ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
กิจกรรมหลังความตาย http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=21562 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | hs6kjg [ 07 เม.ย. 2009, 16:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | กิจกรรมหลังความตาย |
กิจกรรมหลังความตาย กรณีที่มีผู้เสียชีวิตในบ้าน : หากเสียชีวิตด้วยโรคปัจจุบันทันด่วน อาทิ โรคลม โรคชรา เจ้าบ้านซึ่งมีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเทศบาล จะต้องเข้าแจ้งแก่นายทะเบียนเทศบาล และหากอาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล ให้แจ้งแก่ที่ว่าการอำเภอหรือผู้ใหญ่บ้านประจำตำบล ภายใน 24 ชั่วโมง สำหรับในกรณีเสียชีวิตด้วยสาเหตุ 5 ประการ ได้แก่ การฆ่าตัวตาย, การถูกคนทำให้ตาย, อุบัติเหตุ, สัตว์ทำให้ตาย และการตายโดยไม่ทราบสาเหตุ การเสียชีวิตในลักษณะดังกล่าว จะต้องแจ้งตำรวจท้องที่ให้รับทราบ เพื่อส่งศพไปผ่าพิสูจน์ ณ สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ หรือโรงพยาบาลของรัฐเมื่อสถาบันนิติเวชออกหนังสือรับรองสาเหตุของการตายแล้ว เจ้าบ้านซึ่งมีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเทศบาล จะต้องเข้าแจ้งแก่นายทะเบียนเทศบาล และหากอาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล ให้แจ้งแก่ที่ว่าการอำเภอหรือผู้ใหญ่บ้านประจำตำบล ภายใน 24 ชั่วโมง กรณีที่เสียชีวิตที่โรงพยาบาล : เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหรือญาติผู้ตาย จะแจ้งต่อนายทะเบียนเทศบาลหากโรงพยาบาลตั้งอยู่ในเขตเทศบาล สำหรับกรณีอยู่นอกเขตเทศบาลให้แจ้งแก่ที่ว่าการอำเภอ ภายใน 24 ชั่วโมง สวดศพวัดไหน? การตัดสินใจเคลื่อนย้ายศพไปตั้งสวดพระอภิธรรมที่วัดใด จึงจะเหมาะสม ประเด็นหลักสำคัญ ที่ญาติผู้เสียชีวิตมักพิจารณา ได้แก่ 1. วัดหลวง สำหรับผู้ที่ประกอบคุณงามความดี เมื่อสิ้นชีวิตลงและหากได้รับ "พระราชทานเพลิงศพ" ญาติมิตรของผู้เสียชีวิตมักจะเคลื่อนย้ายศพ ผู้ตายไปประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดหลวงเป็นส่วนใหญ่ 2. วัดใกล้บ้าน เป็นวัดทั่วๆ ไป การเลือกวัดที่ไม่ไกลจากที่พักอาศัย จะช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางของเจ้าภาพได้ ทำให้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก 3. วัดในสังกัด ผู้เสียชีวิตบางราย รับราชการเป็นตำรวจหรือทหาร เมื่อสิ้นชีวิตลง ญาติๆก็จะนำศพไปตั้งสวดอภิธรรมที่วัดในสังกัด เช่น ฌาปนกิจสถานของตำรวจอยู่ที่วัดตรีทศเทพฯ ย่านวิสุทธิกษัตริย์ ค่าใช้จ่ายเท่าไร ? จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ประจำวัดขนาดใหญ่และขนาดกลางในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด สรุปค่าใช้จ่ายในการจัดพิธีศพในวัด ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายสำคัญ 2 ส่วน ได้แก่ ค่าบำรุงในการสวดพระอภิธรรม และค่าบำรุงในการเผาศพ มีรายละเอียดดังนี้... 1. ค่าบำรุงในการสวดพระอภิธรรม : วัดขนาดเล็กทั่วไปมักจะกำหนด อัตราค่าศาลา 500 บาท/คืน ส่วนวัดขนาดใหญ่มักจะเรียกเก็บค่าบำรุงเพิ่มขึ้นเท่าตัวคือ 1,000 บาท/คืน และค่าบำรุงจะสูงถึง 2,500 บาท/คืน สำหรับศาลาที่ติดเครื่องปรับอากาศ 2. ค่าบำรุงในการเผาศพ ในขั้นตอนการเผาศพ มีค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังนี้ • ค่าเมรุ : ส่วนใหญ่จะเก็บค่าบำรุงประมาณ 500 - 1,000 บาท • ค่าเผาศพ : การเผาแบบเตาถ่านทางวัดจะเรียกค่าบำรุงจากเจ้าภาพประมาณ 250 - 300 บาท ส่วนการเผาด้วยน้ำมันจะมีราคาแพงกว่า คือ 500 - 1,000 บาท • ค่าบริการ : สัปเหร่อวัดมักจะได้รับจากเจ้าภาพ คิดเฉลี่ยวันละ 50 บาท ส่วนในวันเผา ผู้ที่ทำหน้าที่ในการเผาศพ จะมีรายได้ประมาณ 300 บาท • ค่าธรณีสงฆ์ : วัดส่วนใหญ่จะมีบริการ “โกดังเก็บศพ” ภายในบริเวณวัด โดยเสียค่าบำรุงวัด 500 - 1,000 บาท นอกจากค่าใช้จ่ายในส่วนที่เกี่ยวกับวัดแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ แยกพิจารณาออกเป็น 4 รายการ หลักๆ คือ 1. ค่าโลงศพ : ราคาค่าโลงศพจะแตกต่างกันออกไป โดยมีราคาต่ำสุดประมาณ 3,000 บาท และสูงสุดถึง 200,000 บาท 2. ค่าดอกไม้ประดับหีบศพและเมรุ : ค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันตามประเภทของดอกไม้ ซึ่งมีราคาประมาณ 1,500 - 5,000 บาท 3. ค่าอาหาร : ค่าใช้จ่ายมักจะตกอยู่ในวงเงินประมาณ 1,000 - 3,000บาทต่อคืน 4. ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด : ได้แก่ ค่าสายสิญจน์ ผ้าขาว ค่าปัจจัยถวายพระในแต่ละคืนที่สวดอภิธรรม ค่าดอกไม้จันทน์ รวมทั้งค่าของระลึกในงานเผาศพ รวมเบ็ดเสร็จเฉลี่ยประมาณ 1,000 - 5,000 บาท โดยสรุป ค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธีศพ 1 ราย ในวัดไทย (สวดพระอภิธรรมและเผาศพ) มีประมาณค่าใช้จ่ายในอัตรา ดังนี้ * การตั้งสวดพระอภิธรรม 3 วัน... ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำประมาณ 12,000 - 15,000 บาท * การตั้งสวดพระอภิธรรม 5 วัน ... ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำประมาณ 16,000 - 20,000 บาท * การตั้งสวดพระอภิธรรม 7 วัน ... ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป สัปเหร่อ สัปเหร่อในอดีต มักจะตั้งมั่นอยู่ในศีล ยึดถือธรรมะเป็นหลักในการดำเนินชีวิต โดยเชื่อกันว่าสัปเหร่อมักมี “คาถา” พิเศษสำหรับป้องกันตัว หรือสยบวิญญาณร้าย สำหรับด้านรายได้ของสัปเหร่อนั้น สัปเหร่อวัดเล็กๆ จะมีรายได้ประมาณ 1,500 -3,000 บาทต่อเดือน แตกต่างจากสัปเหร่อวัดกลางกรุงที่มีราย ได้ค่อนข้างดี เช่น วัดขนาดใหญ่ในเขตกรุงเทพฯ ย่านหัวลำโพง หากมีญาติผู้ตายตั้งสวดพระอภิธรรมเป็นระยะเวลา 2 วัน สัปเหร่อจะมีรายได้ถึง 1,200 บาท/งาน และถ้าตั้งสวดพระอภิธรรม 3 วัน สัปเหร่อจะมีรายได้ 1,500 บาท/งาน ถ้าเดือนไหนงานชุก สัปเหร่อตามวัดขนาดใหญ่ในกรุง อาจมีรายได้ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน หน้าที่ของสัปเหร่อนั้น เริ่มต้นตั้งแต่การเคลื่อนย้ายศพเข้าไปในบริเวณวัด จนกระทั่งส่งศพขึ้นบนเตาเผา เผา และเก็บกระดูกและเถ้า ซึ่งเป็นงานบริการที่ค่อนข้างหนักและเหนื่อย. ปริศนาธรรมในงานศพ 1. มัดตราสังข์สามเปราะ มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี - ภรรยา มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไปนิพพานไม่ได้ ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีจบสิ้น 2. เคาะโลงรับศีล ไม่ใช่ให้คนตายมารับศีล แต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่า อย่าเอาแต่มัวประมาทขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอน เมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้ 3. สวดอภิธรรม มักสวดเป็นภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่อง จึงนึกว่าสวดให้คนตาย แต่จริงๆ แล้วเป็นการสวด เพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรม ไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวัน ดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผล ควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับเสียงพระสวด ให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็จะเกิดสมาธิจิตได้ 4. บวชหน้าไฟ มักเข้าใจกันว่า เป็นการบวชจูงผู้ตายขึ้นสวรรค์ ความจริงนั้น ไม่ใช่ เพราะการบวชหน้าไฟ เป็นการปลงธรรมสังเวชต่อการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุด มนุษย์ก็มีเท่านี้ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส แล้วพอใจในสมณเพศ มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่มรรคผลนิพพาน 5. การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพ เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่าตอนที่ยังอยู่ ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่าให้ดำเนินชีวิตตามพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้านั่นเอง จึงจะอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า 6. การเวียนซ้าย 3 รอบ หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสามอันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจกิเลส ตัณหาอุปทาน ก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลส เป็นการสอนธรรมชั้นสูง จึงได้พาศพเวียนซ้าย 7. การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ เพื่อชี้ให้เห็นว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน ต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำทิพย์จากพระธรรม 8. การแปรรูป หลังจากเผาแล้ว มีการเก็บอัฐิและมีการเขี่ยขี้เถ้าผู้ตายให้เป็นรูปร่างกลับไปกลับมา เพื่อจะบอกว่าได้กลับชาติใหม่แล้วตามวิบากของกรรมต่อไป ทีนี้มาเข้าเรื่องที่ผมต้องการจะสื่อถึงทุกท่านก็คือ ตายแล้วไปไหน ถ้าท่านต้องการทราบว่า ตายแล้วไปไหน กดลิงค์ที่ข้างล่างเลยครับ http://www.thaisquare.com/Dhamma/afterd ... retogo.htm ---------------------------------------------------------- เจริญในธรรมครับ hs6kjg |
เจ้าของ: | Ajintai [ 08 เม.ย. 2009, 10:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กิจกรรมหลังความตาย |
ขออนุโมทนา |
เจ้าของ: | บัวไฉน [ 12 เม.ย. 2009, 14:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กิจกรรมหลังความตาย |
คิดว่า ตายไปแล้วจะหมดห่วง ไม่ยุ่งยากซะอีก กลายเป็น คนที่ยุ่งยากคือ ผู้ยังมีชีวิตอยู่ อนิจจัง วัฏสังขารา สาธุ.. |
เจ้าของ: | hhuuiiza [ 12 ก.ค. 2009, 15:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กิจกรรมหลังความตาย |
อนิจจัง วัฏสังขารา สาธุ.. ทุกสิ่งล้วนมีการดับสูญ |
เจ้าของ: | ไหว้พระปล่อยปลา [ 12 ก.ค. 2009, 20:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กิจกรรมหลังความตาย |
ความพลัดพราก เป็นทุกข์ |
เจ้าของ: | ภัทร์ไพบูลย์ [ 13 ก.ค. 2009, 12:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | กามาวจรโสภณจิต24 ดวง |
[size=150]กามาวจรโสภณจิต คือ จิตที่ดีงามเป็นไปในกามภูมิ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1 กามาวจรโสภณกุศลจิต หรือเรียกว่า มหากุสลจิต มี 8 ดวง 2 กามาวจรโสภณกุศลจิต หรือเรียกว่า มหาวิปากจิต มี 8 ดวง 3 กามาวจรโสภณกุศลจิต หรือเรียกว่า มหากิริยาจิต มี 8 ดวง [size=150]มหากุศลจิต คือ จิตที่เป็นความดี มีจำนวนมากที่ใหญ่กว่ากุศลทั้งหลาย ยิ่งทำยิ่งเพิ่มพูนขึ้น มีธรรมชาติประหานอกุศล มีประโยชน์มาก กว่ากุศลอื่นๆ เพราะพระอริยเจ้าเหล่าใด ได้มีแล้วในอดีตกาล และจะมีในอนาคตกาล และปรากฎอยู่ในปัจจุบันนี้ ย่อมอาศัยมหากุศลจิต 8 ดวง นี้เป็นมูลเป็นบันใด แล้วเข้าสู่พระนิพพาน[ ดังจะแสดงชื่อดังต่อไปนี้ ดวงที่ 1 ชื่อว่า โสมนสฺสสหตํ ญาณสมฺปยุตํ อสงฺขาริกเมกํ แปลว่า จิตมหากุศลที่เกิดพร้อมด้วยความดีใจ ประกอบด้วย ปัญญา โดยไม่มีการชักนำ 1 ดวง/size]/size] ดวงที่ 2 ชื่อว่า โสมมนสฺสสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกเมกํ แปลว่า จิตมหากุศลที่เกิดพร้อมด้วยดีใจ ประกอบด้วย ปัญญา โดยชักนำ 1 ดวง ดวงที่ 3 ชื่อว่า โสมนสฺสสหตํ ญาณวิปฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกเมกํ แปลว่า ชื่อว่า จิตมหากุศลที่เกิดพร้อมด้วยความดีใจ ไม่ประกอบด้วย ปัญญา โดยไม่มีการชักนำ 1 ดวง ดวงที่ 4 ชื่อว่า โสมนสฺสสหตํ ญาณวิปฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกเมกํ แปลว่า จิตมหากุศลที่เกิดพร้อมด้วยความดีใจ ไม่ประกอบด้วย ปัญญา โดยไม่มีการชักนำ 1 ดวง ดวงที่ 5 ชื่อว่า อุเปกฺขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกเมกํ แปลว่า จิตมหากุศลที่เกิดพร้อมด้วยความเฉยๆ ประกอบด้วย ปัญญา โดยไม่มีการชักนำ 1 ดวง ดวงที่ 6 ชื่อว่า อุเปกฺขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกเมกํ แปลว่า จิตมหากุศลที่เกิดพร้อมความเฉยๆ ประกอบด้วย ปัญญา โดยไม่มีการชักนำ 1 ดวง ดวงที่ 7 ชื่อว่า โสมนสฺสสหตํ ญาณวิปฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกเมกํ แปลว่า จิตมหากุศลที่เกิดพร้อมด้วยความวางเฉยๆไม่ประกอบด้วย ปัญญา โดยไม่มีการชักนำ 1 ดวง ดวงที่ 7 ชื่อว่า อุเปกฺขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกเมกํ แปลว่า จิตมหากุศลที่เกิดพร้อมด้วยความวางเฉยๆไม่ ประกอบด้วย ปัญญา โดยไม่มีการชักนำ 1 ดวง ดวงที่ 8 ชื่อว่า อุเปกฺขาสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกเมกํ แปลว่า จิตมหากุศลที่เกิดพร้อมด้วยความวางเฉยๆไม่ ประกอบด้วย ปัญญา โดยไม่มีการชักนำ 1 ดวง เทพบุตร ขอทุกท่านมีดวงตาเห็นธรรมทุกท่านเทอญ |
เจ้าของ: | bbb [ 02 พ.ย. 2009, 13:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กิจกรรมหลังความตาย |
โอ้โห!! |
เจ้าของ: | 1เอง [ 02 พ.ย. 2009, 13:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กิจกรรมหลังความตาย |
สาธุคับ เป็นประโยชน์ต่อผู้อยู่ข้างหลังที่ไม่รู้ เป็นอย่างมากเลยคับ |
เจ้าของ: | คนไทเลย [ 02 พ.ย. 2009, 14:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กิจกรรมหลังความตาย |
สาธุครับ |
เจ้าของ: | ชาติสยาม [ 02 พ.ย. 2009, 15:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กิจกรรมหลังความตาย |
มีความพอเพียง ก้น่าจะเป้นสุขได้นะ ตามมีตามเกิดน่ะ สมฐานานุรูป |
เจ้าของ: | -dd- [ 02 พ.ย. 2009, 15:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กิจกรรมหลังความตาย |
ได้เหตุผลที่ดีในการ"บริจาค"ร่างกายแล้วครับ.. |
เจ้าของ: | Bwitch [ 01 เม.ย. 2010, 15:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กิจกรรมหลังความตาย |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |