ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
สักการะ 9 สิ่งมงคล ในงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=40735 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 11 ม.ค. 2012, 13:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | สักการะ 9 สิ่งมงคล ในงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร |
สักการะ 9 สิ่งมงคล ในงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างวันที่ 11-15 มกราคม 2555 เวลา 09.00-21.00 น. วัดบวรนิเวศวิหาร จัด “งานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร” เชิญชวนประชาชนร่วมสร้างกุศล เสริมสิริมงคลครั้งยิ่งใหญ่แก่ชีวิตต้อนรับปีใหม่และเทศกาลตรุษจีน สักการะพระพุทธรูปสำคัญของชาติ และสิ่งมงคลคู่แผ่นดินภายในวัดบวรนิเวศวิหารทั้ง 9 แห่ง ร่วมพิธีสมโภช “พระเกศรัศมีทองคำลงยาราชาวดีพระพุทธชินสีห์” ร่วมเขียนบัตรถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมชมการแสดงนาฏศิลป์ชั้นสูงและการแสดงพื้นบ้านต่างๆ ฯลฯ ตั้งแต่วันที่ 11-15 มกราคม 2555 นี้ ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า คณะกรรมการวัดบวรนิเวศวิหาร และคณะกรรมการโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ เตรียมจัดงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร หลังจากได้ได้ดำเนินการบูรณะแล้วเสร็จสมบูรณ์ และเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ในพิธีงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหารนี้ คณะกรรมการวัดบวรนิเวศวิหาร และคณะกรรมการโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหาร ได้ขอพระราชทานทูลเชิญเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสมโภช “พระเกศรัศมีทองคำลงยาราชาวดีพระพุทธชินสีห์” และทรงสมโภชพระอาราม ในวันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2555 ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร ด้าน นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและอดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะประธานคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองรูปแบบการจัดงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร กล่าวว่า ในงานสมโภชครั้งนี้ ได้มีการจัดกิจกรรมที่สำคัญขึ้นภายในและบริเวณโดยรอบวัดบวรนิเวศวิหาร โดยภายในเขตพุทธาวาสนั้น ได้เปิดสถานที่สำคัญให้พุทธศาสนิกชนได้ร่วมบูชาพระพุทธรูปสำคัญของชาติ และสิ่งมงคลสักการะทั้ง 9 แห่ง เพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับปีใหม่พุทธศักราช 2555 ประกอบด้วย (1) ไหว้พระคู่บวร ณ พระอุโบสถ (2) ขอพรพระบรมสารีริกธาตุ บูชาพระไพรีพินาศ ณ พระเจดีย์ (3) อภิวาทพระศรีศาสดา ณ พระวิหารพระศาสดา (4) วันทาพระพุทธรูปคู่พระบารมีฯ ณ พระวิหารเก๋ง (5) บูชาพระพุทธรูปศิลา ณ โพธิฆระ (6) ไหว้พระพุทธรูปปางลีลา ณ ศาลาการเปรียญ (7) สักการะรอยพระพุทธบาทโบราณ ณ ศาลาพระพุทธบาท (8) ไหว้พระพุทธรูปโบราณที่ซุ้มปรางค์ (ด้านซ้าย) ข้างพระอุโบสถ (9) ไหว้พระพุทธรูปโบราณที่ซุ้มปรางค์ (ด้านขวา) ข้างพระอุโบสถ งานสมโภช 175 ปี จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-15 มกราคม 2555 เวลา 09.00-21.00 น. ณ วัดบวรนิเวศวิหาร นอกจากนี้ท่านผู้มีจิตศรัทธาที่มาบูชาสักการะพระพุทธรูปสำคัญของชาติ และสิ่งมงคลครบทั้ง 9 แห่งจะได้รับสิ่งมงคลสักการะที่ระลึก คือ พระพุทธชินสีห์ เนื้อผง ด้านหลังประดิษฐานตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 สำหรับผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0-2281-5052 • ประวัติความสำคัญและศิลปกรรมล้ำค่า วัดบวรฯ •
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19342 พระพุทธชินสีห์ เนื้อผง ที่ระลึกงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 11 ม.ค. 2012, 14:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สักการะ 9 สิ่งมงคล ในงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร |
พระคู่บวร ณ พระอุโบสถ ไหว้พระคู่บวร ณ พระอุโบสถ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดย สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ วังหน้าในรัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาขึ้นใหม่ พระอุโบสถเมื่อแรกสร้างเป็นอาคารจตุรมุข ต่อมาได้รื้อมุขหลังออก จึงปรากฏเป็นอาคารตรีมุข มีลักษณะเป็นอาคาร 2 หลังต่อกัน มีหน้าบันรวม 3 ด้าน ประดับด้วยปูนปั้นลายดอกพุดตานใบเทศ ตรงกลางเป็นตราพระมหามงกุฎและพระขรรค์ปูนปั้นลงรักปิดทอง ประดิษฐานเหนือพานแว่นฟ้า ซึ่งเป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เป็นเครื่องหมายว่าทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารเมื่อครั้งทรงพระผนวช พระสุวรรณเขต หรือที่เรียกว่า “หลวงพ่อโต” (องค์หลัง) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 9 ศอก 21 นิ้ว สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพได้อัญเชิญจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี มาประดิษฐานเป็นพระประธานองค์แรกของพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร พระพุทธชินสีห์ (องค์หน้า) เป็นพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งในหัวเมืองฝ่ายเหนือ ตามตำนานเล่าว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก เจ้าเมืองนครเชียงแสน ทรงหล่อขึ้นพร้อมกับ พระพุทธชินราช และพระศรีศาสดา เมื่อประมาณปี พ.ศ.1500 พระพุทธชินสีห์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 5 ศอกคืบ 7 นิ้ว สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ โปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานในมุขหลังพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ครั้นในปี พ.ศ.2380 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะยังทรงพระผนวชอยู่และทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร โปรดให้อัญเชิญเข้าประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ดังปรากฏทุกวันนี้ อ่านเพิ่มเติมจาก...พระพุทธชินสีห์และพระโต พระประธานในพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19305 พระไพรีพินาถ ณ พระเจดีย์ ขอพรพระบรมสารีริกธาตุ บูชาพระไพรีพินาศ ณ พระเจดีย์ พระเจดีย์ วัดบวรนิเวศวิหาร ก่อพระฤกษ์สร้างขึ้นเมื่อเดือน 10 ขึ้น 11 ค่ำ ปีเถาะ ตรีศก จ.ศ.1193 ตรงกับวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2374 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และสร้างเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร องค์พระเจดีย์มีสัณฐานกลมขนาดใหญ่ มีทักษิณ 2 ชั้นเป็นสี่เหลี่ยม ภายในคูหาพระเจดีย์ประดิษฐานพระเจดีย์กาไหล่ทอง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2386 ในรัชกาลที่ 3 ที่ฐานพระเจดีย์กาไหล่ทอง เป็นแท่นศิลาสลักภาพพุทธประวัติ ปางประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักร และปรินิพพาน ด้านละปาง มีอักษรจารึก พระวาจา พระอุทาน และพระพุทธวจนะไว้เหนือแผ่นภาพสลักนั้นด้วย และมีพระเจดีย์ประดิษฐานโดยรอบพระเจดีย์กาไหล่ทองอีก 4 องค์ คือ ด้านตะวันตกเป็นพระไพรีพินาศเจดีย์ ด้านใต้เป็นพระเจดีย์บรมราชานุสรณ์พระชนมพรรษา 5 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ด้านตะวันออกเป็นพระเจดีย์ไม้ปิดทอง ด้านตะวันตกเป็นพระเจดีย์โลหะปิดทอง พระไพรีพินาศ ประดิษฐาน ณ เก๋งบนทักษิณชั้น 2 ของพระเจดีย์ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระพุทธรูปศิลา หน้าตักกว้าง 33 เซนติเมตร ความสูงถึงปลายรัศมี 53 เซนติเมตร มีผู้นำมาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งยังทรงพระผนวช และทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร ในราวปี พ.ศ.2391 เมื่อทรงได้รับถวายพระพุทธรูปองค์นี้แล้ว ปรากฏว่า อริราชศัตรูที่คิดปองร้ายพระองค์ มีอันพ่ายแพ้พินาศไป พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระไพรีพินาศ” อ่านเพิ่มเติมจาก...เหตุใดจึงชื่อ “พระไพรีพินาศ” ? http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=44199 พระศรีศาสดา ณ วิหารพระศาสดา อภิวาทพระศรีศาสดา ณ พระวิหารพระศาสดา พระวิหารพระศาสดา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระศรีศาสดา ซึ่งโปรดให้อัญเชิญจากวัดประดู่ฉิมพลีมาประดิษฐานไว้คู่กับพระพุทธชินสีห์ที่วัดนี้ แต่การก่อสร้างยังมิทันแล้วเสร็จก็สิ้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงโปรดให้สร้างต่อจนเสร็จสมบูรณ์ พระวิหารพระศาสดาจึงเป็นสถาปัตยกรรมตามพระราชนิยมในรัชกาลที่ 5 ภายในพระวิหารพระศาสดาประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ 2 องค์ คือ พระศรีศาสดาและพระพุทธไสยา (พระพุทธไสยาสน์) พระศรีศาสดา เป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 1 คืบ 8 นิ้ว สร้างขึ้นในคราวเดียวกับ พระพุทธชินราชและพระพุทธชินสีห์ เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ต่อมาเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี ให้อัญเชิญจากเมืองพิษณุโลกมาไว้ที่วัดบางอ้อยช้าง เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค) ทราบเรื่อง จึงให้อัญเชิญมาไว้ที่วัดประดู่ฉิมพลี ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้คู่กับพระพุทธชินสีห์ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร แต่ยังมิได้สร้างสถานที่ประดิษฐาน จึงโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานยังมุขหน้าพระอุโบสถ วัดสุทัศนเทพวราราม ก่อน ครั้นสร้างพระวิหารพระศาสดาจวนแล้วเสร็จจึงโปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานเมื่อปี พ.ศ.2406 พระพุทธไสยา (พระพุทธไสยาสน์) เป็นพระพุทธรูปสำริดลงรักปิดทองปางไสยาสน์ สมัยสุโขทัย มีความยาวตั้งแต่พระบาทถึงพระจุฬา 6 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.1800-1893 เดิมประดิษฐาน ณ วัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งยังทรงพระผนวชอยู่ ได้เสด็จประพาสเมืองสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ.2376 ทอดพระเนตรว่ามีพุทธลักษณะงดงาม จึงโปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่มุขหลังของพระอุโบสถ เมื่อปี พ.ศ.2390 ครั้นเมื่อสร้างพระวิหารพระศาสดาแล้วเสร็จ จึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่พระวิหารพระศาสดา ห้องทิศตะวันตก พระพุทธรูปคู่พระบารมีฯ ณ พระวิหารเก๋ง วันทาพระพุทธรูปคู่พระบารมีฯ ณ พระวิหารเก๋ง พระวิหารเก๋ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดให้สร้างขึ้นสำหรับเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปฉลองพระองค์ผู้ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นอาคารขนาดเล็กศิลปะผสมไทยจีน ผนังภายในพระวิหารเก๋งมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องสามก๊ก ฝีมือช่างสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์ผู้ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร คือ พระพุทธวชิรญาณ, พระพุทธปัญญาอัคคะ, พระพุทธมนุสสนาค และพระพุทธปฏิมาทีฆายุมหมงคล (หลวงพ่อดำ) พระพุทธวชิรญาณ พระพุทธรูปทรงเครื่องอย่างจักรพรรดิราชปางห้ามสมุทร ประดิษฐานตรงกลางหันพระพักตร์ไปทิศใต้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างเป็น พระพุทธรูปฉลองพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 อัญเชิญมาประดิษฐานเมื่อปี พ.ศ.2428 พระพุทธปัญญาอัคคะ พระพุทธรูปฉลองพระองค์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค) ประดิษฐานทางด้านทิศตะวันออก หล่อและประดิษฐานพร้อมกับพระพุทธวชิรญาณ เมื่อปี พ.ศ.2428 เป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทร ครองจีวรคลุมสองพระอังสา เบื้องล่างบรรจุพระอังคารสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระพุทธมนุสสนาค พระพุทธรูปฉลองพระองค์และบรรจุพระอังคารของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ มนุสฺสนาโค) ประดิษฐานทางด้านทิศตะวันตก เป็นพระพุทธรูปยืนครองจีวรคลุมสองพระอังสา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงสร้างและอัญเชิญมาประดิษฐานเมื่อปี พ.ศ.2473 พระพุทธปฏิมาทีฆายุมหมงคล หรือ “หลวงพ่อดำ” สร้างขึ้นในวโรกาสงานฉลองพระชนมายุ 80 พรรษา สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) เมื่อปี พ.ศ.2495 เป็น พระพุทธรูปฉลองพระองค์และบรรจุพระอังคารของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ชื่น นภวงศ์ สุจิตฺโต) ประดิษฐานที่มุขด้านทิศตะวันออกของพระวิหารเก๋ง พระพุทธรูปศิลา ณ โพธิฆระ บูชาพระพุทธรูปศิลา ณ โพธิฆระ โพธิฆระ เป็นฐานต้นพระศรีมหาโพธิ ซึ่งมีทับเกษตรล้อมรอบ การสร้างโพธิฆระสำหรับต้นพระศรีมหาโพธินี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริขึ้น โดยทรงได้แบบอย่างมาจากลังกา แต่เดิมในบริเวณโพธิฆระนี้เป็นที่ตั้งคณะลังกา ที่พักของสมณทูตชาวลังกาที่เข้ามาสืบข่าวพระศาสนาตั้งแต่ในรัชกาลที่ 3 ต่อมาโปรดให้รื้อคณะลังกาเพื่อสร้างพระวิหารพระศาสดา ต้นพระศรีมหาโพธินี้เป็นบริโภคเจดีย์ที่เกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีมหาโพธิต้นนี้ได้พันธุ์มาจากพุทธคยา ประเทศอินเดีย สังเวชนียสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เมล็ดพันธุ์แล้วทรงเพาะเป็นต้นขึ้น พระราชทานมาปลูกที่วัดบวรนิเวศวิหาร 1 ต้น พระศรีมหาโพธินี้เป็นพระศรีมหาโพธิรุ่นแรกในประเทศไทยที่ได้พันธุ์มาจากต้นพระศรีมหาโพธิที่พุทธคยา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงปลูก ต่อมาโพธิฆระได้ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาจนที่สุดได้ถูกรื้อลง คงเหลือแต่ฐานต้นพระศรีมหาโพธิ ถึงปี พ.ศ.2522 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) จึงให้ก่อสร้างโพธิฆระขึ้นใหม่ตามรูปลักษณะเดิมจากภาพถ่ายปี พ.ศ.2525 หลังจากสร้างโพธิฆระเสร็จประมาณ 1 ปี ต้นพระศรีมหาโพธิ ซึ่งมีอายุราว 100 ปี ได้ตายลงตามอายุขัยของต้นไม้ และเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2525 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินมาทรงปลูกหน่อกล้าโพธิซึ่งเกิดใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ ณ โพธิฆระนี้แทนต้นเดิมที่ตายลง พระพุทธรูปศิลาแลง ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยใด เดิมแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจายอยู่ในที่ต่างๆ มีผู้เก็บมาถวายสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) ทีละชิ้น ต่อมาจึงโปรดให้ประกอบกันเข้า ก็ปรากฏเป็นองค์พระพุทธรูปสมบูรณ์และงดงาม จึงโปรดให้สร้างซุ้มที่ประดิษฐานไว้ ณ โพธิฆระแห่งนี้ พระพุทธรูปปางลีลา ณ ศาลาการเปรียญ ไหว้พระพุทธรูปปางลีลา ณ ศาลาการเปรียญ ศาลาการเปรียญ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระเจดีย์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลา สมัยสุโขทัย 3 องค์ ข้างหน้ามีธรรมาสน์สำหรับแสดงธรรม ฐานก่ออิฐถือปูน ตัวธรรมาสน์เป็นไม้สลักปิดทอง แต่เดิมศาลาการเปรียญนี้ใช้เป็นที่แสดงธรรมเทศนา พระพุทธรูปปางลีลา สมัยสุโขทัย องค์กลางมีขนาดใหญ่กว่ายกพระหัตถ์ซ้าย องค์ขนาบข้างมีขนาดย่อมลงมา องค์ทางขวายกพระหัตถ์ซ้าย องค์ทางซ้ายยกพระหัตถ์ขวา แปลกกว่าที่อื่น ซึ่งสร้างเข้าชุดกันทั้ง 3 องค์ รอยพระพุทธบาทโบราณ ณ ศาลาพระพุทธบาท สักการะรอยพระพุทธบาทโบราณ ณ ศาลาพระพุทธบาท รอยพระพุทธบาท หรือรอยพระพุทธยุคลบาท สมัยสุโขทัย ประดิษฐานภายใน ศาลาพระพุทธบาท ด้านติดกำแพงวัดทางด้านทิศตะวันตกของพระอุโบสถ รอยพระพุทธบาทนี้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ วังหน้าในรัชกาลที่ 3 ทรงได้มาจากจังหวัดชัยนาท เดิมประดิษฐานไว้ที่วัดบวรสถานสุทธาวาสในพระราชวังบวรสถานมงคล ต่อมาในปี พ.ศ.2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้ย้ายมาที่วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงโปรดให้มีการบูรณะและต่อมุขศาลานี้เป็นที่ประดิษฐานภายในเจาะผนังเป็นคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลา ตรงกลางประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกศิลา สมัยลพบุรี ไว้สองข้าง ข้างละ 1 องค์ และพระพุทธรูปประจำวันเกิด รอยพระพุทธบาทนี้สลักอยู่ตรงกลางแผ่นหินชนวนขนาดใหญ่ ความยาว 3.60 เมตร ความกว้าง 2.17 เมตร ความหนา 20 เซนติเมตร รอบรอยพระพุทธบาทสลักภาพพระอสีติมหาสาวก มีตัวอักษรบอกนามของพระมหาเถระ (พระอสีติมหาสาวก) กำกับไว้ รอยพระพุทธบาทคู่นี้อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม กลางฝ่าพระบาทแต่ละข้างมีรูปธรรมจักรขนาดใหญ่ ภายในธรรมจักรมีรูปมงคล 108 ที่ด้านข้างแผ่นหินด้านปลายพระพุทธบาท มีคำจารึกภาษามคธ อักษรขอม 7 บรรทัด คำจารึกมีใจความว่า “ครั้งแผ่นดินพระมหาธรรมราชาที่ 3 ไสยลือไทย พระวิทยาวงศ์มหาเถร ได้นำแผ่นหินมายังเมืองสุโขทัย ครั้นมาในแผ่นดินพระมหาธรรมราชาที่ 4 บรมปาลมหาธรรมราชา พระสิริสุเมธังกรสังฆนายก ผู้เป็นศิษย์ของพระสิริสุเมธังกรสังฆราช ได้สลักรอยพระพุทธบาททั้งคู่ลงบนแผ่นหินนั้น ตามแบบรอยพรุพุทธบาทบนยอดเขาสมันตกูฏ ในลังกาทวีป” พระพุทธรูปโบราณที่ซุ้มปรางค์ (ด้านซ้าย) ข้างพระอุโบสถ ไหว้พระพุทธรูปโบราณที่ซุ้มปรางค์ (ด้านซ้าย) ข้างพระอุโบสถ ซุ้มปรางค์พระพุทธรูป ตั้งอยู่ด้านข้างพระอุโบสถ นอกกำแพงแก้วด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เดิมเป็น หอระฆังน้อย ดัดแปลงเป็นซุ้มพระพุทธรูปในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระไวโรจนะ พระพุทธรูปศิลาสมัยศรีวิชัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับถวายมาจากพระเจดีย์บุโรพุทโธ ในเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อคราวเสด็จประพาสเกาะชวา ในปี พ.ศ.2439 ประดิษฐานอยู่ใน ซุ้มปรางค์พระพุทธรูป ด้านทิศตะวันตก (ด้านซ้าย) พระพุทธรูปโบราณที่ซุ้มปรางค์ (ด้านขวา) ข้างพระอุโบสถ ไหว้พระพุทธรูปโบราณที่ซุ้มปรางค์ (ด้านขวา) ข้างพระอุโบสถ พระพุทธรูปศิลาประทับยืน สมัยทวารวดี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส อัญเชิญมาจากวัดตองปุ เมืองลพบุรี ประดิษฐานอยู่ใน ซุ้มปรางค์พระพุทธรูป ด้านทิศตะวันออก (ด้านขวา) โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 มกราคม 2555 13:58 น. วัดประจำรัชกาลที่ ๖ : วัดบวรนิเวศวิหาร http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19342 |
เจ้าของ: | ทักทาย [ 11 ม.ค. 2012, 23:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สักการะ 9 สิ่งมงคล ในงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร |
อนุโมทนา สาธุ สวัสดีปีใหม่ค่ะสาวน้อย |
เจ้าของ: | AAAA [ 22 ก.ค. 2013, 12:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สักการะ 9 สิ่งมงคล ในงานสมโภช 175 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร |
วัดบวรนิเวศวิหาร มีสิ่งมงคลมากมายควรค่าแก่การสักการะอย่างยิ่งเลยค่ะ เวลาไปนั่งสมาธิในพระอุโบสถ แม้เพียงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้สงบจิตสงบใจ มีโอกาสเมื่อไหร่ จะก็ไปวัดบวรนิเวศวิหาร กราบ กราบ กราบ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |