ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ฟังดีมีปัญญา (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=57307
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  Hanako [ 13 มี.ค. 2019, 07:57 ]
หัวข้อกระทู้:  ฟังดีมีปัญญา (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)

รูปภาพ

พระอาจารย์สิม พุทฺธาจาโร
วัดถ้ำผาปล่อง
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่


:b44: รวมคำสอนและประวัติ “หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=42673


นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ณ โอกาสนี้เป็นต้นไป เป็นโอกาสอันดีที่เราท่านทั้งหลายจะได้ฟังธรรม การฟังธรรมนี้ผู้ใดฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา ในขณะที่เรานั่งฟังธรรมก็ให้เป็นการปฏิบัติบูชาไปด้วย การปฏิบัติการนั่งภาวนา การทำใจให้สงบระงับมีมาตั้งแต่พระพุทธเจ้า เมื่อสมัยพระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์นั่งภาวนาใต้ร่มไม้โพธิ์ ผินหลังให้ต้นไม้โพธิ์ ผินหน้าไปทางทิศตะวันออก พระองค์นั่งขัดสมาธิเพชร คือพระองค์เอาขาซ้ายขึ้นมาทับขาขวาก่อนแล้วก็เอาขาขวาขึ้นมาทับขาซ้าย เอามือข้างขวาวางทับมือข้างซ้าย ตั้งกายของพระองค์ให้เที่ยงตรง พระองค์ก็ตั้งสัจจะอธิษฐานลงไปว่า การนั่งสมาธิภาวนาครั้งนี้จะไม่ลุกไปมาในที่ใดๆ เว้นเสียแต่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงจะลุกไปมาแสวงหาอาหารและบิณฑบาตมาเลี้ยงชีพเพื่อที่จะรื้อขนสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ภัยไปสู่นิพพาน ถ้าหากว่าการนั่งสมาธิใต้ร่มไม้นี้ไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็จะเอาที่นี้เป็นที่ตาย แม้เลือดเนื้อเชื้อไขจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ตามที พระองค์จะไม่ลุกไปมาในที่ใดๆ เป็นอันขาด

เมื่อพระองค์ตั้งสัจจะอธิษฐานใจลงไปแล้ว พระองค์ก็เลือกคำบริกรรมภาวนาของพระองค์เองว่าจะเอาอุบายใดมาภาวนา พระองค์ก็เอาลมหายใจเข้า ลมหายใจออกมาภาวนา คือพระองค์ตั้งใจรักษาจิตใจให้อยู่ในลมหายใจเข้าลมหายใจออก ลมเข้าไปก็รู้ว่านี่เป็นลมเข้าไป ลมออกมาก็รู้ว่านี้เป็นลมออกมา เมื่อพระองค์กำหนดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา รวบรวมกำลังจิตกำลังใจของพระองค์ให้มีความสงบตั้งมั่น ไม่หลงใหลไปตามอารมณ์อดีตอนาคต เรื่องราวภายนอกไม่ให้จิตใจพระองค์ไปเกี่ยวเกาะกังวล

พระองค์กำหนดลมหายใจเข้าออกจนกระทั่งจิตใจสงบระงับ มีความสลดสังเวชในมรณกรรมฐาน คือว่าชีวิตของคนเรานั้นเหลืออยู่แค่ลมหายใจเข้าลมหายใจออกเท่านั้นเอง ถ้าลมหายใจเข้าไปแล้วติดขัด หายใจออกมาไม่ได้ก็ตาย ลมหายใจออกไปแล้วสูดเข้ามาไม่ได้ก็ตาย มรณํ เม ภวิสฺสติ พระองค์เตือนจิตใจของพระองค์ว่า มรณภัย คือความตายนั้น ไม่มีใครข้ามพ้นไปได้ เมื่อพระองค์กำหนดอานาปาฯลมหายใจ จิตใจของพระองค์ก็สงบระงับตั้งมั่นเป็นสมาธิภาวนา เป็นสมาธิอย่างต่ำ เป็นสมาธิอย่างกลาง เป็นสมาธิอย่างสูงสุด

เมื่อพระองค์มีจิตใจอันตั้งมั่นดีแล้วพระองค์ก็กำหนดนามรูปกายใจ ตัวตนสัตว์บุคคลทั้งเราเขาว่า นามรูปํ อนิจจํ นามและรูปนี้ไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นแล้วก็มีความเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่เสมอ พระองค์ก็กำหนดดู นามรูปํ ทุกขํ นามและรูปกายใจนี้พระองค์กำหนดว่า เต็มไปด้วยความทุกข์ในร่างกายสังขาร มีความเจ็บไข้ได้ป่วย พยาธิโรคาบังเกิดมีขึ้นได้ทุกเวลา กายใจนี้เต็มไปด้วยกองทุกข์



(มีต่อค่ะ)

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/