วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2022, 07:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
คัดมาจาก :
โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๑๐
ดร.ปฐม-รศ.ภัทรา นิคมานนท์, ธันวาคม ๒๕๔๘
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๑๔ อานาปานสติ
หน้า ๖๐๗-๖๑๔


รูปภาพ

อานาปานสติ
พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
เทศนา ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๒
⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱

ได้แสดงถึงเรื่อง กายคตาสติ เมื่อวันพระที่แล้ว
วันนี้จะแสดงเรื่อง อานาปานสติ สืบต่อไป

ที่จริง อานาปานสติ ก็ดี มรณสติ ก็ดี มันก็เป็น กายคตาสติ นั่นเอง
คือเกี่ยวเนื่องถึงร่างกาย แต่ท่านอธิบายแยกออกไป
พวกเราพากันหลงต่างหาก จึงได้ว่าหลงของเก่า
รวบรวมเอาคำสอนของท่านไม่ได้

เอาเถิด ถึงอย่างไรก็ดีเมื่อแสดง อนุสสติ ๑๐ แล้ว
ก็จะแสดงโดยลำดับไปเพื่อมิให้ขาดตอนกัน

อานาปานสติ เป็นอนุสสติที่ ๙ ที่ท่านได้แสดงไว้ในตำราว่า
ให้พิจารณาหายใจเข้านับหนึ่ง หายใจออกนับเป็นสอง
อยู่อย่างนี้เรื่อยไป จนกว่าจิตจะรวมสงบลงได้ เรียกว่า อานาปานสติ

ถ้าจิตยังไม่สงบลงก็ให้พิจารณาอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป
เมื่อจิตสงบสู่ภวังค์แล้ว จะวางคำบริกรรมที่ว่า
ลมหายใจเข้า หนึ่ง ลมหายใจออก นับเป็นสองนั้นเสีย
จะคงเหลือแต่ความสงบสุขนั้นอย่างเดียว

แท้ที่จริงลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
เป็นแต่เพียงคำบริกรรมเพื่อให้จิตรวมเข้ามาเป็นหนึ่งเท่านั้น
เปรียบเหมือนกับเหยื่อล่อปลาให้มากินเบ็ดเท่านั้นเอง
เมื่อปลากินเบ็ดแล้ว เหยื่อนั้นเขาไม่ต้องการอีก เขาต้องการเอาปลาต่างหาก

อันนี้ก็ฉันนั้น เราต้องการให้จิตสงบนิ่งต่างหาก
เมื่อจิตสงบไม่แส่ส่ายแล้วก็ไม่ต้องบริกรรมต่อไป


เป็นที่น่าสังเกตว่าบางคนภาวนาอานาปานสติ จนจิตมันอยากจะสงบนิ่งอยู่แล้ว
แต่อาจารย์สอนไม่ให้วางคำบริกรรม
เมื่อจิตรวมลงไปสู่ภวังค์ ลืมคำบริกรรมหมด
อาจารย์กลับบอกว่าผิดใช้ไม่ได้ นับเป็นความเข้าใจผิดของอาจารย์ต่างหาก
การภาวนาต้องการให้จิตรวมเป็นหนึ่ง เมื่อรวมเป็นหนึ่งแล้ว
สิ่งอื่นๆ ที่เป็นอารมณ์ของจิตมันก็วางหมด อย่าไปว่าแต่คำบริกรรมเลย
ที่สุดแม้แต่ลมหายใจก็ไม่ปรากฏที่นั่น และตัวของเราเองก็ไม่ปรากฏ

นี่คือจิตเป็นสมาธิ อย่างนี้จึงชื่อว่าภาวนาเป็นไปได้

คำที่ใช้สำหรับบริกรรมมีมาก เข่น อสุภ ๑๐ กสิณ ๑๐ เป็นต้น
แต่ในที่นี้จะแสดงอนุสสติ ๑๐ เท่านั้น

เพราะคำบริกรรมเป็นแต่เพียงเครื่องที่นำจิตหรือผูกจิตไว้ไม่ให้ส่งส่าย
เมื่อจิตรวมลงเข้ามาเป็นสมาธิแล้ว ก็วางอารมณ์อื่นหมด
ถึงเราไม่วางก็จำเป็นต้องวางเองตามครรลองของจิต

เมื่อถึงตรงนั้นแล้วตั้งสติมากำหนด เอาแต่จิต คือผู้รู้ อย่างเดียว
เช่นนี้แหละเรียกว่า สมาธิ

จึงน่าเสียดายที่ไม่ได้ตามสมาธิลงไปว่าใครเป็นผู้รู้ว่าสมาธิ คือความสงบ
หรือใครสงบอยู่ ณ ที่ใด ใครเป็นผู้พูดว่าสงบ และผู้ว่านั้นอยู่ที่ไหน
ใครเป็นผู้ว่าไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทำไมจึงมีผู้พูดอยู่
ตรงนี้แหละจะเห็นของจริงของแท้ในการที่เรามาหัดภาวนาสมาธิ

บางคนยังเอาแสงสว่าง หรือรูปภาพอะไรต่างๆ
เป็นต้นว่า รูปพระพุทธรูป หรือรูปกสิณต่างๆ มาเป็นอารมณ์
จิตปล่อยวางไม่ได้ จะอยู่ในอิริยาบถไหนก็ปรากฏอยู่อย่างนั้น ไม่ลืม

นั่นเป็นมโนภาพ จิตเพ่งอย่างนั้นเมื่อจิตรวมลงไปก็เกิดภาพเช่นนั้น
จิตถึงไม่พ้นจากภาพนั้น

ถ้าหากกำหนดเอาผู้เห็นภาพนั้นคือจิต แล้วปล่อยวางภาพนั้นเสีย
ก็จะเห็นจิตของตน แล้วสมาธิก็จะสูงขึ้นกว่าเก่า


มีเรื่องท่านเล่าไว้ว่าพระรูปหนึ่งไปนั่งภาวนาทำสมาธิอยู่ริมสระแห่งหนึ่ง
เห็นนกยางโฉบกินปลา เลยเอามาเป็นอารมณ์กัมมัฏฐานว่า
นกยางกินปลา นกยางกินปลาๆ อยู่ดังนี้
จนจิตรวมเป็นสมาธิ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

ดังนั้น จึงว่าการหัดสมาธินี้ ไม่จำเป็นจะต้องให้เอาคำบริกรรม
แต่ในขอบเขตที่ท่านว่าไว้ ๔๐ อย่างเท่านั้น จะเอาอะไรๆ ก็ได้
ขอแต่อย่าให้ออกนอกไปจากกายของตัวเรา ก็ใช้ได้เหมือนกัน


กายของเรานี้มีธรรมอยู่พร้อมเบ็ดเสร็จทุกอย่าง
จะพิจารณาให้เห็นอสุภก็ได้ ให้เป็นกรรมฐานอะไรๆ ได้หมด
และเป็นที่ตั้งทั้งสมถะและวิปัสสนาด้วย

จะพิจารณาให้เห็นโทษเห็นทุกข์
เห็นเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ก็ได้
อย่าไปทิ้งกายอันนี้ก็แล้วกัน จะทิ้งไม่ได้
เพราะเราเกิดขึ้นมาได้ตัวตนมาแล้วจะไปทิ้งให้ใคร จะทิ้งไว้ที่ไหน
ไปฝากใครไว้ จะขายให้ใคร ถึงขายตัวของเราไปมันก็อยู่ที่นี่แหละ
จะฝากคนอื่นไว้ก็ยังเป็นตัวตนของเราอย่างเดิมนี่แหละ
ต้องเลี้ยงดูปูเสื่อตัวของเราเองอยู่ทุกประการ

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงจำเป็นที่สุดที่จะต้องยกกายนี้ขึ้นมาพิจารณา
ผู้ต้องการเห็นทุกข์โทษในวัฏสงสาร
ต้องยกกายนี้ขึ้นมาพิจารณาเพราะเป็นของมีอยู่

กรรมฐานทั้งปวงหมดล้วนมีอยู่ในกายนี้ทั้งนั้น
เลือกยกเอามาพิจารณา ไม่ใช่ไปเอาของไม่มีมาพิจารณา


พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้อริยสัจธรรม ก็ทรงรู้ของมีอยู่ทั้งนั้น
ถ้าเป็นของไม่มี ไม่จริง พระพุทธองค์ก็จะไม่ได้ตรัสรู้

มันเป็นอยู่อย่างไร ก็ให้รู้ตามเป็นจริงของมันอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าทรงสอนตรงนี้
ทรงสอนให้เห็นจริงทั้งด้วยตาและด้วยใจ


เช่น ตัวของเรานี้เกิดขึ้นมาแล้วเป็นทุกข์
ใครๆ ก็เห็นว่าเป็นทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใครก็เห็นเป็นทุกข์ทั้งนั้น
ถามใครใครก็รู้ เจ้าของเราก็รู้ ใจก็รู้ ตาก็เห็น นั้นเรียกว่าของจริง

ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ
ชาติ ชรา มรณะ เป็นทุกข์ทั้งนั้น


เมื่อเห็นเป็นโทษเป็นทุกข์เราจะไปทิ้งให้ใคร
ทิ้งก็ไม่ได้ จึงเอามาพิจารณาอยู่อย่างนั้นแหละ

นั่นเป็นของจริงของพระอริยเจ้า เรากลับไปเบื่อหน่าย ไปรังเกียจเสีย
เห็นทุกข์แล้วเลยอยากทิ้งไปเสีย อันนั้นผิด

หรือเกิดทุกข์โทมนัสคับแค้นในใจ นั้นก็ผิดเหมือนกัน

ธรรมทั้งหลายมันอยู่ตรงนี้เอง จึงพิจารณาให้เห็นทุกข์ รู้จักทุกข์

ทุกข์อันนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป
ทุกข์อันอื่นมันจะเกิดขึ้นใหม่ต่อไปอีก มันเปลี่ยนแปลงยักย้ายไปมาเรื่อยๆ
เช่น ทุกข์ในอิริยาบทต่างๆ การอยู่ การกิน การทำมาหาเลี้ยงชีพ
มีกินแล้วก็สบายไปได้ระยะหนึ่ง ประเดี๋ยวก็หิวโหยมาอีก

รู้จักรสชาติเอร็ดอร่อย รสชาตินั้นซึมซาบทั่วสรรพางค์กาย
มีความสบายเบิกบานไปพักหนึ่ง ประเดี๋ยวก็ต้องไปถ่ายทุกข์
เขาเรียกว่า ถ่ายทุกข์
เพราะถ้าไม่ถ่ายมันเป็นทุกข์จริงๆ ทุกข์มากยิ่งกว่าเก่า

กำลังถ่ายอยู่นั้นมันเหม็นแสนเหม็นก็จำเป็นต้องทน
กว่าจะเสร็จธุรกิจจึงจะไปได้

เวลากินล้วนแล้วแต่ของดิบของดีๆ มีราคามาก
เรียกร้องพวกเพื่อนมารับประทานด้วยกัน ด้วยความหรรษาร่าเริง
เวลาถ่ายเงียบฉี่ไม่มีใครเห็นด้วย

จึงว่ามีสุขแล้วก็เป็นทุกข์ เป็น อนิจจัง ของไม่เที่ยง
เพราะเป็นของไม่เที่ยงนั่นแหละมันจึงเป็นทุกข์

การเป็นทุกข์มันเป็นของใครเล่าคราวนี้ ?

สุขก็ไม่ใช่ของใคร มันเกิดขึ้นประเดี๋ยวประด๋าว แล้วมันก็หายไป
เดี๋ยวทุกข์อื่นเกิดขึ้นมาอีกแล้วมันก็หายไป

มันไม่ใช่ของใครทั้งหมด
มันเป็นของประจำกายอยู่อย่างนั้น
จึงว่าเป็น อนัตตา

อนัตตา เป็นของมีอยู่เห็นอยู่เดี๋ยวนี้แหละ แต่เป็นของไม่มีสาระ

อานาปานสติ นั้น เมื่ออธิบายแล้วจะเห็นว่ามันลงที่กายคตาสตินั่นเอง
กายคตาสติ ก็รวมลงมรณสติ เลยเป็นอันเดียวกัน

ถ้าไม่มีกายจะพิจารณาลมหายใจได้อย่างไร
แล้วพิจารณากายได้อย่างไร

เมื่อจะพิจารณาอันใดอันหนึ่งแล้ว
มันเกี่ยวเนื่องถึงกันไปหมดทั้ง ๓ อย่าง


ผู้ที่หลงทางกัมมัฏฐานเลยจับอะไรก็ไม่ถูก

มีเรื่องน่าขบขันอยู่เรื่องหนึ่ง มีพระมหารูปหนึ่ง
ทางเจ้าคณะเขาสั่งไปให้เที่ยวอบรมสั่งสอนศีลธรรมตามหมู่บ้านต่างๆ
ที่เรียกว่า พระธรรมทูต นั่นเอง

เมื่อไปถึงหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งเขาปฏิบัติพระนักปฏิบัติอยู่แล้ว
พอค่ำมาเขาก็ตีกลองให้คนมาฟังเทศน์
เมื่อเขามารวมกันแล้ว พระมหาองค์นั้นก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์

เทศน์ไปแกก็ติเตียนพระนักปฏิบัติไป
หมายถึงพระกรรมฐานรูปที่ชาวบ้านเขาปฏิบัติท่านอยู่นั่นเอง
หัวเราะเฮฮาเย้ยหยันไปในตัว
อันแสดงถึงเรื่องชาวบ้านปฏิบัติตามพระเหล่านั้นเห็นเป็นหลงงมงาย

มีผู้หญิงคนหนึ่ง วัยกลางคน นั่งอยู่ในที่ปะชุมนั้นด้วย
แกแสนที่จะอดกลั้นต่อไปได้ สงสัยว่าทำไมพระจึงมาใส่โทษกันในที่ประชุมเช่นนี้
พระรูปที่ท่านพูดถึงนั้นก็ไม่ได้ทำผิดพระธรรมวินัยอะไร
แล้วท่านก็ไม่ได้อยู่ในที่นั้นอีกด้วย

แกจึงย้อนถามทั้งๆ ที่พระมหารูปนั้นยังเทศน์อยู่บนธรรมาสน์นั้นเอง
ว่า “ดิฉันขอถามท่านมหาหน่อย ท่านมหามิใช่กรรมฐานหรอกหรือ ?”

ท่านมหาตอบอย่างไม่มีอายว่า “อาตมามิใช่พระกรรมฐาน”

หญิงคนนั้นจึงย้อนถามอีกว่า
“เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ของท่านมหามีไหม ?”

ท่านตอบเสียงอ่อยๆ ว่า “มี”

หญิงคนนั้นจึงบอกว่า “นั่นแหละพระกรรมฐานที่ท่านใส่โทษอยู่ประเดี๋ยวนี้
อุปัชฌาย์ของท่านมหาสอนแล้ว แต่เมื่อบวชครั้งแรกโน้นมิใช่หรือ ?”

ท่านมหาลงจากธรรมาสน์แล้วเปิดหนีแต่เช้ามืด ทีหลังมาได้ข่าวว่าสึกแล้ว

มิน่าล่ะถึงเป็นพระมหาแล้วยังต้องให้ผู้หญิงบอกสอนกรรมฐาน
สึกเสียก็ดี อยู่ไปก็เลอะเทอะ ทำพระศาสนาให้เสื่อมเปล่าๆ


ใครจะพิจารณาอานาปานสติหรืออะไรก็แล้วแต่อุปนิสัย
ขอให้จิตรวมลงเป็นหนึ่งได้แล้วก็เป็นอันดีด้วยกันทั้งนั้น
ถ้าจิตไม่รวมจะใช้วิธีอะไรก็ไม่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น
กรรมฐานที่ท่านว่าไว้มากมาย
หรือธรรมทั้งหลายที่ท่านเทศนากว้างขวางนั้น
ก็เพื่อสำรวมจิตนี้เท่านั้นเอง


เทศนามาก็สมควรแก่กาลเวลา เอวํ ฯ


(นั่งสมาธิ)
หลวงปู่อบรมนำก่อน

นั่งสมาธิภาวนากันเถิด ฟังมากๆ เรียนมากๆ ทำให้เกิดสัญญา

สัญญา คือความจำของเก่าที่ล่วงเลยมาแล้ว
เราทำสมาธิเพราะต้องการลบล้างสัญญา

แท้จริงสัญญามันก็ดีอยู่เหมือนกัน เอาไว้เล่าเอาไว้เทศนาให้คนอื่นฟัง
ถ้าไม่มีสัญญาก็ไม่ทราบว่าจะไปฟังอะไรกับใคร
พุทธศาสนาก็เลยเสื่อมสูญไปหมด

แต่สัญญามิใช่ของเป็นจริงที่เกิดขึ้นภายในใจของตน
สัญญานี้อยู่ไปนานๆ หนักเข้ามันชักจะดื้อด้าน
ไม่ยอมเชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า

พระองค์ทรงสอนให้ภาวนาอานาปานสติ
ซึ่งเป็นอุบายให้ลบล้างสัญญาได้อย่างหนึ่งเหมือนกัน
คือใช้คำว่า อานาปานสติๆ อย่างนี้เรื่อยไป
พิจารณาลมหายใจออก หายใจเข้า เป็นอารมณ์
ให้จิตแน่วแน่อยู่เฉพาะที่ลมนั้นเท่านั้น


เมื่อพิจารณารวมอยู่ในที่เดียวแล้ว คราวนี้ให้วางลมอันนั้นเสีย
จิตก็จะว่างอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรปรากฏอยู่ในที่นั้น จะเหลืออยู่แต่ผู้รู้เท่านั้น

เมื่อตามเข้าไปดูผู้รู้จริงๆ แล้ว
ผู้รู้อันนั้นก็จะหายไปเป็นสภาวธรรม

สิ่งทั้งปวงหมดที่มีอยู่ในโลกนี้
ที่โลกเขาสมมุติว่าสัตว์ บุคคล ว่าสิ่งของนั่นนี่ต่างๆ นั้น
ก็หายไปหมด จะยังเหลือแต่สภาวธรรมเท่านั้น

อันนี้แหละเป็นสิ่งที่ปรารถนาของผู้ภาวนาอานาปานสติ

แล้วมันมีประโยชน์อะไร เมื่อมันหมดเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
แม้แต่ความรู้ความสุขนั้นก็ไม่ปรากฏ ?

มันมีประโยชน์เหลือที่จะคณนาดังอธิบายมาแล้วข้างต้น

ภาวนาอานาปานสติก็เพื่อลบล้างสัญญาอดีต และสังขารในอนาคต
เพราะสิ่งที่ล่วงลับไปแล้วและสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเหล่านี้
เป็นเหตุนำทุกข์มาให้ สัญญาไปยึดเอามาเป็นทุกข์

คนเราเกิดมาเห็นแต่สิ่งแวดล้อมต่างๆ นานา
สิ่งที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ไม่เคยเห็น
เลยไปถือเอาแต่สิ่งเหล่านั้นและว่าเป็นความสุขที่แท้จริง

แท้จริงสิ่งที่เป็นวัตถุ รูปนามเกิดขึ้นมาแล้ว
สิ่งนั้นย่อมมีความกระทบกระเทือนเป็นธรรมดา
เครื่องกระทบกระเทือนเป็นเหตุนำมาซึ่งโทษทุกข์
เพราะกระทบต้องมีทั้งดีและชั่ว นี้เป็นพื้นฐานของทุกข์ทั้งปวง

ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายรู้จักแล้วซึ่งสิ่งนั้น จึงพยายามละสิ่งที่มีอยู่นี้ให้สิ้นไป
และพยายามไม่ให้สิ่งที่ยังไม่มีเกิดขึ้นอีกต่อไป


⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱

:b44: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=35963

:b44: รวมคำสอน “หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43000

:b44: ประมวลภาพ “หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี” วัดหินหมากเป้ง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=42782


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร