วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2014, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ
วัดป่าบ้านค้อ
ต.เขือน้ำ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี


:b47: :b47:

ถ้าคนได้อ่านประวัติหลวงพ่อตอนหนึ่ง
ตอนที่หลวงพ่อได้นิมิตข้ามทะเลมหาสมุทรสุดสาคร
ในคืนนั้นดูเหมือนพรรษา ๑ หรือ ๒ ไม่รู้จำไม่ได้...นานแล้ว
นั่งภาวนาอยู่นี่มองไปเห็นทะเล มหาสมุทรอันกว้างใหญ่
มีมหาชนอันนับไม่ถ้วน หลายแสนก็แล้วกัน
ยืนเรียงคิวกันหนาแน่น ดาหน้าอยู่ฝั่งมหาสมุทร
เหมือนคันนา เหมือนถนนรถน่ะล่ะคนแน่นกันใหญ่
ทุกคนพากันกระโดดลงน้ำเพื่อจะข้ามฝั่ง
และมีเสียงประกาศก้องอยู่เสมอๆ ว่า
"ถ้าใครกระโดดลอยข้ามน้ำจากนี้ไปให้ถึงฝั่งนู้น
ผู้นั้นจะไม่ได้มาเกิดในโลกนี้อีก"


เสียงประกาศก้องตลอดเวลา
คนทั้งหลายนับหมื่นนับแสนพากันกระโดดลงไป
กระโดดลงไปก็คลื่นมหาสมุทรซัดขึ้นฝั่ง
ขึ้นมากระโดดใหม่ น้ำมหาสมุทรก็เป็นคลื่นซัดขึ้นมาเข้าฝั่ง

เราก็นั่งดูเขาอยู่อย่างนั้น มันมั่นใจขึ้นมาว่า
"เอ๊...ของแค่นี้ทำไมมันกระโดดไม่ได้
ทำไมจึงไม่สามารถทัดทานกับคลื่นมหาสมุทรนี้ได้

ในขณะเดียวกันเหมือนกับตัวเองนี่ได้ออกจากร่างนี้ จิตวิญญาณ
เหมือนเดินผ่านฝูงชนเข้าไป เขาก็แยกทางให้ไป
ไปนึกในใจว่า การจะกระโดดข้าม
มหาสมุทรสุดสาครแค่นี้มันไม่ใช่เรื่องยาก
เราเชื่อ "กำลังส่วนตัว"
มันอะไรเกิดขึ้นก็ไม่รู้...มีกำลังใจ

พอยกมืออธิษฐานว่า

สาธุ ถ้าข้าพเจ้าจะได้พ้นฝั่ง
จากมหาสมุทรสุดสาครฝั่งนี้ไปฝั่งนู้นได้
ขอให้ข้าพเจ้าสมใจที่ตั้งเอาไว้


อธิษฐานแล้วกระโดด เราโดดไกลด้วยมันหลายสิบเมตรก็แล้วกัน
มันลอยไปเลย เหมือนเหาะ มันลอยเหมือนปลากระเบนน่ะ
เหมือนปลากระเบนที่มันบิน มันลอยไปเรื่อยไป
พอหน้าอกจะแตะพื้นน้ำ ผิวน้ำเหมือนกับมีสัตว์ตัวหนึ่ง
ขึ้นมาหนุนอกเอาไว้ ไม่ให้จมน้ำ
สัตว์ที่ว่ามานี่สัตว์อะไรไม่รู้ ไม่เห็นตัวชัดเจน
จะเป็นควายรึก็ไม่ใช่ จะเป็นปลารึก็ไม่เชิง
คือไม่ได้ดูว่าสัตว์อะไร แต่ไม่เห็นตัวว่าสัตว์อะไร

พอหน้าอกกับหลังสัตว์ติดกันปั๊บน่ะ
สัตว์ก็พาวิ่ง พาลอยพาวิ่ง
พอวิ่งไปเนี่ยคลื่นมหาสมุทรสุดสาคร
เหมือนภูเขาใหญ่ข้างหน้า มันซัดคลื่นใหญ่มา
ปลาที่ว่าสัตว์ที่ว่านี่ก็พาลอยผ่านเหมือนกับเรือสำเภาใหญ่
ผ่านก้อนมหาสมุทรคลื่นมหาสมุทรใหญ่ๆ
ผ่านแหวกว่ายตีกระจายออกไปผ่านไป
คลื่นหนึ่งผ่านไปแล้ว คลื่นสองมาอีก
ผ่านอีก เหมือนน้ำแตกกระจายไปอีก
ถึงคลื่นสาม คลื่นสี่ คลื่นที่ห้า...ผ่าน
ผ่านนี่ห้าคลื่นแล้ว ก็นึกว่าจะมีอีกไหม

แต่คลื่นที่หก ไม่ใช่คลื่นใหญ่ เหมือนกับทะเลเรียบก็ไม่ใช่
คลื่นมันเล็กๆพอนึกว่านี่เราอยู่ไหน...อืม...อยู่กลางมหาสมุทร
มองไม่เห็นฝั่งเห็นฝาเลย ตะวันตกตะวันออกก็ไม่รู้
เหมือนกับฟ้าจดน้ำเป็นอย่างนั้นแหละ
ก็ลอยไปเรื่อยๆสัตว์นั้นล่ะพาไป
เหมือนกับมองอีกมุมหนึ่ง เหมือนเป็นเกาะกลางมหาสมุทร
เกาะอะไรน้อ...นี่ ได้ไปดู สัตว์ก็พาไป
แต่เกาะที่ว่ามานี้เป็นน้ำไหลวน วนรอบเกาะ
ตอนวนอยู่ใกล้เกาะจริงๆ รุนแรงมาก น้ำเชี่ยวน้ำวน
ห่างๆ ออกมานี่ก็ไหลค่อยลงหน่อย
แต่ก็ดูด เข้าใกล้ไม่ได้

พอดีไปขณะเดียวกัน ขาข้างขวานี่แหละ
ไปกระทบคลื่นที่มันไหลวนอยู่น่ะ วนขวามาซ้ายจำได้
วนขวามาซ้าย...พอขาถูกน้ำเท่านั้นแหละน้ำดูดขา
ดูดรุนแรงมากเลยแต่ด้วยกำลังตัวเอง
ดีดขาขวาเต็มที่...หลุด ก็หลุดจากฝั่งที่น้ำไหลวนนะ

ต่อไปลอยไปอีกในป่า สัตว์นี้พาไป
ไปรอบนี้ไปเห็นฝั่งจริงๆ เห็นฝั่งเห็นฝา
เห็นรูปเป็นฝั่งมหาสมุทรดักหน้า สัตว์ก็พาไป
นี่พาไปแล้วพอถึงหาดทรายอ่อนๆ สวยงาม
พอเราถึงฝั่งแล้วก็ปลา...สัตว์ก็เลยหายไป
แล้วก็เดินขึ้นฝั่งไป บอก...เอ...เราอยู่ที่ไหนกันนี่

พอเดินไปในหาดเห็นรอยมนุษย์ เห็นรอยคน
เป็นรอยชัดเจนมากแล้วก็หลายรอยด้วย
เดินเหมือนกับเป็นทางขึ้นไป
เอ๊...ที่นี่เหมือนใครมาอยู่ที่นี่ มาที่นี่ก่อนเราน้อ
ก็เดินนึกตามทางไป ตามรอยคนนั้นไป

เดินไปเรื่อยๆ ๆ ทีนี้ไปถึงอีกมุมหนึ่ง
เหมือนกับเป็นช่องแคบเหมือนภูเขาเข้า
มันเป็นหน้าผา มีช่องทางอีกช่องทางหนึ่ง
ช่องทางนั้นเปนคนเดินได้คนเดียวพอดี๊พอดี เต็มตัวพอดี

ไปตามเส้นทางนั้นขึ้นไปๆเนินขึ้นๆสูงขึ้นๆ
ไปถึงอีกแห่งหนึ่ง ที่เวิ้งว้างใหญ่รโหฐานเลย
ก็เดินตามทางนั้นไป มองเห็นริบหรี่ๆ
เห็นปราสาทหลังหนึ่ง ดูหลังใหญ่โตรโหฐานมาก
สวยงามมากเลย ก็คิดว่า เออ คนที่ไปเนี่ย
ยังไงเสียก็ต้องได้พักที่ปราสาทหลังนี้
เราต้องไปตามทางเส้นนี้ เพื่อจะไปดูปราสาท มีใครบ้างอยู่ที่นั่น

พอดีใกล้ๆ เข้า...เห็น "ผ้าเหลือง"
ตากอยู่ใกล้ๆ ปราสาทนั้นเหมือนผ้ามันเปียก
เหมือนว่าท่านก็ข้ามมหาสมุทรสุดสาครมาจนผ้าเปียกเหมือนกัน
ผ้าเปียกก็ไปผึ่งแดดเอาไว้ เราก็มองเห็น
เอ๊...ที่ผ้าเหลืองมีแล้วนะ ก็แสดงว่าคนที่มาก่อนเรา
ก็เปียกปอนเหมือนเรานี่แหล่ะ พาไปตากแห้งไว้อยู่

ก็เดินไป เดินไป มองไปใกล้ๆ เห็นพระองค์หนึ่ง
จีวรไม่ได้ใส่หรอก แค่ใส่อังสะ สบง ยืนเกาะเสาอยู่
เสาปราสาท มีชั้นระเบียง...เอะ...ใครน้อ นึกอยู่นี่
เข้าไปใกล้ๆ เข้าไปดูใกล้ๆ ซิ
ไปก็ไปไหว้ท่าน ท่านเหมือนท่านกอดเอา
จับมือ โอบกอดเอาไว้ ก็พูดกันหลายอย่าง
ว่ามายังไงไปยังไง ก็ได้คุยกันในห้อง
ห้องโถงใหญ่ เตียงใครเตียงมัน
จำได้ว่าคนที่โอบกอดหลวงพ่อนั้นนะ
เป็น "หลวงปู่ขาว" หลวงปู่ขาว
อีกเตียงหนึ่งถัดไปจำได้ว่า "หลวงปู่บัว หนองแซง" จำได้

อีกถัดไปจำไม่ได้เพราะมันคนละเตียงห่างกัน
แล้วก็คุยกันไปกันมา ถามเรื่องการเดินทาง
การข้ามมหาสมุทรข้ามยังไง ก็เล่าให้ท่านฟัง
ก็เออว่าเหมือนกับที่เรามานี่แหละ ท่านเล่าว่าเหมือนกัน

นี่พูดโดยย่อให้ฟัง


เวลานี้จิตเลยถอยออกจากสมาธิ จิตถอน
ก็มาเรียบเรียงเหตุการณ์ต่างๆ มาตีความพิจารณาดู


อันบุคคลที่กำลังเตรียมตัวกระโดดข้ามมหาสมุทรอยู่นั้น
หมายถึงอะไร?...หมายถึงว่า ผู้ภาวนาปฏิบัติ
ผู้ตั้งใจ มีความปรารถนาว่า จะให้ถึงพระนิพพานให้ได้

แต่มันข้ามไม่ได้เพราะอะไร? เพราะบารมียังไม่พอ
ยังไม่สามารถจะต้านทานตัณหากิเลสได้

คลื่นมหาสมุทรห้าก้อนน่ะคืออะไร?
ก้อนใหญ่ๆ หมายถึงว่า "รูป"...นี่คลื่นนึงล่ะ
"เสียง" คลื่นนึงละ "กลิ่น, รส, โผฐฐัพพะ"

ห้าคลื่นใหญ่ๆ นี้ เต็มๆ นี้คือผ่านมา
รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ
คลื่นมหาสมุทรทั้งห้าคลื่นน่ะผ่าน
ก็ผ่านนะ นี่มาตีความหมาย

ที่ว่าเกาะที่ว่ามานั้นหมายถึงอะไร ในกลางมหาสมุทร
อันนั้นน่ะมันเป็นผู้ที่ "หลงอยู่ในฌาน"
ก็เป็นพรหมโลก เป็นภพ ภพหนึ่งของพรหม

พรหมเนี่ย...ที่เรียกว่าน้ำเวียนขวามาหาซ้าย
มันหมายถึงว่า กระแสจิตที่ทำสมาธิ
การทำสมาธิเมื่อว่ามันเข้ากระแส
มันดูดเข้าแล้วมันออกยาก จิตสงบออกยาก
มันก็หมุนไปเรื่อยๆ หมุนๆ หมุนเกลียว
หมุนเอาขันน็อค หมุนไปเรื่อยๆ ๆ จนสุด

ยิ่งมีจิตสงบมากเท่าไร
ความพอใจความยินดีในสมาธิในฌานก็จะมากขึ้น
ไปถึงที่สุดของที่สุดของสมาธิคือ ฌาน
มันคือ อรูปฌาน เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว...ออกได้ยากๆ

นี่ก็เหมือนกันนักปฏิบัติ ถ้าใครภาวนาปฏิบัติถึงจุดถึงอรูปฌานแล้ว
ออกได้ยาก...นี่คือทำสมาธิ
เกาะนั้นเขาว่า เมื่อตายไปเป็นพรหมโลก เป็นพรหม


พิจารณาอยู่เราก็โชคดีไป
ที่เราไม่ได้ลอยให้น้ำดูดเข้าไปในเกาะนั้น

แต่ว่าสังเกตตอนหนึ่ง ตอนที่ว่าขาข้างขวานี่
ไปถูกกระแสน้ำกระตุก เข้าไปในกระแสน้ำไหลของเกาะ
เราก็มีความรุนแรงกำลัง ดีดขาออกมาได้นั้นเป็นเพราะอะไร?
เราอยู่ตรงไหน พอเรียบเรียงดูว่า...
เออ...มีครั้งหนึ่งที่ดูพรรษา...พรรษา ๒...
พรรษา ๒ ทำสมาธิหนัก หนักเพราะอะไร?
เพราะในดงยอดทอนน่ะเสือมันเยอะ เสือเหลือง เสือโคร่ง
พอตะวันเริ่มตกดินเสียงมันร้องครวญครางขึ้นมา รอบด้านเลย
เหตุนั้นจึงว่า เราต้องฝึกใจทำใจให้ได้
ก่อนเสือจะเอาไปกินให้มีใจหนักแน่นเต็มที่เสียก่อน
นี่จึงฝึกใจทำสมาธิ

ทำก็ไม่นานนะ แล้วก็ดิ่งลงดิ่งลงเป็นสมาธิเต็มที่
เมื่อดิ่งลงถึงที่มันแล้วนะ คำบริกรรมที่เราว่าพุทโธๆ นี่มันว่าไม่ได้
มันหยาบ เลยงด มาดูลมหายใจเข้าออกแทน
อันนี้ดีขึ้นหน่อย ละเอียดขึ้น ถ้ากลับมาพุทโธ...หยาบ
กลับไปสู่อานาปานสติ ดูลมหายใจ ดีขึ้นหน่อยเพราะดูได้

มีระยะหนึ่ง ลมหายใจเข้าออกหยาบอีก
เลยไม่นึกว่าเราอยู่ทุกวันประจำวันนี้ เราหายใจรึเปล่า
เหมือนอยู่ไม่หายใจ มันไม่รู้ตัวว่าหายใจหรือไม่หายใจ
นี่เป็นระยะอย่างนี้ จนนึกตัวเองว่า...เออ...ทำยังไงดี
เราเป็นยังไงเกิดขึ้นแล้วปฏิบัติ เรารู้ตัวเองว่า เราไม่หายใจ
จะเดินก็เหมือนเดินไม่หายใจ จะนอนก็เหมือนไม่หายใจ
คือ ถ้าเมื่อนึกหายใจเมื่อไร...หยาบ
ก็ไปอยู่ในจุดละเอียดสุด คือ ไม่หายใจ
แต่จริงๆ มันจะหายรึเปล่า คงหายอยู่นั่นแหล่ะ
แต่ลึกๆ จิตใจแล้วนั้น "ความยึด"
ในระหว่าง "จิตกับกาย" น่ะมันแยกจากกัน
จิตมันไม่รับสัมผัสทางกายตัวนี้ มันแยกกันอยู่

เหมือนจิตไม่รับรู้ลมหายใจเลย
เหมือนว่าเราไม่หายใจ
พูดเหมือนกับว่าเรานอนหลับ
คนนอนหลับไม่รู้ตัวว่าเราหายใจรึเปล่า
เหมือนขณะอย่างนั้น จะหายใจอยู่แต่ไม่รู้ตัวว่าหายใจ
อันนี้เป็นลักษณะยังหยาบอยู่

ส่วนหลวงพ่อเป็นในสมัยนั้น มันรู้ตัวอยู่ว่าเราไม่หายใจ
นึกว่าหายใจเมื่อไรหยาบเมื่อนั้น
จนจมลงสู่จุดเดียว คือ ไม่หายใจ
เดินจงกรมคือเดินไม่หายใจ
มาฉันอาหารกับเพื่อนฝูงก็ฉันแบบไม่หายใจ
เพราะหายใจมันหยาบ นี่คือมันดิ่งขนาดนั้น

เลยมาพิจารณา...เออ...ในลักษณะอย่างนี้หนอ
เราเหมือนโดดไปเข้าสมาธิลึก ยังไม่ลึกพอนะ
เพียงกระตุกนิดเดียวเท่านั้นเอง
เหมือนขากระตุกน้ำดูดนั่นแหล่ะ
เพียงเท่านี้ยังไม่ลึก เราออกได้ นี้คือจำได้ว่า
การทำสมาธิเนี่ยถ้าจมดิ่งลึกลงไปเมื่อไรยากที่จะถอน
ต้องออกให้ได้

แต่เราเองทำสมาธิขั้นธรรมดาๆ เนี่ย
ถ้าตั้งใจมั่นน่ะ...แน่นอน เป็นของที่ฝังใจมาตลอดเวลา
หรือสงบก็สงบได้ เราสามารถบังคับตัวเองได้ทุกสิ่ง
ที่การปฏิบัติทำสมาธิ จะเข้าวันไหนก็ได้ออกวันไหนก็ได้
เป็น "วสี" ความเคยชินกับตัวเองมาตลอด
จะเข้าแค่ไหน เอาตื้นๆ แค่ได้แค่มั่น
หรือเอาลึกให้ถึงที่สุดก็ทำได้แต่ก็ไม่หลง
เพราะรู้แล้วว่า การทำสมาธิลึกๆ
ถ้าเราไม่หลงมันเป็นพลังมหาศาล พลังใหญ่

เหมือนเรานอนน่ะ ถ้านอนหลับสนิทดี
ไม่ฝันร้ายไม่ฝันอะไรต่างๆ เราตื่นขึ้นมาเนี่ย
ความสดชื่นเกิดขึ้นจากใจเราเนี่ยมันมีมาก
แต่ถ้านอนไป หลับๆ ตื่นๆ ฟุ้งซ่านไปเอยฝันไม่ดีเอยอะไรนั้นน่ะ
นอนตื่นขึ้นมากำลังใจก็ไม่ค่อยสมบูรณ์

นี่แค่เรื่องทำสมาธิถ้าจมลึกลงไป
ถ้าถอนมาได้เมื่อไร เมื่อจิตสงบลึกลงไปนั่นน่ะ
คือ อย่าไปบังคับให้มันถอน มันอยู่เต็มที่ของมันก่อน
นี่คือ ของใหม่ แต่เมื่อชำนาญแล้วทีนี้มันไม่นานเหมือนเดิม
ลึกเท่ากันแต่อยู่ไม่นาน แล้วก็ถอนออกมา คือ เต็มอิ่ม
มันเหมือนกับว่าท่านนอนหลับสนิทดีๆ
ไม่จำเป็นต้องไปนอนหลายชั่วโมง
สามสี่ชั่วโมง ห้าชั่วโมงก็เต็มอิ่มแล้ว

หรือเหมือนอาหาร ถ้าอาหารถูกธาตุขันธ์ที่ดีแล้วนี่
อาหารก็ไม่ต้องกินมาก มันก็ไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอะไร
มันเป็นคุณประโยชน์ต่อธาตุขันธ์เป็นอย่างดีอาหารน้อยๆ
แต่ข้อสำคัญว่า ให้อาหารนั้นถูกกับธาตุขันธ์เรา
ไม่ต้องกินอะไรมากมาย นี่เหมือนกัน
การทำสมาธิจิตสงบ ให้นิ่งๆ ดีๆ
เมื่อจิตถอนออกมาแล้วเนี่ย
กำลังใจที่เรามีอยู่นี้มันจะไปบวกกับตัวปัญญา
ปัญญาจึงมีพลังมากขึ้น
เพราะสมาธิเป็นตัวหนุนปัญญาให้มีพลัง


อันนี้คือว่า ประวัติหลวงพ่อ เล่าให้ฟังย่อๆ


รูปภาพ
หลวงปู่ขาว อนาลโย - วัดถ้ำกลองเพล

รูปภาพ
หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ - วัดป่าหนองแซง

:b44: :b44:

ที่มา : ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา
https://www.youtube.com/watch?v=m3Eg0AYnNQs


:b46: รวมคำสอน “หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=42885

:b46: ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=42881

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2015, 22:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 05:25
โพสต์: 621


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2015, 10:36 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2019, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2019, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2020, 10:00 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร