ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ความแตกต่างระหว่าง “ผลของทาน” และ “อานิสงส์ของทาน” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=36694 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ชีวิตนี้น้อยนัก [ 09 ก.พ. 2011, 12:55 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | ความแตกต่างระหว่าง “ผลของทาน” และ “อานิสงส์ของทาน” | ||
ความแตกต่างระหว่าง “ผลของทาน” และ “อานิสงส์ของทาน” อาจารย์ทวีศักดิ์ คุรุจิตธรรม ข้าพเจ้าอยากจะสะกิดใจเพิ่มเติม เพื่อชี้ให้ทุกท่านผู้ใฝ่ธรรมและผู้มีจิตศรัทธา ได้ทราบถึงความแตกต่างระหว่าง “ผลของทาน” และ “อานิสงส์ของทาน” ซึ่งมีกล่าวไว้ใน ทานสูตร อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต โดยพอสรุปใจความได้ดังนี้ ให้ทานเพราะ ๑. อยากได้รับผลแห่งทานที่ได้ให้ไป เช่น ไปเกิดในที่ดีดีๆ ได้รับผลตอบแทนในทางใดทางหนึ่ง จากทานที่ได้ให้ไป เป็นต้น • ผลของทาน - มาก • อานิสงส์ - ไม่มาก ๒. เห็นว่าให้ทานแล้วจะเป็นการสั่งสมบุญกุศลประจำตัวเรา • ผลของทาน - มาก • อานิสงส์ - ไม่มาก ๓. เห็นว่าพ่อแม่ปู่ยาตายายเคยทำกันมา ก็เลยทำตาม • ผลของทาน - มาก • อานิสงส์ - ไม่มาก ๔. เห็นว่าต้องการส่งเสริมและช่วยเหลือสมณพราหมณ์ ผู้ยังชีพจากทานที่มีบุคคลอื่นยื่นให้ • ผลของทาน - มาก • อานิสงส์ - ไม่มาก ๕. ต้องการเดินตามแบบอย่างของผู้มีน้ำใจในการให้ทาน • ผลของทาน - มาก • อานิสงส์ - ไม่มาก ๖. เพราะหวังอยากให้ใจมีความสุข เกิด ปิติ ความทุกข์จะได้ไม่ย่างกรายเข้ามา • ผลของทาน - มาก • อานิสงส์ - ไม่มาก ๗. เพราะเห็นว่าให้ทานจะเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจ ให้หมดจดจากกิเลสเพื่อก้าวสู่ความเป็นพระอริยะบุคคล • ผลของทาน - มาก • อานิสงส์ - มาก ท่านจะเห็นได้ว่าการให้ทาน การสร้างบุญ สร้างกุศลใดก็ตาม แม้ผลของทานและบุญกุศลจะมีมาก เช่น การได้เกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ การได้เกิดเป็นเศรษฐีในโลกมนุษย์ ฯลฯ แต่ก็ไม่อาจขัดกิเลส ๓ กองใหญ่ คือ โลภ โกรธ หลง ให้สูญสิ้นไปจากจิตใจได้ จริงๆ แม้คุณภาพของจิตหรือใจเราจะเหนือกว่าสามัญชนอื่นๆ แต่ไม่อาจตัดวัฏฏะ (การเวียนว่ายตายเกิดนั้นลงๆ จนถึงจุดสูงสุด คือการไม่กลับมาเกิดอีกได้) เพราะพุทธองค์ตรัสว่า การเกิดเป็นการนำมาซึ่งความทุกข์ทั้งปวงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะเมื่อมีเกิด ก็ต้องตามมาด้วยความแก่ ความเจ็บ (โรคภัยไข้เจ็บ) ความตาย ความโศกเศร้า ความร่ำไห้รำพัน ความโทมนัส ความคับแค้นใจ ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สิ่งนั้น ฯลฯ ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์ทั้งสิ้น ฉะนั้น ถ้าอยากจะดับทุกข์โดยสิ้นเชิง ก็จะต้องไม่มาเกิดอีก ซึ่งจะทำได้ก็ต้องตัดกิเลส ๓ กองใหญ่ อันได้แก่ โลภ (รวมราคะด้วย) โกรธ หลง ให้หมดสิ้นไปให้เหลือเชื้อหลงเหลือ ดังนั้นผู้ที่ยังหวังผลจากทานที่ได้ให้ไปหรือจากบุญกุศลที่ได้ทำ ย่อมถือว่า ยังมีความอยากอยู่ แม้ผลของทานหรือบุญกุศลจะมีมาก เพราะคำว่า “อานิสงส์” มุ่งเน้นให้จิตหมดจด จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง ไม่ให้หลงเหลือ เพื่อหลีกหนีการเกิดนั่นเอง ข้าพเจ้าจึงขอฝากข้อคิดนี้ให้กับผู้อ่านทุกๆ ท่าน เพื่อที่ทุกๆท่านจะได้ยกระดับจิตเหนือกว่า ผู้ให้หรือผู้บำเพ็ญธรรมทั่วไป อันเป็นเป้าหมายโดยตรงในการปฏิบัติธรรม เพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏฏะอย่างแท้จริง........ การสร้างบารมีนั้นจะต้องไม่หวังผลตอบแทนใดใดทั้งสิ้น จึงจะถือว่าเป็นการบารมีที่แท้จริง ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม คัดลอกบางตอนมามา : มาทำความเข้าใจ “ผลของทาน” และ “อานิสงส์ของทาน” ต่างกันอย่างไร โดย อ.ทวีศักดิ์ คุรุจิตธรรม ในข่าวสารกัลยาณธรรม ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๐, หน้า ๒-๓
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |