วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2015, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

“อริยมรรค” คือทางเดินของนักปฏิบัติ
พระธรรมเทศนาโดย...หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่

การประพฤติปฏิบัติธรรม มีหลายคนหลายท่านมีความสงสัย
ว่าตัวเองปฏิบัติถูกหรือเปล่า
เพราะว่าการปฏิบัติที่ผิดนั้นทำให้เดินทางผิดและเสียเวลา
การปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้เดินทางสายกลาง
เอาศีลเป็นหลัก เอาธรรมเป็นหลัก

ศีลคือทางสายกลาง ธรรมคือทางสายกลาง
คนเรามันมีตัวมีตน มันไม่เดินทางสายกลาง
เอาตัวเองเป็นใหญ่ เอาตัวเองเป็นประธาน
การปฏิบัติที่ถูกต้อง ต้องปรับตัวเองเข้าหาศีลหาธรรม
ข้อวัตรปฏิบัตินี้เป็นปลีกย่อยมันได้แก่พระวินัย
ที่เราทำวัตรสวดมนต์ทำกิจวัตรๆ จัดว่าเป็นศีล


ศีลนี้คือการจัดการเรื่องทางกาย เพื่อที่จะเข้ามาหาทางจิตใจ
เพราะว่าคนเราใจมันไม่มีตัวไม่มีตน มันต้องอาศัยกายอยู่
การปฏิบัติศีลต้องมาปฏิบัติที่กาย
และการมาปฏิบัติที่กายก็คือการปฏิบัติที่ใจนั่นแหละ
ผู้ปฏิบัติตามศีลถือว่าปฏิบัติถูก ถูกต้อง
ปฏิบัติตามทางสายกลาง มีเจตนาที่จะงดเว้นในศีลทุกๆ ข้อ


ศีลนี้นะ ถ้าเราไม่มีเจตนา ถ้าเราทำผิดโดยไม่ตั้งใจ เป็นอันว่าไม่ผิดศีล
ถ้าเราสงสัยอยู่แล้วฝืนทำลงไป ถึงแม้จะไม่ผิดศีลโดยตรง มันก็ผิดศีลในข้อที่สงสัย
ยกตัวอย่างเช่น เราเดินไปเหยียบแมลงตายโดยที่เราไม่ตั้งใจ เราก็ไม่ผิดศีล
ให้ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมให้คิดอย่างนี้
ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องตามศีลแสดงว่าเราปฏิบัติถูก

การปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติเพื่อละความเห็นแก่ตัว
เพราะเรามีตัวมีตนมาก มันถึงต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด
มันมีอัตตาตัวตนมาก มันถึงมีภพมีชาติ มีการเวียนว่ายตายเกิด

การประพฤติปฏิบัติธรรม ให้ทุกท่านทุกคนเน้นการเสียสละ
เน้นการละความเห็นแก่ตัว


การรักษาศีลก็ให้เป็นผู้เสียสละ ละความเห็นแก่ตัว
ละความมักง่ายของตัวเอง รู้จักเสียสละไม่ตามใจตัวเอง
ถ้าเราปฏิบัติเพื่อเสียสละ เพื่อปล่อยวาง เพื่อไม่มีตัวมีตน
ชื่อว่าเราปฏิบัติถูกต้อง

ถ้าเรามีความสงสัย พระพุทธเจ้าท่านให้เราเอาธรรมตัดสิน ๘ ประการ
มาตัดสินการประพฤติปฏิบัติของตัวเอง เช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้าน
ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า”


ถ้าเราติดสุขติดสบาย เราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน
นั้นก็ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
คำเกียจคร้านมันเป็นปัญหาใหญ่
มันทำให้ทุกคนติดทุกคนหลง ทำให้ทุกคนไม่เข้าถึงคุณธรรม

เรามีความยากจน ไม่มีคุณธรรมก็เนื่องมาจากเราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ติดสุขติดสบาย
ความสุขความสบายนี้แหละ มันเป็นสิ่งที่ร้อยรัด เป็นเครื่องพันธนาการผูกเข้าไว้
นี้ถือว่าด่านใหญ่ของชีวิต ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่านักเรียนนักศึกษา
ไม่ว่าพระ ไม่ว่าชี ไม่ว่าโยม ถูกความขี้เกียจขี้คร้านมันเล่นงานทุกคน

ความขี้เกียจขี้คร้านจัดว่าเป็นสิ่งเสพติด เป็น “กามสุขัลลิกานุโยค”
ถ้าเราติดมันแล้วเขาเรียกว่ามันมีโทษ
ปกติคนเรามันจะมีอาชีพ มีการดำรงชีวิตด้วยความสุข
แต่ถ้าเราไปติด เขาไม่เรียกว่ากามคุณแล้ว เขาเรียกว่า “กามโทษ”

พระพุทธเจ้าท่านให้เรารับประทานอาหาร ให้ร่างกายพักผ่อน ให้กายให้ใจสบาย
เพื่อมีกำลังที่จะสร้างบารมีสร้างความดี แต่ท่านไม่ให้เราติด
ถ้าเราติดแสดงว่าเราปฏิบัติผิด
เพราะว่าคนติด ก็ยกตัวอย่างเช่น เราทำงาน เราได้เงินเดือน
เรานอนกินเงินเดือนให้หมดเสียก่อน เราถึงไปทำงาน เงินเดือนของเรามันก็ย่อมหมด
นั่นแสดงว่าเรากินของเก่า กินบุญเก่า
ถ้าเราไปติดสุขติดสบายมันก็เป็นอย่างนี้
เพราะเป็นผู้ปฏิบัติผิด ไม่เป็นผู้เดินทางสายกลาง

ความดีเป็นสิ่งที่จะต้องทำ “ทำสมํ่าเสมอ” มันจะหยุดไม่ได้
ถ้าเราหยุดก็แปลว่าเราตาย “เราตายจากคุณงามความดี”
ที่สังคมมีปัญหา โลกมีปัญหา ปัญหาใหญ่มันมาจากความขี้เกียจขี้คร้าน
ตัวเองก็ไม่เจริญ ครอบครัว สังคม ประเทศชาติก็ไม่เจริญ
เพราะตัวเองติดสุข ติดความขี้เกียจขี้คร้านแท้ๆ

พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาความสุขทางร่างกาย
ต้องเอาความสุขในการเสียสละ ในการละความเห็นแก่ตัว
คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจแต่เรื่องวัตถุ แต่เรื่องจิตเรื่องใจยังไม่ค่อยเข้าใจกัน
คิดว่าความสุขมันได้มาจากวัตถุ ได้มาจากการกิน การนอน การเล่น

ความสุขได้มาจากเสียสละ ได้มาจากการละความเห็นแก่ตัว
ถ้าเราไม่มีตัวตนมาก เราเป็นผู้ให้ เราก็มีความสุขความดับทุกข์
อย่างเราทำงานมันไม่มีความทุกข์นะ ถ้าใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจอยู่กับการทำงาน
เรามีความเสียสละ ใจมันวางของหนัก วางความขี้เกียจขี้คร้าน วางตัววางตน
เพราะตัวตนทำให้เราทุกข์ เราเครียด เรามีปัญหา

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่อยู่ด้วยตัวด้วยตน อยู่ด้วยความเครียด
ไม่ได้อยู่ในทางสายกลาง เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ
ทำไมดีใจเสียใจ ก็เพราะมีตัวมีตน เมื่อมีตัวมีตน โลกธรรมก็ครอบงำใจ

ถ้าเราคิดว่าเป็นผู้ชายเราก็เป็นทุกข์ ถ้าเราคิดว่าเป็นผู้หญิงมันก็เป็นทุกข์
ถ้าเราเป็นโน่นเป็นนี่ เราก็เป็นทุกข์ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น
มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป
ถ้าเราไม่รู้จัก เราจะแบกทุกข์นะ

ถ้าเรามาเดินตามทางสายกลาง เราไม่ได้เอาตัวเอง เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง
เอาศีลเอาธรรมเป็นที่ตั้ง ทุกข์จะมาจากไหน เพราะเราไม่มีตัวไม่มีตน
พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกท่านทุกคนกลับมาหาศีลหาธรรมอย่างนี้
การประพฤติปฏิบัติของเราจะได้ถูกต้อง

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นผู้รู้จัก “โภชเนมัตตัญญุตา” รู้จักประมาณในการบริโภค
เพราะความสุขที่เราได้รับทางกายให้เรารู้จักพอประมาณ อย่าได้ไปลุ่มหลง
ถ้าเราลุ่มหลงก็เปรียบเสมือนปลามันกินเหยื่อแล้วก็ไปติดเบ็ด

การติดเบ็ดนั่นน่ะ คือเราติดสุขติดสบาย
ให้เราทุกคนรู้จักนะ การประพฤติปฏิบัติธรรม มันต้องกลับมาหาตัวเองอย่างนี้
การทำสมาธิก็เหมือนกัน เราก็สงสัยอยู่นั่นแหละ ว่ามันผิดหรือมันถูก

การทำสมาธิก็คือการเสียสละ การละความเห็นแก่ตัว
คือการมาละความโลภ ความโกรธ ความหลง
มาเอาจิตใจอยู่กับลมเข้าอยู่กับลมออก
เรามาเสียสละเรามาปล่อยมาวาง ไม่เอาอะไร
เพราะตัวเราเองมันก็ไม่มีตัวมีตนอยู่แล้ว

ที่ว่าเรามีตัวมีตนก็เพราะว่าเราเข้าใจผิด

พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาอะไร ให้เรามาปล่อย ให้เรามาวาง
ถ้าเราเอามันมีความทุกข์
เดี๋ยวเอาความสุขความสงบ เอาไม่ปวดแข้งปวดขา เดี๋ยวมันก็มีความทุกข์แน่

บางคนอาจจะคิดในใจว่า ถ้าไม่เอาจะมานั่งทำไม ?
ไม่ใช่เรามานั่งเอาอะไร เรามานั่งปล่อยนั่งวางนั่งเสียสละ
เพราะว่าสาเหตุของทุกข์เกิดจากการเกิด
“การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์รํ่าไป ไม่ว่าเกิดทางกาย เกิดทางใจ”


ถ้าเราเสียสละมากๆ เราปล่อยวางทุกอย่าง
จิตใจของเราก็จะได้สัมผัสกับความสงบเอง

เราอย่าได้ไปคิดว่าทำเพื่อเอามรรคผลเอานิพพาน
เพื่อเห็นโน่นเห็นนี่อย่างที่เขาคุยกัน
เพราะคนเรามันติดนิสัยจะเอา ทำอะไรก็แต่จะเอา
พระพุทธเจ้าท่านให้เรามานั่งสมาธิ มาปล่อยมาวาง
เราก็ยังจะเอาอยู่นั่นแหละ

เรานั่งสมาธิ เรามานั่งเพื่อเสียสละเพื่อปล่อยเพื่อวาง
เพื่อใจของเราอยู่กับเนื้อกับตัว
สมาธิคือตัวความสุขของชีวิต
คนเรานะถ้าไม่มีตัวไม่มีตน มันมีความสุข

เราเห็นไหม ได้ยินไหมที่ครูบาอาจารย์ท่านนั่งสมาธิท่านปฏิบัติธรรม
เกิดปีติเกิดสุขจนน้ำตาร่วง
เพราะแต่ก่อนเราไปหลงแบกหลงถือ หลงเป็นแต่คนเอาอยู่นั่น

จิตใจของคนเรานี้มันแย่นะ มันเป็นผู้เอา
ที่ประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนาเรื่องพระเวสสันดร
ที่ท่านให้ทานเสียสละ อย่างนี้แหละดี แล้วก็ถูกต้อง
ถ้าท่านไม่เสียสละ ไม่ละไม่วาง
พระพุทธเจ้าของเราก็ไม่บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
มันเป็นความดีเป็นบารมีของเรานะ ความเสียสละ การปล่อยการวาง

เราดูตาพราหมณ์ชูชกนั้นมีแต่ความโลภ มีแต่ขอ
ผลที่สุดเรื่องมันจบมาตรงที่พราหมณ์ชูชกท้องแตกตาย ก็เพราะความโลภ
เรานี้ก็เหมือนกันนะ มันก็มีเชื้อสายตาชูชกพอสมควรนะ

นี่เราจะมาเปลี่ยนสายพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์ของพระพุทธเจ้า
มาเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เรานั่งสมาธิ เรามาเสียสละ
กายให้มันเป็นกาย ใจก็ให้มันเป็นใจ อย่าไปยุ่งกัน ให้มันสงบ ให้มันปราศจากนิวรณ์
ทำสมาธิไปก่อน สมาธิก็คือตัวความสงบ ความเย็น เป็นตัวบ่มปัญญา

คนเรามันปัญญามากมันฟุ้งซ่าน
ต้องอาศัยสมาธิ ก็คือตัวความสงบความเย็น

บางทีนั่งไปนิดเดียวก็กลัว วุ่นวาย เพราะความอยากมันบีบคั้น
มันก็อยากเจริญปัญญาวิปัสสนาอีกแล้ว สมาธิมันยังไม่ได้ ดันไปเอาปัญญา
อย่างนี้ไม่ถูก มันเป็นความบีบคั้นของเรานะ มันเป็นความอยาก

ชีวิตประจำวันจึงเป็นชีวิตที่เร่าร้อน เผาตัวเองด้วยความอยาก
อยากมีอยากเป็น ไม่อยากเสีย ไม่อยากพลัดพราก มันเป็นอยู่ด้วยความอยาก
การปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้เรามารู้จักความอยาก
มาละความอยาก ไม่ใช่มาเพิ่มความอยาก

เราปฏิบัติเดี๋ยวเดียวเราก็อยากได้สำเร็จ มันไม่ใช่สำเร็จได้ง่ายขนาดนั้น
พระพุทธเจ้าท่านให้เราสร้างฐานชีวิตประจำวันของเรา
มีความสุขในการเดินอริยมรรคต่างๆ มีมรรคเป็นทางให้เราเดินตั้ง ๘ ข้อ


ในชีวิตประจำวัน ให้เราทำฐานชีวิตของเราให้มีความสุข
ให้มีความสุขในการทำงาน ให้มีความสุขในการพูด
การกระทำของเราในชีวิตประจำวันต้องประกอบด้วยความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว

บางคนก็คิดนะ คิดในใจว่าเราเสียสละ เราละความเห็นแก่ตัว
เราไม่ยากจนแย่เหรอ ? ไม่จน ไม่ยากจน มีแต่รวย

คนเรานะ ถ้าเราเสียสละนะ เครดิตมันดี คนอื่นเขาเคารพนับถือ
ผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อน บริวารก็รัก
รักเพราะเราไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง
ที่เขาเกลียดเรา ไม่พอใจเรา เพราะเราเป็นผู้ที่ไม่เสียสละ
ความเห็นแก่ตัวมันปิดกั้นเราไม่ให้เจริญทั้งทางวัตถุและคุณธรรม

เราทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่อคุณธรรม ทำงานเพื่อเสียสละ
ส่วนเงินเดือนหรือความรวยมันเป็นผลของการกระทำ ถ้าเราทำดีมันก็รวย
เราได้ทั้งงานได้ทั้งคุณธรรม ใจของเรามันก็มีสวรรค์ในชีวิตประจำวัน
มันต้องดีกว่าใจของเราตกนรกทั้งวัน

ต้องมีความสุขในการพูด พูดดี พูดเพราะ
พูดสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เอาแพ้เอาชนะ
พูดเพื่อเกิดความสามัคคีปรองดองกัน คำพูดนี้มันมีปัญหาเยอะ
เพราะคนเรามันพูดออกจากความโลภ ความโกรธ ความหลง

อาวุธร้ายแรงที่เราประหัตประหารกันคือคำพูด
คำพูดของเราเหมือนปืนไปยิงเขา เหมือนลูกระเบิดไปถล่มเขา
ทุกๆ คนผู้ที่ยังไม่เข้าใจชอบพกอาวุธทางคำพูด
คนคนหนึ่งพกระเบิดทางคำพูดไม่รู้ว่ากี่ลูก พกปืนทางคำพูดนี้ไม่รู้ว่ากี่นัด
พระพุทธเจ้าท่านให้เรามาปลดอาวุธ ปลดอาวุธออกจากปาก

การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม
ที่เรามีปัญหากันเยอะในครอบครัวส่วนใหญ่มาจากคำพูด
ที่สามีภรรยาหย่ากันก็เนื่องจากคำพูด
ที่คนเราเกลียดกันก็เนื่องจากคำพูด ที่เพื่อนหายไปก็เนื่องจากคำพูด
คำพูดเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนากันทุกๆ คน ถ้าไม่พัฒนา ไม่ได้
ต้องปรับตัวเองเข้าหาอริยมรรคมีองค์ ๘ คือ พูดจาชอบ
เพราะคนที่พูดจาชอบเหมาะที่จะเป็นเจ้านาย เป็นผู้ใหญ่ เป็นเพื่อน เป็นลูกเป็นหลานที่ดีๆ

คำพูดนี้มีปัญหามากจริงๆ ทำไมมันถึงมีปัญหา ?
เพราะว่ามันมีอัตตาตัวตนมาก
ยิ่งเรียนมากมันก็รู้คำพูดดีๆ เพื่อที่จะเอาเปรียบคนอื่น
ยิ่งมีตัวมีตนมากนะ มันยิ่งมีเหตุมีผลมาทะเลาะมาขัดแย้งกัน
พวกที่เถียงกันมีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้นแหละ


พระพุทธเจ้าท่านให้เราพัฒนาคำพูดนะ
เราอย่าไปเอาชนะคนอื่น เราต้องชนะใจตนเอง
เพราะปากคนเรามันมีพิษยิ่งกว่างูพิษอีก
มันเคยตัวมาหลายภพหลายชาติ ผิดหรือถูกมันต้องขอเถียงไว้ก่อน
อย่างเด็กๆ ผิดหรือถูก พ่อแม่ว่าก็ต้องขอเถียงไว้ก่อน
เพราะว่าปากมัน “สารพัดพิษ” ปากมันมีพิษ...

พูดถึงเรื่องคำพูดมันเยอะแยะ พรรณนาทั้งวันมันก็ไม่หมด
พระพุทธเจ้าท่านให้เราไปแก้ไขตนเองเพื่อเดินตามอริยมรรค

เรื่องการทำมาหากิน การดำรงชีพของเรามันจะเป็นอริยมรรคอีกข้อหนึ่ง
การทำมาหากินของเรานี้ต้องเป็นไปเพื่อไม่สร้างบาป สร้างกรรม สร้างเวรให้กับตัวเอง
ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ไม่ทำอาชีพด้วยการเอาเปรียบคนอื่น
เราต้องเป็นผู้ให้ ผู้สงเคราะห์

ส่วนใหญ่คนเราที่เกิดมาในโลกนี้ ชีวิตล้วนแต่เบียดเบียนคนอื่น
เบียดเบียนต้นไม้ เบียดเบียนภูเขา เบียดเบียนแม่น้ำลำธารตลอดถึงมหาสมุทร
เบียดเบียนสัตว์ทั้งที่อยู่บนบกในน้ำ เราคิดดูล้วนแต่เบียดเบียน
แล้วก็กลับมาเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เราเก่งกว่า เราฉลาดกว่า เรียนมากกว่า เราก็เอาเปรียบคนด้อยโอกาส

พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสอนเรานะว่าไม่ให้เบียดเบียนคนอื่น
เราต้องช่วยเหลือคนอื่น เราทำอาชีพเราต้องเข้าไปเกื้อกูล เราต้องเข้าไปช่วยเหลือ
ต้องแบ่งความสุขกัน ต้องแชร์ความสุขกัน เราจะเอาความสุขคนเดียวไม่ได้
เพราะคนเรามันก็แค่กิน แค่นอน
ผลที่สุดก็ต้องแก่ ต้องเฒ่า ต้องชรา ต้องตายกันหมดทุกคน

เพราะทุกคนที่เกิดมามันมีความทุกข์ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ
การทำมาหากิน ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น
ถ้าเราไม่มีเมตตา ไปซ้ำเติมเขาด้วยอาชีพ ความเก่ง ความฉลาด อย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้อง

ทรัพยากรได้แก่ปัจจัย ๔ พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนเราว่าให้ใช้เท่าที่จำเป็น
อย่าเป็นคนฟุ่มเฟือยลุ่มหลง เพราะความอยากของคนมันไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าเราทำตามความอยากความต้องการมันทำได้
แต่มันเป็นการเบียดเบียนคนอื่นเขา เบียดเบียนสัตว์อื่นเขา

คนเรามันมีความเห็นแก่ตัว มันคิดว่าสัตว์อื่นเกิดมาให้เราบริโภค
มนุษย์พวกนี้เกิดมาเพื่อเป็นลูกน้องพ้องบริวารให้เราสะดวกสบาย
การทำมาหากินมันเลยไม่ใช่เลี้ยงชีวิตชอบ
มันเป็นการสร้างบาปสร้างกรรม สร้างภัยมากกว่า

ใจส่วนหนึ่งก็อยากไปนิพพาน ใจส่วนหนึ่งก็อยากร่ำอยากรวย
การรวยมันดีแต่ต้องได้มาจากการไม่เบียดเบียน
นิสัยคนเรามันชอบเบียดเบียนนะ


จะรักษาศีล ๕ ก็กลัวเหลือเกิน กลัวมันละความสุขจากตัวเอง
จะรักษาศีล ๘ ก็ยิ่งกลัวเพราะมันติด ละความเห็นแก่ตัวไปตั้งมาก
ตราบใดที่เรามีความคิดอย่างนี้ ชื่อว่าเรามีความเห็นผิด
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อฉลาด เราเกิดมาเพื่อหลงนะ

เราต้องปรับตัวเองเข้าหาศีลหาธรรมหาทางสายกลางแล้ว
จะพูดให้มองเห็นว่าเราเกื้อกูลคนอื่นได้อย่างไร ?
อย่างเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวของเรา ท่านให้เน้นเป็นคนรู้จัก “พอ”

ถ้าเราไม่รู้จักพอ คนอื่นเขาเดือดร้อน
อย่างเราปลูกผักผลไม้ เราไม่ต้องใช้สารพิษ ถ้าใช้สารพิษพวกสัตว์มันก็ตาย
เช่นว่าเราขายของ เราก็อย่าไปขายของแพง เพราะเราต้องเกื้อกูลกัน

คนเรานี้ ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่จิตใจของตัวเอง ทำใจให้มันสงบ
ถ้าเราไม่รู้จักทำใจให้สงบ มันไปแสวงหาความสุขตลอด มันก็ฟุ้งซ่าน
มันจะรู้จักความสงบได้อย่างไร เพราะมันฟุ้งซ่าน

เรามาดูพระพุทธเจ้าท่านไม่มีอะไรเลย
ผ้าก็เพียงปิดร่างกาย มีบาตรใบเดียว รองเท้าก็ไม่ใส่ ท่านก็มีความสุขที่สุดในโลก
เพราะความสุขมันอยู่ที่ใจ คนเราจะมีความสุขอยู่ที่ใจไม่มีปัญหา

ที่เรามีความทุกข์เพราะว่าใจมีปัญหา ใจป่วย ไม่สบาย มีโรคมากนะ

ใจของเรามีโรคเยอะ โรคมากจริงๆ ใจของเรามันมีโรคหลาย เพราะเราไปเน้นแต่ทางกาย
ที่เขาว่าโรคร้ายแรงที่สุดทางกาย ใจของเรามันเป็นมากกว่าทางกาย

เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ดีมาก เรามีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการเสียสละ
อย่าบริโภควัตถุมากเกินไป พอใจในสิ่งของที่มีอยู่
ถ้าคนเราไม่พอใจสิ่งของที่มีอยู่ เราก็เป็นเปรตดีๆ นี่แหละ เป็นเปรตตั้งแต่ยังไม่ตาย

เงินเรา ทรัพยากรที่เราได้มา ใช้เท่าที่จำเป็น
ถ้าเรารู้จักเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
ตัวเรามันก็สงบนะ ครอบครัวเราก็สงบ ประเทศชาติมันก็สงบ


หลายยุคหลายชั่วคนแล้วที่พันธุ์ของมนุษย์ไม่ได้รับการพัฒนา
หลายศตวรรษแล้วมันมีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นที่ตั้ง

ถ้าเราพัฒนาอย่างนี้ชื่อว่าเป็นพันธุ์ถูกต้อง เราเดินทางสายกลาง
ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำบุญทำกุศลให้ถึงพร้อม สร้างแต่ความดี สร้างแต่บารมี

ต้องเอาศีลเป็นที่ตั้ง เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เอาพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง
เราจะเอานอกจากนี้มันพึ่งไม่ได้

เราปฏิบัติไป ฝึกตัวเองไป
เราอย่าไปสงสัยอยู่นั่นแหละว่ามันถูกมันผิดหรือเปล่า


ถ้าเอาศีลเอาธรรมเป็นที่ตั้งได้ชื่อว่าถูก แต่มันอาจไม่ถูกใจไม่ถูกกิเลสของเรา
เพราะทุกคนก็พยายามเอาทางสายกลางของตน
หวังว่าทุกท่านทุกคนจะเดินทางสายกลางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อความไม่ผิดพลาด เพื่อความถูกต้อง...


พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
ให้แก่ชมรมตนอาสา (Volunteer Club) ของบริษัท True
ซึ่งนำทีมโดย ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ
เช้าวันเสาร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕


:b8: :b8: :b8: คัดลอกเนื้อหามาจาก ::
หนังสือ สมบัติของพ่อ
หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เล่มที่ ๒


:b44: รวมคำสอน “หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=47448

:b44: ประมวลภาพ “หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=37258

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2018, 06:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 702

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2018, 15:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2019, 09:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2013, 10:07
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2019, 23:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2020, 12:03 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ธ.ค. 2021, 14:38 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร