วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 05:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2013, 23:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ธ.ค. 2011, 15:07
โพสต์: 40


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พระเจ้าตนหลวง ทุ่งหนองเอี้ยงเมืองพะเยา
(ฉบับใบลาน ภาษาล้านนา)


ณ พระวิหารหลวง วัดศรีโคมคำ (พระอารามหลวง)
ตำบลเวียง อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ภาค ๖


คำไหว้พระเจ้าตนหลวง

นะโม เม อะตีเต กะกุสันโธ โกนาคะมะโน กัสสะโป สิริสัมปันโน โคตะโม สากะยะปุงคะโว นะโม เม อหังวันทามิ สัพพะทา ฯ

โยโส ภะควา อะนะปะกัปโป ปะนิหิตะ ติวิธะ สุจะริตตะสะมันนาคะโต ทะวาทะวัตตึสะ มะหาปุริสะ ลักขะณะปัตติมันติโต การุณะกาโล โส หันตา สะปาตะยุคคะลัง สิระสา นะมามิ ฯ

วาสะคัง ปักเขตะตนามัง จันทะนามัง พุทธะปิมพัง นะมามิหัง อิมัสมิง เกสาธาตุโย วามะเก อัฐิธาตุ ปิฏฐาตุโลหะ ปัปพะตัง ทักขิณัง มหาจุนทะ อะหัง วันทามิสิระสา ฯ


นโม ตัสสัตถุ สาธะโว ดูราสัปปริสสะทั้งหลายตั้งหญิงชายมวลหมู่อั้นมาตั้งหน้าอยู่ดาฟัง ยังตำนานพระมหาพุทธรูปเจ้า พระผ่านเฝ้าโลกนาถมุนีราชถปันนา เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรมาน ในป่าเชตวนอาราม เมืองสาวัตถี เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสผญาสัพพัญญูตญาณแล้วได้ ๕ พระวัสสาในคืนวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าบรรทมนอนในพระคันธกุฎีในป่าเชตะวันอารามยามจักใกล้รุ่ง จึงลำเปิงว่า บัดนี้เราตถาคตมีชนมายุได้ ๖๐ ปีเข้ามานี้แล้ว ครั้นพระชนมายุได้ ๘๐ ปี ก็จักเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วชะแล ควรกูจะอธิษฐานธาตุให้ย่อยเป็น ๓ ประการเพื่อให้คนและเทวดาแจกกันไว้ให้น้อมกราบไหว้บูชาให้เสมอเหมือนแทนตนพระพุทธองค์ยังเมื่อทรมานนั้นเถิดเหตุพุทธะอายุน้อยนักสัตว์ทั้งยังไม่ได้ไหว้พร้อมกันเพื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายอันลวงแล้วแต่ก่อนได้อธิธาตุให้ย่อยแล้วไปสถาปนาไว้ที่ใดกูก็จักไปทำนายสถาปนาธาตุอย่างนั้นไว้ในฐานะที่นั้นเทวะ พระพุทธเจ้ารำพึงควรกูเสด็จไปโปรดบรรณสัตว์ทั้งหลายและทำนายสถาปนาตั้งศาสนาไว้ มัชฌิมประเทศ และปัจจันทประเทศทั้งหลายควรซะและ เมื่อพระพุทธเจ้าตนประกอบด้วยมหากรุณา ครั้นออกพรรษา ก็พาเอาพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย ๓ พระองค์ คือ เจ้าโสณเถร เจ้าอุตตระเถร เจ้ารัตนะเถร กับพระมหาอานนท์ ถ้วน ๔ เป็นบริวาร มีพระอินทร์ เป็นผู้กางฉัตร ไปตามพระพุทธเจ้ายังมีพระยาตนหนึ่ง เป็นเจ้าเมือกุสินาราย มีพระนามว่า พระยาอโสก ทรง ถือฉลองพระบาทกับไม้เท้าเสด็จไปตามหลังพระพุทธเจ้าด้วยอุปัฏฐากพระก็ลีลาออกจากป่าตะวันนะอาราม ในวันเดือนเกี๋ยงแรม ๑ ค่ำ พระก็เสด็จจากเมืองสาวัตถีมาโดยลำดับหนทางก็มาสู่ไชยภูมิเข้าบิณฑบาตแห่งแม่ครัวแล้ว พระก็เลียบขึ้นมาตามฝั่งน้ำแม่ละมึง ก็เสด็จขึ้นมารอดลำพูน ก็ไว้พระเกศาธาตุหั้นแล้ว เสด็จไปสุเทพแล้วมาบุบผารามแล้วมายางภังคะ แล้วไปเชียงดาว แล้วไปทับเทา แล้วไปสบฝาง แล้วไปฉันข้าวแม่คง แล้วพระก็เลียบฝั่งแม่คง แล้วขึ้นแสนหวีไปรอดเมืองวิเทหราช ก็อยู่เข้าวัสสาที่ นั้น อยู่ป่าอัมพะวะรารามก็เทศนาธรรมเนมิราช ก็อยู่เข้าวัสสาที่นั้น อยู่ป่าอัมพะวะนาก็เทศนาธรรมเนมิราชและสุทินนะราช และราระทะ จาตะกะแล้ว ครั้นออกพรรษาแล้ว ก็มาเมืองลีไว้เกษาธาตุ เมืองสิงห์ แล้วมาเมืองยองแล้วเมืองพะยาก ไว้เกศาธาตุดอยพะยาก แล้วมาเมืองเชียงแสนแล้วไปดอยตุง แล้วกูข้าว แล้วมากู่แก้ว แล้วไปจอมกิตติ แล้วไปจันแล้วไปผาเรือ ไว้พระบาทที่นั้นแล้วพระพุทธเจ้าเสด็จไปยืนอยู่กุมผ้าจีวรแล้วเสด็จไปนอนเหนือหินก้อนหนึ่ง แล้วพระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนดอยที่นั้น ก็เล็งดูโลกทั้งมวลแล้ว พระก็เสด็จไปสันทรายไว้พระบาทที่นั้นแล้ว จึงเสด็จมาเมืองคง แล้วมาเมืองนายไว้พระพุทธบาทที่นั้นแล้ว จึงเสด็จมาที่หัวดอยด้วยไว้พระบาทจิ่มยักษ์อยู่อุปถากแล้วไปจอมแว่น แล้วไปบ่อกง แล้วไปจนอิดก็บ่(หอบ) ไม่ทันทีนั้นพระพุทธเจ้าก็ยกพระบาทย่ำหินก้อนหนึ่งไว้ ทางส้นตีน (ส้นเท้า) ครั้นยักษ์เห็นลอยพระบาทของพระพุทธเจ้าแล้ว มันจึงกล่าวชายผู้นี้แรงนักแท้หนอเยียบย่ำหินพอหล่มเยียวว่าจักกินไม่ได้ชะด้ายว่าฉันนั้นแล้วพระพุทธเจ้าก็ให้มันเห็นตนแล้ว ก็สำแดงยากปาฏิหาริย์ให้ยักษ์เห็นแล้วมันจึงรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้ามันก็กลัวมากนัก พระพุทธเจ้าจึงสั่งสอนยักษ์ให้มันได้รักษาปัญจศีล ๕ แล้ว พระพุทธจึงตรัสว่าดูกรยักษ์มึงมาไล่กูไม่ทันกูตถาคตเท่าก็ยืนอยู่ที่เดียวนี้ได้ พระพุทะเจ้าจึงตรัสว่า ดูกรอานนท์ภายหน้าตีนตกดอยที่นี้โจรทั้งหลายจักมาตั้งอยู่ภายจัดได้ชื่อว่า เวียงเลยชะแล ว่าอั้นแล้วพระพุทธเจ้าก็ไต่สันดอยล่องจึงมาจวบขาผัวเมียไปฟันไร่อยู่หั้น ขาทั้ง ๒ บ่มีสังข้าวก็ย่อห่อ ผู้ผัวกล่าวว่าดูราย่าลาบ่มีสังจักทานสักอันนี้หนอ ข้าวก็บ่อห่อ ผู้ผัวกล่าวว่าดูราย่ามีสังจักทานสักอันสันนี้ว่าอั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ปูลายังทาน ผู้เมียกล่าวเออปูราก็ยังพอทานแล้ว ขาก็จิ่งเอาปูไปทานซึ่งพระพุทธเจ้า ขาทั้งสองจึงกราบทูลว่าข้าเจ้าทั้ง ๒ ก็เถ้าแก่แล้ว ฟันก็หล่อนเสียทั้ง ๒ แล้วขอพระพุทธองค์ทรงรับครกใบนี้ไปตำหมากพลูเป็นดั่งขาทั้งสองเขาผัวเมียทั้ง ๒ ก็ถวายหินเป็นทานแก่พระพุทธเจ้าหั้นแล

พระพุทธองค์จึงว่าดูกรอานนท์ ขาถ้าแก่ทั้ง ๒ พูดจากันว่าพลรายังพอทานก็ว่าอันแล้ว ก็ให้พลูเป็นทานแก่ ผู้ตถาคตสันนี้พายหน้าฐานที่นี้จักได้ว่า พลูพอ (ปูปอช) และขาทั้ง ๒ได้ถวายครกหินเป็นทาน พระตถาคตตรัสว่าภายหน้าเมืองที่นี้จักสัมฤทธิ์ด้วยหินเป็นส่วนใหญ่ สถานที่แห่งนี้จักได้ชื่อว่า (พลูปอ) ครั้นเมื่อเสด็จทรงอธิฐานพลูปอได้สำเร็จแล พระพุทธองค์เสด็จไปสู่จอมดอยขณะที่เสด็จจอมดอยได้จวบพบนายช่างทองผู้ตีทองขายกินอยู่บนดอยที่นั้นช่างทองก็มีศรัทธาเลื่อมใสก็ถวายข้าวบิณฑบาตและปัจจัยหั้นและอันควรฉันทานแก่พระพุทธเจ้าหั้นและพระพุทธเจ้าก็รับเอาแล้วฉันบนดอยที่นั้นกัน

พระพุทธเจ้าฉันข้าวมรมวลแล้ว จึงกล่าวว่า ดูราอานนท์ ฐานะที่นี้ดีนักควรตั้งศาสนาแห่งหนึ่งแล้ว พระอานนท์จึงขอพระธาตุจากพระพุทะเจ้า จึงเอามือเบื้องขวารูปศีรษะได้พระเกษาธาตุ ๑ เส้น บวมแก่พระอานนท์ พระอานนท์รับเอาแล้วส่งมอบส่งมอบให้แก่พระยาอโสก พระอโสกทรงรับเอาแล้ว มอบให้แก่นายช่างทอง นายช่างทองจึงเอากระบอกไม้รวก มารับเอา แล้ว พระพุทธเจ้าจึงตรัสให้เอาพระธาตุของพระตถาคตเข้าไว้ในดอยที่นี้เตอะ จากนั้นพระอโสกมอบให้พระยาอินท์ พระยาอินท์ เอาบรรจุในพระอูปแก้ว ผะอูปคำ ผะอูปเงินแล้วสะอูปหิน แล้วใส่ยนต์ทีฟรักษาไว้ต่อเท้า ๕๐๐๐ พระวัสสา ต่อนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสสั่งไว้ว่า เมื่อพระตถาคตปรินิพพานไปแล้ว จงเอาพระธาตุแขนซ้ายแห่งตถาคตมาบรรจุไว้ในถ้ำที่นี้เถอะ ภายหลัวพระจุนทเถรเจ้า จัดมาเข้านิพพานในถ้ำที่นี้ไม่นานเท่าไร วิตามเทวดา จักมาตามประทีป ๔ ดวง ใส่สะลุงทิพย์ตั้งไว้ ๔ ทิศแต่งบุชา ตามส่องไว้ไม่ดับคลอด ๕๐๐๐ พระวัสสาชแล พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่าดูกรอานนท์ เรามาฉันข้าวที่นี้ ช่างทองบ่ให้ทานน้ำแก่เรา และหาน้ำจักฉันไม่ได้อานนท์ เรามาฉันที่นี่ช่างทองบ่ให้น้ำแก่เราและหาน้ำจักฉันไม่ได้อานนท์ท่านจงลงไปขอเอาน้ำจิ่มพญานาคภายใต้ดินดอยกลางทุ่งปุ้นมาเถอะเมื่อพระอานนท์ก็เอาฝาบาตรพระพุทธเจ้าลงไปสู่สระหนองอันมีภายใต้ดินดอยกลางทุ่งหั้นแล ขณะนั้นมีพระยานาคตัว ๑ ที่เคยมาเล่นน้ำในสระหนองที่นั้นทุกเมื่อ และเจ้าอานนท์ก็ไม่เห็น พญานาคก็เตรียมจะลงตักเอาน้ำสระนั้นพญานาคจึงทูลว่าท่านจักมาลักเอาน้ำก็สังจาว่าอั่นแล้วเมื่อนั้นพญานาคตัวชื่อจาตุ๊มะสักขี มีหงอน มีหงอนเป็นควัน ก็เนรมิตหงอนทั้งหมาดหรือเป็นควันปกคลุมนระหนองทั้งมอญเห็นแล พระอานนท์ตักน้ำไม่ได้ก็หนีขึ้นไปบนดอยเมื่อกราบไหว้สาบอกกล่าวเหตุทั้งมวลแก่พระพุทธเจ้าหั้นแล เมื่อนั้นพระพุทธเจ้าก็ส่องอดีตญาณคืนเมื่อหลังดูก็รู้ว่าสระหนองที่นั้น รู้ว่าพระพุทธเจ้ากะกุสันทะ โดนาคมนะ กัสสปะจะเสด็จไปโปรดบัณณสัตว์ทั้งหลายก็ได้เสด็จมานั้นน้ำที่นี้ทุกพระองค์แล พระพุทธเจ้าก็ส่องอนาคตญาณไปภายหน้าแถมเล่าก็รู้ว่าศาสนาแห่งตนจักไปตั้งอยู่กลางสระหนองที่นั้น เมื่อครั้งก่อนสิ้นศาสนา ๕๐๐๐ พระวัสสา ดังนั้น พระพุทธเจ้าก็เสด็จลงมาสู่สระหนองที่นั้นหั้นแล เมื่อนั้นพญานาคก็เนรมิตหงอนขึ้นให้เป็นควันปกสระหนองไว้หั้นแล พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนพญานาคท่านไม่รู้จักกูกา พญานาคก็กล่าวว่าท่านผู้นี้มีชื่อว่าดังฤาจา พระพุทธเจ้าตรัสว่า กูนี้ชื่อว่า พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่ากูนี้ชื่อว่า พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้า และเมื่อพระพุทธเจ้า และเมื่อพระพุทธกกุสันธะ โหนาคมนะ กสัสะปะมาฉันข้าวที่นี้ ท่านก็ยังได้หินก้อน ๑ แต่เมืองพญานาคฟันออกมาให้พระทั้ง ๓ พระองค์นั้นจา เมื่อนั้นพระพุทธเจ้าจึงนิรมิตตนให้ยิ่งใหญ่เท่าพระพุทธเจ้ากะกุสันธะ โกนาคมนะ พระเจ้ากัสสะปะนั่งอยู่สูง ๓๒ ศอก แล้วก็กระทำยมกปาฏิหาริย์ เยียบพญานาคหื้อจนลงไปในสระหนองที่นั้นแล เมื่อพญานาคมันก็เห็นจึงรู้จักว่า เป็นพระพุทธเจ้าเที่ยงแล้วบ่อสงสัย ก็ลงสู่เมือนาค อันเป็นที่แห่งตนแล้ว ก็จึงแล้วเอาหินก่อนที่พระพุทธเจ้า กะกุสันธะ โกนาคมนะ กัสสปะ นั่งฉันข้าวนั้นออกมาให้พระพุทธเจ้านั่งฉันน้ำหั้นแล เมื่อนั้นพระพุทธเจ้าก็ประทับนั่งเหนือหินก้อนนั้นฉันน้ำ พระอานนท์ตักถองให้นั้นแล้ว ครั้นว่าพระพุทธเจ้าฉันน้ำมรมวลแล้วพระอานนท์ไหว้พระพุทธเจ้าว่า ภันเตภควา ข้าแด่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ากะกุสันธะ โกนาคมนะ กัสสปะ ก็มาได้ฉันข้าวที่นี่ทุกตน ส่วนว่าพระพุทธเจ้าก็ได้ฉันน้ำที่นี้ ในฐานที่นี่ก็ควรที่พระพุทธเจ้าตั้งศาสนาแห่งหนึ่งและว่าอันแล้ว พระพุทธเจ้าจึงกล่าว ดูกรอานนท์พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ก็ได้มาฉันข้าวที่นี่แท้และ เท่าว่าค่อนอายุแล้วก็จึงมา ส่วนภูมาสถานที่นี้ก็เป็นสระหนองหลวงใหญ่กว้างเลิกนักไม่ควรตั้งศาสนา เมื่อใดพระตถาคตนิพพานไปแล้ว ไว้ศาสนา ๕๐๐๐ พระวัสสาจักดากึ่งข้อนไปแล้วดั้งอัน ๒ ขาผัวเมียอันได้พลูเป็นทานแก่พระตถาคตนั้นหากจักได้มาตั้งศาสนาในหนองที่นี่หมื่นชะและถึงเมื่อนั้นมีสระหนองอันนี้หากจักมูลไปชะแล ว่าฉันนี้พระพุทธเจ้าก็จักสั่งพระยาอินทร์และพญานาคว่า ดูราพระยาอินทร์และพญานาคเหย เมื่อใดพระตถาคตนิพพานไปแล้วไว้ศาสนา ๕๐๐๐ พระวัสสาจักคาเทียงข้อนไปแล้วอังอันส่วน ๒ ขาผัวเมีย อันได้ให้พลูเป็นทาน แก่พระตถาคตนั้นจักได้มาเกิดที่นี้แล้วจักเลี้ยงเป็ดและห่านในสระหนองที่นี้ขายเลี้ยงชีวิตและครั้นถึงเมื่อดังนั้นให้ท่านได้เอาทองคำแต่เมืองนาคโน้นออกมาไว้ท่ามกลาง สระหนองที่น้ำแล้วท่านจงสำแดงให้ ๒ ขาได้เห็นคำสั่งอันนี้เถอะ ๒ ขา ก็จักเอาคำวนนั้นมาริร่ำสร้างแปงยังสารูป พระตถาคตเจ้าให้ใหญ่เท่าพระพุทธเจ้ากกุสันธะ โกนาคมนะ พระเจ้ากัสปะ ไว้ท่ามกลางสระหนองที่นี้แล้ว ก็จักก้านกุ่งรุ่งเรืองมากนัก ต่อเท้าสิ้น ๕๐๐๐ พระวัสสานั้นชะแล ๒ ขาผัวเมียก็จักมาสร้างให้เป็นอารามใหญ่จักปรากฏได้ชื่อว่าวัดศรีโคมคำ จักปรากฏไปทั่วทิศนุทิศต่าง ๆ และเป็นที่ไหว้สักการบูชาแก่คนและเทวดาทั้งหลายที่ได้มาอุปัฏฐากสักการบูชาก็เสมอเหมือนดังได้ไหว้และได้เห็นพระองค์แห่งพระตถาคตเมื่อยังทรมานอยู่ชะนี้แล ครั้นว่าพระพุทธเจ้าสั่งพระยาอินทร์และพญานาคไว้ดังนี้แล้วก็ลุกยืนเอาเท้าย่ำก้อนหินนั้นให้เป็นรอยพระบาท ให้พญานาคนำเพื่อรักษาไว้อุปฏฐากที่ เมืองนาคโน้นวันนั้นแหล่ เพราะว่าหินก้อนนั้นพระพุทธเจ้ากกุสันธะ โกนาคมนะ พระเจ้ากัสสปะ เจ้าหากได้รอยพระพระพุทธบาทไว้ทุกพระองค์ ส่วนพระพุทธเจ้าโคตรมะ ก็ย่ำซ้อนรอยพระพุทะเจ้าทั้งมวลเป็น ๔ พระองค์นั้นแล ภายหน้าพระศรีอริยเมตไตยจ้าก็จกมาเหยียบย่ำหินก้อนนั้นแถมเล่าและเพราะว่าหินก้อนนั้น พระยาอินทร์ยังรักษาไว้ตราบถึงกาลบัดนี้ และ พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า ดูกรอานนท์เรามาฉันข้าวยังบ้านช่างทองที่บนดอยโน้นก็บ่อได้ฉันน้ำ มาที่นี้ พญานาคก็บ่อให้น้ำพระตถาคตปราบชนะแล้วได้ฉันน้ำ พายหน้าบ้านเมืองอันนี้จัดหาน้ำแม่ใหญ่ไม่ได้จักอดน้ำเมื่อ ฤดูร้อนชะแล ครั้นพระพุทธเจ้าทรงทำนายฉันนี้แล้ว ก็เสด็จไปดอยน้อย ไปแช่โว่ ไปม่อนจอมศีล ไปภูขวาง ไปจ๋อมใกล้ ไปจอมแจ้ง ไปขิงแกง ไปสบแวน ไปแช่แห้ง ไปช่อแฮ ไปขวยปู ไปปูตั๊บ ไปแหลมลี่ ไปรองอ้อ เสด็จไปขว้ำหม้อ ไปลำปาง ไปจอมทอง ไปเมืองฮอด ไปดอยเกิ้ง ไปเมืองง้ม ไปเมืองตื่น ไปเมืองเมย ไปเมืองยวม ไปเมืองต๊ะล่าง ไปเมืองสะโตง ไปเมืองสะแหลม ไป เมืองต๊ะโก่ง ไปเมืองกุสินาราย ไปโปรดบัณณสัตว์ทั้งหลายโดยลำดับแล้วก็เสด็จเมื่อสู่ปาเจตะวันนารามดังเก่าวันนี้แล ลูนนั้นมา ๒ ขาผัวเมียอันได้ให้พลูเป็นทานพระพุทธเจ้าวันนั้นเกิดแล้วตายตายแล้วเกิดหลายชาติหน้า ชาติหนึ่งไปเกิดเมืองฝางโน้นเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ๑๙๘๑ ปี วันนั้นสองยาผัวเมียตายจากเมืองฝางไปแล้วได้มาเกิดเมืองพะเยาที่นี้ ผู้ผัดเกิดกฏสง้า จุลศักราชได้ ๘๐๐ ตั๋ว ศาสนาล่วงไปแล้ว พุทธศักราชได้ ๑๙๘๑ ปี ลำดับถึงปีเมืองเม็ดอายุผัวได้ ๕๐ ตัด อายุผู้เมียได้ ๔๗ ปี เรือน ๒ ผัวเมียอยู่ตรงหนเหนือใกล้ที่พระพุทธเจ้าอยู่ ๒๐ วา ก็เอากันเลี้ยงเป็นเลี้ยงห่านจ่ายกินเลี้ยงชีวิตอยู่ที่นั่นก็มีและครั้นถึงปีเมืองเม็ดจุลศักราชได้ ๘๔๙ ตัว ศาสนาล่วงไปแล้ว พระพุทธศักราชได้ ๒๐๓๐ ปี วัน เดือนเป็ง (๑๕ ค่ำ) ยามตูดจ้ายเมื่อคืน พญานาคก็รำพึงว่าพระพุทธเจ้าได้สั่งกูไว้ว่า เมื่อใดพรตถาคตนิพพานไปแล้วจักไว้ศาสนา ๕๐๐๐ พระวัสสา และจักดาครึ่งข้อนไปแล้วดังอั้นให้กุตถาคตได้เอาก้อนคำออกมาเอาไปสำแดงให้ ๒ ขาผังเมียหื้อได้เห็นแล้วกล่าวว่าทองคำทั้งมวลนี้ให้ ๒ ขาได้สร้างยังรูปพระพุทธเจ้าเถอะ สัมพัญญูพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสสั่งกูไว้ว่าฉันนี้แล บัดนี้พระสัพพัญญูพระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปใด ๒๐๓๐ ปี แล้ว ขาตั้งสองอั้นจักได้สร้างพระพุทธรูปเจ้าก็เกิดมาที่นี้แล้ว ควรกูออกไปเตอะว่าฉันนั้นแล้ว พญานาคก็เอาแท่งคำหนึ่งมีน้ำหนัก ๔๒๐๕๐๐ บาท แต่เมืองนาคพ้นมาไว้ท่ามกลางสระหนองเอี้ยงที่นั้นแล้วก็เนรมิตตนเป็นผู้หนึ่งนุ่งขาวห่มขาว แล้วก็เมือสู่เรือนขา ๒ เท่าเวลากลางคืน แล้วก็กล่าวคำทั้งมวลด้วยดั่งพระพุทธเจ้าตรัสสั่งไว้นั้นทุกประการแก่สองผัวเมียก็จับเอาแขนผู้ผัวลงไปสู่สระหนองที่นั้นให้เห็นทองคำอันนั้นแล้วก็เนรมิตรตนให้เป็นพระขาวแล้วแสดงตนให้ใหญ่เท่าพระพุทธเจ้ากกุสันธะ โกนาคมานะ และกัสสปะ ประทับนั่งสูงได้ ๓๒ ศอก แล้วเนรมิตองค์เป็นพญานาคเอาหินก้อนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งออกมาแสดงให้เห็นแล้วก็หนีเมือสู่เมืองนาควันนั้นแลคนทั้งหลายกล่าว่าเห็นนาคมายังกว๊านก็คือหากได้แก่พญานาคตัวนั้นแล ออกเล็งดูคนทั้งหลายยังครบยำนับถือสักการบูชาให้ทานเป็นดังฤาจาว่าอั้น จึงออกมาเลียบเล็งดูบ่อขาดและ ส่วนว่าขาทั้ง ๒ ผัวเมีย ครั้นได้ยินคำพญานาคมากล่าวขยายอาการเช่นนี้หือได้สร้างพระพุทธรูปเจ้าว่าฉันนั้นก็มีจิตใจชมชื่นยินดีมากนักก็เอาคำก้อนนั้นมาสู่มอบที่เรือนแห่งตนแล้วก็จึงถมสระมุจจริตะ คือหนองเอี้ยงที่นั้นให้เตมีรามเพียงบริบูรณ์นานได้ ๒ ปีปลาย ๗ เดือนลาบเพียงขอบสระและปั้นอิฐได้ ๑แสน ยิ่งลำบากใจนักจึงว่าจ้างท่านผู้อื่นปั้นอิฐเพิ่มอีก ๓๐๐.๐๐๐ ก้อน สิ้นทองคำ ๕๐๐ บาท รวมทั้งหมดได้อิฐ ๔๐๐,๐๐๐ ก้อน ในกาลนั้นเจ้า เจ้าเมืองสิ้นทองคำอีก ๕๐๐ บาท ในกาลนั้นพระยาเมืองยอดเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ร่วมเป็นประธานสร้างพระเจ้าตนหลวง ทางฝ่ายเมืองพะเยามีเจ้าเมืองยี่ครองเมืองพะเยา ครั้นถึงจุลศักราชได้ ๘๕๓ ตัว พุทธศาสนาล่วงไปแล้วได้ ๒๐๓๔ ในปีล้วงได้เดือน ๘ เป็ง วันพุธไทยเมืองเหม้า ยามกองงาย สองขาผัวเมียได้แรกก่อพระพุทธเจ้าองค์หลวงวันนั้นแล ก็มาได้ ๔ ปี ถึงปีดับเหม้าพระยาเอยี่เจ้าเมืองพะเยาสิ้นพระชน ไปในปีนั้น พระยาเจ้าเมืองเชียงใหม่สิ้นพระชนในปีนั้น

รูปภาพ

ในปีดับเหย้า เดือน ๑๒ เพ็ญ เป็ง วันอาทิตย์ ไทเปิกยีพระเมืองแก้วได้รัชฎาพิเศกขึ้นนั่งบัลลังก์ คือ แท่นแก้วเป็นพระมหากษัตริย์ เสวยเมืองเชียงใหม่ แล้วสถาปนาพระยาหัวเคียนขึ้นครองเมืองพะเยา ในสลายสี่กินเมืองได้ ๒๐ ปี ก็อนิจกรรมตายไปหันและ พระเมืองแก้วจึงให้พระเมือง ลูกพระยาหัวเคียนครองเมืองในปีเปิกสง้าและสองผัวเมียเริ่มก่อสร้างพระพุทธรูปเจ้าตนหลวง แต่ปีล้วงไก๋ อายุผู้ผัวได้ ๕๔ อายุผู้เมียได้ ๕๑ ปี

ครั้นมาถึงจุลศักราชได้ ๘๘๖ ตัว ศาสนาล่วงไปแล้วได้ ๒๐๖๗ ปี ในปีกาบสันเดือน ๘ เป็ง ยามกองงายจึงก่อแล้วและนับตั้งแต่ปีล้วงไก๊ คือปีแรกก่อหัวทีมาถึงก่อแล้ว คือ ปีกาบสันนานได้ ๓๓ ปี และใช้สะตาย ใส่ลัก ใส่น้ำหาง ติดคำ แล้วบรมวลสิ้นน้ำหาง ๑ หมื่น น้ำรัก ๓ แสน สิ้นปูน ๒ ล้าน ๒๐๐๐ สิ้นน้ำอ้อยล้านกับหนึ่งหมื่นบาท

สิ้นทองคำ ๔ แสน ๒ หมื่น ๕๐๐ เป็นค่าจ้างทั้งมวล ทองคำยังเหลือ ๒๐๐๐ จึงจ้าง

ท่านำทองมาตีเป็นแผ่นใส่กรอบหน้าคุมศีรษะลงลอดกลางเบื้องหนึ่ง และยามวางรูปขะ หน้า(พระพักตร์) นั้น พระยาอินทร เสด็จลงมาช่วยเขบ็ดหน้าให้สวยงาม

ลักษณะพระพุทธรูปเจ้ามีฉันนี้และคือ

๑. พระโมลีใหญ่ ๒๐ กำมือ สูง ๓ ศอก
๒. พระเศียรกลม ๖ วา (วัดโดยรอบ)
๓. พระเกษามีจำนวน ๑,๕๐๐ เส้น แบ่งได้ ๔ ขนาด
ขนาดใหญ่ ๔ กำมือ ขนาดกลาง ๓ กำมือ ขนาดเล็ก ๒ กำมือ ขนาดเล็กที่สุด ๑ กำมือ
๔. พระพักตร์ กว้าง ๒ วา ยาว ๒ วา
๕. พระเนตร ยาว ๓ ศอก ๑ คืบ พระขนง (ระหว่างคิ้ว) กว้าง ๑ ศอก
๖. พระขนง (คิ้ว) ยาว ๓ ศอก ๑ คืบ
๗. พระนาสิก ยาว ๓ ศอก ๑๐ นิ้ว กว้าง ๑ คืบ
๘. พระโอษฐ์ ยาว ๔ ศอก กว้าง ๓ คืบ
๙. พระกรรณ ยาว ๑ วา ๒ ศอก กว้าง ๑ ศอก
๑๐. ลำพระศอยาว ๓ ศอก กลม ๓ วา
๑๑. พระอังสะ ยาว ๓ ศอก ๑ คืบ
๑๒. พระรากขวัญ ยาว ๔ วา ๓ ศอก
๑๓. พระอุระถึงพระหนุ สูง ๒ วา
๑๔. พระถันถึงพระอังสกุฏ ยาว ๒ วา
๑๕. พระนาภีถึงพระอุระ ๒ วา ๒ ศอก ระหว่างพระอุระกว้าง ๒ ศอก
๑๖. พระหฤทัยใหญ่ ๖ กำมือ
๑๗. พระพาหา ยาว ๔ วา กลม ๒๙ กำมือ
๑๘. พระอังคุลีใหญ่ ๙ กำมือ ยาว ๑ วา
๑๙. ฝ่าพระบาท กว้าง ๒ ศอก ยาว ๓ วา
๒๐. หน้าตัก (พระเพลา) กว้าง ๒๘ ศอก
๒๑. จากพื้นฐานถึงพระโมลี สูง ๓๔ ศอก

ในปีล้วงไก้ เดือน ๘ เป็ง วันพระ ไทเมืองเหม้า ยางกองาย ได้ปกแกนไม้เป็นมหาพุทธเจ้าในวัดศรีโคมคำ เมืองพะเยาวันนั้นแล ฤกษ์ลักขณาอยู่เมถัน อาทิตย์ พุธ อยู่พระสพ จันทร์อยู่พระจิก อังคารอยู่กัน เสาร์อยู่ตุล ศุกร์อยู่เมษ ราหูอยู่กุมภ์แล ครั้นสร้างพระพุทธเจ้า พระยาเมืองตู้ตนเป็นเมืองพะเยา จึงนำอาโกฐาถมานาบุญ อันได้สร้างพระมหาพุทธเจ้า เมื่อกราบทูลทวายแด่พระมหากษัตริย์ คือ เมืองแก้ว เมืองเชียงใหม่ ทรงพัณณาตั้งแต่เบื้องต้นถึงปลายให้พระราชอาชฌา ได้ตรัสรู้ทุกประการ พระเมืองแก้ว ทรงมีพระราชหฤทัยโสมนัสชื่นเจยบาน ทรงมีพระราชศรัทธาประสาทะมากนัก ก็จึงพระราชทานทองคำในเล่มฉาง ๓ พันเงิน หกพันทองคำ มาสร้างพระมหาวิหารหลวงนานได้ ๓ ปี และครั้นมหาวิหารแล้ว ถึงปีจุลศกราชได้ ๘๘๘ ตัว พระศาสนาล่วงไปแล้ว พุทธศักราชได้ ๒๐๖๙ ปีรวายเส็ด เดือน ๘ เป็ง ก็ได้เบิกบายรวายศรีอบรมยังพระมหาพุทธรูปเจ้าฉลองทานทำบรมวลแล พระเมืองแก้วท่านก็มาแบ่งเขตวัด ด้านเหนือเอาตี๋นดอยพระธาตุจอมทองเป็นเขต ด้านใต้ตั้งแต่หน้าวัดอุ่นหล้า ถัดไปทางตะวันออก ๑๐๐๐ วา ด้านตะวันตก ๕๐๐ วา เพื่อจักให้สาธุชน บริษัท ให้ได้รู้ยังโบราณจารีตแห่งพระพุทธเจ้าและแห่งมหากษัตราธิราช อันเป็นปฐมกฤษ์ก่อสร้างยังพระมหาพระพุทธเจ้าอันให้บรมมวลแล้วตามพุทธกิจ อันได้ทำนายไว้จักให้อภัยแก่สัตว์ มีเนื้อ นกทั้งหลาย อันเข้ามาอาศัยในอันตะพุทธเขต เหตุไม่ให้คนทั้งหลายได้กระทำร้ายยังต้นไม้และลูกไม้และสัตว์เนื้อ นก ทั้งหายอันมีในข่วงโข่งเขตวัดที่นั้นและทุ่งนา ก็ซ้ำบังเกิดโสมนัส อภิรมย์ชมชื่นยินดี ปิติ ปราโมทย์กับราชศรัทธาในพระพุทธรูปเจ้านักก็จึงให้คนใน ๑๐ ครัว ของพระเมืองตู้ ๑๐ ครัว ทั้งมวล เป็น ๒๐ หลังคาเรือน ถวายทานไว้ปฏิบัติรักษาอุปฏฐากยังพระพุทธรูปเจ้าไม่ให้หม่นหมอง ให้เป็นที่ไหว้สักการะบูชาแก่คนและเทวดาทั้งหลายไปภายหน้าตราบต่อเต้า ๕๐๐๐ พระวัสสาแล ส่วน ๒ ขาผัวเมีย ครั้นแล้วกิจการก่อสร้าง พระพุทธรูปเจ้าแล้ว ก็กระทำรักษาศีลให้ทานเป็นนิจกาลไปตลอดไม่ขาดตราบเท่าอายุได้ ๑๒๐ ปี ครั้นสิ้นเขตอายุก็ได้จุติจากเมืองคนก็ได้นำตนเมื่อเกิดชั้นฟ้าเลิศเมืองสวรรค์ก็มีวันนั้นแล ถัดนั้นมายังมีสิงห์คุตตระอามาตร ได้ตัดตุงผืน ๑ (ธงผืน ๑) ไปบูชาพระพุทธเจ้าองค์หลวง ถึงเมื่อเวลาจักตาย วางจิตใจไม่ได้จึงพาไปตกนรก มีพระยายมราชจึงสำแดงตุงผืนนั้นให้เห็นแล้วจึงได้กล่าวว่า ท่านได้หยาดน้ำตกมาถึงเราวันนั้นด้วย ว่าฉันนั้นแล้ว พระยายมราชจึงส่งให้พ้นขึ้นเมื่อเกิดเมืองฟ้าภายบนก็มีหั้นแล ถัดนั้นมายังมี พรานป่าผู้หนึ่ง ชื่อว่า ปะสะพราน เป็นพรานป่า แต่อายุได้ ๑๕ ปี มันได้ฆ่าสัตว์ทุกวันมิได้ขาด ตราบเท่าอายุมันได้ ๕๘ ปี เมื่อจักใกล้จะตายนั้นมันไปป่าไม่เห็นเขากางตุงบูชาพระพุทธรูปเจ้าองค์หลวง มันเห็นลมพัดตุงฝูงนั้นเป็นอันงามมากนัก มันได้เห็นงามแก่ตา ครั้นมันมารอดบ้าน จึงได้ไปซื้อผ้ามาตัดตุงผืนหนึ่ง ไปบูชาพระพุทธรูปเจ้าองค์หลวง ครั้นมันตายไปตกนรก เหตุเพราะได้ฆ่าสัตว์นัก ในขณะนั้นหางตุงผืนนั้นก็มาเกี่ยวชักมันออกมาถ้วน ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง พระยายมราชจึงพิจารณาดูแล้ว จึงส่งให้มันเมื่อเกิดเมืองฟ้าเลิศบนสวรรค์อันนั้นแล ถัดมาถึงจุลศักราช ๙๐๘ ตัว ปีรวายสง้า เดือน ๘ เป็ง ยังมีชาวเมืองฝางคนหนึ่ง ชื่อว่า ขนานกุมาร มีตุงขาวผืนหนึ่ง มาถวายบูชาพระพุทธรูปเจ้าองค์หลวง กันว่าเวรทานและประเคนแล้ว

รูปภาพ

เอาขึ้นกางพายบนลอดพลาดตกลงตาย ตุงผืนนั้นก็มาปรากฏให้มันเห็น แล้วชายผู้นั้นก็จับเอาหางตุงผืนนั้นขึ้น เมื่อเกิดเมืองฟ้าวันนั้นแล ยามเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหมทั้งหลาย ก็พากันมาไหว้พระธาตุเกศแก้วจุฬามณีเป็นอันมาก ชายผู้นั้นก็ได้ขึ้นเมื่อปรากฎในข่วงพระธาตุเกศแก้วจุฬามณีนั้นแล พระยาอินทร์เห็นเครื่องประดับอันงามเหนือกว่าเทวดาทั้งหลายจึงได้ถามดู มันก็กล่าวตามอันมีทุกอัน พระยาอินทร์จึงกล่าวว่า พระพุทธรูปเจ้าองค์นั้นวิเศษศักดิ์สิทธิ์มากนัก เหตุว่าพระพุทธเจ้าเมื่อยังทรมาน หากได้ทำนายไว้และเมื่อก่อสร้างครั้งแรกวันนั้นเราก็ยังได้ไปช่วยทำเขบ็ดหน้าให้งามเท่าพระพุทธเจ้ากกุสันธะโกนาคะมนะ กัสสปะและบัดอายุแห่งท่านยังไม่สิ้น จงให้ทานได้กลับคืนเมื่อสู่เมืองคนแล้ว ท่านจงกระทำบุญมากกว่าเก่าเถอะ ว่านั้นแล้วมันก็กลับหายจากที่นั้นคืนเมื่อเกิดเป็นคนดังกล่าววันนั้นแล มันตรงเวลายามใกล้ค่ำก็คืนมาเป็นคนดังเก่าวันนั้นแล

ต่อไปจักกล่าวมูลละแห่งสระมุจจรินทะ หนองเอี้ยงที่มีฉันนี้และปางเมื่อพระพุทธเจ้าได้เกิดเป็นนกเอี้ยงดำ ก็อาศัยอยู่โคนไม้สักต้นหนึ่ง ที่อยู่ยังบนดอยจอมทองแล้วเคยบินลงมากินและอาบน้ำในสระหนองเอี้ยงที่นั้นไม่ขาด ยังมีวันหนึ่งอาบน้ำแล้วแล้วกินแล้วก็บินไปจับอยู่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่ริมใกล้โกนแห่งต้นไม้ ไซ้ขนไซ้ปีกอยู่นั้น ยังมีเหลว(เหยี่ยว)ตัวหนึ่งมาตีจิกกินวันนั้นแล เมื่อพระพุทธเจ้ามาฉันข้าวที่บนดอยจอมทอง ก็เทศนาแก่พระอานนท์ว่า ตรงนี้ก็เป็นสุสาน คือ ป่าช้า พระตถาคตแห่งหนึ่งชะแลว่าอั้น เหตุนั้นจึงเรียกว่า สระหนองเอี้ยง เมื่อนั้นแล พุทธิฆษาจารย์เจ้าจริง ขอบาลีไว้ว่า “สาลิกา มตา โลหปฺปปตฺตํ ดังนี้ จำเนียรแต่นั้นมาตามลำดับ ท้าวพระยาสืบมาหลายเช่นกัน ส่วนชาววัด ข้าราชการ ๒๐ ครัวเรือนนั้น ก็อยู่ปฏิบัติรักษาอุปฏฐากสืบกันมาตราบต่อจนถึงเช่นเจ้าฟ้ามังตรา เมืองหงสาวดี ได้ปราบล้านนาไทยก่อนแล เจ้าฟ้ามังตรามีเดชนัก ไปเอาเมืองอโยธยาและเมืองเวียงจันทรบุรี ในปีกัดไก้วันนั้นแล ได้กวาดเอาลาวเมืองไว้ เมืองหงสาวดีได้ ๑๘๓.๐๐๐ ครอบครัววันนั้นแล ถัดมารอดปีล้วงไส้ เจ้าฟ้ามังตราสิ้นพระชนม์แล้ว มาถึงปีเปิดเส็ด พวกลาวที่ถูกต้อนมาอยู่เมืองหงสาวดีรือฟื้นเจ้าฟ้าอิเม หนีรอดมาถึงเมืองลำพูนแล้วกวาดเอาคนเมืองทั้งมวล มีเมืองลำพูน เป็นต้น มารอดเมืองพะเยา เดือน ๘ แล้วกวาดเมืองยาวและชาววัดพระเจ้าตนหลวงทั้ง ๒๐ ครัวเรือนนั้นหนี เพื่อเอาไปไว้ที่เมืองจันทรบุรีจนหมดไม่เหลือสักคนแล ชาววัดได้พากันฟื้นตำนานหนีไปตกอยู่เมืองจันทรบุรีโน้นนานนัก หลังจากนั้นมาล้วนผู้ชายทั้งหลายอันเคยเป็นชาววัดที่หนีไปตกอยู่เมืองจันทรบุรีนั้น จึงได้สืบสาวราวเรื่องถามหาพระพุทธรูปเจ้าองค์หลวงเมืองพะเยา ก็จึงรู้ข่าวว่า พระพุทธรูปเจ้าองค์หลวงหม่นหมองด้วยไม่เปร่งปรั่ง เหตุว่าไม่มีชาววัดอยู่ปฏิบัติรักษาอุปฐาก ไม่มีและไม่มีฟื้นตำนานหาไม่ได้ เพราะไม่มีใครรู้จักสักคนว่าฉันนี้ เหตุนั้นผู้ข้าทั้งหลายจึงพร้อมใจเขียนหนังสือฟื้นตำนานแล้วได้ใช้ให้หมื่นอุตระ เมืองเชียงของออกมาให้ปรากฏแก่คฤหัตถ์ นักบวชเจ้าทั้งหลายในเมืองพะเยาที่นั้นแล มีมหาเถรเจ้าธรรมปาละได้วิสัสนาจารออกมา คือ จารึกไว้กับวัดศรีโคมคำ เมืองพะเยาตราบเท่าทุกวันนี้ได้ ๕๐๐ พระวัสสาชะแล


รูปภาพ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร