วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 04:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2014, 06:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

วิธีการทรงอารมณ์จิตให้เป็นฌาณ
พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี


บรรดาท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็เห็นจะต้องพูดกันในระยะเริ่มต้นเพราะว่าไม่ได้อยู่กันซะนาน สำหรับการเจริญพระกรรมฐานโดยเฉพาะผู้ใหม่หรือว่าท่านผู้ปฏิบัติมาเก่าแต่ไม่ได้เรื่อง คำว่าไม่ได้เรื่องก็เพราะว่า

(1) ไม่มีความเคารพในพระธรรมวินัย
(2) ไม่เคารพต่อระเบียบ
(3) ก้าวก่ายในกิจการงานของบุคคลอื่น
(4) ไม่มองจริยาของตัวเอง และก็
(5) ปราศจากความรู้สึกผิดชอบ


อย่างนี้เรียกว่าจะใหม่หรือเก่าก็ตามไม่ได้เรื่องด้วยกันทั้งนั้น ผู้ที่จะได้เรื่องจริง ๆ หรือเป็นคนดีจริง ๆ ตามคติของพระพุทธศาสนา พระบาลีบทหนึ่งที่เราพูดกันฟังแล้วปีหลายหน

นั่นก็คือ "อัตตนาโจทยัตตานัง"
จงเตือนตนด้วยตนเองเสมอ

คำว่าเตือนตนด้วยตนเอง ก็พึงทราบว่าเรามีหน้าที่อะไร เวลานี้เรามีสภาวะเป็นอย่างไร เราเป็นพระ เราเป็นเณร เราเป็นอุบาสก อุบาสิกา แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราอยู่ในของเขตของพระพุทธศาสนา
สำนักนี้เป็นสำนักปฏิบัติสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน เป็นสำนักที่ตั้งอยู่ในความเมตตาปรานี หวังความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จรณะ 15 ฟังกันอยู่เสมอ พระวินัยฟังกันอยู่เสมอ อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 อย่างนี้เป็นต้น

เราฟังอยู่กันเป็นปกติ แต่ว่าเวลาที่เราจะพูด เวลาที่เราจะทำอะไร จิตของเรามีความรู้สึกเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิรัจฉานคาถา วาจาที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรม วาจาใดที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรมก็ดี ดิรัจฉานจริยา จริยาที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรมก็ดี อันนี้มาจากจิต เรายังมีอยู่หรือประการใด เขาห้ามการมั่วสุมซึ่งกันและกัน ที่สำนักนี้เขาห้ามบุคคลอื่นเข้าไปสู่ห้องของบุคคลอื่น และก็มีระเบียบหลายประการ ซึ่งความจำเป็นจริง ๆ นั้นมันไม่มี

ที่ว่าไม่จำเป็นต้องตั้งระเบียบก็เพราะว่า ถ้าคนดีก็ตั้งอยู่ในศีลและก็ธรรมวินัย ที่จำจะต้องมีระเบียบก็เพราะว่าคนไม่ดี คนไม่ดีมีอยู่ในขอบเขตนี้ จึงจะต้องจำจะต้องสร้างระเบียบซ้อนพระวินัยออกมา

ฉะนั้น ขอได้โปรดทราบท่านที่ใหม่ก็ดี ท่านที่เก่าก็ดี หรือว่ามาอาศัยอยู่ชั่วคราวก็ดี ถ้ามีจิตนึกอยู่เสมอว่า เราเป็นผู้อยู่ในขอบเขตของพระพุทธศาสนา จะต้องพึงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระวินัย

ถ้ามีความรู้อยู่อย่างนี้ก็ไม่มีเรื่องหนักใจหรือยุ่งยากใด ๆ เกิดขึ้น ภายในสำนัก หากว่าจะถามว่า นี่สอนกรรมฐานหรือ ก็มีความรู้สึกว่ากรรมฐานเขาเรียนกันแบบนี้

"อัตตนาโจทยัตตานัง"
จงเตือนใจของตนเองไว้เสมอ ว่าเราดีเพียงใดเราเลวเพียงใด

ถ้าหากว่าเรายังมีความรู้สึกว่าเรายังเลวอยู่ ไม่เหมาะสมกับขอบเขตของพระพุทธศาสนา นั่นก็แสดงว่าเราจัดว่าเป็น โฆษบุรุษ โฆษสตรี ซึ่งไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ในขอบเขตของพระพุทธศาสนาต่อไป ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราเป็นคนหาประโยชน์มิได้ เป็นผู้ทำลายตนเองเป็นสำคัญ ในเมื่อถ้าเราทำลายตนเองได้ ก็ชื่อว่าเราทำลายหมู่คณะด้วย แล้วก็จงอย่าคิดว่าวาจาก็ดี จริยาก็ดี อารมณ์ก็ดีที่มีความรู้สึกนึกคิดนี้มันจะเป็นความลับ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ โลเกรโหนามะ
ขึ้นชื่อว่าความลับไม่มีในโลก

คนชั่วย่อมมีความเดือดร้อนในทุกที่ทุกสถาน คนดีย่อมมีความเป็นสุขจะอยู่ที่ไหนมันก็เป็นสุข ถ้าเราดี เป็นอันว่าเขตของพระพุทธศาสนาต้องการให้คนเป็นคนดี เมื่อไม่ดีพระพุทธเจ้าไม่ทรงเลี้ยง และพระสาวกทั้งหมดก็ไม่เลี้ยงคนเลวเช่นเดียวกัน

จงอย่าคิดว่าเรามีความสำคัญ นี่ความรู้สึกอย่างนี้เป็นคติในพระพุทธศาสนา

ฉะนั้น ขอทุกท่านที่ได้นามว่า พระโยคาวจร ซึ่งแปลว่า เป็นผู้มีความประกอบในความเพียร หรือมีความประพฤติประกอบไปด้วยความดี จงรักษากำลังใจไว้ในขอบเขต ปฏิบัติตามคำแนะนำของพระบรมโลกเชษฐ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระวินัยละไม่ได้

ถ้ามีพระวินัยดีพระพุทธเจ้าก็ยังทรงไม่เรียกว่า พระ ทรงเรียกว่า สมมติสงฆ์ คือ เป็นผู้มีจิตเป็นสมาธิดี คือ เป็น สัมมาสมาธิ คือ คิดถูก ทรงอารมณ์ไว้ถูก ทรงอารมณ์ดีคิดถูก พระพุทธเจ้าก็ยังไม่ทรงเรียกว่า พระ ทรงเรียกว่า สมมติสงฆ์ แต่ว่าเป็น กัลยาณชน มีวินัยครบถ้วนเป็น สาธุชน เพราะองค์สมเด็จพระทศพลจะทรงเรียกว่า พระ ก็ต่อเมื่อถึงพระโสดาบัน

ความจริงอารมณ์พระโสดาบันถึงอรหันต์ สำนักของเราพูดจนน่าเบื่อ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย ที่กำลังใจของบุคคลบางคน พระบางรูป ยังหยาบมาก ไม่มีความละอายในความชั่ว ยังประพฤติตัวนอกรีตนอกรอย

อันนี้พูดนี่ไม่มีใครเขาฟ้อง เพราะผมบอกแล้วว่าขึ้นชื่อว่าความลับไม่มีในโลก

ฉะนั้น ขอทุกท่านจงตั้งตนไว้ในความดีครบถ้วน มิฉะนั้นความเดือดร้อนจะถึงท่าน นั่นก็คือ ความไม่ปรารถนาไม่คบค้าสมาคมจะมีขึ้น และเราจะไปไหน ไปที่ไหนเราก็ชั่วที่นั่น ความชั่วมันอยู่ที่ไหน

ความชั่วมันมาจากหนึ่ง โลภะ ความโลภ

พระเขาบวชเพื่อตัดความโลภ แต่ว่าเรายังประกอบอาชีพไม่ใช่งานส่วนรวมเป็นงานส่วนตัว มาทำค้าขายโดยปราศจากความร่ำรวย สะสมทรัพย์สิน อย่างนี้เป็นตังดึงไปสู่อบายภูมิ ความชั่วกำลังใจอีกอันหนึ่งที่เป็นรากเหง้าของความชั่วเช่นเดียวกันนั่นก็คือ โมหะ ความหลง หลงว่าเราดี หลงว่าเราประเสริฐ หลงว่าเราเป็นผู้เลิศดีกว่าใคร ๆ ทั้งหมด แต่ถ้าความหลงประเภทนี้มีขึ้นดูอย่าง พระเทวทัต แต่ว่าสันดานคนชั่วย่อมไม่รู้ตัวอยู่เสมอ

ขอทุกท่านจงอย่าทำใจเป็น อลัชชี ไม่มีความอายต่อความชั่ว เราจงพากันมี หิริ ความละอายต่อความชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วที่จะทำให้เราเดือดร้อน ความเดือดร้อนต้องมีแน่สำหรับคนชั่ว มันหนีไปไม่พ้น แล้วเราก็มานั่งดูใจของเราว่ามันชั่วไหมล่ะ

สำหรับพระก็ขอแยกรากเหง้าความชั่วไว้เป็น 4 อย่าง คือ

(1) ราคะ ความรักในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศอารมณ์อย่างนี้ยังมีอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง รูปสวยไม่ใช่หมายถึงรูปคนเพียงอย่างเดียว รูปสัตว์ รูปวัตถุ ใด ๆก็ตาม เสียงเพราะจะเป็นเสียงคนหรือเสียงดนตรีก็ตาม พระที่ติดในเสียงเพลงเขาไม่เรียกว่าพระ ไม่เรียกว่าพระ เมื่อห่มผ้ากาสาวพัสตร์เขาเรียกว่า สัตว์นรก กลิ่นหอมไม่ว่าหอมอะไรทั้งหมด ถ้าเราติดจิตเราก็ชั่ว รสอาหาร ซึ่งมีรสอร่อยมันเป็นความเลว ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ว่าเวลากินให้พิจารณาเป็น อาหาเรปฏิกูลสัญญา เห็นว่าอาหารมาจากธาตุของความสกปรก เราไม่กินเพื่อความอ้วนพี เราไม่กินเพื่อความผ่องใส เราไม่กินเพื่อยังกิเลสให้เกิดขึ้นในใจ กินเพื่อยังอัตภาพให้ทรงอยู่เพื่อปฏิบัติความดี การสัมผัสระหว่างเพศเป็นเหตุแห่งความทุกข์ ถ้าเราเอาจิตไปจับมันก็ชั่ว

ฉะนั้น พระที่มีอาการเกลือกกลั้วกับกามารมณ์ทั้ง 5 ประการ จึงจัดว่ามีอารมณ์จิตชั่วอย่างยิ่ง

ฉะนั้น ถ้าหากว่าพระของเรา ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้จงรู้ตัวว่าท่านคือ คนชั่ว

ประการที่ 2 ความโลภ อยากจะได้ทรัพย์ได้สินเขามาเพื่อจะ สร้างตนให้มีฐานะ ความโลภย่อมฆ่าคนชั่ว การประกอบอาชีพที่ไม่ตรงกับเพศที่เราทรงอยู่ ซึ่งเป็นอาการของความชั่ว

มิจฉาวณิชชา การค้าขายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเป็นความชั่วอย่างยิ่ง จัดเป็นลักษณะของความโลภ ขาดความสันโดษเป็นคนชั่ว ถ้าเป็นพระก็พระชั่ว เป็นเณรก็เณรชั่ว ชั่วอย่างนี้ไปไหนเป็นสัตว์ในอบายภูมิ คือ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

ประการที่ 3 ถ้าความโกรธ ความพยาบาท ความระแวงสงสัย ในบุคคลอื่นว่าจะเป็นศัตรูกับเรา ความจริงพระพุทธเจ้าให้วางเสีย ถ้าเราดีแล้วใครเขาจะมาเป็นศัตรูกับเรา การระแวงสงสัยบุคคลอื่นว่าจะเป็นศัตรูนี่เป็นอารมณ์ของความชั่วเพราะตัวไม่ดี ถ้าเราดีแล้วเราจะวิตกกังวลอะไรกับบุคคลอื่น ที่จะมาว่าเราชั่ว

จงพยายามดูตัวว่าเราปฏิบัติตามพระธรรมวินัยหรือเปล่า เราปฏิบัติตามระเบียบหรือเปล่า เราฝ่าฝืนอะไรบ้าง ถ้าเราฝ่าฝืนก็แสดงว่าเราเลว จะไปโทษคนอื่นเขาได้อย่างไร ถ้าเราดีเสียทุกอย่างมีพระธรรมวินัยครบถ้วน อยู่ในระเบียบ มีจิตทรงสมาธิเป็นฌานสมาบัติ มีวิปัสสนาญาณแจ่มใสมันจะชั่วตรงไหน

ในเมื่อใจของเราไม่ชั่ว วาจามันก็ไม่ชั่ว กายมันก็ไม่ชั่ว ความสำคัญในตัวเรามันอยู่ที่ใจอย่างเดียว ที่พูดให้ฟังอย่างนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่วัด ก็มีโอกาสที่จะทราบจริยาของท่านที่อยู่ที่วัด

หากว่าท่านผู้ใดชั่วตามนี้ จงรีบพิจารณาตัวเองว่าควรจะอยู่หรือควรจะไป เพราะอะไร เพราะว่าลักษณะของความชั่ว อาการของความชั่วที่เราพูดกันมาแล้วว่าไม่มีใครต้องการ

ถ้าโอกาสนี้มาถึงท่านเมื่อใด ขอได้โปรดทราบ จงทราบว่าท่านชั่วจนเกินกว่าที่เราจะต้องการเอาไว้ในสำนัก อย่าไปหาอำนาจภายนอกเข้ามา ไม่มีใครเขายอมรับอำนาจใด ๆ ทั้งหมด ที่พูดนี่ไม่ได้ด่าใคร ไม่ได้ว่าใคร แนะนำให้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน อย่างพระวักกาลิ เมื่ออยู่กับพระพุทธเจ้าไม่สนใจในธรรมปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสวัสดิ์โสภาคย์ก็ทรงขับ

พระฉันนะ ซึ่งเป็นสหชาติของพระพุทธเจ้า เป็นคนหัวแข็งไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัย องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงให้พระเลิกคบค้าสมาคม คือลงพรหมทัณฑ์

สำหรับสำนักของเราไม่อนุญาตให้มีการมั่วสุมซึ่งกันและกัน ไม่ให้เข้าห้องของบุคคลอื่น อันนี้เรามีอยู่แล้ว ถ้าหากว่ามีพระท่านใด พระบางองค์หรือส่วนใหญ่เขาไม่คุยด้วย เขาไม่คบค้าสมาคมด้วย ต่างองค์ต่างอยู่ในตามเฉพาะในกิจของเขา อย่างนี้อย่าพึงว่าเขาเป็นผู้ประทุษร้าย เพราะว่าเขาปฏิบัติตามระเบียบวินัยและกฎข้อบังคับ

สำนักปฏิบัติพระกรรมฐานไม่ใช่สำนักคุยกัน ไม่ใช่สำนักมั่วสุมซึ่งกันและกัน คนที่ชอบคุย คนที่ชอบมั่วสุม คนที่ชอบพูดปรารภเรื่องของบุคคลอื่นเป็นคนเลวที่สุด ซึ่งไม่มีใครต้องการ ผมเองก็ไม่ต้องการ

เป็นอันว่าอารมณ์จิตอย่างนี้ ขอทุกท่าน ที่เป็นพระใหม่ก็ดี เป็นพระเก่าก็ดี จงอย่าทำเพราะมันเป็นความชั่ว พระเก่าถ้าชั่วก็พาให้พระใหม่ชั่วไปด้วย

ฉะนั้น ขอพระเก่าก็ดี พระใหม่ก็ดี จงอย่าคลุกคลีกับความชั่ว ถ้าใครเขาทำตัวผิดจากระเบียบวินัย พระธรรมวินัยก็ดี ระเบียบข้อบังคับก็ดี จงพยายามเอาตัวออกห่างเสีย มิฉะนั้นท่านจะชั่วหรือเดือดร้อนด้วย เพราะว่าอะไร ถ้าถูกขับเขาก็ขับท่านด้วย ถูกลงโทษเขาก็ลงโทษท่านด้วย ถูกปราบปรามเขาก็ปราบปรามท่านด้วย ถ้าถูกจับกุมเขาก็จับกุมท่านด้วย

เพราะอะไร เพราะว่าเวลานี้วัดเราอยู่ในเขตของการเพ่งเล็งของเจ้าหน้าที่ โดยที่เจ้าหน้าที่คิดว่าบุคคลผู้คิดจะทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย มีอยู่ในขอบเขตของเรา นี่ผมได้ยินข่าวมาเสมอ

ต่อนี้ไปถ้าจิตใจของเราจะทรงความดีเราจะทำยังไง เลี้ยวเข้ามาหากรรมฐานที่เราเรียนกันแล้วเรียนกันอีก ที่ประพฤติปฏิบัติไม่ได้ก็เพราะว่ามีสันดานไม่จำ เป็นความเลวของสันดาน นั่นก็คือบทต้นที่สุด

ที่เราสอนกันว่า จงทรงอารมณ์อยู่ใน อาณาปานุสสติกรรมฐาน พยายามกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ถ้าใช้คำภาวนาก็ใช้คำว่า พุทโธ ทรงอารมณ์ไว้เพียงเท่านี้ ถ้าเป็นพระเก่ามีกำลังใจดี ถ้ามีความเข้มแข็งก็จะสามารถได้ ทิพจักขุญาณ ถ้าหากว่าวิสัยทิพจักขุญาณไม่มี ถ้าเราทรงอารมณ์อยู่อย่างนี้เป็นปกติ เพียงแค่อย่างเลวเดือนเดียว อย่างเลวที่สุด 3 เดือน จิตเราก็ทรงก็ทรงฌาน

คนที่มีจิตทรงฌานเขามีอารมณ์สงบ
ไม่มีความฟุ้งซ่าน
ไม่มีความทะเยอทะยาน
ไม่มีความรักในระหว่างเพศ
ไม่มีความโลภในทรัพย์สิน
ไม่มีการอิจฉาริษยา
ไม่ระแวงบุคคลอื่นใดว่าจะเป็นศัตรูกับเรา
ไม่มีความมัวเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข

นี่จิตเพียงเท่านี้ ขอท่านจงพยายามทำให้ได้ มันก็ไม่ยากนัก

ดูตัวอย่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความจริงพวกเรานี่ น่าจะให้พระเจ้าอยู่หัวท่านมาเอาอย่างเรา แต่ว่าขอเตือนว่า ขอให้ทุกท่านจงเอาอย่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชภารกิจมากยากต่อการปฏิบัติ ให้มีการทรงตัวในด้านสมาธิ

แต่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงสมาธิได้ดี สามารถเข้าฌานออกฌานได้ทุกอย่าง ครั้งที่แล้วพระองค์ทรงให้ผมบันทึกเสียงถวายไป ผมนั่งอยู่ชายทะเล ผมก็ใช้คลื่นทะเลเป็นกรรมฐาน เมื่อพระองค์ได้ทรงสดับฟังแล้ว เมื่อ 14 เมษายน พึ่งได้มีการเข้าเฝ้า

พระองค์ตรัสว่า "ผมชอบเหลือเกินเพราะว่าคลื่นทะเลนี่ ผมใช้เป็นกรรมฐานมาตลอดเวลา ที่รู้จักคลื่นทะเลเป็นกรรมฐานก็เพราะว่าเล่นเรือใบ" นี่เป็นจุดหนึ่งที่ความเข้าถึงความดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่นี่ก็จะขอพูดให้ฟัง เวลาเหลืออีก 5 นาที ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญสมาธิจิตมีอารมณ์ทรงได้ดี ท่านทำยังไง

ท่านทำแบบนี้ เวลาที่ท่านจะภาวนาท่านก็เอาจริงเอาจัง เอาจิตทรงตัว

และเวลาจิตฟุ้งซ่าน ท่านก็ดูพระพุทธรูป ลืมตาดู คิดว่าพระพุทธรูปนี่เขาทำด้วยอะไร สีอะไร เอาใจไปอยู่ที่พระพุทธรูปเป็น พุทธานุสสติ

นี่พูดตอนนี้เพราะว่า พระองค์ตรัสกับ พระเทพรัตนราชสุดา เมื่อปีที่แล้ว ผมกำลังเฝ้าท่านอยู่ ตรัสตามนี้

และประการที่ 2 พระองค์ตรัสว่า เวลาที่ผมเดินเล่น ถ้าผมต้องการเดิน 1 ชั่วโมงนี่ ผมสะพายเทปเดินไปด้วย ผมก็เดินแล้วผมก็ตั้งใจฟังเสียงจากเทป เอาจิตจับเฉพาะเสียงเทป เสียงอื่นผมไม่สนใจ ต้องการเดิน 1 ชั่วโมง ก็ฟังสองหน้า ต้องการเดิน 2 ชั่วโมง ก็ฟังสี่หน้า จิตจับอยู่เฉพาะในเทป

เมื่อยามว่างจากกิจการงานอื่น ก็เปิดเทปในห้อง ฟังเสียงเทปแล้วก็คิดตาม เวลาที่จะทรงบรรทมก็จะฟังเทปจนหลับไป แต่บางครั้งฟังแล้วบังคับไม่ให้หลับมันก็ไม่หลับ บางทีฟังแล้วต้องการให้หลับฟังยังไม่ถึงเทปมันก็หลับ แสดงว่าพระองค์ทรงควบคุมกำลังใจได้ดี

จริยาแบบนี้ ผมขอแนะนำให้ท่านทั้งหลาย จะเป็นพระใหม่หรือพระเก่าก็ตาม คนใหม่หรือคนเก่าก็ตาม จงสนใจและปฏิบัติเยี่ยงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ยามว่างต้องการสงัด จับอารมณ์หายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออก โธ เพียงเท่านี้ แต่ถ้าหากถ้าจิตจับทรงสมาธิไม่อยู่ ก็ฟังเสียงเทป ชอบเทปอะไรก็ฟังอย่างนั้น ฟังมาฟังไป ฟังซ้ำ ๆ ให้ขึ้นใจ หรือใช้ปัญญาพิจารณาตามไปด้วย อย่างนี้จะช่วยให้เราอยู่ในขอบเขตพระวินัย อยู่ในขอบเขตของระเบียบ มีจิตทรงอารมณ์ของกุศลอยู่ตลอดเวลา

ถ้าอารมณ์จิตทรงกุศลอยู่ตลอดเวลาก็ชื่อว่าเราเป็นคนดี เราเป็นเณรดี เราเป็นพระดี ความจุ้นจ้านไปห้องคนอื่นมันก็ไม่มี ความอยากดี อยากเด่น อยากประเสริฐมันก็ไม่มี ถ้าหากว่าจิตของเราทำได้อย่างนี้

จงจำไว้ว่า ตานี้เราจะลองฟังดู เวลาเรานอนไปเทปหนึ่งหน้าเราไม่ยอมให้หลับเราก็ไม่หลับ จิตจับอยู่เฉพาะที่เสียง เวลาฟังเสียงเทป จงเอาจิตจับที่เสียงทุกคำพูด อย่าให้ทุกคำพูดในเสียงนั้นคลาดจากหู หรือความรู้จากจิต จิตจับไว้เสมอ

ต่อมาเมื่อเสียงนั้นชินฟังจนจำได้ ฟังหลาย ๆ หนก็ใช้ปัญญาพิจารณาตามไปในด้านของวิปัสสนาญาณ เพียงเท่านี้แหละ บรรดาท่านพระโยคาวจรทุกท่าน อารมณ์ของท่านจะทรงตัวได้ดีภายใน 1 เดือน

หลังจากนั้น อารมณ์ฌานจะปรากฏประกอบไปด้วยปัญญา และความชั่วของท่านมันก็จะไม่มี ที่เรายังมีความชั่วติดอยู่ในใจ ทั้งนี้ไม่ใช่อะไร เพราะว่าสันดานเรามันเลว ฟังแล้วได้ยินก็ฟังเหมือนไม่ได้ยิน เห็นแล้วทำเหมือนไม่เห็น ไม่รู้จักดูสภาวะของตัว ว่าตัวมีสภาพเช่นไร

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอยุติลงไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพระโยคาวจรทุกท่าน จงพากันตั้งกายให้ตรง ดำรงติดให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก สำหรับพระใหม่ เวลาหายใจเข้าให้นึกว่า พุธ แล้วหายใจออกให้นึกว่า โธ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านจะเห็นว่าสมควรจะเลิก.

:b8: :b8: :b8:


= รวมคำสอน “พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38703

= ประวัติและปฏิปทา “พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=34508


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2014, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2015, 13:12 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2876


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 38 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร