ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อันเนื่องในวันวิสาขบูชา : ศ า ส ด า http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=44814 |
หน้า 2 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 05 พ.ค. 2009, 13:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อันเนื่องในวันวิสาขบูชา : ศ า ส ด า |
พระพุทธจริยา ๓ ประการ คือ ๑. โลกกัตถจริยา ทรงทำประโยชน์ต่อชาวโลก ในฐานะที่ทรงเป็นสมาชิกคนหนึ่งในโลกนี้ พระองค์ได้สด็จไปในนิคมในชนบทราชธานีต่างๆเป็นอันมาก ด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อสรรพสัตว์ ในแต่ละปีพระพุทธเจ้าจะประทับประจำที่เฉพาะในพรรษาปีหนึ่ง ๓-๔ เดือน นอกจากนั้น ๗-๘ เดือนจะเสด็จไปพบประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ ทรงประกาศ ชี้แจงแสดงธรรม อันเป็นประโยชน์มีลักษณะเกื้อกูล และสามารถอำนวยความสุขแก่ผู้ฟังตามสมควรแก่ฐานะ ตามปกติคนที่เสด็จไปพบพระพุทธเจ้านั้น ส่วนมากจะไม่นับถือพระพุทธศาสนามาก่อน แต่หลังจากที่ได้พบปะ สนทนา ฟังเทศน์จากพระองค์ คนส่วนมากจะกล่าวสรรเสริญการแสดงธรมของพระพุทธเจ้าว่า เป็นเหมือนทรงหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง และส่องประทีปในที่มืดให้คนตาบอดไม่บอดสามารถเห็นแสงสว่างได้ พระพุทธจริยาข้อนี้นำไปสู่พระพุทธกิจหลักในแต่ละวัน ที่ทรงทำมาตลอดเวลา ๔๕ ปีทรงทำอย่างนี้ทุกวันคือ ๑. ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาต โปรดให้ช่าวบ้านได้บำเพ็ญความดีด้วยการถวายทาน ๒. ตอนเย็นทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่คนที่เข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ ๓. ตอนหัวค่ำทรงประทานโอวาทแก่พระภิกษุ สามเณร ๔. ตอนเที่ยงคืนทรงตอบปัญหาแก่เทวดาที่มาเฝ้ากราบทูลถามปัญหา ๕. ตอนใกล้รุ่งของทุกคืน ทรงตรวจดูโลกด้วยทิพยจักษุ คือ พระเนตรทิพย์ มีใครปรากฏในข่ายพระญาณก็จะเสด็จไปโปรด โดยทรงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับคนที่จะเสด็จไปโปรด ทรงทราบเป็นการล่วงหน้าว่าหลังจากจบพระธรรมเทศนา คนเหล่านั้นได้รับผลจากธรรมะระดับใด ๒. ญาตัถจริยา ทรงทำประโยชน์แก่พระประยูรญาติ ในฐานะที่ทรงเป็นลูกหลานของราชสกุลศากยะ โกลยะ ในฐานะความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด บางครั้งพระญาติทะเลาะกัน พระพุทธเจ้าก็สด็จไปโปรด แม้พระญาติเจ็บไข้ได้ป่วย ก็เสด็จไปดูแล สำหรับพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธเจ้าทรงสอนแล้วสอนอีก จนถึงการดูแลรักษาพยาบาลไปทรงแนะนำธรรมไป จบลงด้วยทรงบรรลุเป็นพระอรหันต์ แล้วเสด็จดับขันธปรินิพพาน โดยพระพุทธเจ้าทรงอำนวยการจัดงานถวายพระเพลิงด้วยพระองค์เอง นี่คือการทำหน้าที่ของลูกหลานของตระกูล ครอบครัว ให้คนได้ยึดถือเป็นแบบอย่าง อันเป็นการทำดีให้ลูกๆ ทั้งหลายได้ดูว่า ลูกหลานที่ดีควรทำหน้าที่ต่อครอบครัวตระกูลวงศ์อย่างไร ๓. พุทธัตถจริยา ทรงทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า ที่จะต้องทำต่อศาสนิกหรือสาวกของพระองค์ ทรงวางพระองค์เป็นกัลยาณมิตรของพุทธบริษัท บางครั้งทรงเป็นเหมือนพี่ บางครั้งเป็นเหมือนครู บางครั้งทรงเป็นหมือนพ่อ พุทธบริษัททั้งฝ่ายนักบวชและชาวบ้าน เข้าใกล้พระพุทธเจ้าแล้วรู้สึกสงบเย็น สำนวนบาลีท่านใช้คำว่า สุขฉายา คือ เข้าใกล้แล้วได้รับความสุข ยุคที่ทรงพระชนม์อยู่ สังคมชาวพุทธเป็นสังคมที่อบอุ่น เป็นสุข มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสูงมาก การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้านั้น แสดงว่าชาวโลกได้รับสิ่งสูงสุดเหนือรัตนะทั้งหลาย แต่ว่าการเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พุทธบริษัทก็ได้สูญเสียพระองค์ไปในส่วนพระรูปกายตลอดนิรันดร แต่กลับทรงดำรงอยู่ด้วยพระคุณโดยมี พระธรรมวินัย ที่ทรงแสดงบัญญัติไว้แก่พุทธบริษัททั้งหลายทำหน้าที่องค์พระศาสดาแทน ชาวพุทธมีความคุ้นเคยกับพุทธดำรัส ที่ตรัสแก่พุทธบริษัททั้งหลายผ่านพระสงฆ์ทั้งปวง ก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพานความว่า ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอทั้งหลายให้ทราบไว้ สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทำประโยชน์ตนให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด องค์พระพุทธเจ้าทรงบรรลุความเป็นผู้ไม่ประมาทที่สมบูรณ์ให้เป็นตัวอย่างแล้ว (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 05 พ.ค. 2009, 13:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อันเนื่องในวันวิสาขบูชา : ศ า ส ด า |
ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงอุดมชีวิตอย่างพระพุทธเจ้าก็คือ การที่ทรงทำประโยชน์ส่วนพระองค์ และประโยชน์ส่วนคนอื่นได้อย่างสมบูรณ์ จนไม่มีใครจะทำได้ทัดเทียมกับพระองค์ ในพระพุทธคุณ ๓ บทนั้นเอง พึงสังเกตว่า • พระปัญญาคุณ กับ • พระบริสุทธิคุณ เป็นพระคุณส่วนพระองค์ หมายความว่า ปัญญาก็ดี ความบริสุทธิ์ก็ดี ใครต้องการให้เกิดขึ้นในชีวิต ก็เป็นกระบวนการของกรรม ที่ทุกคนจะต้องลงมือสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่ที่ต้องสร้างจริงๆ คือปัญญาอันเป็นเหมือนแสงสว่าง ความบริสุทธิ์นั้นในแง่ของความจริงแล้ว คือปราศจากอวิชชาความมืดนั่นเอง สิ่งที่ขจัดความมืดคือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์จึงเป็นผลต่อเนื่องมาจากปัญญา อันเป็นลักษณะของเมื่อสว่างก็คือไม่มืด สถานะทั้งสองนี้จะอยู่ร่วมกันจุดเดียวกันขณะเดียวกันไม่ได้ พระคุณส่วนนี้ท่านเรียกว่า อัตถคุณ หรือ อัตตสมบัติ แปลว่าคุณส่วนพระองค์เอง หรือสมบัติส่วนของตนเอง • กรุณาคุณ ในแง่ของความจริงแล้วเป็นอาการต่อเนื่องมาจากปัญญา ความบริสุทธิ์จากการที่พระทัยบริสุทธิ์จากสรรพกิเลส ที่สืบเนื่องมาจากอวิชชา ทำให้โลกทรรศน์ของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ อยู่ตรงข้ามกับชาวโลกทั่วไปที่มากไปด้วยอวิชชา อันนำไปสู่การเบียดเบียนกัน จึงเกิดขึ้นเปี่ยมล้นภายในพระทัยของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้หลาย ที่พระบาลีเรียกว่า • กรุณามหณฺณโว คือทรงกรุณาดุจท้องมหาสมุทร ทรงสัมผัสโลกด้วยพระมหากรุณา จนมีพระทัยเสมอกันหมดไม่ว่ากับใครก็ตาม เพราะทรงมองคนสัตว์ด้วยกรุณาเพียงอย่างเดียว ขนาดพระเทวทัตซึ่งทำตัวเป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้ามาตลอดกาลยาวนาน ก่อนจะตายยังประกาศแก่คนทั้งหลายว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาต่อคนสัตว์ทั้งหลายเสมอกันหมด โดยท่านยกตัวอย่างคนสัตว์ที่สร้างปัญหา ให้แก่พระพุทธเจ้ากับพระราหุลพุทธิชิโนรส เช่น นายขมังธนูที่ไปซุ่มเพื่อฆ่าพระพุทธเจ้า โจรองคุลิมาลที่ไล่ล่าพระพุทธเจ้าเพื่อฆ่าตัดนิ้ว ช้างนาฬาคิรีที่พระเทวทัตมอมเหล้ายามตกมัน เพื่อให้มาฆ่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงมีพระทัยกอปรด้วยพระมหากรุณาต่อคนสัตว์เหล่านั้น และสรรพสัตว์ทั้งปวงเสมอกัน ที่เราสามารถทำความเข้าใจได้ แม้ด้วยการคิดจากศีลข้อแรก คือ เจตนางดเว้นจากการทำสิ่งมีชีวิตให้ตาย เท่านั้น (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 06 พ.ค. 2009, 00:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อันเนื่องในวันวิสาขบูชา : ศ า ส ด า |
สังคมไทยเรามีการเน้นย้ำเรื่องพระพุทธคุณด้วยนัยยะเป็นอันมาก สมัยที่ยังเยาว์ท่านกำหนดเป็นคำกลอนสอนให้นำมาสวดสาธยาย เพื่อสริมสร้างสำนึกเห็นพระคุณของพระองค์ เช่น • องค์ใดพระสัมพุทธ์ สุวิสุทธิสันดาน ตัดมูลกิเลสมาร บ่ มิหม่น มิหมองมัว • หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ่ พันพัว สุวคนธกำจร • องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร • ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมสานติ์ ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย • พร้อมเบญจพิธจัก เจิดจรัสวิมลใส เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง • กำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปทั้งชายหญิง สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ • ข้าขอประณตน้อม ศิรเกล้าบังคมคุณ สัมพุทธการุณ ยะภาพนั้นนิรันดร ในบททำวัตรเช้าสำหรับพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ท่านก็สรุปพระพุทธคณที่พรรณนาไว้ ๓ ประการไว้ว่า พระพุทธเจ้าพระองค์ใดเป็นผู้หมดจดดีแล้ว มีพระกรุณาดุจห้วงมหรรณพ มีพระปัญญาหมดจดโดยส่วนเดียว ทรงฆ่าบาปและอุปกิเลสแห่งโลก ข้าพระพุทธเจ้าขอไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เป็นต้น แม้พระพุทธเจ้าจะทรงสมบูรณ์ด้วยพระคุณมากอย่างไรก็ตาม แต่พระคุณนั้นเป็นสิ่งสัมผัสส่วนพระองค์ แม้จะทรงกรุณาต่อสรรพสัตว์ไม่จำกัดว่าใครเป็นใคร แต่การที่ชาวโลกจะได้รับประโยชน์จากพระองค์ ก็ต้องอาศัยการปรับสภาพจิตของตนให้เกิดความยอมรับนับถือ ศรัทธา เชื่อฟัง และทำตามพระองค์เป็นฐานจิตที่สำคัญ เพราะแม้จะทรงเป็นลักษณะแห่งความดี ที่สะท้อนออกมาได้ทุกลักษณะ เช่น การสอนในรูปแบบต่างๆ การเคลื่อนไหวทุกอย่าง ที่เป็นการสะท้อนพระคุณออกมาเป็นพุทธลีลา ที่สามารถยึดถือเป็นแบบในการดำเนินชีวิต ของคนที่ศรัทธาได้การครองชีวิตตลอดกาลยาวนาน (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 06 พ.ค. 2009, 00:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อันเนื่องในวันวิสาขบูชา : ศ า ส ด า |
ไม่ว่าจะมองจากสมัยที่ทรงบำเพ็ญบารมีในภพชาติ จากเรื่องชาดก การครองชีวิต โลกทรรศน์ การตัดสินใจเลือกสิ่งที่ทรงสัมผัส ขณะที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนเสด็จออกผนวช ขณะครองเพศเป็นนักบวช จนถึงการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงดำเนินพระองค์ พุทธจริยา ๓ ประการ ดังกล่าวเป็นต้น ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นคุณค่าของธรรมหรือพระพุทธคุณได้ตลอด แต่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระพุทธจริยาจากพระมหากรุณา คล้ายฝนหลั่งจากฟ้าเป็นสำคัญ คุณลักษณะเหล่านี้ท่านสะท้อนออกมาเป็นคำกลอนว่า อันความกรุณาปราณี จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน เป็นความดีสองชั้นพลันปลื้มใจ แด่ผู้ให้และผู้รับสมถวิล เมื่อมองจากฝนที่กำลังตก กับคนที่จะได้ประโยชน์จากการตกของฝน แบบถาวร ยั่งยืน กลับไปอยู่ที่สถานะท่าทีของคนเหล่านั้นว่า สถานะของเขาเป็นเสมือนภาชนะประเภทใดใน ๔ ประเภท คือ • ภาชนะที่คว่ำไว้ • ภาชนะที่ก้นทะลุแม้จะหงายรับน้ำ • ภาชนะที่ไม่ทะลุจริงแต่กลับปิดฝาไว้ • ภาชนะที่ไม่ทะลุเปิดฝารับน้ำฝนไว้เต็มที่ แม้จะมีภาชนะ ๔ ประเภทนี้ก็จริง แต่ภาชนะที่รับน้ำเก็บไว้ได้ ได้รับประโยชน์จากน้ำนั้นตามความต้องการ คงมีเพียงพวกเดียว คือ ภาชนะที่ไม่ทะลุ เปิดฝารองรับน้ำไว้เท่านั้น เรามีการพูดถึงใจคน ๒ ประเภทหลักว่า ใจบอด หรือ ใจไม่บอด หากใจบอดคือไม่เห็นอะไร มีพระคุณของพระพุทธเจ้าเป็นต้น เขาก็คงไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากพระรัตนตรัย หมายเหตุ : บทความเรื่องนี้เขียนไว้เมื่อครั้งที่ พระเทพดิลก ยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ) (ที่มา : ศาสดา ใน “โลกและชีวิตในวิถีแห่งธรรม” : พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ) วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร รวบรวมและเรียบเรียง ; ศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย จัดพิมพ์เพื่อแสดงมุทิตาจิตต่อ พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ) ในวโรกาสที่ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพดิลก เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบนักษัตร ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒, หน้า ๑๖-๔๔) |
เจ้าของ: | อมิตาพุทธ [ 06 พ.ค. 2009, 01:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อันเนื่องในวันวิสาขบูชา : ศ า ส ด า |
ขอบคุณครับ เหมือนได้ทบทวนพุทธประวัติไปในตัว สาธุ |
เจ้าของ: | Supatorn [ 04 ก.ค. 2011, 06:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อันเนื่องในวันวิสาขบูชา : ศ า ส ด า |
อนุโมทนาสาธุๆขอบพระคุณค่ะ บุญรักษาค่ะ |
หน้า 2 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |