจากราษฎร
แล้วทำการฉ้อราษฎร์บังหลวงเก็บภาษีอากรมากกว่ากำหนด
ตายไปเกิดในโบราณมิฬหนรก
ถูกลงโทษให้ลงไปอยู่ในแม่น้ำที่เต็มไปด้วยอาจม
และกินอาจมนั้นต่างข้าวทุกวัน


ด้วยอิทธิพลของพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาที่ได้ยกตัวอย่างมา
พระพุทธศาสนาจึงเป็นศูนย์รวมของจิตใจคนไทย
สร้างความสามัคคีในหมู่ชนชาวไทย
แต่ก็ช่วยให้คนไทยสามารถอยู่ร่วมกับศาสนิกชนอื่นๆ ได้ด้วยความสันติสุข


ช่วยให้การใช้พระราชอำนาจของ เจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน ของไทยเกือบทุกพระองค์
อยู่ในแนวทางของราชธรรม ทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร และราชสังคหวัตถุ

ความยึดมั่นผูกพันกันเช่นนี้ เราจึงได้เห็นการสร้างวัด สร้างสถูปเจดีย์
ถวายพระพุทธศาสนาภายหลังที่ทำศึกสงครามชนะมา
เพื่อเป็นการถ่ายกรรมในการฆ่าข้าศึกศัตรู

เจตจำนงอันยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์
เช่นที่กล่าวมานี้มีมาโดยต่อเนื่อง
ดังตัวอย่างกรณีของพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีจารึกไว้ว่า

“อันตัวพ่อชื่อว่าพระยาตาก
ทนทุกข์ยากกู้ชาติพระศาสนา
ถวายแผ่นดินให้เป็นพุทธบูชา
แด่ศาสนาสมณะพระพุทธโคดม” ฯลฯ


หรือพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่ว่า

“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
ป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี” ฯลฯ


ต่อมาพระมหากษัตริย์ในสมัยที่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญใช้บังคับ
รัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ประกาศใช้ก็กำหนดให้พระมหากษัตริย์
ต้องเป็นพุทธมามกะและอัครศาสนูปถัมภก

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 00:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

• วั ฒ น ธ ร ร ม อำ น า จ

ด้วยอิทธิพลของพระพุทธศาสนา
และความสืบทอดของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย
มีมาอย่างยาวนานนับพันปี ทำให้เกิดวัฒนธรรมการใช้อำนาจของ
พระมหากษัตริย์ไทยในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ผู้เป็นเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดินของคนไทยทั่วราชอาณาจักร
ที่คนไทยได้ยกย่องเทิดทูนนับถือ
และมีปฏิสัมพันธ์ต่อองค์พระเจ้าแผ่นดินหรือพระมหากษัตริย์ ดังนี้

• สมัยก่อนสุโขทัย

คนไทยมีทัศนะต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้นำ
ที่จะทำให้เกิดพิธีกรรมในการแก้ไขปัญหาความอดอยากแร้นแค้น
ที่เกิดจากภัยธรรมชาติและการรุกรานจากชนกลุ่มอื่นๆ
ในขณะเดียวกันก็ถือเอาพระมหากษัตริย์เป็นผู้นำหรือ
หัวหน้าในการรบพุ่งป้องกันข้าศึกศัตรู

• สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ครองนคร
ทรงอำนาจเหนืออาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง
แต่มีวัฒนธรรมการใช้อำนาจแบบ “พ่อปกครองลูก” ที่ใกล้ชิดกับราษฎร
ทรงอบรมสั่งสอนราษฎรให้อยู่ในศีลธรรมตามคำสอนของพระพุทธศาสนา
ให้สิทธิแก่ราษฎรสั่นกระดิ่งร้องทุกข์
และทรงพิจารณาด้วยความยุติธรรมเสมอกันไม่ว่าไพร่หรือขุนนาง
และที่สำคัญคนไทยในสมัยนั้นมีเสรีภาพในการค้าขาย ทำมาหากิน

• สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ๔๑๗ ปี

ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการใช้พระราชอำนาจ
ของพระมหากษัตริย์หรือพระเจ้าแผ่นดินไปมาก
จากวัฒนธรรมพ่อปกครองลูก
เข้ามาสู่วัฒนธรรมของเทพสมมติปนกับวัฒนธรรมธรรมราชา

เทพสมมติ เป็นอิทธิพลความเชื่อของศาสนาพราหมณ์
ที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นเทวราช
หรือสมมติเทพที่จุติลงมาปกครองมนุษย์
แก้ไขปัญหาความทุกข์ยากลำเค็ญของมนุษย์

เทียบฐานะพระมหากษัตริย์เท่ากับพระอินทร์
สถาปัตยกรรมก็สะท้อนถึงวัฒนธรรมเทพสมมติหรือเทวราชา
แม้แต่พระนามของพระมหากษัตริย์หลายพระองค์
ก็สะท้อนมาจากวัฒนธรรมเทพสมมติ
เช่น พระนารายณ์มหาราช พระรามาธิบดี

วัฒนธรรมการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์
จึงค่อนข้างจะสมบูรณ์เด็ดขาด
แต่ก็มี พระธรรมศาสตร์ พระราชศาสตร์
คอยเป็นเครื่องกำกับป้องกันการข่มเหงรังแกประชาชน


รูปภาพ
[วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ภายในพระบรมมหาราชวัง
บริเวณปราสาทพระเทพบิดร พระมณฑปซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระไตรปิฎก
และพระศรีรัตนเจดีย์ ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พ.ศ.๒๔๒๓ : ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ ๕]



นอกจากนี้ธรรมราชาก็เป็นวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น
จากการที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภก
ที่ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
วัดวาอารามต่างๆ ทรงสังคยานาพระไตรปิฎก

มีการยกย่องพระมหากษัตริย์ว่าเป็น พระโพธิสัตว์
มีการสร้างพระราชวังกับวัดอยู่ใกล้กัน
เช่น พระบรมมหาราชวังกับวัดพระแก้ว
แสดงว่าพระพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก


วัฒนธรรม “ธรรมราชา” นี้ชัดเจน
เข้ามาปนเปในบางส่วนของวัฒนธรรม “เทวราชา” ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ
แต่ศูนย์กลางแห่งอำนาจยังคงอยู่ที่พระมหากษัตริย์ ราษฎรมีฐานะเป็นข้าแผ่นดิน

พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำทั้งทางจิตวิญญาณและทางทหาร
แต่ทรงประพฤติปฏิบัติพระองค์เอง
และทรงใช้พระราชอำนาจอยู่ภายใต้กรอบของธรรมะ
จึงไม่ทำให้ราษฎรเดือดร้อนต่อต้านขัดขวาง

• สมัยรัตนโกสินทร์

ได้เกิดวัฒนธรรมใหม่เกิดขึ้นในสถาบันพระมหากษัตริย์
ที่ยอมรับกันว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็น “อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ”
กล่าวคือ พระมหากษัตริย์ต้องเป็นบุคคลที่ประชาชนทั้งปวงยอมรับ

เริ่มต้นตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบปรามจลาจลในกรุงธนบุรีแล้ว
บรรดาข้าราชการและราษฎรทั้งปวงก็พร้อมกันกราบทูลวิงวอน
อัญเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นเสวยสวรรยาธิปัตย์ดำรงแผ่นดินสืบไป

วัฒนธรรมนี้ตกทอดเป็นมรดกมาถึงรัชกาลที่ ๒-๓-๔ และ ๕
ที่ข้าราชการและราษฎรได้ช่วยกันเลือกสรรบุคคล
ขึ้นมาดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น

มีรัชกาลที่ ๖ ที่ ๗ ที่แตกต่างไปบ้าง
แต่ ๒ รัชกาลถัดมาก็ใช้วัฒนธรรมเดียวกัน
(ในสมัยรัชกาลที่ ๘-๙ รัฐสภาในขณะนั้นได้ลงมติเห็นชอบให้อัญเชิญขึ้นครองราชย์)

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2008, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
[พระมหากษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์]

เช่น

รัชกาลที่ ๑ ทรงใช้พระราชอำนาจในการสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้กับคนไทยทุกด้าน

รัชกาลที่ ๒ ทรงส่งเสริมกวีและศิลปะ

รัชกาลที่ ๓ ทรงส่งเสริมพาณิชยกรรมและสถาปัตยกรรม

รัชกาลที่ ๔ ทรงริเริ่มนำวิทยาการใหม่ๆ มาใช้

รัชกาลที่ ๕ ทรงปฏิรูปการปกครอง การบริหาร
การสร้างสาธารณูปการ การเลิกทาส ฯลฯ

รัชกาลที่ ๖ ทรงเตรียมการมอบอำนาจอธิปไตยให้คนไทยต่อจากรัชกาลที่ ๕
และทรงสามารถในทางปราชญ์และกวี

รัชกาลที่ ๗ ทรงมอบอำนาจอธิปไตยให้ปวงชนชาวไทย

รัชกาลที่ ๘ ยังไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้วยพระองค์เอง
ก็สิ้นพระชนม์ชีพเสียก่อน

และ รัชกาลที่ ๙ ปัจจุบันก็ทรงงานอย่างอเนกคุณูปการต่อคนไทย

รูปภาพ

• ส รุ ป

พระมหากษัตริย์ของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ได้ผ่านกาลเวลามานานนับ ๑,๐๐๐ ปี
แม้จะทรงมีพระราชอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่ลักษณะการใช้พระราชอำนาจของแต่ละยุคแต่ละสมัย
ไม่ได้เป็นไปเพื่อกดขี่ข่มเหงรังแกประชาชนแม้แต่น้อย

• สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี

ก็ทรงใช้อำนาจแบบพ่อปกครองลูก
ให้ความยุติธรรมแก่ราษฎรอย่างเสมอหน้า
ให้สิทธิเสรีภาพในการค้าขาย
และส่งเสริมให้ราษฎรคนไทยมั่นคงในพระพุทธศาสนา

• สมัยอยุธยาเป็นราชธานี

แม้จะมีอิทธิพลของวัฒนธรรมในลัทธิพราหมณ์ที่หลั่งไหลมาจากเขมร
คือ วัฒนธรรมเทวราชา หรือ เทพสมมติ
ก็ไม่ปรากฏว่ามีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดทรงกดขี่ข่มเหงรังแกประชาชน
กลับนำประชาชนให้มีความเข้มแข็ง และขยายพระราชอาณาจักรออกไป
และทรงใช้พระราชอำนาจอยู่ในกรอบของธรรมะ

ทั้งลัทธิ “ธรรมศาสตร์” และ “ราชศาสตร์”
อันได้แก่ กฎมณเฑียรบาล
จำกัดการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
ป้องกันการกดขี่ข่มเหงใช้อำนาจรังแก
และลงโทษประชาชนให้รอบคอบ รัดกุม


ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนามาเข้มแข็งขึ้นในหมู่คนไทย
ก็หันมาใช้อำนาจแบบพระธรรมราชาและจักรพรรดิราชา
ภายใต้ทศพิธราชธรรม ราชสังคหวัตถุ และจักรวรรดิวัตร ๑๒


• สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์

แม้พระมหากษัตริย์จะยังเป็นเจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน
ก็มิได้ทรงใช้อำนาจกดขี่รังแกประชาชนคนไทยแต่อย่างใด
กลับนำคนไทย ต่อสู้ข้าศึกศัตรูกอบกู้บ้านเมืองขึ้นมาจนได้รับการยกย่อง
เชื่อถือและถึงกับกราบบังคมทูลให้ทั้ง ๒ พระองค์ขึ้น
เป็นพระมหากษัตริย์ในวาระเวลาที่ต่างกัน

ได้เกิดวัฒนธรรมอำนาจใหม่ขึ้นมาเป็น
อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ มาถึงปัจจุบัน


รูปภาพ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปถวายน้ำพระมหาสังข์ทักษิณาวัตร
ในวันที่โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระญาณสังวรฯ เป็นสมเด็จพระสังฆราช



ด้วยความยึดมั่นในพระพุทธศาสนาและปรัชญาการปกครองต่างๆ
ที่มุ่งต่อความมั่นคงของชาติบ้านเมืองและความอยู่ดีมีสุขของราษฎร
มิได้มุ่งสั่งสมทรัพย์ศฤงคาร ความร่ำรวย
หรือความสุขสบายเหมือนพระมหากษัตริย์ในประเทศอื่นๆ
จึงทำให้คนไทยมีความยึดมั่นจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
และแยกจากกันไม่ออก.....
:b8:

:b8: :b8: :b8:

(ที่มา “เจ้าชีวิต-เจ้าแผ่นดิน” : http://www.watraja.org)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ย. 2020, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b20:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร