วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 21:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2015, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย



ก็อย่างที่ว่านั่นแหละเมื่อมันละ “ความถือตัวถือตน” ลงได้อย่างนี้
มันก็ไม่ทำบาปแล้วบาดนี่ เอ้า จะใช้ขันธ์ห้านี้ไปทำบาป
ไปฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม กล่าวมุสาวาท
ดื่มสุเราเมรัย กัญชา ยาฝิ่น เฮโรอีน ทำไมเล่า
เพราะว่า ธาตุสี่ขันธ์ห้านี่มันไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนอะไรนี่

เกิดมาแล้วก็มีแต่แปรปรวนแตกดับไป

แล้วเมื่อขันธ์ห้านี้ไปทำบาปลงไปแล้ว
ผู้เสวยผลของบาปคือ ความทุกข์นั้น ได้แก่ “ดวงจิต”
ขันธ์ห้ามันไม่ได้เสวยผลแห่งบาปกรรมอะไร

แล้วอยากให้พิจารณาดูซิ..นั่นแหละ
นี่เป็น “คุณธรรมของพระโสดาบัน”
พระโสดาบันท่านรู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้แล้ว
ท่านจึงละบาปห้าประการนั้นได้เด็ดขาดไปเลย
แต่ก็ยังอยู่ครองเรือนก็มี เป็นนักบวชก็มี


เพราะฉะนั้นจึงให้เข้าใจมันถูกต้องอย่างนี้
เพราะว่าพระโสดาบันนี้ละกิเลสได้โดยเอกเทศ
ยังละไม่หมด เช่น พระโสดาบันละบาปได้หมด
แต่ว่าจิตใจนั้นก็ยังข้องอยู่ในกามคุณ
แต่ไม่ทำบาปเพราะกามคุณนั้น


การแสวงหาเลี้ยงชีพก็แสวงหาแต่ในทางที่ไม่เป็นบาปเป็นโทษนั้น
แม้จะได้มากหรือได้น้อยหรือว่าได้ของเลวของไม่ละเอียดประณีตก็ตาม
พระโสดาบันเขาพิจารณาเห็นร่างกายมันไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อยู่ตลอดเวลาแล้วไม่ทราบจะทำนุบำรุงมัน
ด้วยของละเอียดประณีตบรรจงราคาแพงไปทำไม


เมื่อบุญกุศลที่ตนทำมาแต่ก่อนมันน้อยนี่ มันไม่มาก
สมบัติพัสถานอะไรมันจึงไม่มีมากเพราะตนทำบุญกุศลมาแต่ก่อนมันน้อย
นั่นต้องคิดอย่างนี้คนเราน่ะ บุญกุศลนั้นมันจึงมาอำนวยผลให้เพียงแค่นี้
เมื่อเรามีบุญกุศลหนหลังมาอำนวยผลให้เท่าใด
เราก็ยินดีบริโภคเสวยผลบุญไปเท่านั้นแหละ


หมายความว่า เมื่อบุญมีน้อยอย่างนี้
การแสวงหาเงินทองข้าวของอะไรมันก็ได้แต่น้อยนี้นะ
แม้จะทำงานกรำฝนทนแดดวันยังค่ำอย่างไร มันก็ได้แค่นั้นแหละ
แค่ “กรอบแห่งบุญ” ตนทำมาเท่านั้นเอง
ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วทุกคนมันก็ร่ำรวยเหมือนกันหมดน่ะซิ
เพราะต่างคนก็ต่างทำงานกรำฝนทนแดด
อาบเหงื่อต่างน้ำเหมือนกันทั้งนั้นเลยแต่บางคนน่ะรวย
บางคนน่ะไม่รวย พอแต่ได้อยู่ได้กินไปวันๆ ไปเท่านั้นเอง
บางคนก็รวยพอปานกลาง ไม่อัตคัดขาดแคลนเท่าไรนัก
แต่ไม่ยิ่ง ไม่รวยมาก บางคนก็ร่ำรวยมากเหลือใช้เหลือกิน

อย่างนี้ก็เพราะด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลความดี
ที่แต่ละบุคคลกระทำมาแต่ชาติก่อนนั้นยิ่งกว่ากันหย่อนกว่ากัน
อย่างนี้นะอย่าไปลืมเลือนข้อนี้ให้หมั่นพิจารณากันเสมอ
ไม่อย่างนั้นแล้วมันก็เกิดตัณหา
ความทะเยอทะยานอยากท่วมท้นจิตใจขึ้นมา

เมื่อเห็นคนอื่นเขาร่ำรวยมีเงินมีทองมากมาย
มีลาภมียศสูงส่งอย่างนี้ น้อยเนื้อต่ำใจ
เดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมา เดี๋ยวก็เกิดเป็นอิจฉาริษยากันขึ้นมา

อันที่มนุษย์เราเป็นอย่างนี้แหละที่มันเบียดเบียนกันอยู่ในโลกนี้น่ะ
เห็นคนอื่นได้ดี ทนอยู่ไม่ได้ต้องหาทางกีดกันให้มันลงเสมอกับตน
หรือต่ำกว่าตนนู่น กิเลสในหัวใจคำว่า อิจฉาคำนี้น่ะมันเป็นอย่างนั้น
ดังนั้นเราต้องเรียนรู้กิเลสเหล่านี้ให้ได้
ผู้ปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนานี้ อย่าพากันละเลย



:b45: :b45:


ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
“สว่างมาอย่ามืดไป”



:: ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 16 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร