ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

“พระพุทธรูปพี่-น้อง” ศรัทธาแห่งพระพุทธศาสนา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19714
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  เว็บมาสเตอร์ [ 21 ธ.ค. 2008, 17:45 ]
หัวข้อกระทู้:  “พระพุทธรูปพี่-น้อง” ศรัทธาแห่งพระพุทธศาสนา

รูปภาพ

“พระพุทธรูปพี่-น้อง”
ศรัทธาแห่งพระพุทธศาสนา



พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกลงในดินแดนสุวรรณภูมิมานานนับพันปี ก่อให้เกิดศิลปวัตถุและโบราณสถานอันทรงคุณค่าเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนามากมาย สืบทอดกันมาจากอดีตถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอารามเก่าแก่ รวมไปถึงพระพุทธรูปงดงามหลายยุคหลายสมัย ที่หลายๆ องค์ได้กลายเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของไทยเรา

นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปสำคัญๆ อีกหลายองค์ที่มีความพิเศษออกไป ดังเช่น “พระพุทธรูปพี่-น้อง” ที่หลายๆ คนรู้จักกันดี แล้วทำไมพระพุทธรูปจึงต้องมีพี่น้อง? แล้วพระพุทธรูปองค์ใดบ้างที่มีพี่น้อง?

จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา ประธานชมรมสยามทัศน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ กล่าวถึงพระพุทธรูปพี่-น้องให้ฟังว่า ลักษณะที่เรียกว่าเป็นพระพุทธรูปพี่น้องนั้น ก็มักจะเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเกี่ยวเนื่องกันหรือสร้างขึ้นในคราวเดียวกัน คนก็มักจะเรียกว่าเป็นพระพี่น้องกัน หรืออีกลักษณะหนึ่งก็น่าจะเกิดจากการผูกเรื่องขึ้นเป็นตำนานเป็นที่มา เช่น เรื่องราวของพระพุทธรูปที่ลอยน้ำมา โดยตำนานที่เล่ากันมานั้นก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ และอภินิหารของพระพุทธรูปเหล่านั้น อีกทั้งยังเป็นการแสดงความเคารพนับถือในพระพุทธรูปองค์นั้นๆ ด้วย

เจ้าของ:  เว็บมาสเตอร์ [ 21 ธ.ค. 2008, 17:50 ]
หัวข้อกระทู้: 

รูปภาพ
“หลวงพ่อโสธร” วัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา


• พระพุทธรูปพี่น้องแห่งลุ่มน้ำภาคกลาง •

พระพุทธรูป 5 พี่น้องแห่งลุ่มน้ำภาคกลาง ล้วนแล้วแต่เป็นพระพุทธรูปที่มีผู้คนเคารพศรัทธามากมาย ได้แก่ “หลวงพ่อโสธร” วัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา, “หลวงพ่อบ้านแหลม” วัดเพชรสมุทรวรวิหาร (วัดบ้านแหลม) อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม, “หลวงพ่อ (ทอง) เขาตะเครา” วัดเขาตะเครา อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี, “หลวงพ่อโต” วัดบางพลีใหญ่ใน อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ และ “หลวงพ่อวัดไร่ขิง” วัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ตำนานพระพุทธรูป 5 พี่น้องแห่งลุ่มน้ำภาคกลาง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19593

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

รูปภาพ
“หลวงพ่อบ้านแหลม” วัดเพชรสมุทรวรวิหาร จ.สมุทรสงคราม

รูปภาพ
“หลวงพ่อ (ทอง) เขาตะเครา” วัดเขาตะเครา จ.เพชรบุรี

รูปภาพ
“หลวงพ่อโต” วัดบางพลีใหญ่ใน จ.สมุทรปราการ

รูปภาพ
“หลวงพ่อวัดไร่ขิง” วัดไร่ขิง จ.นครปฐม

เจ้าของ:  เว็บมาสเตอร์ [ 21 ธ.ค. 2008, 17:54 ]
หัวข้อกระทู้: 

รูปภาพ
“พระใส” ณ พระอุโบสถ วัดโพธิ์ชัย อ.เมือง จ.หนองคาย


• พระพุทธรูปพี่น้องจากดินแดนล้านช้าง •

พระพุทธรูป 3 พี่น้องจากดินแดนล้านช้าง ได้แก่ “พระเสริม” วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ, “พระสุก” (จมหายไปในแม่น้ำโขง ณ เวินพระสุกหรือเวินสุก) และ “พระใส” วัดโพธิ์ชัย อ.เมือง จ.หนองคาย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่พระราชธิดา 3 พี่น้องของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างศรีสัตนาคณหุต พระนามว่า เสริม, สุก และใส โปรดให้ช่างลาวหล่อพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น และถวายนามของพระองค์เองให้เป็นชื่อของพระพุทธรูปด้วย


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ตำนานพระพุทธรูป 3 พี่น้องจากดินแดนล้านช้าง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19300

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

รูปภาพ
“พระเสริม” ณ พระวิหาร วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ

เจ้าของ:  เว็บมาสเตอร์ [ 21 ธ.ค. 2008, 17:56 ]
หัวข้อกระทู้: 

รูปภาพ
“พระพุทธชินราช” วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก


• พระพุทธรูปพี่น้องแห่งเมืองสองแคว •

พระพุทธรูป 4 พี่น้องแห่งเมืองสองแคว ได้แก่ “พระพุทธชินราช” วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.พิษณุโลก, “พระพุทธชินสีห์”, “พระศรีศาสดา” (พระศาสดา) วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ และ “พระเหลือ” วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.พิษณุโลก

หลายๆ คนยกย่องให้ “พระพุทธชินราช” แห่งวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก เป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดองค์หนึ่ง และยังมีพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในคราวเดียวและประดิษฐานอยู่ด้วยกันอีก 3 องค์ จึงน่าจะเรียกได้ว่าเป็นพระพุทธรูปรูปพี่น้องแห่งเมืองสองแคว

เมื่อหลายร้อยปีก่อน พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกมหาราช แห่งเมืองเชียงแสน ทรงเกิดพระราชศรัทธาต้องการจะสร้างพระพุทธรูปขึ้น จึงให้ช่างเมืองศรีสัชนาลัย สวรรคโลก ร่วมกับช่างชาวเชียงแสน และช่างชาวหริภุญชัย ปั้นหุ่นพระพุทธรูปสามองค์ มีทรวดทรงลักษณะคล้ายกัน แต่ขนาดต่างกัน และตั้งพระนามว่า “พระพุทธชินราช” “พระพุทธชินสีห์” และ “พระศรีศาสดา”

เมื่อได้ฤกษ์เททอง ก็มีการทำพิธีบวงสรวงตามประเพณี แล้วประกอบพิธีเททองหล่อ เมื่อแกะพิมพ์ออกมาปรากฏว่า องค์พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา (พระศาสดา) สำเร็จเป็นองค์สมบูรณ์เนื้อทองแล่นเสมอกัน แต่พระพุทธชินราชนั้นทองไม่แล่นบริบูรณ์ ช่างจึงได้ปั้นหุ่นเททองหล่อใหม่อีกถึงสามครั้งก็ไม่สำเร็จ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกมหาราชจึงทรงตั้งสัตย์อธิษฐานขอให้การเททองหล่อในครั้งนี้สำเร็จ ในการหล่อครั้งนี้มีชีปะขาวคนหนึ่งมาช่วยปั้นหุ่นทั้งกลางวันกลางคืนอย่างแข็งขัน และเมื่อได้ฤกษ์เททองก็ปรากฏว่าเททองได้เต็มองค์บริบูรณ์ แต่ชีปะขาวที่มาช่วยนั้นหายไปแล้ว พระพุทธรูปทั้งสามองค์ที่สร้างขึ้นพร้อมๆ กันนี้ได้ประดิษฐานไว้ในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร สืบต่อมา

รูปภาพ
(องค์หน้า) “พระพุทธชินสีห์” วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ


นอกจากพระพุทธรูปสามองค์นี้แล้ว ก็ยังมีพระพุทธรูปเล็กๆ อีกองค์หนึ่ง มีชื่อว่า “พระเหลือ” ซึ่งอาจนับเนื่องได้ว่าเป็นพระพุทธรูปพี่น้องกับอีกสามองค์ข้างต้น เนื่องจากเมื่อหล่อพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา (พระศาสดา) เรียบร้อยแล้ว ก็ยังเหลือทองสัมฤทธิ์อยู่ จึงได้รวบรวมมาหลอมหล่อในองค์พระพุทธชินราช และเมื่อหล่อองค์พระพุทธชินราชเสร็จก็ยังคงเหลือทองอยู่อีก พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกมหาราชจึงให้ช่างปั้นหุ่นพระพุทธรูปเล็กๆ แล้วเอาทองที่เหลือนั้นเทหล่อพระองค์นี้ ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า “พระเหลือ” และทองที่เหลือก็ยังสามารถหล่อเป็นรูปพระสาวกของพระเหลือซึ่งเป็นพระยืนได้อีกสององค์ โดยยืนอยู่ด้านข้างของพระเหลือ

ส่วนอิฐที่ใช้ก่อเตาสำหรับหลอมทองที่หล่อพระพุทธรูปนั้น ได้นำมารวมกันแล้วก่อเป็นฐานชุกชีสูง 3 ศอกตรงตำแหน่งที่หล่อพระพุทธชินราช พร้อมกับปลูกต้นมหาโพธิ์ 3 ต้นลงบนชุกชีนั้น แสดงว่าเป็นมหาโพธิ์สถานของพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดาทั้งสามองค์ จึงเรียกว่า โพธิ์สามเส้า แล้วได้สร้างวิหารเล็กๆ ขึ้นมาระหว่างต้นโพธิ์นั้น ซึ่งอยู่ด้านหน้าพระวิหารพระพุทธชินราชเยื้องไปทางใต้ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อเป็นที่ประดิษฐานของพระเหลือและพระสาวก จึงเรียกชื่อว่า “วิหารพระเหลือ” หรือ “วิหารหลวงพ่อเหลือ” กันต่อมา

ครั้นต่อมา พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา (พระศาสดา) ได้ย้ายมาประดิษฐานอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ โดยในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ วังหน้าในรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นผู้สร้างวัดบวรนิเวศวิหาร ได้เสด็จไปเยือนวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ก็ทรงเห็นว่าพระวิหารมีความชำรุดทรุดโทรม จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธชินสีห์มาประดิษฐานไว้ในพระนคร โดยได้อัญเชิญมาไว้ภายในมุขหลังพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างพระเจดีย์ขึ้นด้านหลังพระอุโบสถ จึงต้องรื้อมุขด้านหลังออก ดังนั้นจึงอัญเชิญ พระพุทธชินสีห์ มาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถคู่กับ พระสุวรรณเขต (พระโต) พระประธานองค์เดิมในพระอุโบสถ ทำให้พระอุโบสถในวัดบวรนิเวศวิหารมีพระพุทธรูปสององค์มาจนถึงปัจจุบันนี้

รูปภาพ
“พระศรีศาสดา” (พระศาสดา) วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ


ด้านพระศรีศาสดา (พระศาสดา) ก็ถูกอัญเชิญมาที่พระนครเช่นกัน โดยเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดนนทบุรี) ในสมัยนั้น ได้อัญเชิญพระศรีศาสดาลงแพล่องไปที่วัดบางอ้อยช้าง ต่อมา สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค) ได้อัญเชิญพระศรีศาสดาไปประดิษฐานที่วัดประดู่ฉิมพลี แต่รัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่า พระศรีศาสดาเป็นพระสำคัญเคยอยู่ในพระอารามหลวง ไม่ควรอยู่ในวัดราษฎร์ อีกทั้งเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในคราวเดียวกันกับพระพุทธชินสีห์ พระองค์จึงทรงให้อัญเชิญพระศรีศาสดามาไว้ที่พระวิหารวัดบวรนิเวศวิหาร ที่สร้างขึ้นใหม่

ชาวพิษณุโลกเศร้าเสียใจยิ่งนักที่พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองถึงสององค์ได้ถูกนำไปไว้ที่อื่น เหลืออยู่เพียงพระพุทธชินราชเพียงองค์เดียว แต่พระพุทธชินราชเองก็เกือบจะถูกย้ายมาไว้ที่พระนครเช่นกัน โดยในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อพระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดเบญจมบพิตรจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทรงมอบหมายให้ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ไปเสาะหาพระพุทธรูปที่งดงามมาไว้เป็นพระประธานในพระอุโบสถ

พระเจ้าน้องยาเธอฯ กลับมากราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า พระพุทธชินราชประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก มีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง แต่รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริว่า พระพุทธชินราชนั้นเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวเมืองพิษณุโลกมานาน หากจะอัญเชิญมาก็จะเป็นการทำร้ายจิตใจเกินไป จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธชินราชจำลองเป็นพระประธานในประอุโบสถแทน ส่วนพระพุทธชินราชองค์จริงก็ยังคงประดิษฐานเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองสองแควอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เช่นเดิมจนกระทั่งปัจจุบัน


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ตำนานพระพุทธรูป 4 พี่น้องแห่งเมืองสองแคว
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19305
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19299
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19715

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

รูปภาพ
“พระเหลือ” วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก


โดย ผู้จัดการออนไลน์ 13 กรกฎาคม 2551 14:00 น.

เจ้าของ:  ไหว้พระปล่อยปลา [ 11 ก.ค. 2009, 20:31 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: “พระพุทธรูปพี่-น้อง” ศรัทธาแห่งพระพุทธศาสนา

มีบุญจังได้กราบทุกองค์แล้ว

เจ้าของ:  เจ้านาง [ 11 ก.ค. 2009, 22:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: “พระพุทธรูปพี่-น้อง” ศรัทธาแห่งพระพุทธศาสนา

:b41: ยังมีพระพุทธรูปพี่-น้อง ที่ยังหากันไม่พบ หรือพบแล้วแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกมากทีเดียวค่ะ :b41: :b41: :b41:

:b44: อนุโมทนาค่ะ :b44:

เจ้าของ:  ไหว้พระปล่อยปลา [ 24 ก.ค. 2009, 11:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: “พระพุทธรูปพี่-น้อง” ศรัทธาแห่งพระพุทธศาสนา

อนุโมทนาบุญครับสาธุ

เจ้าของ:  ชิโนะซึเกะ [ 24 ก.ค. 2009, 19:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: “พระพุทธรูปพี่-น้อง” ศรัทธาแห่งพระพุทธศาสนา

:b8: :b8: :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/