วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


กฏกติกา
สำหรับผู้ประกาศแจก
1. รายละเอียดสิ่งของที่จะแจก ไม่ว่าจะเป็นหนังสือธรรมะ หรือซีดี
2. อีเมล์/เบอร์โทร (ถ้าสะดวก) เพื่อการติดต่อ
3. จำนวนของสิ่งของที่จะแจก
4. กำหนดวันเวลาสิ้นสุดการแจกชัดเจน
5. เมื่อสิ้นสุดการแจก กรุณาปิด-ลบกระทู้ หรือแจ้งให้ผู้ดูแลทราบ

สำหรับผู้ขอรับ
1. กรุณาอ่านรายละเอียดข้อตกลงก่อนว่า ต้องลงชื่อขอรับในเว็บบอร์ดนี้ หรืออีเมล์ และเว็บไซต์ของผู้แจก
2. ชื่อ-ที่อยู่ ชัดเจน และเมื่อได้รับแล้ว กรุณาเข้ามาลบ หรือแจ้งผู้ดูแลลบชื่อท่านออก เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง
....



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ย. 2015, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


แม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี มหานทีแห่งศรัทธา

รูปภาพ
เรือจำนวนมากบริเวณริมฝั่งแม่น้ำคงคา เราต้องนั่งเรือออกไปยังกลางแม่น้ำ
เพื่อชมพิธีอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อล้างบาปของชาวฮินดูในประเทศอินเดีย


:b50: :b49: :b50:

ในพระไตรปิฎกก็มีบันทึกไว้ชัดเจนว่า ตลอดชีวิตแห่งความเป็นพระบรมศาสดาของพระโคดมพุทธเจ้านั้น ล้วนแต่เกี่ยวเนื่องอยู่ในบริเวณ “ลุ่มแม่น้ำคงคา” พอสมควร แม้กระทั่งในวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ไปไม่ไกลแม่น้ำคงคาเท่าใดนัก โดยเฉพาะการข้ามแม่น้ำคงคาจากเมืองท่า “ปัฏนะ” ไปสู่ “พระนครไพศาลี (ไวสาลี)” นั้น เป็นรอยประวัติศาสตร์ชัดเจนบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก

“คงคา” เป็น ๑ ในแม่น้ำใหญ่ ๕ สาย ที่เรียกว่า “ปัญจมหานที” ได้แก่ แม่น้ำคงคา ยมุนา มหิ สรภู และอจิรวดี ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวอินเดีย ในสมัยพุทธกาล ณ บริเวณลุ่ม “แม่น้ำคงคา” กับ “แม่น้ำยมุนา” มาบรรจบกันนั้น เป็นอาณาบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่ตั้งของนครและแว่นแคว้นที่สำคัญต่างๆ

“คงคา” แปลตามตัวอักษรได้ว่า “ผู้ไปเร็ว” นับเป็นอารยธรรมแห่งสายน้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีความสำคัญที่สุด และประเสริฐที่สุด เพราะเชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่ไหลมาจากสวรรค์ ต้นน้ำคงคาเกิดบนเทือกเขาหิมาลัยไหลลงมาเบื้องล่าง สูงกว่าระดับน้ำทะเล ๑๓,๘๐๐ ฟุต ณ บริเวณที่เรียกว่า “ภาคีรส”


ในคัมภีร์ปุรณะ กล่าวไว้ว่า น้ำพระคงคาไหลพุ่งออกจาก “โคมุขี” หรือปากวัว ซึ่งถือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นบันไดชั้นแรกที่พระศิวะเสด็จจากบัลลังก์บนยอดเขาไกรลาศ แล้วไหลลงมาตามช่องเขา ลงสู่ที่ลาดสูงแห่งหนึ่งเรียกว่า “คงโคตรี” ที่นั่นถือเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งทางศาสนา มีโบสถ์พราหมณ์ตั้งอยู่หลังหนึ่ง เป็นที่รู้จักกันในหมู่ฮินดู ซึ่งผู้คนมากมายต่างก็อยากไปถึงที่นั่นกันทุกคน

พราหมณ์-ฮินดู เขาเชื่อกันอย่างจริงจังตลอดมานับพันๆ ปีแล้วว่า แม่น้ำคงคาคือหนทางสู่สวรรค์ ดังนั้น สวรรค์ของชาวอินเดียจึงอยู่ที่แม่น้ำคงคาเท่านั้น เพราะเชื่อว่าสามารถล้างบาปให้คนได้ หรือหากจะดื่มกินก็ได้บุญ ยิ่งอาบทุกวันก็ยิ่งได้บุญ แม้แต่คนที่ตายไปแล้ว หากเอาศพโยนลงน้ำก็ดี หรือเอาเถ้าอังคารโปรยลงไปในน้ำก็ดี ก็เชื่อว่าจะได้ขึ้นสวรรค์


ตามริมฝั่งแม่น้ำคงคาจะมีพวกแขกที่เรียกตัวเองว่า “คงคาบุตร” เป็นผู้จัดพิธี และให้คำแนะนำกับคนที่จะมาอาบน้ำ ในวันหนึ่งๆ จะมีผู้คนพากันไปอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อล้างบาปกันเต็มท่าน้ำไปหมด โดยเฉพาะท่าอัศวเมธ เมืองพาราณสี ยิ่งหากเป็นวันเพ็ญเดือนสิบสอง (หรือวันลอยกระทง) ด้วยแล้ว ชาวฮินดูจากทั่วทุกสารทิศนับแสนคนจะพากันมุ่งหน้าสู่เมืองพาราณสี เพียงเพื่อจะทำพิธีอาบน้ำล้างบาปที่แม่น้ำคงคา แม่น้ำสายศักดิ์สิทธิ์ของอินเดีย อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ชาวฮินดูทุกคนล้วนปรารถนาจะมาตายและได้เผาศพที่นี่

บางคนรู้ตัวว่าใกล้ตายก็จะให้ลูกหลานพามารอที่นี่เลย เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองได้มาตายที่พาราณสี ซึ่งใกล้กับท่าน้ำจะมี “เรือนนอนตาย” เตรียมเอาไว้สำหรับคนอนาถาและคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย จึงมาพักเพื่อรอตายและจะได้ง่ายต่อการเผา อันมีที่มาจากศรัทธาและความเชื่อที่ว่าจะได้ไปสู่ภพชาติที่ดีกว่า บาปจะได้รับการชำระเสียแต่ชาตินี้ ดังนั้น เมื่อใกล้เวลาจะสิ้นอายุขัย ชาวอินเดียจึงปรารถนาว่าอยากจะมาตายริมฝั่งแม่น้ำคงคา

ในเมืองพาราณสีจะมีที่เผาศพจุดใหญ่ๆ ๓ จุด สังเกตอย่างง่ายๆ ว่า จุดที่เผาศพจะมีฟืนกองเรียงรายตามริมฝั่งเพื่อใช้สำหรับเผา “ดูศพให้สังเกตที่ผ้าห่อศพ หากศพที่ห่อผ้าสีพื้นเป็นศพผู้ชาย แต่ถ้าผ้าห่อศพเป็นลายดอกไม้หรือสีสันอื่นๆ ที่งดงามลานตามักจะเป็นศพผู้หญิง”

ลักษณะศพจะถูกห่อหุ้มด้วยผ้าและผูกติดกับแคร่ไม้ไผ่ เป็นแคร่ที่ใช้หามศพมายังที่เผา พิธีเผาศพของพวกฮินดูก็แสนจะเรียบง่าย ใช้ฟืนกองขึ้นเป็นเชิงตะกอน เอาศพจุ่มในแม่น้ำคงคาเป็นการชำระบาป จากนั้นนำศพขึ้นมาวางบนเชิงตะกอนแล้วจุดไฟเผา พอมอดก็กวาดเถ้าลงแม่น้ำคงคา เป็นอันว่าเสร็จพิธี

ณ จุดที่เผาศพริมฝั่งแม่น้ำคงคา จะมีศพถูกนำมาเผาวันละประมาณ ๘๐-๑๐๐ ศพ หากเป็นคนจนก็มีเงินในการซื้อฟืนน้อย แต่ถ้าเป็นพราหมณ์หรือเป็นคนรวยจะซื้อฟืนมากกว่า ทำให้ฟืนเป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกสถานะของผู้ตาย แต่ถ้าหากว่าเป็นคนยากจนมากๆ ไม่มีเงินจะซื้อฟืน พระพรหมทรงอนุญาตให้ไปสวรรค์ทั้งตัว คือเอาศพโยนลงไปในแม่น้ำให้ลอยไป เพราะสักพักก็จะมีฝูงอีแร้งบินมาแย่งกิน รวมทั้ง ฝูงปลามาดูดเนื้อหนังและเลือดไปเป็นอาหาร ไม่นานร่างกายก็จะเหลือแต่กระดูก และจมลงไปในแม่น้ำอันเป็นสายธารสู่สวรรค์


ชาวฮินดูเมื่อมาถึงเมืองพาราณสี นอกจากจะมาทำปัจเจกพิธีที่แม่น้ำคงคาแล้ว มีความเชื่อกันว่า จะต้องไปนมัสการสถานที่สำคัญริมแม่น้ำ เรียกว่า “ปัญจตีรถะ” หรือท่าน้ำทั้ง ๕ คือ ท่าอัสสี ท่าทศอัศวเมธ ท่าปัญจคงคา ท่ามณิกรรณิกา และท่าอธิเกศวร ซึ่งเป็นความเชื่อคล้ายกันกับชาวพุทธเราที่ว่า เมื่อมาอินเดียต้องมานมัสการพุทธสังเวชนียสถานครบทั้ง ๔ แห่งให้ได้

ทว่าสำหรับพุทธศาสนิกชนคนไทย เมื่อไปแสวงบุญที่อินเดียแล้ว จะต้องมีหนึ่งวันที่ต้องเดินทางไปยังแม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี เนื่องจากพาราณสีเป็นเมืองที่มีท่าน้ำลงสู่แม่น้ำคงคามากที่สุด โดยมักจะล่องเรือไปกลางแม่น้ำคงคาตอนเช้ามืด เพื่อประกอบพิธีลอยประทีปและดอกไม้เพื่อขอขมาพระแม่คงคา


อย่าได้แปลกใจ...หากว่าเดินเท้าเข้าไปถึงท่าน้ำ แล้วจะต้องพบกับผู้คนชาวอินเดียจำนวนมาก ที่มาประกอบภารกิจแตกต่างหลากหลาย อันสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของตนตั้งแต่เกิดจนตาย ณ แม่น้ำคงคาแห่งนี้ มีทั้งขอทาน พวกที่มาเผาศพ ฤาษีนักบวชมานั่งสวดมนต์ทำท่าทางแปลกๆ

พลันที่แสงสุริยาเริ่มพ้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออก จะได้ยินเสียงเคาะระฆัง สั่นกระดิ่งเสียงดังกังวาน อันเป็นสัญญาณที่ส่งผ่านไปยังผู้คนที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำ ให้เดินลงหรือกระโจนลงสู่ผืนน้ำ ทั้งอาบ ทั้งดื่ม และบรรจุลงภาชนะ นำกลับไปให้ญาติมิตรที่บ้านอีกด้วย

ชาวฮินดูส่วนใหญ่ในหนึ่งวันจะอาบน้ำเพียงหนเดียวคือในยามเช้า โดยเฉพาะผู้คนที่อยู่แถบริมแม่น้ำคงคา การอาบน้ำในยามเช้าของคนอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู มีเหตุผลสองประการ คือ

๑. เป็นการชำระร่างกายอันเป็นกิจประจำ สำหรับการทำความสะอาดภายนอก หากยังถือเป็นน้ำที่ “แม่” หรือ “มาตา” อันหมายถึงพระแม่คงคาประทานให้อาบและดื่ม ถือเป็นการล้างบาปไปด้วยในตัว

๒. การอาบในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น เป็นการขอพรและบูชาพระสุริยเทพต่อการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน


:b44: เมืองพาราณสี นั้นจะแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนตามฝั่งแม่น้ำคงคา กล่าวคือ

ฝั่งหนึ่งนั้นเชื่อว่าเป็นฝั่งสวรรค์ จะมีผู้คนอาศัยสร้างตึกรามบ้านช่องอยู่ติดแม่น้ำ ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นพระราชวังของพระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสีเอง รวมถึงพระราชวังของราชาต่างเมืองอีกหลายองค์ที่มาสร้างปราสาทไว้ริมฝั่งแม่น้ำคงคาฝั่งสวรรค์ เฉกเช่นเดียวกับผู้คนทั่วไปจำนวนมากที่อยากจะมาเกิด มาอยู่ มาตายที่ฝั่งนี้ เพราะเชื่อว่าจะได้ไปสวรรค์

ส่วนอีกฝั่งนั้นเมื่อมองไปไกลๆ จะเห็นแต่ความมืดมิด แม้จะมีแสงสว่างแต่ก็ยังมองไปไม่เห็นฝั่ง ตามความเชื่อนั้นถือว่าเป็นฝั่งนรก
จึงไม่มีใครกล้าไปอยู่ จะมีก็แต่ฝูงอีแร้งและหมาจิ้งจอกเท่านั้น


แม่น้ำคงคาตรงเมืองพาราณสีนี้ ไหลกลับขึ้นไปทางทิศเหนือ นับว่าแปลกกว่าที่อื่นๆ ในคัมภีมหาภารตะ จึงสร้างความสำคัญขึ้นว่า ตรงนี้เป็นที่ซึ่งเทวโลก มนุสสโลก ยมโลก มาพบกัน ผู้ใดมาอดอาหารที่นี่หนึ่งเดือน และอาบน้ำตรงนี้ ผู้นั้นจะมองเห็นเทวดาทั้งหลาย

วิถีชีวิตของชนชาวพื้นเมือง ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคาแห่งนี้ ได้สะท้อนให้เห็น “วิถีแห่งวัฒนธรรม” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัฒนธรรมแบบฮินดูที่ฝังรากลึกมากว่าสามพันปี ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเมืองนี้ พาราณสีได้ชื่อว่า เป็นเมืองที่มีหลักความเชื่อและแนวคิดของศาสนาฮินดูฝังรากลึกมากที่สุดกว่าทุกๆ เมืองในอินเดีย และมีวัฒนธรรมและอารยธรรมทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุด การมาเยือนพาราณสี จึงทำให้สัมผัสถึงเรื่องความตายได้อย่างเข้าใจในธรรมมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น คนอินเดียจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่อยู่กับธรรมชาติ และละวางต่อวาระแห่งความตายได้ดียิ่ง เป็นที่รู้กันว่า “ความตาย” หรือ “การตาย” เป็นเรื่องปกติธรรมของชาวฮินดู เพราะเหนือความตายเป็นการก้าวสู่ชีวิตใหม่ เป็นไปตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าที่คนฮินดูนับถือกราบไหว้

จะว่าไปก็คล้ายกับหลักธรรมของทางพุทธเราเหมือนกัน ในการระลึกถึงความตาย มีคำหนึ่งในทางพุทธศาสนา คือ “มรณานุสติ” ได้แก่ การระลึกถึงเรื่องความตาย ว่าเป็นสิ่งที่คนเราหลีกหนีไม่พ้น ดังนั้น จะมัวทุกข์กับความตายไปใย เมื่อรู้อยู่แล้วว่าสักวันไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องตาย และมิอาจจะแบกเอาทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศใดๆ ไปด้วยได้

เมื่อตายไปก็ต้องทิ้งทุกสิ่งไว้ในโลก มีเพียงสิ่งเดียวที่จะติดตัวไปได้ก็คือคุณงามความดี ที่จะเป็นวีซ่าไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้า และให้คนที่ยังอยู่ได้ระลึกถึงบ้าง แล้วเหตุใดยังมัว “หลง” หรือ “ยึดติด” ทรัพย์สมบัติในโลก อันเป็นของอนิจจังนั้นไปเพื่ออะไร การที่เรารู้จักการยกมรณาขึ้นมาพิจารณาอยู่เสมอ จะส่งผลให้จิตของเราเข้าใจปรากฏการณ์อันเป็นธรรมชาตินี้ และสามารถปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนลงได้ในที่สุด ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้จึงควรนำหลักธรรมแห่งความตายมาใช้สอนตนอยู่เสมอว่า

“มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต”
เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
(อภิณหปัจจเวกขณ์)


:b39: อภิณ๎หปัจจเวกขณปาฐะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=20653

รูปภาพ
พิธีบูชาแม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี

รูปภาพ

รูปภาพ
ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี มหานทีแห่งศรัทธา

รูปภาพ
แม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี ยามอรุณรุ่ง

รูปภาพ
แม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี (จุดที่กว้างที่สุด)

รูปภาพ
ฤาษี ณ แม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี

:b45: :b45:

ปรับปรุงเพิ่มเติมจากบทความ “คงคา” มหานทีแห่งศรัทธา
โดย อาจารย์กานต์ จอมอินตา
ผู้อำนวยการโครงการธรรมาภิวัตน์ สถานีโทรทัศน์ ASTV
จาก...นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ ๑๖๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ :b8: :b8: :b8:


:b50: :b49: :b50:

:b47: :b47: พุทธสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล
: สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39377


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2015, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 05:25
โพสต์: 621


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2017, 22:31 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2018, 07:47 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27: :b8:
คงคา แม่น้ำสายศรัทธาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร