ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=20989 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 10 มี.ค. 2009, 00:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[พระพุทธชินราช : ปางมารวิชัย พุทธศิลป์แบบสุโขทัยตอนปลาย หล่อด้วยสำริดลงรักปิดทอง ประดิษฐานในซุ้มเรือนแก้ว ณ พระวิหารวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จ.พิษณุโลก] ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ เรื่อง “หล่อพระ” นี้มุ่งให้ผู้อ่านได้ทราบถึง กรรมวิธีในการสร้างพระพุทธรูปโดยวิธีแบบโบราณ ซึ่งมีความยากลำบาก และสลับซับซ้อนมาก อันเป็นการบ่งบอกถึงความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรมของบรรพบุรุษ และยังผลให้ลูกหลานได้รับมรดกอันดีงามนี้ ไว้ใช้ในการประกอบอาชีพช่างหล่อสืบต่อมาตราบเท่าปัจจุบัน ผู้เขียนซึ่งเป็นลูกหลานชาวช่างหล่อคนหนึ่ง จึงคิดที่จะเขียนวิธีการหล่อพระขึ้นไว้ ก่อนที่มรดกชิ้นนี้จะถูกเปลี่ยนแปลงสูญสลาย หรือถูกลืมไป เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ก็เลยขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักชาวบ้านช่างหล่อพอสังเขป กล่าวกันว่าบรรพบุรุษของชาวบ้านช่างหล่อ เป็นชาวกรุงศรีอยุธยา มีอาชีพช่างหล่อแต่เดิมมา ภายหลังเมื่อกรุงศรีอยุธยาสูญเสียแก่พม่า และได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่กรุงธนบุรี ชาวบ้านกลุ่มนี้ได้ย้ายติดตามมาด้วย และได้ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนนำอาชีพช่างหล่อมาดำเนินชีวิต ประกอบอาชีพอยู่ในละแวกตรอกบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย ข้อพิสูจน์นี้สืบได้ว่าชาวบ้านในละแวกนี้มีอาชีพเดียวกันหมด และเป็นเครือญาติพี่น้องสืบสกุลต่อเนื่องกันมา อาทิเช่น สกุลพวกช่างปั้น ช่างเททอง ช่างขัด ช่างลงรัก ปิดทอง ช่างติดกระจก ทุกคนต้องมีความสามัคคีกันจึงจะร่วมงานกันได้ด้วย แต่ละงานต้องอาศัยความชำนาญเป็นสำคัญ หากขั้นตอนของช่างทำพลาดหรือขาดฝีมือ งานจะล้มเหลว ซึ่งท่านผู้อ่านจะได้ทราบในเนื้อเรื่องเอง ปัจจุบันโรงงานทั้งหมดในเขตตำบลบ้านช่างหล่อนี้มีราว ๒๐-๓๐ โรงงาน ผลงานที่ทำคือพระพุทธรูป พระบรมรูปพระราชบิดา และอนุสาวรีย์ต่างๆ เป็นต้น การสร้างพระพุทธรูปนั้นชาวบ้านมักจะเรียกว่า การหล่อพระ หรือ การทำพระ ในการเขียนเรื่องนี้จะพยายามนำคำศัพท์ของชาวบ้านมาใช้ทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้เพื่ออนุรักษ์คงไว้ซึ่งภาษาโบราณของชาวช่างหล่อ ซึ่งยังคงใช้กันอยู่ในหมู่พวกช่างหล่อทั้งหลายในปัจจุบัน นอกจากนี้จากการได้สอบถามภาษาศัพท์ที่ชาวบ้านใช้ กับของทางเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรปรากฎว่า ส่วนใหญ่ใช้คำศัพท์เช่นเดียวกัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าคนงานของโรงงานหล่อกรมศิลปากร ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านช่างหล่อเกือบทั้งสิ้น [พระนาคปรก ๙ เศียร : ต้นแบบเพื่อจัดสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก ๙ เศียร สูง ๖๐ เมตร หน้าตักกว้าง ๓๒ เมตร พุทธศิลป์แบบรัตนโกสินทร์ ของวัดอ้อน้อย จ. นครปฐม เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา] (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 10 มี.ค. 2009, 01:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[หลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์ : ปางมารวิชัย พุทธศิลป์แบบอยุธยาตอนปลาย ทรงเครื่องแบบมหาจักรพรรดิราชาธิราช หล่อด้วยสำริด พระเศียรตอนเหนือของพระนลาฏสามารถเปิดออกได้ และถอดพระเกตุมาลาได้ ภายในพระเศียรเป็นบ่อกว้าง ลึกลงไปเกือบถึงพระศอมีน้ำไหลซึมออกมาตลอดเวลา และไม่เคยเหือดแห้งไป ปรากฏมหัศจรรย์อยู่เช่นนี้ตลอดมาเป็นระยะเวลานับร้อยปี ประดิษฐาน ณ อุโบสถ วัดตูม ต.วัดตูม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา] โดยประวัติการกำเนิดพระพุทธรูปนั้น ได้มีการพบหลักฐานเกี่ยวกับบรรดาศิลปวัตถุสถานอันเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ณ ประเทศอินเดียสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช ในราว พ.ศ. ๒๗๐-๓๑๑ พระองค์เลี่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จนถึงกับยกพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของประเทศ แต่อินเดียในสมัยนั้นยังคงห้ามมิให้ทำรูปคนสำหรับเคารพบูชา คือไม่ทำรูปพระพุทธองค์เป็นรูปมนุษย์ กลับมาทำรูปอื่นๆ เป็นสัญลักษณ์แทน เช่น ปางประทานปฐมเทศนา ทำเป็นรูปธรรมจักรและกวางหมอบ อันหมายถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อแสดงปฐมเทศนาในป่ามฤคทายวัน และปางมหาภิเนษกรมณ์ ซึ่งเป็นรูปม้าผูกเครื่องไม่มีคนขี่เหล่านี้เป็นต้น รูปพระพุทธองค์ที่ทำเป็นแบบรูปมนุษย์เกิดขึ้นภายหลังพุทธศตวรรษที่ ๖ เป็นฝีมือช่างแคว้นคันธาระ และช่างเมืองมถุราในประเทศปากีสถานและอาฟกานิสถานปัจจุบัน จากนั้นก็เกิดสกุลช่างอีกสกุลหนึ่งทางภาคใต้ของอินเดียที่เมืองอมรวดี แต่กระนั้นก็ยังมีนักปราชญ์บางท่านกล่าวว่า พระพุทธรูปแรกเกิดขึ้นในรัชกาลพระเจ้ากนิษกะ ระหว่าง พ.ศ. ๖๖๒-๗๐๖ เป็นฝีมือช่างกรีกโรมัน เชื่อว่าได้รับอิทธิพลและพวกช่างมาจากทางเอเชียตะวันตก [แผนภาพแสดงวิวัฒนาการทางพุทธศิลป์ หรือพุทธลักษณะของพระพุทธรูป จำแนกแต่ละยุคสมัยตามภูมิภาคของสยามประเทศ ดังนี้ : ศิลปะยุคทวาราวดี : พบที่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย ศิลปะยุคศรีวิชัย : พบที่บริเวณภาคใต้ ศิลปะยุคลพบุรี : พบที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ศิลปะยุคเชียงแสน-ล้านนา : พบบริเวณภาคเหนือตอนบน ศิลปะยุคสุโขทัย : พบที่บริเวณภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ศิลปะยุคอู่ทอง : :พบที่บริเวณภาคกลาง ศิลปะยุคอยุธยา : พบที่บริเวณภาคกลาง ศิลปะยุครัตนโกสินทร์ : พบที่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย] เหตุที่ได้สร้างพระพุทธรูปภายหลังพุทธปรินิพพานมานานนี้เอง จึงอนุโลมสร้างแบบขึ้นตามมหาปุริสลักษณะ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาและตามที่ตำรากล่าวกันไว้ เพื่อเป็นพุทธานุสติให้บุคคลได้เห็นรูปพระองค์ท่าน แล้วระลึกถึงท่านผู้เป็นเจ้าของศาสนา ให้ประพฤติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ โดยมิได้คำนึงที่จะทำให้เหมือนพระองค์โดยแท้ เมื่อมีผู้นิยมสร้างทำกันแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ได้ทำเป็นพระพุทธรูปปางต่างๆ หลายปาง ความหมายของปางหมายถึงเรื่องตอนนั้นๆ ในพระพุทธประวัติ หรืออาจหมายถึงท่าทางอิริยาบถ ในประเทศไทยเริ่มจากสมัยทวารวดีมีราว ๑๐ ปาง สมัยศรีวิชัยที่พบมี ๖ ปาง สมัยลพบุรีที่พบมี ๗ ปาง สมัยเชียงแสนมี ๑๐ บาง สมัยสุโขทัยมี ๘ ปาง สมัยอยุธยามี ๗ ปาง และสมัยรัตนโกสินทร์มีถึง ๔๐ ปาง ปัจจุบันมีพระพุทธรูปต่างๆ ในประเทศไทย รวมแล้วมีประมาณไม่น้อยกว่า ๕๐ ปาง [พระหริภุญชัยบรมโพธิสัตว์ : ปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร พุทธศิลป์ล้านนาแบบหริภุญชัย (ทรงเครื่อง) วัสดุสำริด ประดิษฐาน ณ พระระเบียง วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพฯ] (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 10 มี.ค. 2009, 01:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[พระศรีศากยมุนี : ปางมารวิชัย พุทธศิลป์แบบสุโขทัย หล่อด้วยสำริดลงรักปิดทอง เป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์บรรจุพระบรมราชสรีรังคารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ประดิษฐาน ณ พระวิหาร วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ] เรื่องราวของการหล่อพระพุทธรูปในประเทศไทยในสมัยแรก เริ่มก่อนสมัยสุโขทัยนั้นไม่ปรากฎความแน่ชัด ศิลปวัตถุเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเท่าที่พบในประเทศนั้น มีตั้งแต่สมัยดั้งเดิมซึ่งสร้างขึ้นตามคติแบบอินเดียเก่า คือ รูปธรรมจักรและกวางหมอบ มาตลอด จนถึงพระพุทธรูปแบบ อมรวดี คุปตะ ปาละ และทวารวดี ซึ่งค้นพบที่จังหวัดนครราชสีมา กาญจนบุรี สุราษฎร์ธานี อุบลราชธานี และนครปฐม โดยลำดับ [พระพุทธรูปที่มีลักษณะพุทธศิลป์แบบทวาราวดี] อย่างไรก็ดีพระพุทธรูปเหล่านี้ส่วนมากเป็นรูปศิลา มีที่เป็นรูปสัมฤทธิ์อยู่บ้างแต่เป็นขนาดเล็ก ตราบจนถึงสมัยสุโขทัยจึงได้มีการหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ซึ่งงดงามยิ่งขึ้นมากดังเป็นที่ทราบกันทั่วไปอยู่แล้ว จึงเชื่อกันว่า วิธีการหล่อพระในประเทศไทยได้ตั้งหลักมั่น และเริ่มสร้างกันแพร่หลายแต่ครั้งนั้น ในบรรดาผู้เกี่ยวข้องในการหล่อพระเรียกว่าเป็นพวกช่างทั้งนั้น การจะสร้างพระได้แต่ละองค์ จะต้องใช้ช่างหลายประเภทร่วมมือกันด้วย มีน้อยมากที่คนๆ เดียวทำได้หมดและได้ดี ช่างแต่ละงานมีความชำนาญกันไปในหน้าที่ของตน ความชำนาญนี้เป็นความสามารถของช่างแต่ละประเภท อันได้แก่ ช่างปั้น ช่างเททอง หรือช่างหล่อ ช่างลงรักปิดทองและช่างตัด การทำพระจัดแบ่งออกได้เป็นพวกทำพระใหญ่ และทำพระเล็ก ความใหญ่ของพระนี้วัดขนาดจากหน้าตักเป็นนิ้วหรือเป็นศอก หากพระขนาด ๒๐ นิ้วขึ้นไป ก็ถือว่าเป็นพระใหญ่ ซึ่งโดยมากทำการหล่อเพื่อเป็นพระประธานในโบสถ์หรือวิหาร มากกว่านำไปบูชาตามบ้านเรือน ในการหล่อพระจะมีการแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ๑. งานพวกช่างปั้น (ช่างรูป) ๒. งานช่างเข้าดิน ๓. งานช่างเททองหรือช่างหล่อ ๔. งานช่างขัด และช่างรักปิดทอง (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 10 มี.ค. 2009, 15:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[พระพุทธสิหิงค์ : ปางสมาธิ พุทธศิลป์แบบลังกา ขนาดหน้าตัก ๖๖ ซม. สูง ๙๑ ซม. หล่อด้วยสำริด สร้างขึ้นโดยกษัตริย์องค์หนึ่งจากเมืองลังกาอัญเชิญมากรุงสุโขทัย ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทธไธสวรรย์ กรุงเทพฯ] ก า ร ปั้ น หุ่ น ก่อนที่จะขึ้นหุ่นพระต้องมีการเตรียมดินที่จะใช้ปั้น ในการเตรียมดินหุ่นมีวิธีการที่ยุ่งยากพอสมควร สวนผสมของดินหุ่นคือดินเหนียวกับทราย ดินเหนียวที่ใช้กันอยู่มาจาก อำเภอบางบัวทอง จังหวัดปทุมธานี เพราะมีคุณภาพดีและเหมาะสมที่จะใช้ มีสีเหลืองเจือปนเรียกว่า ดินขี้งูเหลือม เมื่อได้ดินแล้วจะนำมาตากให้แห้ง ทุบเป็นก้อนเล็กๆ ใส่ลงในตุ่มหรือภาชนะที่ขังน้ำไว้เป็นการหมักดินในน้ำนี้เรียกว่าการแช่ดิน [การแช่ดิน] ถ้าแช่ไม่ดีดินจะเป็นไต เมื่อผสมกับทรายจะทำให้นวดไม่เข้ากัน ดังนั้นการแช่ดินจึงเป็นกรรมวิธีสำคัญด้วยเหมือนกัน เมื่อใส่น้ำลงไปในภาชนะที่แช่จะต้องใส่จำนวนดินให้พอดีกับน้ำในตุ่มหรือภาชนะที่ใส่ และต้องคอยดูแลน้ำไม่ให้แห้ง การแช่ดินใช้เวลานานพอขนาดที่จะเห็นว่าเนื้อดินภายในน้ำเข้าซึมได้ทั่วถึงกันดี สำหรับทรายนั้นนิยมใช้ทรายมอญ จาก ตำบลบางพูด จังหวัดนนทบุรี และเขตติดต่อกับจังหวัดปทุมธานี ด้วยมีเม็ดทรายเล็กและละเอียด แต่ในปัจจุบันทรายที่ว่านี้ไม่มีแล้ว จึงต้องนำทรายที่ใช้ก่อสร้างมาร่อนเลือกเอาขนาดกลางไม่ละเอียดมากนัก แต่ก็ไม่ได้หยาบแบบทรายที่ใช้ถมที่ [การร่อนทราย] อัตราส่วนที่ใช้ผสมกับดินทำดินหุ่นนั้น ใช้ดินเหนียว ๑ ส่วน ผสมทราย ๓ ส่วน วิธีที่ผสมผสานให้เข้ากันได้ดีคือ การนำมานวดผสมกับน้ำพอควร เรียกว่า เหยียบดิน เมื่อเห็นว่าดินกับทรายผสมเข้ากันดี โดยมองแยกดินเหนียวกับทรายไม่ออกแล้ว จึงนำมาปั้นเป็นก้อนๆ ลูกเท่าผลส้มโอ คือ มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว ๖ นิ้ว ปั้นแล้วนำมาวางเรียงบนกระดาน ซึ่งได้จัดสถานที่ไว้โดยใช้กระดานยกพื้น ปรับพื้นหน้าให้เรียบร้อย ความกว้างใหญ่ขึ้นอยู่กับขนาดของพระที่จะทำ แล้ววางดินเรียงเป็นรูปองค์พระเรียกว่า ขึ้นหุ่นพระ [การขึ้นหุ่นพระ] [เตรียมดินปั้นเป็นก้อนสำหรับขึ้นหุ่นพระ] ในขั้นแรกนี้ ช่างปั้นหรือช่างรูป จะขึ้นหุ่นพระพอมีรูปร่างเป็นเค้าเท่านั้น ก้อนดินจะนำมาตั้งเป็นชั้นสูงขึ้นๆ โดยมีเหล็กหรือไม้เป็นแกนกลางหรือเป็นหลัก เพื่อให้ขึ้นหุ่นได้ดีเป็นการประคองก้อนดินให้เกาะไม่ให้ร่วนง่าย และสะดวกในงานที่จะตบแต่งขึ้นเป็นองค์พระ ส่วนการเข้าแขนพระเรียกว่า ออกแขน จะใช้ลวดผูกเป็นโครงไว้ลองแขน [เริ่มออกแขนพระ] เมื่อหุ่นพระมีความแข็งหรือหมาดพอตกแต่งได้แล้ว ก็จะเริ่มต่อเติมกันไปจนให้ได้ตามขนาดที่ต้องการของผู้ทำหรือผู้ว่าจ้าง ในการทำชั้นนี้เป็นการทำหุ่นแกนใน การทำหุ่นจะยึดถือความเที่ยงขนาด และมาตราส่วนเป็นสำคัญ [พระพุทธสิหิงค์หรือพระสิงห์ : ปางมารวิชัย พุทธศิลป์แบบล้านนา หล่อด้วยสำริด ประดิษฐาน ณ วิหารลายคำ วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร จ.เชียงใหม่] (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 10 มี.ค. 2009, 15:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[พระพุทธอังคีรส : ปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ พุทธศิลป์แบบรัตนโกสินทร์ ขนาดหน้าตัก ๒ ศอกคืบ หรือ ๖๐ นิ้ว หล่อด้วยสำริด กะไหล่ทองคำ ใต้ฐานพุทธบัลลังก์บรรจุพระบรมอัฐิบูรพกษัตริย์แห่งราชจักรีวงศ์ถึง ๔ รัชกาล คือ รัชกาลที่ ๒, รัชกาลที่ ๓, รัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ] ~ เครื่องมือที่ใช้ในการทำหุ่นพระนี้คือ ~ ระดับ มีไว้สำหรับวางถ้วยโลหะวัดระดับน้ำทำให้จัดพื้นฐานได้ความเที่ยงตรงไม่เอียง ลูกดิ่ง ใช้ห้อยแบ่งความเที่ยงเส้นผ่าศูนย์กลางของกลางองค์พระ วงเวียน ใช้วัดและแต่ง ด้านซ้ายขวาให้ได้ขนาดถูกต้อง เขาควาย ใช้วัดองค์ และวัดเศียรให้เป็นไปตามสัดส่วนและขนาด กราด เป็นไม้สักประดิษฐ์ขึ้นเอง มีซี่เป็นเป็นเหล็ก ประดิษฐ์ไว้หลายแบบหลายขนาดใช้ซอนคุ้ยเขี่ย ตกแต่งหุ่นแกนดิน [ลูกดิ่ง วงเวียน เขาควาย กราด มีด และไม้เสนียด] การตกแต่งพระนี้ทำกันโดยยึดแบบลักษณะของพระโบราณที่เคยทำกันมาก่อน เช่น แบบสุโขทัย แบบอู่ทอง แบบเชียงแสน แบบอยุธยา ฯลฯ ในการคัดแบบจะเลือกหาองค์ที่เห็นว่างามของแบบและในสมัยนั้นๆ แม้แบบจะเล็กหรือใหญ่ไปช่างปั้นก็สามารถย่อหรือขยายรูปให้ได้ ตามสัดส่วนและขนาดที่ต้องการ ในการปั้นหุ่นมักจะเอารูปมาวางไว้เป็นตัวอย่าง แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่ที่เห็นใช้ภาพถ่ายเป็นแบบ หลังจากจัดแต่งแกนจนเป็นที่พอใจแล้ว จะเริ่มงานปั้นตกแต่งจนเป็นรูปปั้นเท่าสัดส่วนจริงตามที่ต้องการ งานขั้นนี้นับว่าสำคัญเพราะรูปจะสวยหรือไม่ขึ้นอยู่กับช่างปั้นโดยแท้ ในการสร้างพระใหญ่นั้นจะไม่ป้นนิ้วพระหัตถ์ นิ้วพระบาท พระกรรณ รัศมี และเม็ดพระศกไปพร้อมกัน แต่จะทำต่างหากแล้วนำมาติดต่อภายหลังในขณะที่เข้ารูปขี้ผึ้ง [นายช่างขณะแต่งขี้ผึ้ง ปันนิ้ว และต่อพระหัตถ์] เมื่อปั้นหุ่นได้ดีแล้วจะเริ่มงานตกแต่งโดยใช้กระดาษทราย ขัด ถู เพื่อปรับให้พื้นราบเสมอกัน จากนั้นจะทำรางและทำร่อง เพื่อเป็นทางเดินของน้ำทองเมื่อเวลาเททอง เส้นรางนี้จะแบ่งอยู่กลางองค์จากเศียรถึงฐาน แล้วผ่าตรงระหว่างกลางลงมารวมทั้งด้านข้างทั้งสองข้าง ส่วนตามองค์จะทำคล้ายก้างปลาทำให้น้ำทองที่เทวิ่งไหลได้รวดเร็วขึ้น เมื่อทำรางเรียบร้อยแล้วขั้นต่อไปจะใช้ ดินมอม อันหมายถึงดินเหนียวผสมขี้เถ้าถ่าน ซึ่งคนโบราณใช้แกลบเผาไฟแล้วเอาขี้เถ้าของแกลบมาผสมกับดินเหนียว แต่ปัจจุบันใช้เถ้าถ่านจำพวกแกรไฟร์ผสมกับดินเหนียวแทน โดยละลายกับน้ำให้ใสพอสมควร กวนผสมให้เข้ากันดีแล้วจึงนำมาทาให้ทั่วองค์หุ่น การใช้ดินมอมทานี้ ก็เพื่อประโยชน์ในการปกปิดผิวทรายที่ปั้นไว้มิให้ทรายร่วง และทำให้รูปหุ่นมีผิวแกนแข็งขึ้น ไม่หลุดเมื่อเมื่อเททองก่อนเข้าขี้ผึ้ง ทั้งทำให้ทองวิ่งได้สะดวกเมื่อเททองด้วย หลังจากทาดินมอมแล้วจะใช้ขี้ผึ้งอุดรางทางเดินทั้งหมด แล้วทำความสะอาดหุ่นที่ได้ทำการมอมดินนั้นไว้ นำไปผึ่งให้แห้งแล้วทาด้วยเทือก ที่องค์หุ่นพระนั้นให้ทั่วองค์เพื่อรอการเข้าขี้ผึ้งต่อไป การปั้นหุ่นของกรมศิลปากรแตกต่างกับการปั้นหุ่นพระของชาวบ้าน ตรงที่ใช้ดินเหนียวหรือดินน้ำมันตกแต่งทำรูปทั้งหมด ทั้งนี้เพราะในการปั้นรูปเหมือนนั้น จำเป็นจะต้องตกแต่งโครงสร้างของหน้าและรูปรอยต่างๆ ให้ละเอียดกว่ารูปพระ หากใช้ดินทรายหุ่นรูปจะทำให้ลำบากในการตกแต่ง จึงต้องใช้ดินเหนียวปั้นหุ่น และถอดพิมพ์ด้วยปูนปาสเตอร์ แล้วนำทำหุ่นขี้ผึ้ง ส่วนการทำหุ่นขี้ผึ้งก่อนเททองนั้นจะมีวิธีการเหมือนชาวบ้านทำทุกประการ [พระพุทธเทวปฏิมากร : ปางสมาธิ พุทธศิลป์แบบอยุธยา หล่อด้วยสำริดลงรักปิดทอง ใต้ฐานชุกชีชั้นที่ ๑ บรรจุพระบรมราชสรีรังคาร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ (บางส่วน) ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ] (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 10 มี.ค. 2009, 18:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[พระพุทธโลกนาถ ราชมหาสมมติวงศ์ องค์อนันตญาณสัพพัญญู สยัมภูพุทธบพิตร : ปางห้ามสมุทร พุทธศิลป์แบบอยุธยา หล่อด้วยสำริดปิดทอง ขนาดสูง ๒๐ ศอก ประดิษฐาน ณ พระวิหารด้านทิศตะวันออก มุขหลังชั้นใน วัดพระเชตุพนวิมลมังคลราราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ] ก า ร เ ข้ า ขี้ ผึ้ ง การเข้าขี้ผึ้งหรือบุขี้ผึ้งในขั้นนี้ นับว่าเป็นงานฝีมือสำคัญของช่างรูปอย่างหนึ่ง ผู้เข้าขี้ผึ้งต้องชำนาญในการใช้ขี้ผึ้ง มิฉะนั้นจะเสียเวลาเปล่า [การเคี่ยวขี้ผึ้ง] เมื่อนำขี้ผึ้งที่เคี่ยวได้ที่ดีแล้ว นำมาบดในแบบไม้สักซึ่งจะให้มีความหนาบางเท่าใดนั้น แล้วแต่แบบที่ต้องการและความเหมาะสมของขนาด ขององค์พระเล็กและพระใหญ่ที่หุ่นนั้น เสร็จแล้วนำขี้ผึ้งที่บดเป็นแผ่นมาบุที่องค์พระจนทั่ว แล้วขูดแต่งทำพื้นองค์พระให้เกลี้ยง ช่างผู้เข้าขี้ผึ้งจะตกแต่งพระพักตร์เพิ่มเติม ปั้นนิ้วพระหัตถ์ ปั้นนิ้วพระบาท และลวดลายอื่นๆ เพิ่มตามต้องการจนสำเร็จ ความหมายบางของขี้ผึ้งเท่ากับความหนาบางของทอง ที่เทเป็นองค์พระออกมาแล้ว การตกแต่งใช้ไม้เสนียดมาเกลี่ยแต่งตามซอกตามุมพระเนตร และแต่งเล็บ หรือกล่าวได้ว่าแต่งส่วนละเอียดปลีกย่อยทั้งหลายให้ชัดเจน แล้วจึงติดเม็ดพระศก ตามเศียรจนดูสวยงาม สิ่งที่นำมาติดแต่งภายหลัง คือ นิ้วมือ หู และจมูก พวกที่กล่าวนี้จะปั้นด้วยขี้ผึ้งตัน [พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ : พระพุทธรูปทรงเครื่องแบบมหาจักรพรรดิราชาธิราช ปางมารวิชัย พุทธศิลป์แบบสมัยอยุธยาตอนปลาย หล่อด้วยโลหะสำริดหุ้มทอง ประดิษฐาน ณ วัดหน้าพระเมรุราชิการาม จ.พระนครศรีอยุธยา] หุ่นขี้ผึ้งนี้จะทราบได้ว่าองค์พระสวยและได้ขนาดถูกต้องเพียงใด เพราะเมื่ออยากจะดูรูปองค์พระเมื่อเททองเสร็จแล้ว ก็ดูองค์พระที่หุ่นขี้ผึ้งนี้ได้จะเหมือนกันทุกประการ ดังนั้นจึงเป็นขั้นปลายในการหุ่นรูป หากต้องการแก้ไขในช่วงนี้ผู้ว่าจ้างมักจะมาดูรูปหุ่นขี้ผึ้งก่อน หากไม่พอใจจะได้ทำการเปลี่ยนแปลงกันได้ จึงนับว่าเป็นขั้นสุดท้ายในการตกแต่งของช่างปั้นหรือช่างรูป ที่จะทำรูปให้เรียบร้อยละทำให้สวยได้ เรื่องของขี้ผึ้งขออธิบายให้พอเข้าใจด้วย คือขี้ผึ้งสมัยก่อนใช้ขี้ผึ้งแท้ ครั้งเมื่อจะใช้ก็นำมาเคี่ยวกับชันจนละลาย ปัจจุบันนี้ขี้ผึ้งแท้หายากและราคาแพงมาก จึงใช้พาราฟินแทน โดยนำมาผสมกับชันและน้ำมันยาง หรือน้ำมันพืชเติมเพื่อให้นิ่ม ตามแต่ความเหมาะสมในการใช้ ชันที่ว่านี้เป็นชนิดเดียวกับชันที่ใช้อุดเรือหรือยาเรือนั่นเอง ขี้ผึ้งที่ผสมแล้วนี้โดยมากมักจะผสมฝุ่นแดงเสร็จแล้วนำใส่กระทะเคี่ยว แล้วจึงกรองกับตะแกรงตาละเอียดทิ้งให้แข็งลงพอควร แล้วนำมาบดเป็นแผ่นโดยใช้กระดานไม้สักหน้าเรียบเป็นแม่แบบ และใช้ไม้แกนแข็งกลึงจนกลมเป็นเครื่องมือใช้สำหรับบดขี้ผึ้งให้เป็นแผ่น [การบดตัดขี้ผึ้งเป็นแผ่นบนกระดานไมสัก] เครื่องมือต่างๆ ที่ใช้กับการทำงานขี้ผึ้งนี้ คือ ไม้เสนียด ใช้แต่งหน้า แต่งเล็บ และแต่งนิ้ว ขอเป็นเหล็กขอมีไว้สำหรับขูดขี้ผึ้ง และมีดสำหรับตัดขี้ผึ้ง [ไม้เสนียด และขอ] (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 10 มี.ค. 2009, 18:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[พระประธานวัดระฆังโฆษิตาราม : ปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ พุทธศิลป์แบบรัตนโกสินทร์ ขนาด หน้าตักกว้าง ๔ ศอก สูง ๔ ศอกเศษ หล่อด้วยสำริดลงรักปิดทอง ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดระฆังโฆษิตาราม วรมหาวิหาร บางกอกน้อย กรุงเทพฯ] ก า ร เ ต รี ย ม ห ล่ อ หลังจากได้รูปหุ่นขี้ผึ้งสวยงามตามความต้องการแล้วก็เริ่มลงมือทาขี้วัว ส่วนผสมของ ขี้วัว คือ นำขี้วัวธรรมดานี่เอง มาคั้นกับน้ำให้เป็นเมือกแล้วผสมกับดินนวล (ดินนวลเป็นดินที่มีสีนวลเนื้อดินซุยละเอียดอ่อน) พระอุโบสถวัด เมื่อผสมดี่แล้วจึงนำมาทาให้ทั่วทั้งองค์พระ ประโยชน์ของขี้วัวจะรักษาเอาความชัดเจนของรูปร่าง และลวดลายขององค์พระไว้ให้คงรูป ขี้วัวใช้ทาปล่อยทิ้งแล้วทาทับประมาณ ๓ ครั้ง [นายช่างขณะลงขี้วัวทาทับประมาณ ๓ ครั้ง] ครั้นเมื่อเห็นว่าแห้งดีแล้วจึงนำตะปูจีน ซึ่งมีลักษณะแบบเดียวกับที่ใช้ตอกเรือ นำมาตอกลงให้ห่างกันราวฝ่ามือ จนกระทั่งทั่วองค์พระเรียกว่า ตอกทอย จุดประสงค์ของการตอกทอยก็เพื่อให้เหล็กตะปูยึดแกนในกับดินข้างนอก ที่จะนำมาหุ้มในชั้นต่อไปไม่ให้เคลื่อนที่และยังให้ความหนาของทองอยู่คงที่ด้วย เมื่อตอกทอยเสร็จทั่วองค์แล้วจึงใช้ดินนวลผสมกับทราย ในอัตราส่วนดินนวล ๑ ส่วนต่อทราย ๔ ส่วน ซึ่งช่างหล่อเรียกว่า ดินอ่อน ด้วยเป็นดินที่ละเอียด ทำการหุ่นแบบต่างๆ เรียกว่าเป็น การเข้าดิน ขั้นแรก [ตอกทอยและเข้าดินแล้ว] วิธีเข้าดินอ่อนจะโปะดินให้เรียบมีความบางพอควรไม่หนานัก ตกแต่งให้เสมอกันแล้วทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ ๑ คืน จุดประสงค์ที่เข้าดินอ่อนก็เพื่อเป็นผลดีกับหุ่นรูปภายใน เมื่อเททองแล้วเวลากระเทาะออกจะร่อนออกง่ายเป็นฉลาบน้อย หลังจากนั้นจะใช้ดินเหนียว ๑ ส่วน ผสมกับทราย ๔ ส่วน ซึ่งช่างเรียกว่า ดินแก่ นวดให้เข้ากัน และโปะทับดินอ่อนนั้นจะมิดตะปูที่ตอกทอยออกไว้ พอกทับไว้ประมาณ ๒ ชั้น แล้วปล่อยทิ้งดินแก่ให้แห้ง จากนั้นใช้ลวดสานให้รอบเป็นตาสี่เหลี่ยมกว้างเท่าฝ่ามือรอบองค์พระ แล้วเอาดินผสมทราย ส่วนผสมเช่นเดียวกับดินแก่ ใช้พอกทับให้มิดลวดเรียกว่า ทับปลอก ทิ้งทับปลอกให้แห้ง เมื่อเห็นว่าทับปลอกแห้งดีแล้งจึง ล้มหุ่นพระ เพื่อจะรอทำการเททอง การล้มหุ่นพระคือนำพระลงพิงนอนกับ จะเข้ ให้รับช่วงไหล่และฐานพระไว้สองตำแหน่ง เพื่อเตรียมการเคลื่อนย้ายขึ้นทน [ลักษณะของแผ่นจะเข้] เมื่อล้มพระแล้วทำการ สางดิน หมายความว่า เอาชะแลงกระทุ้งดินภายในฐานพระตกแต่งให้เรียบร้อย เมื่อเสร็จแล้วก็ดีดหรือยกหุ่นพระขึ้น โดยให้ทางเศียรปักลงข้างล่างและจัดขึ้นทนรองรับเศียรพระ นำเหล็กมาปักยึดองค์พระเพื่อเป็นหลัก และใช้ลวดรัดองค์พระยึดเกาะหลักไม่ให้ล้มก่อนที่จะรื้อจะเข้ออก จากนั้นจะเริ่มจับดินรอบนอก ปั้นปากจอก หรือ ชนวน คำว่า ปากจอก คือปากทางที่จะเททองลง และขึ้นกระบวนทางเศียรของพระซึ่งอยู่ตรงที่ต่ำที่สุด [นายช่างขณะปั้นปากจอก หรือชนวนของพระขนาดเล็ก] กระบวน คือ ทางที่ขี้ผึ้งไหลออก และเริ่มก่อเตาอิฐล้อมรอบองค์พระจนมิดองค์พระ โดยให้ห่างจากองค์พระพอสมควร ปิดกระบาน คำว่า กระบาน คือดินเหนียวผสมกับแกลบทำเป็นแผ่น สำหรับปิดเตาหุ่น หรือเตาทอง ต่อจากนั้นก็เอาไฟสุมในเตาหุ่น เพื่อให้ขี้ผึ้งภายในองค์พระละลายเรียกว่า สำรอกขี้ผึ้ง หรือเผาให้ขี้ผึ้งละลายออกจากหุ่น ผู้ควบคุมงานการสุมเผาหุ่น ต้องมีความรู้พอในการดูเปลวไฟและดูว่าขี้ผึ้งไหลออกหมดหรือยัง สำหรับการใส่ไฟที่หุ่นพิมพ์ นิยมใช้ฟืนแสมเป็นส่วนมาก เมื่อสำรอกขี้ผึ้งออกหมดแล้วก็ใส่ฟืนให้เต็มเตา คอยสังเกตเมื่อพิมพ์ ลุกดวง หมายความว่าหุ่นภายในที่มีขี้ผึ้งติดอยู่ลุกเป็นเปลวไฟ เหมือนจุดไต้แสงแลบออกมาทางปากจอก เมื่อลุกดวงหมดไปเรียกว่า ดับดวง แล้วช่างใส่ไฟพิมพ์หุ่นจะกำหนดระยะเวลาตั้งแต่ดับดวงไป แล้วลดไฟให้ร้อนน้อยลงเรียกว่า บ่ม จนกระทั่งพิมพ์หุ่นสุก โดยสังเกตเห็นจากเปลวไฟและอิฐภายในเตาหรือหุ่นพระ และอิฐที่ปิดปากจอกเมื่อไม่มีเขม่าขี้ผึ้ง ช่างเททองจะรู้ดีและจะคอยสังเกตอยู่ เช่นเดียวกับน้ำทองจะใช้ได้หรือไม่ต้องสังเกตจากเปลวไฟ และอิฐภายในเตาทอง ในระหว่างนี้เตาหุ่น จะรื้อออกเพื่อเตรียมงานเททอง [หุ่นขี้ผึ้งเพื่อเตรียมการหล่อพระ ในโรงหล่อ จ.พิษณูโลก] (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 10 มี.ค. 2009, 22:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร (พระสุโขทัยไตรมิตร หรือพระทองสุโขทัย) : ปางมารวิชัย พุทธศิลป์แบบสุโขทัย หล่อด้วยทองคำแท้ น้ำหนัก ๕.๕ ตัน (ทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขา) ประดิษฐาน ณ วิหารพระทองคำ วัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร กรุงเทพฯ] ก า ร เ ท ท อ ง ในขณะที่ช่างทองเตรียมพิมพ์หุ่นอยู่นั้น ช่างทำน้ำทองก็จะเริ่มทำงานไปพร้อมกันโดยการก่อเตาทอง ในการก่อเตาอิฐต้องให้ใหญ่กว่าเป้าเล็กน้อย วางกรับ วางเตาหม้อและลำรางเบ้า เสร็จเรียบร้อยจึงเอาทองแท่งใส่เบ้าทำการสูบทอง [เตาเผาน้ำทองและเบ้า] การสูบทองแต่โบราณใช้คนเป็นผู้สูบ การสูบคือการปั๊มลมเข้าเตาหลอมทองนั่นเอง ปัจจุบันใช้เครื่องสูบลมไฟฟ้า วิธีการของงานหลอมทำน้ำทองนับว่าสำคัญเช่นกัน เพราะต้องชำนาญงานในการสังเกตดูว่าร้อนได้ที่แล้วหรือยัง และวิธีการหลอมทองต้องค่อย ๆ ใส่ทองลงไป โดยเอาส่วนที่จะลงไปครั้งหลังเผาให้ร้อนพอควรก่อน แล้วจึงเทใส่ลงไปผสมกับน้ำทองที่ละลายแล้ว หากใส่ของเย็นลงไปในเบ้านั้นจะทำให้ระเบิดเกิดอันตรายได้ การหลอมทำน้ำทองใช้เบ้าเป็นภาชนะซึ่งมีลักษณะคล้ายกระป๋องใส่น้ำ จะขออธิบายเรื่องของ การทำเบ้าและกระบาน ให้พอทราบกัน [เบ้าวางอยู่ในเตาหลอม] ทั้ง เบ้า และกระบาน เป็นอุปกรณ์ในการเททองหล่อพระ กล่าวคือ เบ้าแบบโบราณใช้ดินเหนี่ยวนำมาเหยียบนวด กับขี้เถ้าแกลบนวลจนเหนียวให้เข้ากันอย่างดีด้วยกรรมวิธีที่ลำบาก เป็นอาชีพเฉพาะอย่างหนึ่งของชาวบ้านที่รับทำเบ้าและกระบานซึ่งจะทำควบคู่กันไป กระบาน คือส่วนผสมที่ทำเป็นแนวแบน ใช้วางปิดบนเตาเผาทองและเตาเผาหุ่น เมื่อปั้นเป็นรูปเบ้าและแผ่นกระบานแล้ว จึงนำไปตากให้แห้งก่อนนำมาใช้เบ้าเป็นภาชนะในการหลอมทอง แต่กระบานใช้ปิดปากเต่า เบ้าแบบโบราณที่ใช้ทำกันดังกล่าวมานี้ ในปัจจุบันเลิกทำใช้แล้วเพราะเบ้าแบบเก่าใช้หลอมทองได้ครั้งเดียวต้องทิ้งไป จึงหันมาใช้เบาที่ทำจากต่างประเทศ เช่น จากเยอรมัน ซึ่งมีลักษณะรูปร่างเหมือนกันกับเบ้าของไทยแต่คุณภาพการทนไฟใช้ได้ดี คือใช้ได้นาน ๒๐-๓๐ ครั้ง ทำให้ใช้จ่ายสิ้นเปลืองน้อยลง [เต้าหลอมน้ำทอง โลหะที่ปิดปากทองเป็นโลหะทนไฟ ใช้แทนกระบาน] เมื่อทุกอย่างพร้อมกันดีแล้วคือ น้ำทองดี พิมพ์ดีพร้อมก็จะเริ่มทำการเททองที่เคี่ยว ในการเริ่มเททองต้องเขี่ยไฟออกจากเตาพิมพ์ให้มากเท่าที่จะเอาออกมาได้ แล้วรื้ออิฐที่ก่อไว้นั้นออกให้หมดใช้น้ำราดเป็นการลดความร้อน ในระยะนี้ต้องระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ให้น้ำถูกพิมพ์เพราะจะทำให้แตกร้าวได้ เมื่อจัดสถานที่สำหรับเททองเรียบร้อยแล้วก็จักพรม น้ำฉลาบ คือใช้น้ำโคลนค่อนข้างเหลวพรมที่หุ่นพระนั้น เพื่อให้เหล็กที่เข้าปลอกอยู่ และเหล็กที่ปักมัดพิมพ์อยู่เย็นตัวแข็งลงบ้าง เพื่อที่จะได้ต้านทานน้ำหนักของทองที่จะเทลงไปเมื่อพรม น้ำฉลาบ เสร็จก็ใช้ ดินยา (เป็นดินเหนียวผสมทรายพิเศษเหนียวกว่าดินหุ่น) อุดยาส่วนที่เป็นรอยแตกร้าวให้ทั่วแล้วก็เริ่มเปิดเตาทองทำการถอนออกจากเตา ผู้ถอนต้องมีความรู้และมีกำลังแข็งแรง เมื่อถอนแล้วจัดการตักหน้า หมายถึงปาดถ่านออกให้หมดเหลือแต่น้ำทองเท่านั้น แล้วช่างเททองจะยกเบ้าทองนั้น โดยปรกติช่างเททองจะเอาผ้าชุบน้ำพันรอบมือและแขนเพื่อบรรเทาความร้อน (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 10 มี.ค. 2009, 22:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[พระพุทธนฤมลธรรมโมภาส : ปางสมาธิ พุทธศิลป์แบบรัตนโกสินทร์ ขนาด หน้าตัก ๒๒ นิ้วครึ่ง สูง ๓๖ นิ้ว วัสดุ โลหะกะไหล่ทองทั้งองค์พระและฐาน ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ วัดนิเวศธรรมประวัติ ราชวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา สร้างตามแบบวัดคริสต์ เป็นศิลปะแบบโกธิค(Gothic) ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกับวัดอื่น] การยกเป้าทองใช้ คีม คีบถอนหมายถึง คีบเป้าออกจากเตามาวางที่ คีมเท หรือ คีมโคม แล้วยกส่งให้คนเทนำไปเทลงในปากจอก ที่ปั้นไว้ที่หุ่นพระทำการเททองจนหมดเบ้า [ช่างขณะยกเบ้าน้ำทองออกจากเตาหลอม แล้วตักหน้าเอาถ่านและขี้ผึ้งออก] [นายช่างขณะใช้คีมยกเบ้าน้ำทองจากเตาหลอม] จากนั้นจึงนำเอาเบ้าอื่นๆ มาเทต่อจนกระทั่งเต็มองค์พระ โดยสังเกตจากน้ำทองที่ล้นปากจอกออกมา เป็นการเสร็จวิธีการเททอง คนที่ทำน้ำทองนี้เทต้องมือแม่นทนความร้อนได้ดี ถ้าเป็นพระองค์ใหญ่มากจะต้องทำสะพานไต่ขึ้นไปเทบนร้าน นับว่าอันตรายมาก ถ้าพลาดน้ำทองหกลวกเนื้อจะทะลุไปถึงกระดูก แต่ก็ไม่ค่อยมีผู้ประสบอุบัติเหตุในการทำงานนี้มากนัก เพราะทุกคนที่ทำงานหน้าที่นี้ต้องเคยงานมาก่อน ช่างพวกนี้เรียกว่า ช่างเททอง [นายช่างขณะยกเบ้าน้ำทองลงในหุ่นพระ] ในกรณีที่เป็นพระองค์ขนาดใหญ่ การหลอมน้ำทอง ต้องทำหลายๆ เตา และทองที่ผสมต้องชั่งวัดให้เท่ากันในแต่ละเตาที่เผา เช่นน้ำหนักของทองในเบ้า หนึ่ง มีทองเหลือง ๓๐ กิโลกรัม มีทองแดง ๑๐ กิโลกรัม ทุกๆ เบ้าจะต้องผสมเท่าๆ กัน ทั้งนี้เพื่อให้พระทั้งองค์มีสีที่ผสมสีเดียวกันหมด น้ำทองต้องคำนวณให้พอกับขนาดของพระที่ต้องการเท โดยคิดจากน้ำหนักของขี้ผึ้งที่ใช้ปั้นหุ่นไว้แต่ละองค์ เรื่องนี้ช่างเททองย่อมรู้กันดี เมื่อกล่าวถึงเรื่องน้ำทองแล้วขอกล่าวถึงเนื้อทองกับส่วนผสมเล็กน้อย พระประธานส่วนมากใช้ ทองเบญจพรรณ หมายถึง โลหะอะไรก็ได้ ที่มีทองเหลืองเป็นส่วนผสมนำมายุบรวมๆ กัน และนำมาหลอมเอาเฉพาะทองเหลือง ทั้งนี้เพราะทองเหลืองราคาถูกกว่าทองแดง ด้วยทำมาจากทองแดงผสมกับสังกะสี อัตราส่วนของทองเหลืองอย่างดีให้สีสวยงามคือ ทองแดง ๘ ส่วน กับสังกะสี ๑๒ ส่วน หากปนสังกะสีมากไป จะทำให้สีจืดคือมีสีขาวมาก และเนื้อเปราะ แต่ถ้าหากต้องการจะให้ทององค์พระออกสีแดงก็ผสมทองแดงให้มากขึ้น [พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ธรรโมภาส มหาวชิราวุธราชปูชนียบพิตร : ปางประทานพร พุทธศิลป์แบบสุโขทัย หล่อด้วยโลหะทองเหลืองหนัก ๑๐๐ หาบ ประทับยืนอยู่บนฐานลายบัวคว่ำบัวหงาย ใต้ฐานพระบรรจุพระบรมราชสรีรังคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ประดิษฐาน ณ ซุ้มวิหารทิศบริเวณบันได วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร จ.นครปฐม] (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 10 มี.ค. 2009, 23:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[พระพุทธมิศราชโลกธาตุดิลก : ปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ พุทธศิลป์แบบรัตนโกสินทร์ตอนต้น ขนาดหน้าตัก ๑.๗๕ เมตร วัสดุ โลหะผสมทอง พระพุทธรูปองค์นี้เป็นฝีพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้ทรงอัญเชิญพระบรมราชสรีรังคารพระบรมชนกนาถมาบรรจุ ใต้พุทธบัลลังก์ และถวายพระนามว่า “พระพุทธธรรมิศราชโลกธาตุดิลก” ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ] ก า ร ต ก แ ต่ ง ห ลั ง ห ล่ อ ในกรณีที่ขณะเททองหากว่าหุ่นพระมีการแบ่งตัว หรือมีรอยรั่วจะต้องรีบทำการอุดยากัน ช่างพวกนี้เรียกว่า ช่างรับรั่ว ในเวลาเททองพวกช่างรับรั่วนี้ จะมีหน้าที่คอยเฝ้าอยู่อย่างใกล้ชิดจนเสร็จงานการเททอง เสร็จงานนี้แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เนื้อทองเย็น พระใหญ่จะทิ้งไว้อย่างน้อย ๑๐-๒๐ ชั่วโมง แต่ทางที่ดีควรเป็น ๒-๓ วัน พระขนาดเล็กควรทิ้งไว้ราว ๖-๑๐ ชั่วโมง แล้วจึงทุบดินแกะปลอกเหล็กที่หุ้มออก ช่างที่มีหน้าที่ตกแต่งจะทำการเคาะดินจัดแต่งทำความสะอาดองค์พระ โดยตะไบตะเข็บที่เป็นรอยครีบและอุดรอยรั่วที่เป็นรูตัดตะปู ที่เรียกว่าตอกทอยและอุดแผลต่างๆ จัดแต่งขัดจนเกลี้ยง [พระพุทธรูปที่เททองเสร้จแล้ว จะเห็นว่ามีกระบานติดอยู่ด้วย] [นายช่างขณะกระเทาะดินให้เหลือแต่ทอง] ในสมัยโบราณนั้นใช้ตะไบขัดเป็นงานละเอียดมาก ขั้นแรกใช้ตะไบหยาบ ต่อมาจะใช้ตะไบละเอียดลง จนกระทั่งลงกระดาษทรายขนาดหยาบ และจนถึงกระดาษทรายขนาดละเอียดแล้วก็ยังเช็ดขัดอีก ช่างพวกนี้เรียกว่า ช่างขัด ในการลงตะไบขัดจะต้องมีความชำนาญในการขัดใหลึกให้ตื้นเท่าใด ทั้งนี้ขึ้นอยู่ฝีมือที่กดตะไบลงไป แต่ในปัจจุบันช่างตามโรงงานทุกโรงงานจะใช้เครื่องไฟฟ้าขัด และปัดชักเงากันทั้งนั้น ซึ่งดูสวยงามกว่า มีเงามากแต่ไม่ทนเหมือนใช้ขัดด้วยมือ [เมื่อกระเทาะดินออกแล้ว ขัดแต่งด้วยครื่องไฟฟ้า] การทำพระรมดำมี ๒ วิธี วิธีแรกคือการใช้น้ำยาไฮโป กับกรดดินประสิว นำมาต้มกับน้ำพออุ่น แล้วเอาพระจุ่มลงไปในถังที่ต้มนั้น เมื่อเห็นว่าดำดีแล้วก็นำมาขัดล้าง แต่งสีให้ดำเสมอกัน ถ้าหากบางแห่งสีแก่ไปก็ลบออกทำให้เป็นสีเดียวกัน แล้วเอาตะเกียงเตาพ่น (ตะเกียงน้ำมันก๊าด) เอาควันรมให้ดูเรียบเงาเสมอกัน หากสีไม่เข้ากันก็ใช้แปลงขัด [พระพุทธรูปรมดำ] ส่วนวิธีที่สองนั้น ใช้รมดำด้วยน้ำยาโปตัสเซี่ยมซัลไฟด์ กับ น้ำยาเฟอร์ริกคลอไรด์ โดยนำแต่ละชนิดมาใส่ภาชนะแยกต่างหาก และใช้แปรงทาสีจุ่มโปตัสเซี่ยมซัลไฟด์ ทาที่องค์พระก่อน เมื่อเห็นว่าแห้งดีจึงนำมาล้างน้ำให้สะอาด รอให้แห้งแล้วจึงใช้น้ำยาเฟอร์ริกคลอไรด์ทาที่องค์พระให้ทั่ว ปล่อยให้แห้งดีจึงนำมาล้างน้ำ หากสีไม่เสมอกันก็ทาทับจนดูดำเท่ากันดูออกเงาสวยงาม พระแบบรมดำนี้ก็ดูสวยเป็นที่นิยมไปอีกแบบหนึ่ง [พระพุทธชินสีห์ (องค์หน้า) : ปางมารวิชัย พุทธศิลป์แบบสุโขทัยผสมเชียงแสน หล่อด้วยโลหะสำริด ลงรักปิดทอง รัศมีองค์พระกะไหล่ด้วยทองคำ ฝังพระเนตรฝังเพชรที่พระอุณาโลม ใต้ฐานพุทธบัลลังก์ บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ผู้ทรงเคยผนวช ณ วัดนี้ เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ] การทำอีกแบบหนึ่งก็คือ การลงรักปิดทอง วิธีการนี้ออกจะยากลำบาก ต้องมีช่างต่างหากออกไปเรียกว่า ช่างลงรักปิดทอง วิธีทำจะทำภายหลังจากตกแต่งองค์พระที่เททองให้เรียบร้อยเกลี้ยงเรียบแล้ว จึงเอารักที่จัดเตรียมไว้มาบดให้เหนียว ลักษณะรักเหมือนแป้งข้นๆ นำมาทาลงบนองค์พระ เหมือนโป๊วรถยนต์ เกลี่ยปรับให้เรียบร้อยเท่ากันทั้งองค์แล้วทิ้งไว้ให้แห้ง ๔-๕ วัน [วิธีการลงรักก่อนจะนำไปปิดทอง] เมื่อแห้งแล้วขัดด้วยกระดาษทรายผึ่งทิ้งไว้ประมาณ ๑ เดือน ถ้ายิ่งนานก็ยิ่งดี เมื่อแห้งจนเป็นที่พอใจแล้ว นำน้ำรักมาใช้แปรงทาให้ทั่วทั้งองค์ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วทำกระโจมครอบองค์พระเอาผ้าชุบน้ำขึ้นคลุมไว้บนกระโจม เพื่อรักษาความชื้นให้เหมาะสม ทิ้งไว้หนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นลองเอามือแตะรักที่องค์พระดูก่อน หากว่าไม่ติดมือก็แสดงว่าแห้งดีแล้ว สามารถจะนำแผ่นทองคำเปลวติดได้เลย ช่างที่ปิดทองจะต้องเคยงานเป็นอย่างดี จะได้ไม่เปลืองทองวิธีปิดนั้นใช้ปิดเรียงกันแผ่นต่อแผ่น แต่ถ้ามีรอยด่าง ก็จะตกแต่งปิดทับจนแลดูสวยงามเป็นการเสร็จพิธีลงรักปิดทอง งานของช่างลงรักปิดทองนี้หายาก เพราะจะต้องรู้จักจัดทำผสมรักและวิธีการในการลงรักและปิดทองด้วย (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 11 มี.ค. 2009, 00:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[พระศรีศากยทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์: ปางลีลา พุทธศิลป์แบบสุโขทัย หล่อด้วยสำริดรมดำ สูง ๑๕.๘๗๕ เมตร ออกแบบโดย ศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี ในโอกาสแห่งการเฉลิมฉลองพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาครบ ๒๕ พุทธศตวรรษ สร้างแล้วเสร็จเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๓๕ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ ประดิษฐาน ณ พุทธมณฑล ต.ศาลายา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม : ภาพถ่ายเมื่อวันอาสาฬหบูชา พ.ศ. ๒๕๕๑] จะขอวกกลับมาอธิบายเกี่ยวกับการจัดทำรักให้พอเข้าใจกัน รักเป็นน้ำยาชนิดหนึ่งได้มาจากต้นรักซื้อมาทางประเทศพม่า หรือมีทางเหนือเช่นจังหวัดเชียงใหม่ ซื้อขายกันเป็นปีบ ลักษณะเหมือนน้ำมันดินแต่เหนี่ยวกว่า คล้ายยางมะตอยนำมาผสมกับ สมุ วิธีทำสมุคือ เอาใบตองแห้งที่สะอาดไปเผาไฟ และเอาขี้เถ้าของใบตองดังกล่าวนี้ มาผสมกับน้ำรักทาองค์พระก่อนที่จะลงรักน้ำใสก่อนการปิดทอง พระพุทธรูปทั้งสามแบบที่กล่าวมานี้ คือ พระขัด พระรมดำ และพระปิดทอง ในปัจจุบันมีผู้นิยมพระรมดำกันมากกว่าพระปิดทอง เมื่อตกแต่งพระที่หล่อได้ตามแบบที่ต้องการแล้ว ขั้นสุดท้ายคือการเบิกพระเนตรซึ่งถือว่าเป็นงานสุดท้ายเป็นการเสร็จวิธีการทำพระ ในการสร้างพระพุทธชินราชจะต้องสร้างเรือนแก้วต่างหาก รวมทั้งเททองต่างหากด้วยเช่นเดียวกับสร้างพระประธานองค์ใหญ่มาก จะสร้างฐานแยกต่างหาก เททองต่างหาก เสร็จแล้วนำมาติดต่อตบแต่งภายหลัง เกี่ยวกับฤกษ์ยามในพิธีกรรมของการหล่อพระก็ขึ้นอยู่กับฤกษ์ยามของผู้สร้าง ฉะนั้นวันเวลาในการเททองจึงขึ้นอยู่กับฤกษ์ของผู้ว่าจ้างทำ ฤกษ์เททองอาจเป็น เช้า สาย บ่าย เย็น หรือค่ำ แต่ถ้าหาฤกษ์เป็นเวลาตอนเช้าพวกช่างก็จะชอบกัน เพราะจะได้มีเวลาพักผ่อนหลังจากเสร็จงานเนื่องจากเป็นงานใช้กำลัง พิธีในการเททองส่วนใหญ่จะจัดทำเฉพาะพระใหญ่ที่สร้างเป็นพระประธาน ผู้จ้างมักจะให้มีการจัดทำพิธี แต่ถ้าให้ไปเททองตามวัดต่างๆ นอกสถานที่ของโรงงานพิธีต่าง ๆ ก็จะไปทำ ณ สถานที่ที่ไปเททองนั้น พิธีมี ๒ แบบ คือแบบธรรมดาทั่วๆ ไป และแบบพิธีใหญ่ คือมี พุทธาภิเศก ด้วย ขณะเททองในพิธีจะมีเครื่องบูชาราชวัตร ฉัตรธง ๔ มุม รอบเตาเผาหุ่น จัดศาลเพียงตา ภายในศาลมีเครื่องสังเวยคือ หัวหมู บายศรี กล้วย น้ำพระพร้าวอ่อน ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว น้ำและบุหรี่ [ในวันพิธีเททอง นายช่างเททองจะแต่งกายด้วยชุดขาวทุกคน] นายช่างเททองจะแต่งกายด้วยชุดขาวทุกคน ถือกันว่าเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วนิมนต์พระมา ๙ รูป สวดชัยมงคล เมื่อพิธีใหญ่คือพิธีพุทธาภิเศกหรือปลุกเศก ซึ่งโดยมากจะมีในเวลากลางคืนจะมีพระสงฆ์มาทำพิธี เครื่องปลุกเศกมีพวกเทียนพุทธาภิเศก เรียกว่า เทียนชัย เครื่องใช้ในพิธีมีแจกัน ๒ คู่ ใช้ดอกบัวใส่แจกันๆ ละ ๔ ดอก มีเชิงเทียน ๔ ด้าน ใช้เทียนหนัก ๑ บาท รวมเป็น ๔ เล่ม กระถางธูป ๔ กระถาง แต่ละกระถางใช้ธูปกำละ ๙ ดอก มีเชิงเทียนสำหรับทำเชิงชนวนจุดอีก ๑ อัน ทั้งหมดนี้คือพิธีกรรมในการเททองหล่อพระ (มีต่อ : การหล่อพระขนาดเล็กหรือพระบูชา) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 11 มี.ค. 2009, 02:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[พระพุทธรูป ภปร. พ.ศ. ๒๕๐๘ : ปางประทานพร พุทธศิลป์ผสมผสานใกล้เคียงสมัยสุโขทัย ประดับผ้าทิพย์ด้วยตราพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. เนื้อสำริดรมดำ หน้าตัก ๙ นิ้ว ออกแบบโดย นายไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ นายช่างศิลปกรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานภาษิต สำหรับจารึกไว้ที่ฐานด้านหน้า เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของชาติว่า “ทยุย ชาติยา ส สมาคุติ สติสญุชานเนน โภชิสิย รกุชนุติ” คนชาติไทยจะรักความเป็นไทอยู่ ได้ด้วยมีสติสำนึกอยู่ในความสามัคคี ฐานด้านหลังมีแผ่นจารึกข้อความว่า “เสด็จพระราชดำเนินพิธีหล่อ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๘”] ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ ข น า ด เ ล็ ก หรือ พ ร ะ บู ช า การหล่อพระขนาดเล็กนี้มีกรรมวิธีคล้ายกับการสร้างพระขนาดใหญ่ แต่ง่ายกว่าจึงได้จัดนำมาเขียนไว้ตอนท้ายของเรื่อง พระขนาดเล็กที่สร้างมากคือปางประทานพร เช่น พระพุทธรูป ภปร. ซึ่งเป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน และก็พระประจำวันซึ่งจะได้เขียนไว้ตอนท้ายเรื่อง สมัยก่อนนิยมพระนั่งสมาธืและพระปางสะดุ้งมารเป็นพระบูชา นิยมกันมากคือพระขนาดหน้าตัก ๕ นิว และ ๙ นิ้ว ขนาด ๗ นิ้ว นั้นไม่ค่อยจะนิยมกัน อย่างไรก็ดีพระบูชาขนาดเล็ก อาจมีขนาดตั้งแต่ ๓ นิ้ว จนถึงขนาด ๒๐ นิ้ว ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโต๊ะหมู่บูชาและสถานที่ด้วย ในการสร้างพระเล็กใช้ปั้นรูปด้วยดินเหนียวแต่ทำกันน้อย ส่วนใหญ่ปั้นด้วยขี้ผึ้งแล้วนำมาทำพิมพ์ เมื่อถอดพิมพ์แล้วจึงจะเอาพิมพ์มาใช้ทำกันต่อไป ไม่ต้องเสียเวลาในการปั้นรูปอีกบ่อยๆ แบบที่ทำคือตั้งแต่ขนาดหน้าตัก ๘ นิ้ว ถึง ๒๐ นิ้ว โดยจะใช้ทำเป็นพิมพ์ไว้ [การกระทุ้งดินพระเล็กก่อนนำไปปั้นปากจอก] ในการปั้นรูปตามแบบของกรมศิลปากรนั้นนิยมปั้นด้วยดินเหนียว ถ้าหุ่นเล็กอาจใช้ดินน้ำมัน แต่วิธีของชาวบ้านใช้ขี้ผึ้งปั้นกันแทบทุกคน แล้วใช้ปูนปาสเตอร์เป็นแกนใน บางคนใช้ดินอุด เมื่อปั้นตกแต่งจนสวยงามตามแบบต้องการแล้ว ทำการถอดพิมพ์โดยใช้ปูนปาสเตอร์หรือซีเมนต์ถอดเป้นท่อนๆ แต่การใช้ปูนปาสเตอร์มักจะไม่ทนและเสียรูป ดูรูปก็ไม่ค่อยชัดเหมือนพิมพ์ด้วยปูนซีเมนต์ การถอดพิมพ์จะทำเป็น ๒ ผา คือด้านหน้าหลัง โดยแบ่งส่วนด้านข้างองค์ออกเป็น ๒ ส่วน เวลาใช้ทำจะนำพิมพ์ ๒ ผานี้มาแช่น้ำ ใช้สบู่ทาให้ลื่น นำมาประกบกันใช้ผ้าหรือเชือกมัดบีบให้แน่น เอาขี้ผึ้งที่ผสมกับขนาดได้ที่ คือเป็นน้ำข้นๆ ตักใส่พิมพ์ โดยระวังอย่าให้ขี้ผึ้งเป็นพอง เมื่อเทจนเต็มแล้วจับคว่ำด้านฐานพระลงเทขี้ผึ้งออกลงอ่างเคี่ยวขี้ผึ้ง นำพิมพ์ขี้ผึ้งที่กรอกขี้ผึ้งติดอยู่นี้ลงไปแช่ในน้ำเพื่อลดความร้อน ทำให้ขี้ผึ้งแห้งเร็วขึ้นเมื่อเห็นว่าเย็นแล้วจึงแกะพิมพ์ออก จะเห็นรูปองค์พระขี้ผึ้งซึ่งยังมีตะเข็บรอยต่อเป็นครีบอยู่ข้างๆ องค์ ช่างตกแต่งจะนำมาขัดเกลาให้เกลี้ยง โดยใช้ผ้าพับเป็นชั้นขนาดหนาพอมือจับได้ถนัด แล้วเอาผ้าไปจุ่มน้ำมันยางเล็กน้อย แตะลงบนแผ่นสังกะสีที่พิงพาดไว้บนเตาไฟอ่อนๆ พอความร้อนถึงมือก็รีบนำผ้านั้นมาเช็ดขัดตกแต่งรอยแผล และใช้ขี้ผึ้งอุดรูแผล ตัดครีบและตะเข็บข้าง ทำให้เรียบร้อยเป็นการเสร็จเรื่องตกแต่งขี้ผึ้งแบบหยาบๆ ขั้นต่อมาคือนำส่วนต่างๆ มาต่อเติมให้ครบองค์ เช่น ส่วนที่ทำพิมพ์ไม่ได้คือพวกข้อศอก เท้า ข้อมือ ฐาน และสิ่งตกแต่งอื่นๆ เช่น รัศมี เม็ดพระศก และพวกบัวต่างๆ ที่ติดตามฐาน เรื่องลักษณะของฐานบัวจะได้อธิบายให้ทราบในตอนต่อไป เมื่อตกแต่งจนเรียบร้อยดังใจแล้วเป็นอันว่าหมดงานขี้ผึ้ง และแล้วใช้ดินขี้หนู ซึ่งเป็นดินเหนียวปนทรายแต่ค่อนข้างร่วน ยัดกระทุ้งให้เต็มข้างในใช้เหล็กเป็นแกนเสียบถึงเศียร (ด้านใน) เสร็จแล้วติดชนวนที่จะทำเป็นทางเดินของน้ำทองเวลาเททอง เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเริ่มลงขี้วัวแล้วเข้าดินโดยวิธีการเช่นเดียวกับการทำพระใหญ่ คือลงดินอ่อน ดินแก่ แล้วจึงเข้าลวดมัดตรึงรอบองค์พระให้แน่นลักษณะแบบตาข่าย จากนั้นติดกระบวนและปั้นปากจอกซึ่งเป็นทางสำหรับเททอง [พระเล็กเข้าดินเรียบร้อยแล้ว เตรียมรอเททอง] (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 11 มี.ค. 2009, 03:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[พระนิรโรคันตราย : ปางสมาธิ พุทธศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์ วัสดุ สำริด กะไหล่ทอง ขนาดหน้าตักกว้าง ๖ นิ้ว สูงจากฐานจรดยอดพระเกศ ๑๓.๕ นิ้ว ประดิษฐาน ณ ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช(แพ ติสสเทวมหาเถร) คณะ ๖ วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร] การสร้างพระเล็กนั้นนิยมทำจำนวนมาก ฉะนั้น จึงมักทำพร้อมๆ กัน โดยนำมาวางเรียงใช้ท่อเหล็กเป็นตะแกรงทำร้านวางท่อเหล็กเป็นแนว แล้วใช้อิฐล้อมทำเป็นเตาเผาลักษณะการทำเตาพระเล็กเป็นราง เพื่อเอาพระวางเรียงกันทีละหลายๆ องค์ สำหรับเตรียมเททองพร้อมๆ กันไม่เป็นการเสียเวลา เตาหนึ่งๆ เผาหุ่นพระขนาด ๙ นิ้ว ได้ราว ๓๐ องค์ หากเป็นพระขนาด ๕ นิ้ว จะวางเรียงได้ประมาณ ๑๐๐ องค์ [เตาเผาหุ่นสำหรับเททองพระเล็ก] การเทน้ำทองก็มีกรรมวิธีเช่นเดียวกับการทำพระใหญ่ทั้งสิ้น เครื่องมือและสิ่งของที่ใช้ทำพระในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปหลายแบบพอสรุปได้คือ ไม่มีใครประกอบอาชีพ ทำเบ้าแล้วเพราะใช้เบ้าจากประเทศเยอรมันแทน เครื่องสูบลมแต่ก่อนเป็นกล่องไม้สี่เหลี่ยมสูง แล้วใช้ไม้ด้ามยาวสูงกว่าปล่องด้านปลาย มีกระดานแบนๆ เป็นแผ่นคล้ายจานผูกติด วิธีใช้ปั๊มให้ปั๊มลงทำให้เกิดลมในกล่องไม้สี่เหลี่ยมนั้น ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นใช้เครื่องสูบลมไฟฟ้า อีกอย่างคือ วิธีขัดพระด้วยมือ ปัจจุบันเลิกทำกันแล้วหันมานิยมใช้เครื่องไฟฟ้าชักเงาหรือปัดเงาแทน ที่กล่าวมานี้คือการหล่อพระพุทธรูปแบบโบราณ ซึ่งทุกโรงงานทำพระจะมีวิธีการสร้างเหมือนกันทุกแห่ง จึงเป็นการดีที่จะเขียนไว้ให้ได้ทราบถึงกันบ้าง การสร้างพระ ชาวบ้านไม่ได้คำนึงคิดสร้างแบบทำขึ้นเอง ส่วนใหญ่ทำตามรูปร่างดั้งเดิมเช่น แบบสุโขทัย แบบเชียงแสน แบบอยุธยา แบบอู่ทอง และพระพุทธชินราช ฯลฯ สัดส่วนที่คำนึงถึงจึงยึดถือของเดิมเป็นหลัก จะขออธิบายสั้นๆ พอสังเขปดังนี้ ~ แบบสุโขทัย ~ มีลักษณะสวยมาก หน้ารูปไข่ มีรอยยิ้ม อ่อนช้อยคล้ายผู้หญิง มองดูเรียวงามไปทั่วทั้งองค์อิ่มเอิบสวยงามมาก บ่งบอกถึงศิลปะขั้นสูง ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่าเป็นเพราะชาวเมืองสุโขทัย มีความอยู่ดีกินดี มีความสุข ศิลปะที่แสดงออกมาจึงเป็นดังที่เห็นกันเช่นพระพุทธรูปในสมัยนั้น พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวมีลักษณะสวยงามที่สุด สร้างสมัยปลายสุโขทัย ลักษณะพระพักตร์เป็นแบบสุโขทัยกับเชียงแสน ~ แบบเชียงแสน ล้านนา ~ มีลักษณะเป็นแบบผู้ชายเต็มตัว อกกว้าง มีกล้าม ลักษณะกลม แสดงถึงความบึกบึน กล้าหาญ ~ แบบอู่ทอง ~ มีลักษณะรูปเหมือนคนธรรมดามาก แสดงความรู้สึกออกมาให้เห็นชัด หน้าดุ ส่วนใหญ่เป็นพระนั่ง ~ แบบอยุธยา ~ ไม่ค่อยสวยนัก อาจเป็นเพราะประชาชนในสมัยนั้น ไม่ค่อยมีจิตใจที่จะทำอะไรกันนัก เนื่องจากมีสงครามเกิดขึ้นบ่อยๆ ครั้ง และมีช่างน้อย ~ แบบรัตนโกสินทร์ ~ เป็นพระที่สวยไปอีกแบบหนึ่งและที่มีมากหาดูได้ที่วัดสุทัศน์ มีปางต่างๆ กันราว ๔๐ ปาง [พระพุทธตรีโลกเชษฐ์ : ปางมารวิชัย พุทธศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์ ประดิษฐานบนฐานชุกชีสูง ปั้นลายปิดทองคำเปลวประดับกระจกสี พระประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ] (มีต่อ) |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 12 มี.ค. 2009, 01:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
[พระพุทธชินราช(จำลอง) : พุทธศิลป์แบบสุโขทัย ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว สูง ๗ ศอก หล่อด้วยสำริดลงรักปิดทอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงปรารถนาจะได้พระพุทธรูปที่งดงามที่สุด จึงดำริว่าพระพุทธชินราชเป็นพระที่งดงาม ครั้นจะอัญเชิญมาก็เห็นว่าไม่ควรเพราะเป็นพระคู่เมืองพิษณุโลก จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างจำลองถอดแบบแล้วอัญเชิญลงมากรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร กรุงเทพฯ] คนโบราณทำพระโดยยึดหลักกะดูให้ได้สัดส่วน เช่นหน้าตักกว้างเท่าใด สมควรจะมีเศียรใหญ่แค่ไหน อกกว้างขนาดไหน เหล่านี้เป็นต้น แต่ส่วนที่เห็นแปลกพิเศษไปจากลักษณะของมนุษย์ เช่น ใบหูยาน เกศหรือรัศมีที่อยู่บนเศียรและพระยืนมีมือยาวเกินหัวเข่าลงมา ก็เพราะผู้ทำมีจุดประสงค์เพื่อที่จะให้องค์พระพุทธรูปดูแตกต่างไปจากมนุษย์ธรรมดา ฉะนั้น การที่กล่าวข้างต้นว่าพระแบบอู่ทองมีลักษณะเหมือนมนุษย์มากที่สุดนั้นคือ การสร้างไม่ได้เพิ่มเติมอะไรให้แปลกพิเศษมากนั่นเอง [พระพุทธรูปสมัยอู่ทองยุคต้น จำนวน ๓ องค์ พระพุทธรูปองค์กลางมีขนาดใหญ่เรียกว่า “หลวงพ่ออู่ทอง” สันนิษฐานว่าสร้างตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑) อยุธยาตอนต้น ราวปี พ.ศ. ๑๙๑๐ ประดิษฐาน ณ วิหารวัดกระโจมทอง จ.นนทบุรี] ในการบูชาพระหมู่มักนิยมพระกัน ๓ แบบ ซึ่งถือกันเป็นโชคเป็นลาง เช่น แบบอู่ทอง หมายถึงมีความร่ำรวย มีอู่ข้าวอู่น้ำ แบบที่ ๒ คือแบบสุโขทัย หมายถึง ทำให้สุโขสุขีอะไรทำนองนั้น วนแบบที่ ๓ คือแบบเชียงแสนหมายถึงร่ำรวยมีเงินหมื่นเงินแสน อนึ่ง ในปัจจุบันพระพุทธรูป ภปร. ซึ่งเป็นพระปางประทานพรกับพระพุทธชินราช ซึ่งมีลักษณะสวยงามและมีซุ้มเรือนแก้วดูจะเป็นที่นิยมกันมาก พระสำหรับบูชาตามบ้านมีผู้นิยมสร้างกันเป็นพระประจำวันก็มีมาก พระที่จัดไว้เป็นพระประจำวัน คือ วันอาทิตย์ ปางถวายเนตร วันจันทร์ ปางห้ามญาติ วันอังคาร พระนอนไสยาสน์ วันพุธ พระอุ้มบาตร วันพฤหัสบดี พระนั่งสมาธิ วันศุกร์ พระยืนรำพึง วันเสาร์ พระนาคปรก [พระพุทธรูปประจำวันเกิด] ลักษณะของฐานพระมีหลายแบบ เช่นแบบสี่เหลี่ยมและแบบมีลายบัวที่ฐาน แบบของบัว มี ๒ แบบ คือ บัวคว่ำและบัวหงาย แบบที่สองเป็นแบบบัวชั้นเดียว ส่วนลักษณะของรูปร่างบัวยังแยกแยะออกไปอีก เช่นมีลักษณะแบบใบขี้เหล็ก (เหมือนในขี้เหล็ก) ใบมะยม (ใบแหลมเหมือนใบมะยม) และจาวตาล (มีรูปโค้งคล้ายจาวตาล) พระที่จะใช้ฐานแบบใด ใช้บัวอย่างไร ขึ้นอยู่กับความสวยงามตามแบบของพระและผู้สั่งทำ เช่น พระพุทธรูป ภปร. จะใช้บัวแบบใบมะยม แบบสุโขทัย จะใช้ฐานบัวใบขี้เหล็ก แบบรัตนโกสินทร์ บัวเป็นแบบจาวตาล พระอู่ทองและอยุธยาฐานมักจะไม่มีลวดลายอะไร แบบเชียงแสน มีบัวแบบจาวตาลและเป็นบัวชั้นเดียว ส่วนใหญ่แล้วพระยืนจะใช้ฐานบัวชั้นเดียว และพระนาคปรก จะมีบัวชั้นเดียวเช่นเดียวกัน แต่พระพุทธชินราชฐานเป็นฐานสิงห์มีบัว ๒ ชั้น คือบัวคว่ำและบัวหงาย แม้ว่าการหล่อทำพระพุทธรูปจะมีมานาน นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบันก็ตาม ปรากฎว่ามีวิธีการหล่อเพียงบางอย่างที่เปลี่ยนไป วนวิธีการที่สำคัญในการหล่อพระของชาวบ้าน มิได้ก้าวหน้าหรือเปลี่ยนแปลงเลย ความก้าวหน้าทางวิชาการก็มิได้ช่วยให้มีวิธีใหม่เกิดขึ้น จึงชี้ให้เห็นว่าบรรพบุรุษของเราเป็นผู้มีความสามารถอย่างสูงยิ่ง [พระศรีอริยเมตไตรย : ปางมารวิชัย พุทธศิลป์แบบรัตนโกสินทร์ ขนาดหน้าตักกว้าง ๙๒ เซนติเมตร สูง ๑๐๗ เซนติเมตร หล่อสำริดลงรักปิดทอง เป็นการหล่อแบบพระสาวก คือพระเศียรไม่มีเปลวรัศมี ประดิษฐาน ณ วัดไลย จ.ลพบุรี ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่แรกตั้งกรุงศรีอยุธยา] รวบรวมและเรียบเรียงทั้งเนื้อหาและภาพมาจาก : - “หล่อพระ” : ชุดความรู้ไทยอันดับที่ ๔๐๐๓ ขององค์การค้าคุรุสภา โดย วดี กัณหทัต, - http://www.kumpunpra.com/gp8-1-2.htm กิตติกรรมประกาศ : - ขอขอบคุณ “น้องดา” และ “หนูอันนา” ที่ช่วยสแกนภาพ “การหล่อพระ” จากหนังสือดังกล่าวไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยนะคะ |
เจ้าของ: | -dd- [ 17 มี.ค. 2009, 15:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ก า ร ห ล่ อ พ ร ะ |
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิขอรับ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |