วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2013, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าไม่เห็นแจ้งในอัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อน
มันก็มาวนอยู่
เข้าใจว่าเป็นของสวยของงามไป
สวยที่ไหน งามที่ไหน
ผีหลอกทั้งเพ
ผีหลอกตั้งแต่กะโหลกศีรษะลงมาจนถึงปลายมือปลายเท้า
ผีหลอกทั้งนั้น ไม่ว่าหญิงว่าชาย
พิจารณากองกระดูกของตัวเองให้รู้ อย่าให้หลงใหลต่อไป


:b8: :b8: :b8:

รูปภาพ

พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๑๐
กระดูก ๓๐๐ ท่อน
พระญาณสิทธาจารย์
(หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)

วัดถ้ำผาปล่อง
ต.บ้านถ้ำ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
๑๙ มิถุนายน ๒๕๒๖


:b40: :b40:

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


เอ้า ตั้งใจภาวนา วันนี้ให้กำหนดอัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเอง

ทำไมจิตใจมันหลง แค่เขาถ่ายรูปถ่ายเงาเท่านั้นก็หลง
เพราะไม่ดูอัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเอง
อันมันมีอยู่ในร่างกายตัวตนของเรา ตั้งแต่กระดูกเท้า กระดูกแข้งขา
เต็มอยู่จนถึงกะโหลกศีรษะ เพราะไม่ดูอัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเอง
จึงได้เกิดความลุ่มหลงมัวเมา ไม่ดูของจริง
ของจริงคือ อัฏฐิกัง กระดูก มีอยู่ในตัวคนเราทุกคน
เมื่อไม่ดูของจริง เมื่อของปลอมมาถึงเข้า เกิดความลุ่มหลงมัวเมา
จิตไม่สงบ หลงใหลไปตามรูปตามเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
เมื่อมันหลงไปหมดทุกอย่างทุกประการ
เมื่อรู้อย่างหนึ่งได้ มันก็รู้ได้ทุกอย่างทุกประการ

เวลานี้อย่าให้ใจคิดไปที่อื่น พุทโธก็ไม่ต้องว่า ฟังที่ท่านอธิบายไป
จิตใจก็เพ่งดูตามที่ท่านอธิบายนั้น

เริ่มต้นแต่กะโหลกศีรษะหรือว่ากระบอกตา ตัวคนเราทุกคนนี้
เรามองเห็นเป็นหนังหุ้มกระดูก แต่กระดูกอันมีอยู่ในตัวเราไม่ดู
จึงได้หลงตา หลงหู หลงจมูก หลงลิ้น หลงกาย หลงใจ
เพราะไม่พิจารณาดูกองกระดูกของตัวเอง
อันนี้เป็นความประมาท จิตใจคนเรามันประมาท
กระดูกมันสวยงามที่ไหน ดูกองกระดูกมันงามที่ไหน
ดูกระบอกตา กระบอกตานี้ก็ให้เพ่งให้เห็นเป็นกระดูก
อย่าไปเพ่งเห็นเป็นลูกตา
ลูกตานี้ไม่ให้เห็น เนื้อหนังมังสาไม่ให้มี
เวลานี้เปรียบอุปมาเหมือนอย่างว่าร่างกายของเราทุกคนนี้มันตายไปนานแล้ว
ยังเหลือแต่กองกระดูก ให้เพ่งในจิต เตือนจิตนี้ว่าอย่าคิดไปที่อื่น
มันตายแล้วยังเหลือแต่กระดูกอ่อนกระดูกแข็ง

เพ่งดูกระบอกตาตัวเองให้ดูให้รู้ ตานี้มันโหว่เข้าไป
ไม่ให้จิตคิดไปอื่น เพ่งในกระบอกตานั่น
มันโหว่เข้าไปเหมือนกับไข่ที่เอาไปทำอาหารทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ
โหว่เข้าไป ลึกเข้าไปเป็นกระดูกไม่ใช่เป็นเนื้อหนัง
เพ่งดูจนเห็นว่ามันเป็นกระดูกจริงๆ โหว่เข้าไปจริงๆ
ถ้าดูจนเห็นมันโหว่เข้าไป ลึกเข้าไป มันก็เหมือนผีหลอก
ในกระบอกตานั่นมันเป็นผีหลอก คือไม่ต้องให้เห็นลูกกะตาคนยังไม่ตาย
เพ่งให้มันเห็นว่ากระบอกตานี่มันผีหลอก
ที่ว่าผีหลอกตาโหว่เข้าไปนี่แหละ ดูเดี๋ยวนี้ เวลาเพ่งเดี๋ยวนี้เวลานี้
ให้มันเห็นกระบอกตาของตัวเอง เมื่อไม่เห็นกระบอกตาตัวเอง
อย่าได้ไปดูตาคนอื่น ตาเราก็ไม่ดู ดูกระบอกตา ดูให้มันเห็น
เพ่งให้มันเห็น ระมัดระวังไม่ให้จิตมันแวบไปแวบมา
ใจโลเล ในกิเลสละให้หมด เพ่งดูกระบอกตาตัวเอง ให้มันเห็นแจ้งตามความเป็นจริง
ถ้าไม่เห็นแจ้งตามความเป็นจริง ก็ยังมาสำคัญว่าเราสวยเรางาม
งามที่ไหน ดูกะโหลกศีรษะตัวเอง ผีหลอกทั้งเพ มาหลงมันทำไม
หลงกะโหลกศีรษะ หลงกระบอกตา จึงได้มาลุ่มหลงมัวเมา
เกิดมาภพใดชาติใด ก็มายึดเอาถือเอากองกระดูกอันนี้ไม่มีที่จบที่สิ้น

เมื่อดูกระบอกตาเข้าใจแล้ว ก็ให้ดูกะโหลกศีรษะนั้น
มันจอด (เชื่อมต่อ) กันเป็นซีกๆ เรียกว่าเข้ากันสลับกัน
สมัยเมื่อยังไม่ตาย กะโหลกศีรษะนี้มันป้องกันไม่ให้สมองในศีรษะนั้นแตกไปง่ายๆ
มีอะไรมาโดนมาตำเข้าหรือเส้นประสาทภายในนั้นจะได้ไม่เสีย
สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ คือยังไม่ตาย
แต่ว่าบัดนี้ใหดูเป็นกะโหลก กระดูก ข้างในก็ให้เห็นเป็นว่างไปทั้งนั้น
แล้วก็ให้มองดูในกะโหลกศีรษะ
จากกระบอกตาขึ้นไป เรียกว่า กระดูกหน้า กระดูกคิ้ว
กระดูกหน้า กะโหลกศีรษะมันจอดกันเหมือนมะพร้าว
กะโหลกศีรษะคนเราคล้ายกันกับมะพร้าวที่เขาเอาเปลือกมันออกแล้ว
ยังเหลือแต่กะลาในนั้น กะโหลกศีรษะนี้ก็เหมือนกัน
จอดกันเป็นชิ้นๆ ดูข้างหน้ามันงามที่ไหน ยังเหลือแต่กระดูก
ดูข้างหลังมันสวยงามที่ไหน ดูข้างซ้ายมันงามที่ไหนก็เป็นกระดูกเหมือนกัน
ดูข้างขวาก็ให้เป็นกระดูก จิตอย่าไปเห็นเป็นเนื้อเป็นหนัง
แล้วอย่ามาเห็นว่าเป็นกระดูกของเรา มันกระดูกผีตายมานานแล้ว
จิตอย่าได้มาหลงเอายึดเอากะโหลกศีรษะนี้ ดูให้มันแจ้งให้มันเห็น
เอาจิตจดจ่อให้มันเข้าใจ อย่าให้มันแส่ส่ายไปที่อื่น เพ่งดูกะโหลกศีรษะ

ต่อจากกระบอกตาลงมาก็เรียกว่า กระดูกดั้งจมูก
ดั้งจมูกก็ไม่ให้เป็นเนื้อเป็นหนัง ให้เห็นเป็นกระดูกโหว่เข้าไป
มีช่องเข้าไปสำหรับหายใจ เมื่อสมัยยังมีชีวิตอยู่ บัดนี้มันตายแล้ว
ยังเหลือแต่กระดูกโหว่เข้าไป มันงามที่ไหน ผีหลอกทั้งนั้น

คางข้างบนก็มีเขี้ยว มีฟันเป็นซี่ๆ
ดูฟันให้มันเห็นทุกซี่ ที่ฝังอยู่ในคางข้างบนนั้น

แล้วก็ดูคางข้างล่าง ดูฟันข้างล่างเป็นซี่ๆ
ฟันข้างล่างนี้เรียกว่าแขวนอยู่ คางข้างล่างมันแขวนอยู่ แขวนอยู่ข้างล่าง
สมัยเมื่อยังไม่แตกไม่ตายมันเอาคางข้างล่างนี้ตำบดเคี้ยวอาหาร
ก็เหมือนครกเหมือนสากนั่นแหละ
แต่ว่าคางข้างล่างนี้เรียกว่าเป็นสากธรรมชาติ
ไม่ใช่สากตำน้ำพริกคนเราไม่ใช่ตำลงข้างบน
ตำข้างล่างขึ้นมา บดเคี้ยวอาหารเมื่อสมัยยังไม่ตาย
เดี๋ยวนี้ไม่เกี่ยวแล้ว ยังเหลือแต่คาง ยังเหลือแต่ฟันเป็นซี่ๆ

ทีนี้ถ้ากำหนดมาถึงนี่ก็ดูซิ ดูฟันข้างบนข้างล่างประกบกัน
ดูไปจนถึงกระบอกตา หน้า ดั้งจมูก กะโหลกศีรษะทั้งหมด

แค่นี้ก็เป็นผีหลอกอยู่วันยังค่ำเป็นผีหลอกอยู่คืนยังรุ่ง เป็นผีหลอกตั้งแต่เกิดมา
เป็นเด็กก็มีอยู่เท่านี้มาเป็นหนุ่มก็มีอยู่อย่างนี้ ปานกลางคนมันก็มีอยู่อย่างนี้
กะโหลกอันนี้ ฟันอันนี้ คางอันนี้ ดูให้มันทั่วถึง ทำไมจิตมันจึงมาหลง
มาหลงอัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อน
หลงรักใคร่พอใจ หลงโกรธให้กัน หลงฆ่ากัน ฟันกัน
ก็เพราะไม่ดูกองกระดูกตัวเอง กิเลสความโกรธมันจึงเกิดขึ้น
กิเลสราคะตัณหามันจึงเกิดขึ้น

ให้ดูเดี๋ยวนี้ กำหนดเดี๋ยวนี้ ภาวนาเพียรเพ่งดูเดี๋ยวนี้
จิตใจดวงผู้รู้ไม่ให้มันไปคิดที่อื่นคิดที่อื่นมาตั้งแต่อเนกชาติ
ไม่มีความรู้ความเข้าใจประการใด
จงดูกองกระดูกของตนเดี๋ยวนี้ เวลานี้ ให้มันแจ้งในใจ
เราหลงกระดูกหน้า กระดูกคาง ไม่รู้จักผีหลอก ผีมันหลอก
ผีอื่นใดมันไม่หลอก ผีตัวเองหลอกตัวเอง
เพราะไม่ภาวนาดูอัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเอง
ดูจริงๆ กำหนดจริงๆ จนไม่ให้มีอะไรมาปิดบัง เหมือนกับเราลืมตาดูอย่างนั้น
ตรงใดมันเป็นอย่างใด ให้มันแสดงให้เห็นเดี๋ยวนี้ ขณะนี้แล้วต่อไปตลอดชาติ
ก็ไม่ให้มันหลงเป็นอย่างอื่นไปอีก ในกะโหลกศีรษะ ในหน้า ในตา

เห็นคนเห็นเราก็ให้เห็นว่าเป็นกระบอกตา เห็นเป็นดั้งจมูกโหว่เข้าไป
ไม่งาม ไม่มีการสวยงาม ธาตุแท้มันไม่ใช่งาม กระดูกจริงๆ ไม่งาม
เอาให้ใครก็ไม่เอา เห็นเข้าก็ว่าผีหลอก กะโหลกผีหลอก
เห็นไหมล่ะ มันหลอกลวงให้หลง หลงให้ติดให้ข้อง ไม่ดูกะโหลกศีรษะตัวเอง

ทีนี้กะโหลกศีรษะนี้เมื่อดูให้ทั่วถึงแล้ว ก็เอาไปตั้งไว้ที่ไหน
กะโหลกศีรษะธรรมชาติ ก็เอามาก่อตั้งไว้ต่อกระดูกคอ
กระดูกคอข้างบนเอามาต่อกับกะโหลกศีรษะนี้
เหมือนกับว่ากะโหลกศีรษะคนเอาไปตั้งไว้ในไม้ในโต๊ะ
กะโหวกกะหวากอย่างนั้นแหละ แล้วกระดูกคอนี้เป็นกระดูกที่เลื่อนได้
เมื่อสมัยยังไม่ตาย เวลาจะดูอะไรก็หมุนเอาที่คอนี่แหละ
หมุนเอาที่คอนี้ดูข้างซ้าย ดูข้างขวา ดูข้างหลัง ดูข้างหน้า เรียกว่าเลื่อนได้
กะโหลกศีรษะมันเลื่อนตามกระดูกคอไป
แล้วก็ดูให้ดี กระดูกคอมันก็ต่อกันเป็นข้อๆ เหมือนกัน

กระดูกคอข้างล่างก็ต่อกระดูกสันหลัง
กระดูกสันหลังก็มาต่อกับกระดูกคอนี้ ดูเพียรเพ่งดูให้รู้ให้แจ้งในจิต
แล้วไม่ให้ลุ่มหลงอีกต่อไปอีก กระดูกคอเป็นอย่างไร
ดูข้างหน้า ดูข้างซ้าย ดูข้างขวา ดูข้างใน ดูข้างนอก
มันว่ามันสวยงามไหมกระดูก เขาไม่ว่า จิตหลงไปว่าเขา

ทีนี้ให้กระดูกสันหลังเป็นข้อๆ ขึ้นมาก็มีกระดูกเหง้าแขน
ต่อจากกระดูกสันหลัง กระดูกหน้าอกออกไปเป็นแขนข้างซ้ายข้างขวา
ท่อนบนเป็นอย่างหนึ่งต่อกันกับแขนข้างล่าง
แขนข้างล่างมีสองท่อนเพื่อไม่ให้หักง่ายๆ
สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่แขนข้างบน แขนข้างล่างสองข้างเหมือนกัน

ต่อลงไปก็เป็นกระดูกมือ กระดูกมือก็เป็นข้อๆ
แล้วก็ไปต่อเป็นกระดูกนิ้วมือ
กระดูกนิ้วมือก็เป็นท่อนๆ เป็นข้อๆ ต่อกัน ทั้งสิบนิ้วเหมือนๆ กัน

ดู อย่าให้จิตไปที่อื่น ดูกองกระดูกของตัวให้เห็น ให้รู้ มีอยู่นี้ไม่รู้ไม่เห็น
ไปที่ไหนจิตให้ตั้งมั่นเพียรเพ่งดู ไม่ใช่กระดูกมันดู
ให้จิตใจของตัวเองน่ะ จิตใจดวงผู้รู้อยู่ที่ไหนเดี๋ยวนี้รู้อยู่นี้

เพ่งดูกระดูกจนสุดกระดูกนิ้วมือ ดูขึ้นมาข้างบนทั้งสองข้างตามที่มันมีมันเป็นอยู่
มาถึงเหง้าแขน เหง้าแขนมันก็ต่อกับกระดูกสันหลังกระดูกคอ
กระดูกสันหลังก็เป็นท่อนๆ แล้วก็มีกระดูกข้างต่อออกไปสองข้าง
กระดูกข้างนั้นเป็นกระดูกป้องกันภัยอันตรายในสมัยที่ยังไม่ตาย
เดี๋ยวนี้มันมีแต่กระดูกนั้นมันไม่เกี่ยวหรอก
มองดูกระดูกข้างให้เห็นเป็นแถวอยู่นี้ กระดูกหน้าอก กระดูกไหปลาร้าก็ว่า
ถ้าเอากระดูกคอออกแล้วมันก็เหมือนไหปลาร้า กระดูกข้าง
กระดูกหน้าอก กระดูกสันหลัง
ตั้งไว้ก็เหมือนไหปลาร้า
นั่นกระดูกบั้นเอว กระดูกบั้นเอวไม่มีกระดูกข้าง
ดูกระดูกสันหลัง ดูให้มันเห็น ไม่เห็นอย่าไปเคลื่อนที่ โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เวลานี้
หรือเวลาเราไปนั่งคนเดียว เอาให้มันแจ่มแจ้งชัดเจนในจิตของตัวเอง

ที่แท้มันก็กองกระดูก ทำไมจิตมันมาหลงยึดหลงถือ
หน้าของกู ตาของกู ตามันไม่มี หูมันไม่มี ยึดทำไมมีเหลือแต่กระดูกเท่านี้
ใครจะมาถ่ายวิดีโอวิดีอาไม่ต้องเกี่ยว
ดูกองกระดูกของตัวให้รู้ ไม่รู้ไม่เข้าใจอย่าไปกินข้าว
นั่งภาวนาเพ่งดูให้มันเห็นอัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเอง


ดูกระดูกสันหลัง เป็นท่อนๆ ต่อกับกระดูกบั้นเอว
กระดูกบั้นเอวก็เป็นกระดูกต่อกับกระดูกตะโพก
กระดูกก้นกบ กระดูกตะโพก เขาก็ว่ามองให้เห็น กระดูกแท้ๆ มีอยู่ไม่เห็นไม่ได้
ต้องเพ่งดูให้เห็นเดี๋ยวนี้ ขณะนี้เรื่อยไป ทำไมเขาว่าเป็นกระดูกก้นกบ
ดูให้ดีของมีอยู่ไม่ดูไม่พิจารณาจึงได้เกิดความหลง โมหะ อวิชชาไม่รู้

แล้วก็มีกระดูกเหง้าขามาต่อกับกระดูกตะโพก

กระดูกขาก็ต่อไปหากระดูกเข่า
กระดูกเข่าก็คือว่าเป็นกระดูกที่กระดูกแข้งขึ้นมาก็มาต่อกระดูกเข่า
มีกระดูกสะบ้ากลมๆ แล้วกระดูกแข้งต่อลงไปทั้งสองข้างขาแข้งเหมือนๆ กัน
กระดูกแข้งมันก็มีกระดูกสามเหลี่ยมกระดูกเล็ก

ต่อลงไปเป็นกระดูกสันแข้ง ข้างล่างมันต่อกับกระดูกเท้า
กระดูกตีน เท้าก็คือว่าไปทางไหนมันเอาเท้าไปเรื่อย เท้าเดิน เท้าหน้าไป
ดูกระดูกเท้าเป็นข้อๆ ต่อออกไปจนถึงกระดูกนิ้วเท้า
มันสวยงามที่ไหนทั้งสองข้าง

ถ้าเอาไปยืนดู ยืนขึ้นต่อกันไว้ แขวนไว้ แล้วก็ดูซิ กระดูกนิ้วเท้า
กระดูกเท้า กระดูกแข้ง
เป็นผีหลอกใหญ่ หลอกทั้งตัวเลย
ที่จิตหลงเห็นเป็นของสวยของงาม เกิดราคะตัณหาเพราะไม่ดูกระดูกของตัวเอง
จิตกิเลส จิตมัวเมา มันดูไปไม่ถูก ดูของปลอม ดูของจริง ดูกระดูกซิ
กระดูกมันเป็นของจริง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปไหน
ตั้งแต่เกิดมามันเป็นกระดูก มันก็เป็นอยู่
เดี๋ยวนี้ก็เป็นกระดูกอยู่ เลยนี่ไปมันก็จะเป็นกระดูกอยู่อย่างนั้น
โน่นแหละ จนถึงวันตายมันก็เป็นกระดูกอยู่อย่างนั้น

นี่แหละโครงร่างผีหลอก ผีหลอกของเรา อย่าไปหลอกผีตัวอื่นอีก
มันเป็นผีด้วยกันทั้งหญิงทั้งชาย
คนจะเป็นชาติใดภาษาใดก็ไม่มีใครแปลกประหลาดกว่ากัน
มันก็กองกระดูกนี่แหละ อย่าไปมัวคิดฟุ้งซ่านไปที่อื่น
ดูกองกระดูกของตัวเองให้รู้ให้เข้าใจ เวลายืนก็กองกระดูกยืน
ให้เห็นอย่างนั้น ไม่ต้องมองให้เห็นเนื้อหนัง มองเป็นกองกระดูก
ยืนก็ผีหลอกยืน โหวกๆ หวากๆ ไปหมด มันดีอย่างไรวิเศษอย่างไร
จิตนี้จึงมาหลง มันไม่ดูกองกระดูกของตัวเอง จึงได้มัวเมากองกระดูก

เวลานั่งสมาธิภาวนาก็ดูกระดูก ๓๐๐ ท่อน
มันนั่ง ไม่ให้เห็นเป็นเนื้อเป็นหนัง เห็นเป็นกระดูกนั่ง
จะนั่งแบบไหนก็กระดูก ๓๐๐ ท่อน
มันนั่ง มันยืนขึ้นก็กระดูก ๓๐๐ ท่อน มันยืน ยืนอยู่
ทั้งนี้เมื่อมันเดินไปมาที่ไหนก็ดูมันเดิน
มันจะเอากระดูก ๓๐๐ ท่อนนี้แหละเดินโทกเทกๆ ไปมา
เดินไปข้างหน้า เดินไปข้างหลัง เดินไปข้างซ้าย ข้างขวา

นี่แหละดูกระดูกให้มันเห็น
มันอยู่ในอิริยาบถใดก็ดูตามหาความเป็นจริงในอิริยาบถนั้น
มันเดินเป็นยังไงดูมัน ขึ้นบน ลงล่าง ไปไหนมาไหน
ก็เห็นกระดูกมันเดินไปยังงั้นแหละ ระวังกระดูกมันจะหัวเราะให้ดู
เวลากระดูกมันหัวเราะคางมันอ้าขึ้นมา ดีใจก็หัวเราะแฮะๆ
กระดูกน่ะเสียใจก็ร้องไห้ น้ำหูน้ำตาไหลถ้ายังไม่ตาย
ถ้ายังเหลือแต่กระดูก มันแห้งไม่มีน้ำตา ร้องไห้เป็นที่ไหน
มันร้องไห้ก็ให้ดูกระดูกมันร้องไห้ ดูตั้งแต่กะโหลกศีรษะลงมา
กระดูกคอ กระดูกแขน กระดูกสันหลัง
กระดูกข้าง กระดูกขา กระดูกเท้า กระดูกนิ้วเท้า


หมดจากมันเดินแล้ว มันก็จะมานั่ง นั่งก็ดูมันนั่ง
นั่งมันเอาอะไรลงก่อน กระดูก ๓๐๐ ท่อน นั่งแล้วมันเป็นยังไง
นั่งพับเพียบแล้วมันเป็นอย่างไร กระดูก ๓๐๐ ท่อนนี้
นั่งคุกเข่ามันเป็นอย่างไร กระดูก ๓๐๐ ท่อน ดูมันทุกอิริยาบถ

เมื่อนั่งมันนานๆ มันเหนื่อยมันก็จะนอน กระดูก ๓๐๐ ท่อนมันนอน
นอนก็ดูมันตั้งแต่กะโหลกศีรษะจนถึงปลายเท้า กองกระดูกระนาวไปหมด
จิตอย่าได้มาหลง ไม่ต้องมาหลงเนื้อหลงหนังของมนุษย์
ดูกองกระดูกของตนให้มันทั่วถึง ให้มันได้ทุกขณะที่กระดูกมันเคลื่อนไหวไปมา

นอนมันหลับไป หลับไปสักพักคนมันยังไม่ตายก็ตื่น
ตื่นขึ้นมากระดูกมันก็เคลื่อนไหวไปมา มันไปนั่งในห้องน้ำ
นั่งในส้วมมันก็กองกระดูก กองกระดูกเข้าไปถ่าย
เหม็นหอมอะไรกองกระดูกมันดม

กองกระดูกมันเดิน กองกระดูกมันยืน กองกระดูกมันนั่ง
กองกระดูกมันนอน กองกระดูกมันถ่าย กองกระดูกมันพูดจาปราศรัย
หัวเราะ ร้องไห้ อะไรต่อมิอะไรจิปาถะ กองกระดูกมันแสดงบทบาททั้งนั้น
เอาให้มันเห็นเอากองกระดูก ไม่ต้องเห็นเอาหน้าตาคนธรรมดา
เขาฉายถ่ายวิดีโอก็ถ่ายเอากองกระดูกนี่แหละ
ไม่มีอะไรจะเป็นของดีวิเศษเกินกระดูกไปได้ ไม่เกินตาย
ตายแล้วมันก็กระดูกอ่อนอย่างนี้แหละ

จิตหลง จิตมาร จิตกิเลส จิตไม่รู้ จิตอวิชชา ตัณหา จิตตาบอด
จิตมันเป็นนะโมตาบอด คือสิ่งที่มันเป็นจริงอยู่
ไม่ดู ไม่เห็น เรียกว่าตาบอด ตาอวิชชาตัณหา ตาราคะ ตาโทสะ ตาโมหะ
มันไม่เห็นแจ้งด้วยปัญญาอันชอบ ดูให้มันเห็นแจ้ง

ให้มันเข้าใจในใจของตัวเอง เมื่อไม่เห็นกระดูกของตัวเองก็เรียกว่า
ฟังธรรมก็ได้ยินแต่เสียงเท่านั้น ไม่เห็นของจริง
ถ้าเพ่งให้เห็นกระดูก ๓๐๐ ท่อน นับได้ให้มันเหมือนพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าพระองค์นับได้ ๓๐๐ ท่อน
มันอยู่ที่ไหนบ้างมีอยู่ในร่างกายนี่แหละ มีอยู่ในกองกระดูก
ดูกองกระดูกของตัวเอง ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันแตกตาย ไม่ให้มันหลงใหลไปได้

นี่แหละอัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อน
พระพุทธเจ้าสอนมาแล้วตั้งสองพันปีกว่า จิตใจคนเราก็ยังไม่สนใจ
ยังไม่เอามาคิดมาอ่าน โลเลไปโลเลมา โลเลกินโลเลนอน
โลเลไปตามอำนาจกิเลสราคะ โทสะ โมหะ
ไม่พิจารณาอัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อนของตัวเอง
ก็มาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาไข้ มาตาย ก็เพราะแบกกระดูก ๓๐๐ ท่อน
ไม่รู้จักปล่อยวาง ให้โลกเขาสับเขาโขกอยู่ทุกวันทุกคืน
ให้เขาด่าอยู่ทุกวันทุกคืน ไม่เห็นไม่รู้ไม่เข้าใจ
เขาเอาฆ้อนตีหัวตีกะโหลกศีรษะก็ตีกองกระดูก ช่างมัน
ที่สุดมันก็ตายแหละ อย่าไปก่อกรรมทำเข็ญต่อไปอีก
เกลียดชังใครก็อย่าไปฆ่าแกงกัน กองกระดูกไม่ถึง ๑๐๐ ปีมันก็ตายแล้ว
๙๙ ปียังไม่เต็มก็ตาย เหมือนหลวงปู่แหวนเราน่ะ
ตายแล้วก็เห็นไหม อยู่ในหีบนั่น เขาถ่ายรูปไว้ ไม่เห็นมีฤทธิ์มีเดช หมดเรื่อง
พวกเรายังอยู่ ตัวเรายังอยู่ก็เหมือนกัน ดูกระดูกให้มันเห็นชัดเห็นแจ้ง
พระก็สมมติ เณรก็สมมติ ผ้าขาวก็สมมุติ มันก็กองกระดูกนั่นแหละ
หญิงก็กองกระดูก ชายก็กองกระดูก คนชาติใดภาษาใดก็กองกระดูก
ไปหลงกองกระดูกมันทำไม โหวกๆ หวากๆ
ไม่เห็นมันสวยมันงามที่ไหน ทำไมจึงไม่กำหนดพิจาณา


ต้องกำหนดพิจารณา ดูให้มันเห็นแจ้งด้วยสติ ด้วยสมาธิปัญญา
เห็นแจ้งในจิตในใจของตัวเองจนไม่ต้องไปถามคนอื่นว่า
กระดูกตรงไหนมันเป็นอย่างไร คือยังไม่ดูไม่พิจารณา
ถ้าดูพิจารณาแล้ว มันเห็นแจ้งเห็นชัดในหัวใจของตัวเอง
ไม่ต้องไปถามใคร ข้ารู้หมด นี่แหละพระพุทธเจ้าท่านรู้
เจ้าสังขารมาสร้างกองกระดูก
ให้เราตถาคตลุ่มหลงมัวเมามาอย่างนี้ตั้งแต่อเนกชาติแล้ว
ต่อไปเจ้าสังขารจะไม่ได้สร้างอีก เราได้ทำลายแล้ว
ทำลายอวิชชา จิตไม่รู้ พระองค์ทำลาย ฆ่ามัน
พระองค์เห็นแจ้งในอัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อน
แล้วจิตใจของพระองค์ก็ไม่หลงเพลินเพลินในกองกระดูก
นั่งก็ไม่หลงกองกระดูก กระดูกคนอื่นก็ไม่หลง กระดูกตัวเราก็ไม่หลง
กินก็กระดูกมันกิน พูดก็กระดูกมันพูด เอาให้มันทันกองกระดูก
พิจารณากองกระดูกของตัวให้มันเข้าใจ ให้มันเห็นแจ้ง เห็นชัด
เหม็นหอมมันก็ออกจากกองกระดูก มันมีสมัยเมื่อยังไม่ตาย
ยังไม่เป็นกองกระดูก เหม็นก็อยู่นี่ หอมก็อยู่นี่ กินถ่ายอยู่ตลอดวันตาย
ตื่นเช้าก็แสวงหาอาหารมากิน กินเข้าไป ไปเลี้ยงกองกระดูก
กินแล้วก็ถ่ายเทออกมา ดีวิเศษอะไรจิตให้รู้ให้เข้าใจ ภาวนาดูให้เข้าใจ
ละกิเลสโลเล จิตใจโลเลออกไปให้หมด
เป็นจิตที่แน่วแน่เพียรเพ่งดูให้มันทะลุปรุโปร่งตามความเป็นจริง
ของจริงละ กระดูกจริงอย่างนั้น ถ้าไม่เห็นมันก็ยังหลงของปลอมนี่อีก
ถ้ามันรู้มันเห็นแจ้งว่าอัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อน
พระพุทธเจ้าสอนให้ดูให้รู้แจ้งในใจ จึงไม่ลุ่มหลงมัวเมาต่อไป
ถ้าไม่เห็นแจ้งในอัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อน มันก็มาวนอยู่
เข้าใจว่าเป็นของสวยของงามไป สวยที่ไหน งามที่ไหน ผีหลอกทั้งเพ
ผีหลอกตั้งแต่กะโหลกศีรษะลงมาจนถึงปลายมือปลายเท้า ผีหลอกทั้งนั้น
ไม่ว่าหญิงว่าชายพิจารณากองกระดูกของตัวเองให้รู้ อย่าให้หลงใหลต่อไป

อัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อน ดูให้แจ้ง ดูให้เห็น
กำหนดให้ได้ กำหนดให้ได้ทุกเวลา กระดูกกำหนดไปถึงไหน ถึงวันตาย
ตายเมื่อใด ก็ดูกระดูก ๓๐๐ ท่อนมันไป
นั่งก็กระดูก ๓๐๐ ท่อนนั่ง ไปหลงมันทำไม
พูดก็กระดูก ๓๐๐ ท่อนพูด ไปหลงมันทำไม
ถ่ายภาพถ่ายรูปก็เงา ไปหลงเงามันทำไม เงากองกระดูก
เหตุไม่ดูกองกระดูกของตัวเอง จึงได้หลงกองกระดูกคนอื่น
เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ให้ดูกองกระดูกของตัวเอง
ดูจนนับได้อ่านได้ด้วยตนเอง จึงเรียกว่าพิจารณา
ถ้าไปถามคนอื่นบอก มันเรื่องของจริงมันอยู่ที่กระดูก
เห็นแจ้งกระดูกเรา กระดูกเขา กระดูกคนทั้งโลกก็เหมือนกัน
จะไปทะเยอทะยานวุ่นวายไปทำไม เมื่อมันถึงขั้นตายเป็นกองกระดูกแล้ว
มันหาบสมบัติในโลกไปได้กี่ชิ้นกี่อัน ไม่มี มีอะไรก็ทิ้งเปล่าๆ
อัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อนทิ้งหมดละ ตายเมื่อใดมันเอาอะไรไปไม่ได้
แต่ถ้าไม่เห็นแจ้งในอัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อน จิตมันก็โลเลไม่ตั้งมั่นเที่ยงตรง

นี่แหละเราท่านทั้งหลาย อัฏฐิกัง กระดูก ๓๐๐ ท่อน
ต่อไปภายหน้าอย่าได้มีความลุ่มหลงมัวเมา
ให้กำหนดให้ทั่วถึงรอบคอบทุกชิ้นทุกอัน
แล้วก็จะต้องกำหนดอยู่จนถึงวันสิ้นชีวิตจึงจะเข้าใจในธรรมปฏิบัตินี้

ดังแสดงมาก็สมควรด้วยกาลเวลา

เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้


:b45: :b45:

ฟังเสียงเทศน์เรื่อง กระดูก ๓๐๐ ท่อน ของท่านแบบวิดีโอคลิป



:b8: :b8: :b8: คัดเนื้อหามาจาก...หนังสือ พุทฺธาจารปูชา
ธรรมานุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ
พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)

ณ สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
วันจันทร์ที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ (หน้า ๑๒๕-๑๓๓)


:b44: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=21573

:b44: รวมคำสอน “หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=42673

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2019, 19:19 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2021, 13:08 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2021, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2021, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1012


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร